#### บรรพชนเราไม่ได้ตั้งเมืองหลวงแบบขอไปที ####
|
|
กระทู้นี้ขอว่าด้วยเรื่องดินฟ้าอากาศและพายุ
ประเทศไทย โดยเฉพาะที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง กล่าวได้ว่าเป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่มีความสมบูรณ์ไม่น้อย- หน้าดินแดนแถบอื่นในโลก ความสมบูรณ์ที่ว่านี้ คือความสมบูรณ์และความพร้อมในด้านเกษตรกรรม กล่าว คือ ที่ราบลุ่มแม่น้ำส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่เหมาะสมแก่การทำเกษตรกรรมเพราะดินตะกอนที่แม่น้ำพัดพามาใน แต่ละปีทำให้พื้นดินมีความอุดมสมบูรณ์ อารยธรรมใหญ่ๆ ในแถบนี้ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ทวาราวดี สุโขทัย อยุธยา หรือกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบันก็ล้วนแล้วแต่มีจุดศูนย์กลางตั้งอยู่ใน บริเวณแถบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลางมีดีอย่างไร?
ถ้าจะพูดเฉพาะลงไปในเรื่องพายุ ในปีหนึ่งๆ ก็จะมีเข้ามาได้ 2 ทางหลักๆ คือ ทางฝั่งทะเลอันดามันและทางฝั่ง ทะเลจีนใต้ เมื่อพิจารณาจากลักษณะทางภูมิศาสตร์แล้วก็จะพบว่า ถ้าพายุเข้ามาทางฝั่งอันดามัน ก็ต้องเจอกับ แนวเทือกเขาตะนาวศรีก่อน กว่าจะเข้ามาถึงไทยก็สลายตัวกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำหมดแล้ว ตย. ก็มีให้เห็นอย่างพายุนากิซเป็นต้น หรือจะเป็นในทางฝั่งทะเลจีนใต้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะก่อตัวทางด้านทิศตะ- วันตกของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งกว่าจะผ่านฟิลิปปินส์ ออกทะเลอีกรอบ เข้าเวียดนาม ผ่านลาว ผ่านอิสาน ฯลฯ จนมาถึงภาคกลางได้ก็แทบจะสลายตัวเกือบหมด
แทนที่พายุจะนำน้ำจำนวนมหาศาลมาพร้อมกับความพินาศ แต่ด้วยปราการทางธรรมชาติเหล่านี้ ทำให้พื้นที่ ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลางได้รับประโยชน์จากมรสุมที่เข้ามาในแต่ละปีเสียมากกว่า
บรรพชนของเรามิได้เลือกทำเลทีตั้งเมืองหลวงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า มิใช่เพียงแต่เป็นพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ เพียงเท่านั้นแต่ยังเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยอีกด้วย
สภาพการณ์ในปัจจุบัน เราตระหนกตกใจกันมากไปหรือไม่ เสมือนกับว่าประเทศเขาโดนถล่มบ้างแล้วเราก็ทำ เหมือนกับว่าอยากจะโดนกับเขาบ้างหรือ? ความประมาทเป็นเรื่องที่ไม่ดีนั่นใช่ แต่การแตกตื่นโดยไม่พิจารณา ความเป็นไปได้ของรูปการณ์ที่เกิดขึ้นนั่นถูกแล้วหรือ คิดไปถึงขนาดที่ว่ามันจะอ้อมแหลมญวนเข้ามาในอ่าวไทย เลยก็มีอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ดูเลยว่าอ่าวไทยเป็นอ่าวตื้น ความลึกโดยเฉลี่ยนั่นเพียงแค่ 80 เมตรเท่านั้นซึ่งมิได้ทำให้ เพิ่มพลังแก่พายุเป็นอย่างใด มีแต่จะทำให้สลายตัว แถมในช่วงนี้มักจะมีหย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศ จีนแผ่เข้ามายังประเทศไทยเป็นระยะๆ ทำให้พายุดังกล่าวมักจะเบ้เลยขึ้นไปทางไต้หวันเสียมากกว่าที่จะเข้ามา ยังแหลมอินโดจีนโดยตรง โอกาสที่จะมีพายุเข้ามาประเทศไทยตรงๆ ยังมีน้อยมาดแถมยังมีหย่อมความกดอา- กาศสูงทำให้เบ้หลีกไปอีก
ปลอดภัยขนาดนี้ จะวิตกไปใย?
สื่อก็เห็นจะประโคมข่าวกันเข้าไป ทำให้มันดูน่ากลัวแทนที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้ต่างๆ ให้ชาว- บ้านฟังแถมยังไม่วายที่จะโยงเข้าเรื่องโลกร้อนอีกตามกระแส
ยังไม่วายแค่เรื่องพายุ ยังมีเรื่องสึนามิและแผ่นดินไหวอีก ทั้งสื่อและชาวบ้านก็ทำตัวเมือนกับว่าทีอื่นเขาเกิดกัน บ้างแล้วเหมือนกับว่าเราจะเกิดขึ้นเหมือนกับเขาบ้างเลยทั้งๆ ที่ไม่ได้ดูหัวตัวเองเลยว่ามันอยู่ในรอยแยกของ เปลือกโลกหรือไม่ ไอ้รอยแยกเล็กๆ ที่พอจะมีพาดผ่านอยู่บ้างก็ทำตระหนกกันซะเหลือเกินเต็มประดา เชื่อนเอย จะพังหรือเปล่า ฯลฯ
ผมเข้าใจและเห็นความสำคัญในการตระหนักถึงภัยธรรมชาติพร้อมกับการเตรียมตัว แต่นั่นต้องตั้งอยู่บนพื้น- ฐานแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่เอะอะอะไรพายุเข้า แผ่นดินไหว มันจะต้องโลกร้อนแน่ๆ มันจะต้องโลกแตกแน่ๆ ธรรมชาติเอาคืนบ้างล่ะ มนุษย์ทำลายธรรมชาติเสียสมดุลบ้างล่ะ สื่อเองก็ไม่วายพวกเล่าข่าวนี่ตัวดีเลยโยงเข้า กันไปมั่วไปหมด
แผ่นดินไหวก็โลกร้อน พายุเข้าก็โลกร้อน ไวรัสบุกก็โลกร้อน ขี้เมื่อเช้าเหลืองน้อยกว่าเมื่อวานนี่โลกร้อนหรือเปล่า?
เดี๋ยวก็ว่าอุณหภูมิสูงขึ้นทุกปี พายุเข้ามาทุกปี แผ่นดินไหวมากขึ้นเรื่อยๆ
อุณหภูมิเฉลี่ยตลอด 50 ปีมีความคงที่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ช่วงนี้ก็มีพายุเข้าเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนเรื่องแผ่นดิน ไหวอันที่จริงมันก็ไหวทั่วโลกละเล็กละน้อยวันหนึ่งหลายร้อยทีแต่ไม่มีใครสนใจ
สื่อก็ออกข่าวกันทุกวัน แทนที่จะเอาข้อมูลทุกด้านมานำเสนอ ไม่ใช่แค่โฆษณาช่องสามรักโลกวันละนาทีแล้วแต่ ในอาคารเปิดแอร์เย็นฉ่ำผู้อ่าวข่าวใส่สูตรหนาเทอะทะแล้วมันจะรักษ์โลกยังไง มาเก็ตติ้งชัดๆ ห่วย
ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณในการพิจารณาโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง
จากคุณ |
:
axquest
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ต.ค. 52 17:35:19
|
|
|
|