 |
หลายๆเรื่องที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับอัจฉริยะ
|
|
ไปอ่านเจอในนิตยสารวิทยาศาสตร์ Discovery ขำๆครับ เลยเอามาแบ่งปันกัน
- ทุกๆปีจะมีการประกาศรางวัลโนเบล หากคุณเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งที่ต้องการอยากรู้ว่าตัวเองเป็นหนึ่งในรายชื่อผู้ชิงรางวัลโนเบลในปีนี้หรือไม่ มีหนทางที่คุณจะรู้ได้สองประการ หนึ่งคือเป็นผู้ชนะรางวัลโนเบลในปีนี้ สองคือรอไปอีกห้าสิบปี เนื่องจากรายชื่อผู้ชิงรางวัลโนเบลในแต่ละปีจะถูกเก็บไว้เป็นความลับอย่างน้อย 50 ปี
- William Shockley ผู้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1956 และ Luis Alvarez นักวิจัยอนุภาคมูลฐานผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1968 ทั้งสองมีจุดร่วมกันคือ ในวัยเด็กเคยถูกคัดชื่อออกจากโครงการวิจัยอัจฉริยภาพในบุคคลเนื่องจากมีไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ใครมันเป็นคนสร้างแบบทดสอบของโครงการนี้?
- Louis Terman แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเป็นบุคคลแรกที่นำการประเมินไอคิวมาใช้การศึกษาอัจฉริยภาพในบุคคล ในการศึกษาครั้งหนึ่ง เขาได้จัดกลุ่มเด็ก (เด็กๆที่ Terman ศึกษาวิจัย ถูกตั้งชื่อให้คล้องจองกับเขาว่า "Termite") ที่มีไอคิวสูงกว่า 140 ขึ้นไปเป็นกลุ่ม "อัจฉริยะ" นับจวบจนปัจจุบัน ไม่มีอัจฉริยะคนใดจากการศึกษาของ Terman ที่ได้รับรางวัลโนเบล
- อัจฉริยะหลายคนในศตวรรษที่ 19 ถึง 20 มักมีชื่อเสียงอื้อฉาวเรื่องเพศ เช่น Richard Feynman, Albert Einstein และ Bertrand Russell ทั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของสถิติ มีสมมติฐานหนึ่งที่ว่า อัจฉริยะมีส่วนสัมพันธ์กับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย ความก้าวร้าว และการชอบเสี่ยงภัย)
- ในปี 1981 Shockley (คนเดียวกับอีตาข้างบน) และนัก eugenicist (นักชาติพันธุ์วิทยา พวกที่เชื่อว่ามนุษย์สามารถจัดลำดับความสามารถได้จากพันธุกรรม-หาคำแปลไทยไม่ถูก, จขกท.) นามว่า Robert Klark Graham ร่วมกันก่อตั้งสถาบันเก็บเชื้อพันธุ์อัจฉริยะในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ เป้าประสงค์หนึ่งคือการขายอสุจิของบุรุษที่ได้รับรางวัลโนเบลและบุรุษผู้ที่มีไอคิวสูงอีกเป็นจำนวนมาก
- Graham ตายในปี 1997 และสถาบันสติเฟื่องข้างบนนั้นก็ปิดลงในอีกสองปีถัดมา
- การศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอพบว่า คนที่มีไอคิวปกติหรือแม้กระทั่งต่ำกว่าปกติมักมีความสามารถการบริหารหรือออมเงินได้ดีกว่าคนที่มีไอคิวสูง ตัวอย่างเชิงประจักษ์หนึ่งคือ Albert Einstein ผู้ผลาญเงินที่ได้จากรางวัลโนเบลไปเกือบหมดสิ้นโดยแทบไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆกลับมาจากการลงทุน
- กุมารแพทย์ชาวออสเตรเลีย Hans Asperger เป็นผู้ค้นพบโรคAsperger's syndrome ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของออทิสติกที่มีความสนใจและความสามารถเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ คุณหมอเชื่ออย่างฝังใจว่าโรคดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และสรุปออกมาว่า "ภาวะออทิสติกมีความจำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จด้านวิทยาศาสตร์หรือศิลปะใดๆ"
- Norbert Weiner นักวิจัยด้านไซเบอร์เนติคส์เคยขับรถไปประชุมวิชาการ แต่ขากลับนั่งรถเมล์ เมื่อถึงบ้านเขาไม่พบรถยนต์จอดอยู่จึงโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจทันทีว่ารถของตนถูกขโมย
- ในระหว่างปี 1990 บริษัท Bell Labs ค้นพบว่าวิศวกรที่มีประสิทธิภาพและมีคุณค่าเป็นที่ต้องการมากที่สุดไม่ใช่วิศวกรที่เป็นอัจฉริยะ แต่เป็นผู้ที่มีนิสัยปรองดอง เข้าใจความรู้สึกผู้อื่น และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไม่มีปัญหา...เอ่อ น่าจะรู้ตั้งนานแล้วนะ
- ในปี 2007 มหาวิทยาลัยเกียวโต ทำการศึกษาโดยจับลิงชิมแพนซีมาทำแบบทดสอบความฉลาดด้านการจำแข่งกับนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ลิงชิมแพนซีตัวที่ได้คะแนนมากที่สุดทำคะแนนชนะนักศึกษาทุกคนได้ถึงสองในสามครั้งของการทดสอบ
- เหนือไปกว่าเจ้าลิงชิมป์ไม่ทราบชื่อตัวข้างต้น เจ้านกแก้วสีเทาชื่อ Alex ซึ่งตายไปเมื่อปีที่แล้ว ถูกบันทึกว่าเป็นนกที่ฉลาดที่สุดในโลก มันสามารถจดจำวัตถุได้ถึง 50 อย่าง ซึ่งมีสีและรูปร่างแตกต่างกันเจ็ดรูปแบบ อย่างละ 6 ชิ้นขึ้นไป (50 x 7 x 7 x 6)
- เราทุกคนก็สามารถเป็นอัจฉริยะได้ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยซิดนี่ย์และมหาวิทยาลัยแมคควอรี่ ประเทศออสเตรเลียกล่าวว่า ความฉลาดของคนเราสามารถกระตุ้นให้สูงขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ โดยการรับประทาน creatine สารชีวโมเลกุลชนิดหนึ่งที่พบในกล้ามเนื้อ วันละ 5 mg
From 20 Things You Didn't Know About... Genius http://discovermagazine.com/2008/oct/01-20-things-you-didnt-know-about-genius
แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 52 15:15:12
แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 52 16:25:38
แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 52 16:16:07
จากคุณ |
:
Cryptomnesia
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ต.ค. 52 16:07:40
|
|
|
|  |