ความคิดเห็นที่ 1 ===แอนแทรกซ์===            อาวุธเชื้อโรคมักเตรียมมาจากเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคระบาดรุนแรง และหนึ่งในเชื้อโรคที่มีศักยภาพสูงในการนำมาผลิตเป็นอาวุธเชื้อโรคได้แก่โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax)            โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคระบาดร้ายแรงในปศุสัตว์ เช่น แพะ แกะ วัว และม้า ฯลฯ ในสมัยก่อน ผู้ที่เป็นโรคนี้มักได้แก่ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับปศุสัตว์และอุตสาหกรรมขนแกะ ทั้งนี้โดยได้รับเชื้อมาจากสัตว์อีกทีหนึ่ง แต่หลังจากที่มีการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์และการพัฒนาระบบสุขาภิบาลที่ดีแล้ว โรคนี้ก็เป็นโรคที่สามารถควบคุมได้และไม่ค่อยปรากฏผู้ที่เป็นโรคนี้อีก ในสหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยด้วยโรคแอนแทรกซ์รายล่าสุดเป็นสัตว์แพทย์ซึ่งต้องทำงานคลุกคลีกับสัตว์ที่เป็นโรคและเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1992           แต่การที่ไม่ค่อยมีผู้ป่วยด้วยโรคแอนแทรกซ์ไม่ได้แปลว่าโรคแอนแทรกซ์ไม่มีพิษสงแต่อย่างใด เพราะแท้ที่จริงแล้วโรคแอนแทรกซ์นี้จัดเป็นเชื้อโรคอันตรายตัวหนึ่งทีเดียว           โรคแอนแทรกซ์เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า แบซิลลัส แอนทราซิส (Bacillus Anthracis) ซึ่งเป็นแบคทีเรียประเภทแกรมบวก (gram positive bacteria, เป็นวิธีการทางห้องทดลองที่ใช้ในการจำแนกประเภทแบคทีเรียโดยการย้อมสี) แบคทีเรียชนิดนี้มีการสืบพันธุ์โดยการสร้างสปอร์ สปอร์ของแบคทีเรียนี้เปรียบได้กับละอองเรณูของเกสรดอกไม้ซึ่งสามารถล่องลอยไปในอากาศได้แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และเมื่อตกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สปอร์นี้ก็จะเจริญเป็นแบคทีเรียและแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสปอร์ของเชื้อแอนแทรกซ์นี้มีการสร้างเกราะหุ้มอีกด้วย จึงทำให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี ภาพที่ 1 เชื้อ Bacillus anthracis จะเห็นเป็นแกรมบวกรูปแท่ง มีการสร้างสปอร์ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:27:05

ความคิดเห็นที่ 2 โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคที่มีระยะฟักตัวค่อนข้างสั้น คือราว 1-5 วัน แต่โดยทั่วไปมักเป็น 2 วัน ทำให้การระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่รับเชื้อแอนแทรกซ์เข้าไปสามารถเกิดได้ 2 ทาง คือ สปอร์ของเชื้อแอนแทรกซ์ซึ่งลอยอยู่ในอากาศหรือตกอยู่ตามพื้นดินเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบเลือด กับอีกวิธีหนึ่งคือการหายใจเอาสปอร์เข้าไป ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ            โรคแอนแทรกซ์ที่ติดเชื้อทางบาดแผลจะมีอัตราตายราวร้อยละ 20 แต่หากติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจจะมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 80 หมายถึงว่าผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ 100 คนจะมีโอกาสรอดเพียง 20 คนเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นโรคที่เหมาะที่จะนำมาผลิตเป็นอาวุธชีวภาพ การรักษาสามารถทำได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ต้องรีบรักษาแต่เนิ่นๆ หากปล่อยไว้จนอาการของโรคแสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วการรักษามักไม่เป็นผล การป้องกันสามารถทำได้โดยฉีดวัคซีนป้องกันล่วงหน้า โดยต้องฉีดวัคซีน 1 ชุด รวม 6 เข็มในเวลา 2 ปี จากนั้นต้องฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิเป็นประจำปีละครั้ง หลังฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วราว 3 สัปดาห์ ร่างกายจึงค่อยสร้างภูมิคุ้มกัน หากเป็นกรณีฉุกเฉินที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ทันให้สวมหน้ากากป้องกันก๊าซพิษเพื่อป้องกันการติดเชื้อแอนแทรกซ์ในระบบทางเดินหายใจ           การใช้เชื้อโรคแอนแทรกซ์เป็นอาวุธสามารถทำได้โดยการนำเชื้อแอนแทรกซ์ที่เพาะเลี้ยงไว้และเก็บในรูปสารละลายมาฉีดพ่นโดยเครื่องบิน หรือใช้ทำเป็นหัวรบ ซึ่งญี่ปุ่นเคยใช้อาวุธเชื้อโรคแอนแทรกซ์นี้กับชาวจีนมาแล้วเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2          เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อแอนแทรกซ์ในระบบทางเดินหายใจ อาการเริ่มแรกจะคล้ายไข้หวัด มีน้ำมูกไหล หลังจากนั้นไม่นานอาการจะรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยจะช็อก หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด นอกจากนี้จำได้ไหม!!! มีช่วงหนึ่งมีการส่งสปอร์ของเชื้อแอนแทรกซ์ไปในซองจดหมาย.... จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:30:35

ความคิดเห็นที่ 3 === โบทูลินัมทอกซิน ===              พิษโบทูลินัม (Botulinum toxin) เป็นสารพิษจากจุลินทรีย์ที่มีมีความเป็นพิษสูงมาก พิษโบทูลินัมนี้เกิดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) อันเป็นแบคทีเรียที่ทำให้อาหารกระป๋องเน่าเสียและอาหารเป็นพิษ ผู้ที่เคยไม่สบายเพราะรับประทานอาหารกระป๋องที่หมดอายุแล้วหรืออาหารกระป๋องที่เสียแล้วคงทราบพิษสงของแบคทีเรียตัวนี้ดี แต่นั่นเป็นเพียงพิษในธรรมชาติซึ่งค่อนข้างเจือจาง ต่างกับพิษซึ่งถูกผลิตขึ้นให้มีความเข้มข้นเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพ เพียงพิษขนาดเพียงแค่จุดเล็กๆเท่านี้ (.) ก็สามารถคร่าชีวิตคนได้ถึง 10 คน             พิษชนิดนี้สามารถซึมเข้าทางผิวหนังได้โดยทางเยื่อหุ้ม เช่น เยื่อบุทางเดินหายใจ ฯลฯ ดังนั้นจึงสามารถแพร่พิษได้ทั้งการฉีดพ่นพิษให้กระจายในอากาศเพื่อให้ผู้เคราะห์ร้ายสูดเข้าไปหรือใส่ในแหล่งน้ำบริโภค อีกทั้งยังเป็นพิษที่ไร้สี ไร้กลิ่น ผู้รับพิษเข้าไปจึงไม่มีทางรู้ตัวจนกว่าพิษจะเริ่มแสดงอาการในร่างกาย             พิษโบทูลินัมออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท อาการของผู้ที่ได้รับพิษจะเริ่มด้วยอาการตาพร่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน ในที่สุดระบบประสาทจะถูกทำลายและผู้ป่วยจะเสียชีวิตในที่สุด เนื่องจากปริมาณสารพิษที่ผู้ป่วยได้รับจากอาวุธชีวภาพนั้นสูงกว่าปริมาณที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษทั่วไปมาก ดังนั้นร่างกายจึงไม่สามารถขับสลายสารพิษได้เองตามธรรมชาติ การแก้พิษต้องทำได้โดยใช้ยาแก้พิษ (Antitoxin) จากภาพ....เชื้อ Clostridium botulinum เป็นเชื้อแบคทีเรียไร้อากาศ ชนิดแกรมบวกรูปแท่งสร้างสปอร์ได้ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:33:35

ความคิดเห็นที่ 4 มีหลายโรคที่อาการคล้ายกับโบทูลิสมฺ เช่น Polio myelitis, Guillain-Barre syndrome, tick paralysis และ myasthenia gravis ถ้าจะให้วินิจฉัยอย่างเจาะจงจริงๆ ควรจะทำการทดสอบเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น neuron-imaging, spinal fluid examination, nerve conduction tests (electromyography or EMG) หรืออาจใช้ edrophonium chloride เพื่อคัดกรองจาก myasthenia gravis หรืออาจจะหาโบทูลินัมทอกซินจากซีรัมหรืออุจจาระก็ได้ การรักษาโบทูลิสม              ยาต้านพิษ (Antitoxin) ใช้ในการรักษาโบทูลิสม โดยทำหน้าที่ neutralize toxin ในกระแสเลือด ถ้ารักษาทันการณ์อาการอัมพาตจะกลับคืนปกติอย่างรวดเร็ว โดยยาต้านพิษจะใช้ได้ผลดีเมื่อใช้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังมีอาการแสดง สำหรับคนไข้ผู้ใหญ่นั้นจะให้ 10ml trivalent botulinum antitoxin ทันทีโดยไม่ต้องรอการยืนยันทางห้องปฏิบัติการ จากภาพ.....เด็กที่มีอาการโบทูลิซึม จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:36:11

ความคิดเห็นที่ 5 === ไข้ทรพิษ ===            Variola เป็นชื่อของ smallpox virus ซึ่งไม่สามารถตรวจพบในห้องปฏิบัติการพื้นฐานได้ โดยมีเชื้อสองชนิด คือ variola major และ variola minor อยู่ในธรรมชาติ โดยไข้ทรพิษเคยระบาดมาในยุคหนึ่ง ในปี 1980 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าไข้ทรพิษได้หมดไปจากโลกนี้แล้ว ทำให้การป้องกันไข้ทรพิษหละหลวมลง ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาเชื้อทรพิษมีเพียงแค่ stock ไว้ในบางประเทศของโลกนี้ ไม่มีการรักษาที่แน่นอนสำหรับไข้ทรพิษ ยกเว้น การป้องกันโดยการให้วัคซีนและรักษาแบบประคับประคองโรคเท่านั้น             ถ้าเชื้อ variola ถูกนำไปใช้เป็นอาวุธ เชื้อจะฟุ้งเหนือบรรยากาศ และสามารถติดเชื้อได้ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณเพียงน้อยนิด อาการของไข้ทรพิษ             อาการจะใช้เวลา 12-14 วันสำหรับการพัฒนาอาการ ถึงแม้ว่าจะมี incubation period ถึง 7-17 วัน ในระหว่างอาการระยะแรกผู้ป่วยจะมีอาการของนำ คือ ครั่นเนื้อครั่นตัว, หนาวสั่นรุนแรง และมีไข้สูง อาจจะมีการปวดศีรษะ หรือ อาเจียนร่วมด้วย ระยะที่มีอาการนำ คือ 2-4 วัน             หลังจากระยะที่มีอาการนำ คนไข้จะมีอาการของโรคเป็นอาการแรกของไข้ทรพิษ คือ มีผื่นแดง (Rash) เป็นจุดแดงเล็กบนลิ้นและในปาก โดยจุดเหล่านี้จะใหญ่ขึ้นจนคอแดงและแผลแตกออกเกิดการกระจายไวรัสในปริมาณมาก ในช่วงนี้เองจะมีการออกผื่นที่ผิวหนังด้วย โดยเริ่มจากหน้าและกระจายไปตามแขนและขา จากนั้นก็มือและเท้า โดยการแผ่กระจายนี้มีภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อผื่นออกมากขึ้นเรื่อยๆ ไข้ก็จะตกลง โดยในวันที่สามของการออกผื่น ผื่นจะบวมขึ้นมาเป็นตุ่ม ในวันที่สี่ตุ่มจะหนาและมีสารขุ่นภายในเรียก umbilication ซึ่งเป็นอาการหลักของไข้ทรพิษ ภาพที่... รอยโรคของไข้ทรพิษ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:40:33

ความคิดเห็นที่ 6 ไข้ทรพิษแยกจากอีสุกอีใสโดยการปรากฏของผื่น โดยไข้ทรพิษจะมีลักษณะของผื่นเป็น Homogeneous ทั้งขนาด อายุ หรือ ลักษณะ โดยไข้ทรพิษจะแผ่ขยายผื่นกระจายจากศูนย์กลาง คือ จากหน้า ไประยางค์ ไปมือเท้า ภายใน 24 ชั่วโมง ในวันที่สี่จะพบ umbilication ของผื่นซึ่งเป็นอาการหลักของไข้ทรพิษ ในทางกลับกันอีสุกอีใสจะกระจายจากปลายมากลาง และจะมีผื่นแบบ heterogeneous คือ มีทุกระยะ และจะพบเป็น red bumps ไม่ใช่ umbilical rash โดยระยะตุ่มแรกจะเป็นตุ่มน้ำใสและจะแตกเมื่อตุ่มแก่ นอกจากนี้อีสุกอีใสจะพบในชั้น superficial จึงไม่เป็นแผลเป็น ในขณะที่ไข้ทรพิษจะเป็นที่ deep layer เข้าไปในชั้นของ dermis              เมื่อเทียบกับหัดแล้ว (Measles or rubeola) หัดจะออกผื่นแดงในวันที่สามของการป่วยไข้ และการออกหัดมักจะออกที่หน้า โดยมีจุดที่เรียกว่า Koplik’s spot ในการวินิจฉัยโรคหัด โดยพบจุดแดงที่มีศูนย์กลางเป็นสีฟ้าขาวก่อนที่จะมีการออกผื่น ผื่นของหัดจะเป็นแบบ maculopapular rash คือมี macule (จุดแบนที่ไม่มีสี) และ papule (จุดแดงนูน) ซึ่งหัดจะออกที่หน้าและกระจายลงไปตามแรงโน้มถ่วง หลังจากวันที่สีและวันที่เจ็ดผื่นก็จะจางหายกลายเป็นจุดเล็กๆ จนหมด จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:43:11

ความคิดเห็นที่ 7 Poxvirus เป็นไวรัสที่มี ds-DNA เป็นจีโนม มีขนาดค่อนข้างใหญ่และใหญ่กว่าแบคทีเรียบางชนิดเช่นพวกไมโคพลาสมา        จากภาพ...ภาพถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลกตรอนของ Poxvirus จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:45:50

ความคิดเห็นที่ 8 ===กาฬโรค===               กาฬโรคเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า เยอร์สิเนีย เพสทิส (Yersinia pestis) โดยกาฬโรคมีส่วนสำคัญในประวัติศาสตร์ยุโรปทำให้เกิดยุคมืดทีเดียว คือในช่วงคริสตศตวรรษที่สิบสี่ ทำให้ชาวยุโรปถึงหนึ่งในสี่ตายไป อีกครั้งหนึ่งก็คือช่วงปลายคริสตศตวรรษที่สิบเก้า ทำให้คในอินเดียตายไปถึงสิบล้านคน กาฬโรคเป็นเชื้อที่มากับสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก ซึ่งแพร่กระจายมาทางคนโดยผ่านหมัดหนู (fleas) ถึงแม้ว่าอุบัติการณ์ของกาฬโรคจะลดลงไปมากเนื่องจากสุขอนามัย เชื้อเยอร์สิเนีย เพสทิส ก็ยังคงพบในสัตว์ฟันแทะทั่วโลก ซึ่งไม่มีหลักประกันอะไรว่ามันจะไม่ติดต่อมายังคน องค์การอนามัยโลกได้รายงานไว้ว่ามีคนไข้เป็นกาฬโรคที่ติดต่อจากธรรมชาติหนึ่งถึงสามพันรายต่อปี กลไกการติดต่อของกาฬโรค           การถูกหมัดที่ติดเชื้อกาฬโรคเป็นสาเหตุสำคัญของการเป็นโรค โดยผ่านทางสัตว์ฟันแทะทั้งหลายที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ การติดต่อแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้เป็นอาวุธชีวภาพ           แน่นอนว่าการติดเชื้อแบคทีเรีย เยอร์สิเนีย เพสทิส สามารถติดต่อจากคนมายังคนได้ผ่านทางส้นทางต่างๆ ดังนี้ - ผ่านทางสิ่งคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจเมื่อมีการจาม หรือ ไอฟุ้งออกมาในบรรยากาศ และมีการสูดเอาละอองของเชื้อเข้าไป - การใช้ยาต้านจุลชีพใช้เวลาอย่างต่ำสามวันจึงจะเห็นผล โดยเฉพาะ plague pneumonia ถ้ายังไม่หายจากโรคก็ยังแพร่กระจายให้คนอื่นได้อยู่ ในบางประเทศมีเชื้อเยอร์สิเนีย เพสทิส เป็นอาวุธชีวภาพ การทำให้เชื้อฟุ้งในบรรยากาศเป็นวิธีการติดต่อใช้ในอาวุธชีวภาพ โดยจะทำให้เกิด pneumonic form โดยเมื่อมีคนได้รับเชื้อแล้วเชื้อก็จะติดต่อไปคนอื่นโดยอาศัยละอองลมหายใจของคนที่ติดเชื้อในระยะทางสองเมตร - เพราะว่าอาการแสดงช้า ทำให้คนที่ติดเชื้อสามารถแพร่กระจายโรคไปได้ในบริเวณกว้าง ทำให้ยากที่จะควบคุม              โชคดีที่เชื้อแบคทีเรียเยอร์สิเนีย เพสทิส ไม่สามารถรอดชีวิตในอากาศได้นาน มันจะแห้งตายเพราะความร้อนและรังสีเหนือม่วง โดยปกติแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง               ขนาดความรุนแรงของการติดเชื้อนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อ สายพันธุ์ (Strain) ของเชื้อ สภาวะทางอากาศ และวิธีที่ทำให้มันฟุ้งกระจาย ความตายจะวัดกันที่เวลาที่มีการได้รับยาต้านจุลชีพห่างจากการแสดงอาการนานเท่าใด เมื่อมีอาการแสดงของ Pneumonic plague แล้วการรอดชีวิตเป็นไปได้ยาก ถึงแม้จะได้รับยาต้านจุลชีพแล้วก็ตาม แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 08:47:56 จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:47:03

ความคิดเห็นที่ 9 ปาดดด จากคุณ : KinkyVans เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:48:16

ความคิดเห็นที่ 10 กาฬโรคที่เกิดในธรรมชาตินั้นโดยทั่วไปจะเป็น Bubonic plague โดยชื่อมาจากการที่ต่อมน้ำเหลือโตบวมลักษณะคล้ายตานกฮูก (Owl’s eyes) bubonic plague นั้นติดต่อผ่านหนูที่ติดเชื้อกัด หรือ ผ่านทางหมัดหนูที่ติดเชื้อกัน หรือได้รับวัสดุทางชีวภาพผ่านทางรอยแผลของผิวหนัง โดยกาฬโรคมีระยะฟักตัวหนึ่งถึงหกวัน โดยจะมีไข้สูง ไม่รู้สึกตัว ไม่มีแรงพลังงานหายไป หนึ่งในสี่ของคนที่เป็น bubonic plague จะมีภาวะโลหิตเป็นพิษจากแบคทีเรียตามมา โดยระยะหลังนี้จะเรียกว่า septicemic plague ซึ่งทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ เกิดความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด และ อวัยวะต่างๆวาย  กาฬโรคทำให้ผิวหนังคนที่ตายมีผิวสีดำ จึงเรียกอีกชื่อว่า “ไข้ดำ” อัตราการตายของคนเป็นกาฬโรคมากกว่าห้าสิบเปอร์เซนต์              การสูดเอา เยอร์สิเนีย เพสทิส  ทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรง เรียกว่า “Pneumonic plague” ในธรรรมชาติแล้วการพบ pneumonic plague ไม่ปกติถึงแม้ว่าอนามัยจะต่ำเพียงได ถ้ามันถูกใช้เป็นอาวุธแล้วจะอยู่ในรูปของละอองลอยไปในอากาศ ซึ่งทำให้เกิด pneumonic plague                เช่นเดียวกันกับ Inhalational anthrax ระยะเริ่มแรกของกาฬโรคนี้เริ่มต้นด้วยการเป็นโรคในระบบทางเดินหายใจ ก็จะมีอาการที่ไม่จำเพาะสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียทั่วๆไป คือ ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ ปวดศีรษะ เจ็บคอ คนไข้จะมีอาการตามปอดบวมตามมาอย่างรวดเร็วมากพร้อมกับการไอและหายใจสั้น คนไข้ที่ไม่ได้รับการรักษาจะทำให้ระบบทางเดินหายใจวาย และ ตาย การไอเป็นเลือด (hemoptysis) พบเป็นปกติ คนไข้มักจะมีอาการระยะสุดท้ายคือการติดเชื้อในกระแสโลหิต รอยแผลบนผิวหนังจะไม่พบใน pneumonic plague จะพบใน bubonic plague อย่างไรก็ดีคนไข้ที่เริ่มด้วย bubonic plague ก็จะจบลงด้วยการเป็น pneumonic plague และ sepsis ในที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับ Inhalational anthrax แล้ว anthrax ไม่ก็ให้เกิดการติดเชื้อจากคนสู่คน แต่ pneumonic plague นั้นติดต่อโดยละอองของเหลวที่คนไข้ไอออกมา จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:49:00

ความคิดเห็นที่ 11 ยังมีตัวอื่นอีก แต่ตัวอื่นเป็นกลไกค่อนข้างมากเช่นไข้เลือดออกอีโบลา ไข้เหลือง จึงไม่ยกมาครับ REFERENCES 1. http://www.yupparaj.ac.th/special/bioweapon/bioweap1.htm 2. http://www.yupparaj.ac.th/special/bioweapon/bioweap2.htm 5. Committee on Environmental Health and Committee on Infectious Diseases. Chemical-Biological Terrorism and Its Impact on Children A Subject Review. PEDIATRICS. March 2000; 105: 662-664. 6. Bismuth C., Borron SW., Buad FJ. , Barriot P. Chemical weapons: documented use and compounds on the horizon. Toxicology Letters. 2004; 149: 11-18. 7. International Medical Corp. http://www.imcworldwide.org/cbr/index.html. Chemical, Biological, and Radiation Threats. Lasted view 22nd August 2006. แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 08:53:38 จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 08:52:21

ความคิดเห็นที่ 12 รูปใน #4 มองตอนแรก มองเป็นหมอไม่มีหัวอุ้มเด็กอยู่ -*- จากคุณ : jesus_god เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 09:45:06

ความคิดเห็นที่ 13 ยังมีข้อมูลบางส่วนผิดพลาดอยู่ครับ - แอนแทรกซ์ติดต่อได้ทั้งหมด 3 ทางนะครับ อีกทางหนึ่งคือทางการกิน หรือ gastrointestinal anthrax - การติดเชื้อแอนแทรกซ์ทางผิวหนัง อาจไม่จำเป็นต้องมีบาดแผลก็ได้ -พิษโบทูลิสมสามารถถูกกำจัดได้โดยร่างกายครับ แต่ต้องอาศัยเวลาราว 1-3 เดือน การรักษาที่สำคัญที่สุด คือการดูแลการหายใจ ผู้ป่วยเกือยทั้งหมดที่เสียชีวิต เสียจากระบบหายใจล้มเหลวช่วยเหลือไม่ทันเพราะผู้ป่วยหายใจเองไม่ได้ ในประเทศที่ไม่มียาแก้พิษเช่นบ้านเรา การใช้เครื่องช่วยหายใจก็เพียงพอ ในการรักษาแล้วครับ -umbilication หมายถึงจุดนูนที่มีรอยบุ๋มตรงกลาง -Koplik's spot อยู่ที่กระพุ้งแก้ม เป็นจุดสีขาวในพื้นแดงครับ -macule คือจุดแดงแบน ขนาดเล็ก จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 09:51:18

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ขอบคุณครับ อออย่างงั้นถ้าเกิดไม่มียาต้านพิษ คนนั้นก็ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจตลอด 1-3 เดือนเลยเหรอครับ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 10:10:17

ความคิดเห็นที่ 15 ู^ ^ แม่นแล้วครับ ใส่นานขนาดนั้นก็ต้องเจาะคอเป็นของแถมอีกต่างหาก แต่ยุคนี้คงเอา botox มาใช้เป็นอาวุธไม่ได้แล้วมั๊งครับ สงสัยจะโดนร้านเสริมสวยกว้านซื้อไปหมดแล้ว จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 10:38:06

ความคิดเห็นที่ 16 ถามเจ้าของกระทู้นิดนึงครับ virus ไหน mortality rate สูงสุดครับ และ bacteria ไหน mortality rate สูงสุดครับ แล้วแบบ ebola เค้าทำเป็นอาวุธได้มั๊ยครับ จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 10:42:58

ความคิดเห็นที่ 17 สรุปว่าคุณคอปเปอร์ซัลเฟตเป็นอาจารย์ด้านจุลชีววิทยาสินะ Ebola นี่รู้แต่ว่า หากจะมีการศึกษาทางปฏิบัติการใดๆ ต้องมีห้องปฏิบัติการ lab safety ระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้ว ขนาดระดับ 3 ต้องใส่ชุดเหมือนชุดอวกาศ แล้วระดับ 4 นี่จะขนาดไหนกันนะ จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 11:02:34

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ผิดถนัดครับ ผมเป็นนิสิต ป. เอก ที่ได้รับมอบหมายให้สอบ ป. ตรีและ ป. โท ครับในวิชาปฏิบัติการ ส่วนเลกเชอร์ สอน ป. โทบางเรื่องแค่นั้นครับ ป.ล. ตัวผมยังไม่แก่ครับ แต่เส้นผมมันเริ่มออกจากหัวแล้ว 55+ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 11:07:04 จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 11:06:01

ความคิดเห็นที่ 19 อยู่มหิดล ก็ภาคจุลฯ ศิริราชใช่ไหมครับ ผมมีรุ่นพี่เรียนเอกอยู่ที่นั่นพอดี ส่วนผมวางแผนจะเรียน Ph.D neuro ที่สถาบันวิจัย (ตึกเดียวกับตึกอณู) ปีหน้าครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 11:22:04 จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 11:21:04

ความคิดเห็นที่ 20 สำหรับแบคทีเรียผมไม่ค่อยเห็นว่าแบคทีเรียที่ใช้ทำอาวุธสงครามจะมีผลเท่าไร เพราะพวกนี้เนื่องด้วยมันออกมาในสิ่งแวดล้อมน้อยและติดต่อคนค่อนข้างน้อยทำให้โอกาสที่มันจะดื้อยาค่อนข้างต่ำ ถ้าหากรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านพิษที่ไว้ใช้กับพิษมันได้ ผมก็คิดว่าคงโอเคถ้าทันเวลา แต่แบคทีเรียที่ผมกลัวคือพวก Multidrug resistance เช่น MRSA และ Acinetobacter sp. เพราะเชื้อสองตัวนี้ทำให้เกิดการ Nosocomial infection ได้ค่อนข้างมาก และเมื่อติดไปแล้วแทบจะไม่มียาอะไรฆ่ามันได้เลยหรือยาที่ฆ่าได้ก็แพงมากๆ และเป็นอันตรายต่อคนด้วย ............ ส่วนไวรัสผมประสบการณ์ต่ำครับ แต่ที่ผมคิดว่าอันตรายน่าจะเกิดจากสองแบบคือที่ตัวไวรัสเองกับการระบาด - การระบาดก็ต้องยกให้ไวรัสที่ติดต่อตามทางเดินหายใจแหละครับ เช่น Orthomyxovirus (HxNy อยู่ในกลุ่มนี้) - ที่ผมกลัวกว่าคือพวกไวรัสที่ทำให้เกิดไข้เลือดออก เช่น Filovirus (Ebola และ Malburg) และ Flavivirus (Dengue และ Yellow fever) ดูเพิ่มที่ CDC ดีกว่าครับกรณีนี้ http://www.cdc.gov/ncidod/eid/ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 12:08:23 จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 11:27:13

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ คงสับสนจากกระทู้มหิดลแน่เลย...ผมไม่ได้อยู่มหิดลครับ ผมอยุ่จุฬาฯ ครับ กระทู้นั้นผมใช้เพื่อระลึกวันมหิดลเฉยๆ เพราะเชื่อว่าเพื่อนๆท่านๆ ในห้องนี้น่าจะมาจากมหิดลหลายท่านอยู่ ................................. ป.ล. 1 ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะครับหากจะโดนเข้าใจผิดว่าอยู่มหิดล แถมให้ผมอยู่ศิริราชด้วย ชอบครับแต่สมองไม่ถึง ป.ล. 2 ตอน Open house ของ SC ม.ปลายผมไปทุกปีเลยครับ ตอนเอนท์เคยจะเลือก SC แล้ว แต่ไม่ได้เลือกครับ ตอนสมัยสอบ ป.โท เคยไปสอบเพื่อจะเข้าจุลและอิมมูโน ศิริราชเหมือนกันครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 11:34:43 จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 11:33:57

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณมากค่ะ กำลังอ่านเรื่องแนวๆ นี้อยู่พอดี แต่ข้อมูลที่อ่านเองน้อยมากๆ ของ จขกท ข้อมูลแน่นกว่าหนังสือที่อ่านอยู่มากเลย ขอบคุณนะคะ ส่วนตัวสนใจ Ebola แต่น่าเสียดายที่ไม่มีในส่วนของ จขกท นำเสนอ คงต้องตามเอาเองแต่คงใช้เวลานานพอสมควร เพราะความรู้ทางด้านนี้น้อยมาก 555 จากคุณ : antares[em] เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 11:42:59

ความคิดเห็นที่ 23 น่ากลัวมาก แล้ว โรค อหิวาตกโลก หรือโรค ห ่ า ในสมัียก่อนละครับ ถือเป็นเชื่อ ชีวภาพหรือเปล่า จากคุณ : น้าวัชร-จัดให้ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 13:01:32

ความคิดเห็นที่ 24 ^ ^ โรคอหิวาห์ในปัจจุบันมียารักษาและมีวัคซีนป้องกันแล้วครับ มีการศึกษาด้วยนะครับว่าเชื้อ Vibrio cholerae ทีทำให้เกิดอหิวาห์สามารถติดในคนที่มีเลือดกรุ๊ปโอได้ง่ายกว่ากรุ๊ปอื่นๆ ................. ...ข้อสังเกตก็คือโรคที่ทำเป็นอาวุธชีวภาพมักจะติดต่อจากคนสู่คนง่ายและมักจะติดต่อทางอากาศครับ อย่างอหิวาห์สมัยก่อนคนจะขี้ก็ขี้ลงคลอง จะกินก็กินน้ำคลอง มันก็ติดต่อสบายใจแฮเลยครับ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 13:18:44

ความคิดเห็นที่ 25 เคยดูจากช่อง History Channel มา บอกว่าการใช้อาวุธชีวภาพครั้งแรก เกิดขึ้นมาเมื่อหลายร้อยปีแล้ว คือการโยนศพคนที่ตายด้วยโรคระบาดข้ามไปยังอีกฝั่งกำแพงของศัตรู ไม่รู้พูดเอาฮาเปล่า -*- จากคุณ : taechawat เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 13:54:32

ความคิดเห็นที่ 26 ชอบกระทู้แบบนี้มากครับ ให้ gift เจ้าของกระทู้นะครับ แล้วก็ขอนอกเรื่องครับ ชอบทุกกระทู้ที่คุณ Cryptomnesia ตอบมาก ๆ ครับ ขอให้จบปริญญาเอกกันไว ๆ นะครับ ผมเองจบมาสองปีแล้ว นึกแล้วก็อยากกลับไปเรียนอีกมาก ๆ ครับ กลับมาทำงานไม่สนุกเหมือนตอนเรียนเลย :) จากคุณ : angel of music เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 14:09:00

ความคิดเห็นที่ 27 ขอเพิ่ม Francisella tularensis กับ Burkholderia pseudomallei เข้าไปด้วยครับ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 14:37:09

ความคิดเห็นที่ 28 พึ่งเห็นว่าเคยจะไปสอบที่ศิริราช เสียดายไม่มาเรียนนะครับไม่งั้นได้เจอกันไปแล้ว จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 14:38:19

ความคิดเห็นที่ 29 ถึงคุณ cryp ครับ ระดับ 3 ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดแบบอวกาศครับถ้าใช้ระบบแบบ negative pressure บางที่ก็ไม่ต้องใส่ mask ก็แล้วแต่เชื้อที่ทำครับ ที่เมืองนอกนี่เห็นทำเป็น biosafety ทั้งชั้นเลยแล้วแบ่งซอยห้องเอาเป็นห้องเล็กๆ ถ้ามีปัญหาก็กดปุ่มวิ่งออกมาจากห้องแล้วระบบจะคลีนห้องด้วย formaldehyde เอง ส่วนที่ไทยก็ทำเป็น negative pressure เป็นส่วนใหญ่ครับ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 14:42:14

ความคิดเห็นที่ 30 Francisella tularensis กับ Burkholderia pseudomallei สองตัวนี้ผมเคยเรียนครับ แต่ว่าผ่านๆ B. pseudomallei เป็นด้วยเหรอครับ ผมยังเคยดมกลิ่นมันเลยนะ เดี่ยวขออ่านเพิ่มหน่อยละกันครับ กิ๊ฟผมหมดแระให้ไม่ได้ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 14:50:03

ความคิดเห็นที่ 31 เคยดมด้วยเหรอ ดีนะครับที่ไม่เป็นอะไร สองตัวนี้ต้องทำให้ Biosafety level 3 เลยนะครับ บางที่จะให้เป็น aerosol pathogen ด้วย (แต่ตอนนี้มีรายงานที่ติดทางการหายใจต่ำมากๆ) อันตรายครับเพราะสามารถหลบในร่างกายได้นาน เป็น intracellular bacteria ที่หลบหลีกระบบภูมิคุ้มกันได้ค่อนข้างดี เผลอๆ ได้มันออกมาอีกทีตอนแก่นะ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 14:55:17

ความคิดเห็นที่ 32 -Koplik's spot เป็น Pathognomonic sign ของ Measle ดูที่กระพุ้งแกม จะขึ้นในช่วง prodome ครับ .............. Melioidosis B. pseudomallei --- The Great Imitator ในไทยเจอได้ ภาคอีสาน risk factor - farmer DM Thal. chronic renal failure steroid intake เป็นgram negative safety pin ติดทาง aerosol ปล.รู้สึกว่าเค้าห้ามดม ใช้มั้ยครับ กลิ่นคล้ายดินๆหรือ อะไรชื้น หรือเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 15:10:29 จากคุณ : kleberson เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:09:47

ความคิดเห็นที่ 33 ^ ^ ใช่ครับ...ตอนผมเรียนเรื่องตระกูล Pseudomonad เขาก็บอกอย่างนั้น แต่ผมไม่เคยได้กลิ่นอย่างนั้นเลย แล้วผมก็เพิ่งรู้นี่แหละครับว่า B. pseudomallei เป็น biosafety level 3 ขนาด Pseudomonas เขาว่ากลิ่นเหมือนรองเท้าเก่า ผมดมยังไงมันก็กลิ่นน้ำองุ่น จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:14:46

ความคิดเห็นที่ 34 MRSA ใช้พวก vancomycin กลุ่มglycopeptideได้ (บัญชี ง.) รณรงค์----rational drug use ------ เพื่อ ลดปัญหาเชื้อดื้อยา จากคุณ : kleberson เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:25:05

ความคิดเห็นที่ 35 P. aeruginosa นี่กลิ่นองุ่นครับ ไม่เคยได้ยินว่าเหมือนรองเท้าเก่า ส่วน B. pseudomallei กลิ่นคล้ายดินครับ (แต่ห้ามดมนะ) จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:27:19

ความคิดเห็นที่ 36 คอแดง เจ็บคอ น้ำมูกเหลืองเขียว ไซนัสอักเสบ ไข้สูง เสมหะเขียวเหลือง =ไม่ต้องใช้Antibiotic เกิดจากvirus หายเองได้ 10-14 วัน กลั้วน้ำเกลือก็พอ พักผ่อน ให้ร่างกายแข็งแรง แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 15:41:34 จากคุณ : kleberson เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:30:01

ความคิดเห็นที่ 37 Vancomycin นี่มัน Level สูงสุดหรือยังครับ ผมได้ข่าวว่ามันมี VISA (Vancomycin Intermediate S. aureus) แล้วด้วยหนิ เดี่ยวนี้ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:30:28

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าเจ็บคอ ส่องดูแค่แดงก็ไม่ต้องใช้ antibiotics ครับเพื่อไม่ให้เป็นการใช้ยาเกินกว่าเหตุ ถ้าส่องแล้วเห็นหนองค่อยว่ากันอีกที จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:32:01

ความคิดเห็นที่ 39 พบVISA ได้บ้างเเล้ว ใช้Linezolidได้ครับ จากคุณ : kleberson เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:35:53

ความคิดเห็นที่ 40 ตาม Centor Criteria 1มีไข้ วัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส 2มีฝ้าขาวที่ต่อมทอนซิล 3คลำพบต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณลำคอ และกดเจ็บ 4ไม่มีอาการไอ ถึงจะใช้Antibioticครับ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 15:44:33 จากคุณ : kleberson เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 15:38:18

ความคิดเห็นที่ 41 ^ ^ ลืมไปข้อหนึ่งคือ ในผู้ใหญ่เอา 2/4 ข้อ ในเด็กเอา 1/4 ข้อ ไม่ใช่ว่าต้องมีครบทุกข้อนะครับ จริงๆ แล้ว VRSA ก็มีครับ พบที่ญี่ปุ่นเป็นที่แรก ไม่ทราบว่าในไทยมีหรือยัง เชื้อที่นำมาใช้เป็นอาวุธชีวภาพ ไม่จำเป็นต้องมี mortality rate (อัตราตาย) สูงครับ เพราะเมื่ออัตราตายสูง เชื้อจะไม่แพร่กระจาย ด้วยเหตุนี้ไข้หวัด 2009 ถึงอันตรายไงครับ เพราะอัตราตายต่ำมาก แต่ติดต่อง่ายมาก หากต้องการฆ่าคนเยอะๆ ในคราวเดียว ใช้อาวุธเคมีน่าจะได้ผลดีกว่าครับ ประวัติศาสตร์มีการใช้อาวุธชีวภาพมานานเป็นพันปีแล้วครับ แต่ครั้งที่มีชื่อเสียงที่สุด (ไม่ใช่ครั้งแรก) เมื่อทหารมองโกลของเจงกีสข่านเอาศพคนเป็นโรคกาฬโรค ยิง ผ่านกำแพงเมืองแคฟฟา เมืองท่าสำคัญของยุโรป ทำให้ยุโรปตายไป 1/4 ของทวีป นั่นแหละครับ ก่อนที่มองโกลจะถอยร่นเพราะโรคติดเชื้อด้วยเช่นกัน จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 16:56:45

ความคิดเห็นที่ 42 ^ -ผมว่ามันแล้วแต่ยุทธวิธีที่ใช้  เป้าหมายของการใช้อาวุธเชื้อโรค (หรือเคมีก็เหมือนกัน) อีกอันหนึ่งในสมัยนี้คือการสร้าง"ความกลัว"หรือ mass panic ให้เกิดขึ้นครับ การโจมตีชุมชนโดยใช้เชื้อที่มีิอัตราตายสูง จะทำให้เกิดการตายมากมายในครั้งเดียว เสร็จแล้วการแพร่ระบาดหยุดก็จริงแต่ mass panic ที่เกิดจะทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากมายมหาศาลตามมาเหลือคณานับ -Burkholderia pseudomallei จัดอยู่ใน category B ครับ -อย่างเพิ่มมองข้ามแบคทีเรียไปครับ ผู้ก่อการร้ายเค้าก็รู้เหมือนกันว่าพวกนี้ยังไวต่อยา ดังนั้นถ้าจะผลิตออกมาเป็นอาวุธจริงๆจะเป็น engineered multi-drug resistance แน่ๆครับ เมื่อนั้น-> high-mortality rate agent + aerosol transmission + MDR = ฝันร้ายครับ ปล.ใครเคยดูศึกผาแดง (Red Cliff) ของจอห์นวูมั่งครับ ในนั้นก็มีการใช้อาวุธเชื้อโรคเหมือนกัน ;) จากคุณ : <โหน่ง> เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 18:02:04

ความคิดเห็นที่ 43 คห 41 ครับ แต่ผมคิดว่าน่าจะต้อง mortal morbid สูงๆนะครับ ให้มันระบาดเป็นโซนๆไป ไม่ระบาดก็ปล่อยหลายๆทีก็ได้นิครับ เกิดระบาดง่ายเกินเข้าประเทศตัวเอง ซวยเลยทีนี้ ยิ่ง morbid สูงยิ่งน่ากลัวกว่าอีกครับ ไม่ตายแต่พิการถาวรไปเลย (เช่นเป็น meningitis - สมองอักเสบแล้วพิการปัญญาอ่อนไปเลย) อันนี้จะทำให้ศัตรูสิ้นเปลืองทรัพยากรมากกว่าอีก Burkholderia pseudomallei นี่ infect ยากอยู่นา ผมว่า แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 52 19:24:23 จากคุณ : เคยรู้อะไรกะเค้ามั่งมั๊ยเนี่ย เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 52 19:22:44

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ ครับ ปล.กระทู้นี้มีคนจบป.โทขึ้นไปกี่คนเนี่ย??? จากคุณ : อิฐมอญ เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 52 00:14:35

ความคิดเห็นที่ 45 เอาอีกๆ   อยากได้พวกอีโบล่า พวกรา พวกไวริออน จากคุณ : Mine_Knight เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 52 08:54:34