ความคิดเห็นที่ 1 ย้อนหลังไปได้ค้นพบดาวเคราะห์ ในระบบสุริยะอื่น กว่า 200 แห่ง โดยโคจรอยู่รอบๆ Host Star (ดวงอาทิตย์เช่นระบบสุริยะ) ซึ่งเรียกว่า ระบบสุริยะพิเศษ(Extrasolar System) คิดว่าอาจเป็นที่หลบซ่อนของสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล เป้าหมายดังกล่าวถือว่ายังไม่ผิดปกติเพราะโลกใหม่ยังมีอีกนับหลายแสนล้านดวงยังไปไม่ถึง แม้ว่าข่าวคราวการพบวัตถุบินได้ยังเป็นที่โต้แย้งต่อการพิสูจน์จากหลายกลุ่มก็ตาม พร้อมทั้งยืนยันภาพถ่ายข้อมูลในหลายประเด็น ผู้เชี่ยวชาญไม่ปฎิเสธต่อการสืบค้น แต่มักอธิบายว่า เหตุผลและหลักฐานอ่อนเกินไปที่จะรับรอง ต่อการขยายความให้สาธารณะชนเข้าใจได้ หากมองหลักฐานบางอย่าง สามารถตั้งข้อสังเกตง่ายๆว่า วัตถุบินได้มักถูกขยาย ความมีโครงสร้าง กลมแบน แบบจานบินมีความเป็นได้ด้านหลักพลศาสตร์อากาศ การบินระยะไกลข้ามจักรวาล ที่เราเรียนรู้บนโลก แต่วัสดุมีความสำคัญมากกว่า เพราะการเดินทางข้ามระหว่าง กาแล็คซี่ ด้วยความเร็วสูงมีแรงเสียดทานไม่น้อยไปกว่า ดาวหาง เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ประกอบจากโลหะสวยงาม สะอาดเหมือนใหม่ทุกข้อมูลจากภาพหลักฐาน ข้อเท็จจริง พื้นผิววัตถุบินได้เหล่านั้นต้องสกปรก มีเขม่น อย่างน้อยควรจะมีร่องรอยถูกเสียดทาน ไหม้ดำ เป็นตัวอย่างง่ายๆ บางคนอาจแสดงความเห็นว่า "เป็นการเดินทางผ่านมิติได้ผ่านมิติ" นักวิทยาศาสตร์ ยอมรับว่าในจักรวาลหลายแห่งมีส่วนเกี่ยวข้อง ในเรื่องมิติที่มองไม่เห็น (Invisible universal) อย่างน้อยความเป็นไปได้ เช่นเรื่อง หลุมดำ UFO (Unidentified flying object) ในวันนี้ยังไม่การยืนยันในทางวิทยาศาสตร์ว่ามีการ เข้ามาเยือนโลกหรือไม่ พบว่าเป็นการเชื่อและยอมรับเฉพาะบุคคล จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 15:46:17

ความคิดเห็นที่ 2 ข้อมูลใหม่พบเห็นมากขึ้น คำว่า โลกอื่น มิใช่ต้องเหมือนหรือคล้ายโลกเพียงแต่เป็น ดาวเคราะห์ ซึ่งมีหลายประเภท อย่างน้อยที่สุดในขณะนี้ มีข้อมูลจากการสำรวจดาวเคราะห์อื่น จากการพัฒนาอุปกรณ์ สำรวจระยะไกล เรียกว่า Planets'light spectra (การวิเคราะห์ค่าแสงของวัตถุ โดยการแยกสีของดาวเคราะห์) ประเด็นสำรวจสภาพบรรยากาศ ได้เจาะจงสู่ Photosynthesis (การเปลี่ยนทางเคมีโดยอาศัยแสง เช่น บนโลกคือการสังเคราะห์แสง) ทำให้สามารถ พิจารณาลักษณะเฉพาะของทางธรรมชาติ ชีววิทยาได้ ดังนั้นจึงมองเห็นลู่ทางความเป็นไปได้ ของข้อมูล อาจแสดงออกมาว่า มีคล้ายคลึงกับโลก มากน้อยเพียงใด หรือบางกรณี สภาพบรรยากาศอาจมีความร้อนสูงไม่ได้หมายความว่า สิ่งมีชิวิตอยู่อาศัยไม่ได้ โดยแม้แต่บนโลก มีรายงานที่น่าแปลกใจ จาก NASA and Jet Propulsion Laboratory สรุปแหล่งดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์บนโลก สถานะที่ไม่น่าเป็นไปได้ ระบบการสังเคราะห์แสงก่อนหน้านี้ของโลกเรา เพราะฉะนั้นการสืบค้น การพัฒนาการทางธรรมชาติของโลก นำเราไปสู่เบาะแสการเห็นสภาพบนโลกอื่นๆได้ ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีสภาพเป็นเช่นใดบ้าง ราว 3,000 - 4,000 พันล้านปีก่อนหน้านี้ กำเนิดโลกดึกดำบรรพ์ ไม่มีสีเขียวและต้นไม้ใดๆ ส่วนใหญ่บนพื้นผิวโลก ถูกห่อหุ้มไปด้วยรังสีอันตรายเป็นจำนวนมากดูดกลืน แสงไว้ จึงไม่สามารถผลิตก๊าซออกซิเจน หลังจากนั้นถัดมาอีกหลายแสนปี เกิด Bacteria ขึ้นมากมายแพร่ขยายออกไปทั่ว ทำให้เกิดก๊าซออกซิเจนตามขึ้นมา เริ่มต้นเกิดรูปแบบโครงสร้าง Chlorophyll (ธาตุสีเขียว) แต่ยังไม่สมบรูณ์ ยังไม่เป็นสีเขียวในทันที มีพัฒนาการอย่างช้าๆ ทีละน้อย ในเวลาต่อมา ระบบสุริยะพิเศษ 55 Cancri มีระยะห่างจากโลก 43 ปีแสง แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 52 15:50:43 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 15:49:25

ความคิดเห็นที่ 3 ต่อมาราว 1,500 ล้านปี ได้เกิดเห็ดราสีแดงและน้ำตาล (Red and brown algae) เป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์ขึ้นของ Chlorophyll จนปรากฏเป็นสีเขียว ครั้งแรกเมื่อ 1,000 ล้านปีที่ผ่านมา เพราะความแข็งแกร่งของโครงสร้างได้รับแสงและดูดซึมน้ำ โลกจึงเกิดตะไคร่น้ำสีเขียว ตามพื้นที่ชุ่มชื้นก่อนเมื่อ 750 ล้านปีที่ผ่านมาแทนเห็ดราสีน้ำตาล แต่ก็ยังไม่มาก เพราะยังไม่ลำต้นและราก ในหลายพื้นที่ยังขาดแคลนน้ำ กระทั่ง 420 ล้านปีที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนโลก เกิดพืชพันธ์ุพันธ์ไม้ จำพวก หญ้า เฟิน (Fern) และตะบองเพชร อย่างแท้จริงด้วย มีแสงและน้ำเพิ่มมากทั่วไปบนโลก การเห็นใบไม้สีเขียว เพราะโลกมีก๊าซออกซิเจน เป็นส่วนใหญ่จากชั้น Ozone และแสดงลักษณะพิเศษของ สีพื้นผิวเป็นเม็ด (Specialized pigments) จาก Chlorophyll (ธาตุสีเขียว) แต่บนโลกไม่ได้มีเฉพาะใบไม้สีเขียว เพราะมีระบบการสังเคราะห์แสง เกิดจากความแตกต่าง หลายประการ หากเป็นดังนั้นคำตอบที่เราจะมองเห็นโลกอื่น พืชพันธ์ไม้ ที่ปกคลุมมีสีอะไรบ้างก็ต้องขึ้นอยู่กับ ระบบการสังเคราะห์แสงที่แตกต่างกันจากแสง และองค์ประกอบทางเคมีแต่ละระบบสุริยะนั้นๆ เพราะบรรยากาศโลกอื่นๆ อาจไม่มี Ozone แหล่งผลิตออกซิเจนเช่นเดียวกับโลก ถ้าไม่ออกซิเจน ก็ไม่มีสีเขียว แหล่งแสงของดาว ส่งผลถึงดาวเคราะห์ นั้นๆว่า จะเกิดแบบใด ทำให้ทราบถึงการสังเคราะห์แสง การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การดูดกลืนรังสี จากแต่ละประเภทขนาด อายุ และระยะวงโคจร แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 52 15:53:24 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 15:53:07

ความคิดเห็นที่ 4 ผลของการมองเห็นโลกอื่น สีน้ำตาลอมแดง โลกในระบบสุริยะอื่น มีสีแตกต่างกันจากโลกของแน่นอน ทั้งนี้แต่ละสีสามารถบอกช่วงพัฒนาการหรืออายุของโลกอื่นได้ ลองมองย้อนกลับไปดูโลกของเราครั้นกำเนิดยุคแรกๆ จะพบว่าเต็มไปด้วยการลุกไหม้ เช่นกัน บนโลกอื่นๆ หากพบแบบเดียวกัน เป็นเวลาที่เพิ่งกำเนิด หากถัดมา 2,000 -3,000 ล้านปี พบว่าโลกเรามีสีน้ำตาล โลกอื่นก็เช่นกันเพราะยังไม่ระบบการสังเคราะห์แสง ซึ่งโลกอื่นที่สำรวจพบใหม่ ขณะนี้มักมีสี น้ำตาลระหว่างเริ่มเย็นตัวลง การสำรวจระยะไกลยังมีข้อจำกัด ด้วยเหตุผลเพราะ ดาวเคราะห์ที่เย็นตัวจริงๆ น่าจะมีอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อมีความร้อนน้อย การหาค่าความร้อนน้อยเป็นเรื่องยากในเทคนิคการสำรวจ จึงต้องหาดาวเคราะห์ ที่มีค่าความร้อนพอตรวจจับได้ หลังจากนั้นจึงพุ่งเป้าไปบริเวณใกล้เคียง เชื่อว่า ดาวเคราะห์ที่เย็นตัว โคจรอยู่ในบริเวณใกล้เคียงด้วย อย่างไรก็ตามพื้นผิวของดาวเคราะห์ ไม่มีข้อจำกัด ความเป็นไปได้ของการสร้างเม็ดสี (Pigments) แต่ขึ้นอยู่กับ ประเภทสเปกตรัม ( Spectrum) ดาวเคราะห์หรือ Host Star โคจรส่งผลรังสีของแสงด้วย โลกอื่นที่อยู่ในกลุ่ม Habitable Zone คือดาวเคราะห์ที่อยู่ในเขตที่สามารถดำรงชีพได้ โดยถือหลักว่ามีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ ประมาณ 1 AU. ระบบสุริยะมี 3 ดวงคือ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดังนั้นมีโลกอื่น ที่มีระยะทางห่างจากดวงอาทิตย์ ของตนเองประมาณ 1 AU. มีระดับอุณหภูมิคงที่ สามารถเอื้อให้เกิดน้ำเหมือนโลกได้เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้น อาจมีก๊าซออกซิเจน และมีระบบสังเคราะห์เหมือนโลกได้เช่นกัน สิ่งที่เห็นก็จะเหมือนบนโลกเช่นเดียวกัน ถึงกระนั้นแม้ว่าสำรวจพบตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว พบว่ามีความร้อนสูง และใกล้ดวงอาทิตย์มาก บางกลุ่มอยู่ระหว่างกาีรตรวจสอบและยืนยัน สิ่งที่น่าสนใจรายงานใหม่ เริ่มพบน้ำในบรรยากาศ และดวงจันทร์ (ของโลกอื่น)มีสภาพอุณหภูมิเย็น และมีน้ำแข็ง ดวงจันทร์น้ำแข็ง ในระบบสุริยะพิเศษ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 15:59:04

ความคิดเห็นที่ 5 ส่วนใหญ่จะพบโลกอื่นแบบไหน เท่าที่สำรวจพบใน กาแล็คซี่ทางช้างเผือกขณะนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นดาวประเภท M Starsหรือ Red dwarfs (ดาวแคระสีแดง) เป็นจำนวนมาก มีการเปล่งของแสงน้อยกว่า ดวงอาทิตย์ (ซึ่งเป็นประเภท G Stars) แต่มักมีการแผ่ขยายตัวเฉพาะรังสี Near-infrared มาก สมมุติว่ามีความเป็นได้ที่เกิด ก๊าซออกซิเจนและมีระบบสังเคราะห์แสง ภายใต้รังสี Near-infrared มีองค์ประกอบทางเคมีร่วมกับโต้ตอบสัมพันธ์กับพื้นผิวหิน ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะพบสิ่งมีชีวิต และช่วงอายุน้อยของ M Stars มีการเปล่งรังสีี Ultraviolet อย่างเข้มข้นและโชติช่วงมาก่อนหน้านี้ เช่นบนโลกเมื่ออดีต แหล่งกำเนิดชีวิตทั้งหลาย เกิดจากใต้มหาสมุทรลึกด้วยความลำบากทั้งสิ้น เพราะต้องหลบหลีกรังสี Ultraviolet ความเข้มข้นจากดวงอาทิตย์ และปราศจาก ชั้น Ozone ช่วยดูดซับรังสี Ultraviolet ในขณะนั้น ชั้น Ozone มีความหนาบริเวณ Arctic ด้านขั้วโลกเหนือ ขนาด 60% ของชั้นบรรยากาศและด้านขั้วโลกใต้ ขนาด 2.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ตัวเลขเมื่อปี ค.ศ.2000) จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:01:45

ความคิดเห็นที่ 6 บทสรุปเงื่อนการกำเนิดชีวิตบนโลกอื่น ณ ขณะนี้ ระบบการสังเคราะห์แสง เป็นต้นทางให้โอกาสเกิดสิ่งมีชีวิต ในทางชีววิทยาบนโลกอื่นได้ยังไม่ความชัดเจนนักมโนภาพจากประสบการณ์เรียนรู้ บนโลกเรายอมรับว่าต้นทางการก่อกำเนิดชีวิตทั้งหมดนั้น มาจากมหาสมุทรใต้ทะเลลึก บางอย่างในการสำรวจระยะไกล ยังไม่สามารถทราบถึงรายละเอียดมากนัก คงจะประเมินจากสภาพบรรยากาศเท่านั้น อนาคตคงสามารถแบ่งแยกการสังเคราะห์แสงบนโลกอื่นได้ว่ามีกี่ประเภท ขณะนี้ มีข้อสรุปอยู่ภายใต้เงื่อนไขโอกาสเกิดได้ดังนี้ Anaerobic (แบบไม่ต้องการอากาศหายใจ) Aerobic (แบบต้องการอากาศหายใจ) ขึ้นอยู่กับอายุและ ประเภทลำดับชั้นของดาว และ ประเภทดาวเคราะห์ 1. ชีวิตในมหาสมุทร แบบไม่ต้องการอากาศหายใจ Host Star(ดาวหลักหรือดวงอาทิตย์) ทุกประเภทที่อายุน้อย Organism (สัตว์หรือต้นไม้) บนดาวเคราะห์นั้นๆไม่จำเป็นต้องใช้ก๊าซออกซิเจนชั้นบรรยากาศอาจจะมีก๊าซชนิดต่างๆ เช่น Methane (ก๊าซมีเทน) 2.ชีวิตในมหาสมุทร แบบต้องการอากาศหายใจ Host Star (ดาวหลักหรือดวงอาทิตย์) ทุกประเภทที่อายุเก่าแก่มากเมื่อเวลาล่วงเลยไป ดาวเคราะห์ในระบบนั้นๆ อาจมีระบบสังเคราะห์แสงด้วยก๊าซออกซิเจนจากพัฒนาการเริ่มต้นไปสู่บรรยากาศ ที่มีก๊าซออกซิเจนได้ 3.ชีวิตบนแผ่นดิน แบบไม่ต้องการอากาศหายใจ ดาวเคราะห์ในกลุ่ม M Star หรือมี รังสี Ultraviolet เล็กน้อย ด้วยพื้นดินมีพันธุ์พืชอาจไม่จำเป็นต้องใช้ก๊าซออกซิเจน 4.ชีวิตบนแผ่นดิน แบบต้องการอากาศหายใจ Host Star (ดาวหลักหรือดวงอาทิตย์) ทุกประเภท ที่มีพัฒนาการอย่างเต็มที่แล้วโดยมีดาวเคราะห์นั้นๆ เต็มไปด้วยพื้นดินที่มีพันธ์พืช ชีวิตจะมีโอกาสเกิดเหมือนโลกในระบบสุริยะได้ หากเราสังเกตหลักเกณฑ์การสำรวจ ระบบสุริยะอื่นๆ คำว่าชีวิต นั้นได้เริ่มเปลี่ยนความหมายไปแล้ว ว่าอาจไม่ต้องการอากาศหายใจ อาจเห็นพันธ์พืชมีสีที่แตกต่างกันเช่นนี้ จากระบบการสังเคราะห์แสง จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:04:50

ความคิดเห็นที่ 7 สีของพันธ์พืชบนโลกอื่น ที่เราสงสัย แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องออกมา มีสีของแสง บางสีมีน้อยไม่เท่ากัน ก็าซต่างๆบนโลกเปรียบเสมือนแผ่นกรองแสงอาทิตย์ ทำหน้าที่ดูดกลืนสีต่างๆไว้อีกชั้นหนึ่ง กลุ่มอนุภาคแสงสีแดง จึงครอบคลุมโลกเป็นส่วนใหญ่ มากกว่ากลุ่มอนุภาคแสงสีน้ำเงินและเขียว ดังนั้นพันธ์พืชใช้แสงสีแดง ในการสังเคราะห์แสงจึงปรากฏสีเขียวจากChlorophyll จึงไม่จำเป็นต้องใช้แสงสีเขียว แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของ Host Star ในระบบสุริยะอื่นๆ มีแสงเหมือน ดวงอาทิตย์ ของเรา อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายประการ เป็นเงื่อนไขต่อ การเห็นสีของพันธ์พืชบนโลก สรุปเบื้องต้นดังนี้ ในประเภท M Star (Red dwarfs) ขนาดมวลของวัตถุ 0.2 เท่า (Sun=1) ค่าคลื่นสะท้อนของรังสี (Luminosity) 0.0044 เท่า (Sun=1) อายุ 500 พันล้านปี และมีระยะวงโคจร ของดาวเคราะห์ห่างจาก Host Star ของตนเอง 0.07 AU. จะไม่มีเหตุผล เห็นสีเขียว สีเหลืองและสีแดง แต่อาจจะเห็นเป็นสีดำเพราะมีกาถูกดูดกลืนแสงทั้งหมดที่จะเห็นได้ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:07:55

ความคิดเห็นที่ 8 ในประเภท M Star (Young M Star) ขนาดมวลของวัตถุ 0.5 เท่า (Sun=1) ค่าคลื่นสะท้อนของรังสี (Luminosity) 0.023 เท่า (Sun=1) อายุการลุกอย่างโชติช่วง (Flaring) 1 พันล้านปี รวมแล้ว 200 พันล้านปี และมีระยะวงโคจร ของดาวเคราะห์ห่างจาก Host Star ของตนเอง 0.16 AU. ผิวพื้นเต็มไปด้วยรังสี Ultraviolet เพราะฉะนั้น สัตว์และพันธ์พืชจะเกิดใต้น้ำ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:11:13

ความคิดเห็นที่ 9 ในประเภท G star เหมือนเช่น ดวงอาทิตย์ ของเรา มีอายุ 10 พันล้านปี ระยะวงโคจรของดาวเคราะห์ห่างจากดวงอาทิตย์ของตนเอง 1 AU. จะเห็นพันธ์พืชส่วนใหญ่เป็นสีเขียว เช่นเดียวบนโลก จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:12:06

ความคิดเห็นที่ 10 ในประเภท F star ขนาดมวลของวัตถุ 1.4 เท่า (Sun=1) ค่าคลื่นสะท้อนของรังสี (Luminosity) 3.6 เท่า (Sun=1) อายุ 3 พันล้านปี มีระยะวงโคจร ของดาวเคราะห์ห่างจาก Host Star ของตนเอง 1.69 AU. พันธ์พืชต้องการแสงมากกว่าปกติ เพื่อการสังเคราะห์แสง จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:13:16

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อพิสูจน์ปัจจุบันชัดเจนยิ่งขึ้น สิ่งมีชีวิตไม่ได้มีเฉพาะบนโลกเท่านั้นพบร่องรอยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กบนดาวอังคาร ข้อมูลใหม่อาจพบสิ่งมีชีวิตบางชนิด บนดวงจันทร์ Europa , Enceladus , Titan เชื่อว่ามีแหล่งน้ำเป็นปัจจัยแห่งการดำรงชีพ การก่อกำเนิดระบบจักรวาล โครงสร้างระบบดวงดาว ในกาแล็คซี่ต่างๆ มีจำนวนนับพันล้าน แต่ละแห่งมีขนาดความยิ่งใหญ่ หมื่นแสนปีแสง จำนวนของกระจุกดาว ดาวเคราะห์ประเภทต่างๆ ที่บรรจุในแต่ละกาแล็คซี่มากมาย มหาศาลนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นโอกาสแห่งสิ่งมีชีวิต ในรูปแบบอื่นๆ หรือแบบเดียวกับมนุษย์ มีความเป็นได้มากขึ้นตามลำดับ แม้ศักยภาพของการสำรวจ และความเข้าใจทางวิทยาการ มีเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งก็ตาม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายนัก สำหรับการสืบค้นโลกใหม่ อันอยู่ห่างไกลของจักรวาล ขบวนการสำรวจจำเป็นต้องเตรียมการและวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อความถูกต้องแม่นยำ เบื้องต้นสู่การเตรียมค้นหาโลกใหม่ เริ่มจากบนโลก ก่อนอื่นการตรวจสอบดาวเคราะห์ในจักรวาล สามารถใช้วิธี สังเกตการณ์จากโลกเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะสามารถปฏิบัติงานได้ต่อเนื่อง ประหยัดค่าใช้ จ่าย และรวดเร็ว The Keck Interferometer เป็นโครงการแรก มีเครื่องมือทันสมัย แบบ Near Infrared Astronomy ขนาดใหญ่ 10 เมตร เพื่อการสำรวจจากพื้นโลกสู่อวกาศตั้งอยู่บนแนวภูเขาไฟ Mauna Kea เกาะฮาวาย สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4150 เมตร เพื่อจัดเตรียมข้อมูลเบื้อง ต้นจากภาพถ่ายระยะไกลดาวเคราะห์ วัตถุที่น่าสนใจและสงสัยในส่วนลึกของจักรวาล ที่ห่างออกไป นับพัน - หมื่นปีแสงเพื่อศึกษาและคัดกรองการสำรวจ ในระดับต่อไป โครงการที่สอง คือ Missions LBTI ใช้เครื่องมือตรวจสอบค้นหาดาวเคราะห์ต่างๆ จากพื้นโลกเช่นกัน (An Instrument for Ground - Based Planet Searches) ด้วยกล้อง Large Binocular Telescope Interferometer (LBTI) Two 8-meter ตั้งอยู่ที่เทือกเขา GRAHAM อะริโซ่นา เป็นกล้องมีความคมชัดสูง มากกว่ากล้อง Hubble Deep Field ถึง 10 เท่า โดยทางเทคนิคกล้อง LBTI สามารถเห็นและตรวจสอบ กลุ่มฝุ่นหมอกอากาศ (Dust Clouds) รอบๆดาวที่มืดสลัว เพื่อเก็บข้อมูล สำหรับการออกแบบจัดเตรียมขอบเขตแห่งการค้นหาต่อไปในอนาคต The Keck Interferometer หอสังเกตการณ์ส่วนหน้าเพื่อการคัดกรองเป้าหมายเป็นโครงการที่ 1 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:18:16

ความคิดเห็นที่ 12 เครือข่ายการหอสังเกตการณ์ โครงการที่ 2 ด้วยความร่วมมือของ The University of Arizona, Arizona State University, Northern Arizona University, Beteiligungsesellschaft in Germany Max Planck Institutfur Astronomies in Heidelberg The Ohio State University และ University of Notre Dame จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:19:51

ความคิดเห็นที่ 13 ส่งเครื่องมือการค้นหา สู่นอกอาณาเขตระบบสุริยะเป็นเวลา 2.5 ปี Missions Spitzer โครงการสังเกตการณ์ โครงสร้างต้นทางการก่อตัว ดาวเคราะห์(Observing The Building Blocks of Planet Formation) โดยกล้อง Spitzer จะทำการศึกษา กลุ่มฝุ่นและก๊าซ (Dust Gas) ที่พบ รอบๆระบบดาวเคราะห์นั้นๆ สังเกตและวิเคราะห์ แหล่งก่อตัวดาว (Regions of Star Formation) และรูปแบบของระบบวงจรดาวเคราะห์ใหม่ๆ (Newly Forming Planetary) ซึ่งไม่สามารถสังเกตการณ์ได้จากพื้นผิวโลก และได้ปฎิบัติภาระกิจแล้ว Missions Kepler คือ โครงการค้นหาดาวเคราะห์ที่สิ่งมีชีวิต สามารถดำรงชีพได้(Search for Habitable Planets) เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติได้มีโอกาสค้นหาโลกใหม่ ในกาแล็คซี่ของเรา และอาจจะมีคำตอบจากข้อสงสัยว่าใน กาแล็คซี่ทางช้างเผือก มีโลกอื่นเหมือนโลกเราอีกหรือไม่ ? มีสิ่งมีชีวิตแบบใดอีกหรือไม่ ? Kepler เป็น Spaceborne Telescope ออกแบเดินทางสำรวจในอาณาเขตของกาแล็คซี่ทางช้างเผือกโดยเฉพาะ เป้าหมายสำคัญ คือ การสืบค้นหาดาวเคราะห์คล้ายโลก หรือ ดาวเคราะห์ที่สามารถดำรงชีพได้ Kepler ขีดความสามารถอายุปฏิบัติการ 4ปีมีระบบสามารถตรวจสอบประเภท การพัฒนาตามลำดับชั้นของดาวสามัญ (Main-Sequence) มีรายละเอียด 100,000ประเภท อัตราการตรวจสอบได้ สัปดาห์ละ 870 ดวง (รวม 4 ปี ประมาณ180,000 ดวง) แต่ละปี มีเป้าหมายและหยุดเพื่อตรวจสอบ คัดเลือก ดาวเคราะห์ขนาดเท่าโลกประมาณ 50 ดวง ขนาดที่ใหญ่กว่าโลกเล็กน้อย 185 ดวง และขนาดใหญ่กว่าโลก สองเท่าประมาณ 640 ดวง ทำการระยะไกลตรวจสอบคลุม (Photo metrically Monitor) ระยะทาง 1,950 ปีแสง ถัดมาอีกโครงการ Terrestrial Planet Finder หรือ TPF เป็นชุด Spectroscopyสำหรับการค้นหา สังเกตการณ์ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะพิเศษ เพื่อหาข้อมูลการก่อกำเนิดดาว เป็นระบบที่เทคโนโลยี่สูงขึ้นจากเดิม มีความละเอียดอ่อนมากทุกด้านไม่ว่า กล้องโทรทรรศน์ ภาพถ่ายด้านเทคนิค การวัดขนาด ต่าง ของดวงดาวและอุณหภูมิบนดาวเคราะห์ เทคโนโลยี่ของ Kepler จะสืบหาลักษณะพิเศษของแหล่งน้ำบนพื้นผิวดาวเคราะห์นั้น ๆ ตรวจสอบขนาด และรูปทรงของวงโคจร ทำการประเมินระบบ ของดาวเคราะห์ ประมวลผลรายละเอียดด้านเทคนิค เพื่อการสำรวจในขั้นต่อไป โดยเริ่มปฎิบัติภาระกิจ ปี 2008 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:24:15

ความคิดเห็นที่ 14 TPE ยังสามารถตรวจหา Carbon Dioxide แหล่งน้ำ สภาพอากาศ ว่าเหมาะสมกับชีวิตหรือไม่ เพื่อเข้าใจ หลากหลายของระบบชีววิทยา ของดาวเคราะห์ทั้งหมดว่าสามารถเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีพหรือไม่ อย่างไรก็ตาม TPE ไม่มีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี่การปฏิบัติภารกิจ เริ่มต้นในปี ค.ศ. 2015 ทุกวันนี้ พบดาวเคราะห์เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆอย่าง น้อยเดือนละ 50 ดวง คงเป็นภาระที่หนักเมื่อถึงช่วงเวลานั้น SIM Planet Quest อีกโครงการหนึ่งจะเริ่มในปี ค.ศ. 2015 เพราะทุกวันนี้มีคําตอบ ยังไม่ถูกต้องนักว่า พิกัดตำแหน่ง ต่างๆในจักรวาลอันประกอบด้วย กาแล็คซี่ ดาว กระจุกดาว มีระยะห่างจากโลกจริงๆเท่าไร เพื่อความถูกต้อง ความเข้าใจใหม่ในการตอบคำถามเหล่านั้น อย่างละเอียดที่สุดโครงการ SIM มีวัตถุประสงค์ ทำการสำรวจ ขนาดของจักรวาลทั้งหมด มีขนาดเท่าไรกันแน่ ? (ขณะนี้มีข้อมูลความลึกจักรวาล 14-16.5 ล้านปีแสง) กาแล็คซี่ช้างเผือกมีขนาดเท่าไร ? (ขณะนี้มีข้อมูลความยาว 120,000 ปีแสง) จำนวนดาวเคราะห์ นอกระบบสุริยะที่เหมือนกับโลก มีกี่ล้านดวง ? โครงการ SIM จะเปิดหน้าต่างจักรวาล ด้วยข้อมูลละเอียดที่ถูกต้องแม่นยำขึ้นกว่าเดิม SIM ตรวจความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ของมุมที่ละเอียดที่สุด (Four microarcseconds) เพื่อการทำแผนที่ เป้าหมายสู่ดาว Alpha Centauri มีระยะทาง 4.3 ปีแสงกลุ่มดาวที่ใกล้โลกมาก โดยมีแผนการ จะส่งมนุษย์ไปเยือนครั้งแรก จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:26:59

ความคิดเห็นที่ 15 เป้าหมายทางวิทยาศาสตร์ ของโลกใหม่ที่จะไปเยือน ดาวเคราะห์ที่สามารถดำรงชีพได้นั้น ระบบต้องมีดวงอาทิตย์เป็นหลักเช่นเดียวกับโลกของเรา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องง่าย โดยหลักเกณฑ์ ต้องกำหนดเป้าหมายดาวเคราะห์ ที่มีระยะห่างของวงโคจร รอบดวงอาทิตย์ใกล้เคียงกับโลก เบื้องต้นสามารถทราบข้อมูลจากการสำรวจ เช่น อายุดาว ระยะพัฒนาการดาว ค่าวิเคราะห์สีของการแยกเงาวัตถุ และมวลสสาร ค่าความผันแปรของดวงดาว ค่ากลุ่มโลหะและกลศาสตร์ การเคลื่อนไหวของระบบกาแล็คซี่ ดังหัวข้อต่อไปนี้ Stellar Age : อายุของดวงดาว ดาวนั้นมีการพัฒนาเป็นระยะๆตั้งแต่เริ่มก่อตัวกำเนิดขึ้น การพัฒนาดังกล่าวก่อให้เกิดระบบต่างๆขึ้นจนเป็น ระบบสภาพบรรยากาศ (Atmospheres) องค์ประกอบเบื้องต้นของการก่อตัวแห่งชีวิต ใช้ระยะเวลา มากกว่า 1 ล้านปี จึงเริ่มทำให้เกิดออกซิเจนหรือโอโซน (Ozone) หลังจากนั้น พัฒนาการขบวนการด้านชีวะภูมิศาสตร์ (Biogenic) โลกใช้เวลพัฒนา ถึง 2 ล้านปี จึงเกิดออกซิเจน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ก็จะปรากฏสิ่งมีชีวิตได้ ไม่น้อยกว่า 2.3 ล้านปี เป็นเรื่องสำคัญต้องประเมินอายุดาวเคราะห์เพื่อศักยภาพในการสำรวจ Evolutionary Phase : ระยะพัฒนาการ ตัวกำหนดโครงสร้าง ที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ของสภาพการสามารถดำรงชีพได้ของดาวเคราะห์ หากตลอดชีวิตของดาวเคราะห์ มีความสว่างเพราะถูกเผาไหมด้วยไฮโดเจน (Hydrogen Burning) ตามระบบพัฒนาการของดาว (Main Sequence) ภายหลังเมื่อหมดสภาพจากพลังงาน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ ดาวยักษ์สีแดง (Red Giants) ด้วยยังมีฮีเลียมเผาไหม้อยู่ บริเวณบรรยากาศรอบๆนั้น ระยะเวลาที่เป็น ดาวยักษ์สีแดง ต้องไม่เกิน1 ใน 10 ของเวลา Main Sequence ยิ่งระยะเวลาน้อย จะมีโอกาสการกำเนิดสิ่งมีชีวิต เช่นโลกได้ Spectral Type and Mass : สีของการแยกเงาวัตถุและมวลสสาร การตรวจสอบ สังเกตการณ์ระยะไกลมาก จะใช้ภาพถ่ายโดยคลื่นวิทยุมาวิเคราะห์ ผลจาก Spectral Type สืบเนื่องเรื่องของอายุ และระยะพัฒนาการของดาว โดย ดาวในกลุ่มเป้าหมาย ควรจะอยู่ในกรอบของ MK Spectral Type มีค่าประมาณ 3,000 K (Main - Sequence Stars) ดาวเคราะห์ ที่มีระยะทางวงโคจรของดวงอาทิตย์ ใกล้เคียงโลกเป็นเป้าหมายสำคัญ เพราะมีความเป็นไปได้ จะพบสภาพอากาศ เช่น เขตอบอุ่น สภาพเวลากลางวัน กลางคืน ระบบสนามแม่เหล็ก เช่นเดียวกับโลกได้ในเกณฑ์สูง จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:30:24

ความคิดเห็นที่ 16 Stellar Variability : ค่าความผันแปรของดวงดาว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือจาก รังสี UV - รังสี X มีผลอันตรายต่อระบบชีวิต ดวงอาทิตย์ มีวัฏจักรเปลี่ยนแปลง พลังงานความร้อนจากจุดดับ(Sunspot Cycle) บนดวงอาทิตย์ ทุก ๆ 11 ปี ประมาณ 0.1% ในปี ค.ศ. 1997 ข้อมูลในปี ค.ศ. 1100 และ 1600 มีการเปลี่ยนแปลง 0.5% นับว่าสูงอันตรายต่อสภาพอากาศและระบบชีววิทยา เพราะฉะนั้น หากมีการผันแปรควรจะอยู่ในกรอบไม่เกิน 1 %หากมากกว่านั้นเกิดกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ไม่สามารถดำรงชีพได้บนโลกใหม่ ที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์นั้น Metallicity & Galactic Kinematics : กลุ่มโลหะและกลศาสตร์การเคลื่อนไหวของระบบกาแล็คซี่ ผลสะท้อนของธาตุหนัก (Heavy Element) จากช่วงกำเนิดดวงดาว เป็นการชี้บอก ความเป็นไปได้ ที่มีโอกาสเป็นดาวเคราะห์ แสดงส่วนประกอบธาตุหลักด้วยเหล็ก (High Iron) และซิลิคอน (Silicates) เหมือนโลกของ กลุ่มโลหะ หลักที่มากหรือน้อยนั้น จะแสดงผลด้านกลศาสตร์การเคลื่อนไหวของระบบในกาแล็คซี่ เป้าหมายต้องมีไม่น้อยกว่า ครึ่งหนึ่งของดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องยากลำบากมาก ต่อการตรวจสอบในปัจจุบัน เนื่องจากระยะไกลมาก ระหว่างระยะทางเต็มไปด้วย ชั้นของกลุ่มฝุ่นหมอกอวกาศหนาทึบ เป็น ปัญหาการตรวจสอบ ด้วยเรดาห์จากพื้นโลก อนาคตจะมีเครื่องมือไปกับยานสำรวจระยะใกล้ เพื่อ สามารถตรวจเข้าไปส่วนลึกของบริเวณ แนว Spiral Arms ของกาแล็คซี่ได้ Multiplicity & Giant - Planet : ความหลากหลายและขนาดความใหญ่ของดาวเคราะห์ ขนาดความใหญ่ ของดาวเคราะห์ แสดงถึงเสถียรของการเคลื่อนไหว(Dynamical Stability) ซึ่งต้องใช้เครื่องมือสำรวจที่มีความแม่นยำสูง เอียดอ่อนมาก พร้อมต้อง ใช้เวลานานเฝ้าตรวจ วงโคจรด้านนอก ของดาวเคราะห์นั้นๆว่าอยู่ในแนวพุ่งชนของ กลุ่มดาวหาง หรือไม่ ความหลากหลายบางประเด็นที่กังวล ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่บางกลุ่มนั้น เป็นดาวคู่ (Binary Systems) คือ มีวงโคจรเป็นลักษณะตุ้มถ่วงกัน โคจรสลับไปมาซึ่งกันและกัน เช่น 16 cygni B หรือ 55 cancri A เป็นต้น การตรวจสอบอาจเกิดปัญหารบกวนสัญญาณ (Shot Noise) จากดาวอีกดวงหนึ่งได้ แต่ก็สามารถแก้ไขได้ในกรณีดังกล่าว โดยเพิ่มวิถีความโค้งยานสำรวจ เพื่อขจัด ปัญหาการรบกวนสัญญาณ Solar and Stellar Activity Cycles แสดงค่าตรวจสอบความผันแปรดวงอาทิตย์ ค.ศ.1980 - ค.ศ. 2000 แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 52 16:35:45 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:34:48

ความคิดเห็นที่ 17 เป้าหมายแรก คือ ดาวแคระสีน้ำตาล (Brown Dwarf) และดาวเคราะห์ยักษ์ (Giant Planet) เพื่อให้เกิดศักยภาพ ของเป้าหมาย ข้อสรุปการค้นหาพุ่งเป้าไปที่ดาวที่มีแสงน้อย(Low-Luminosity Stellar) หรือดาวบริวาร (Sub-Stellar) ส่วนดวงระบบคู่ (Binary Systems) ลักษณะมุมของงโคจรที่สลับกันนั้น แสดงถึงความเสถียร แต่เพื่อความปลอดภัยในการค้นหา จะพิจารณาเส้นแนว ของวงโคจรต้องมีระยะห่างกันมากกว่า 10 เท่า ของขนาดดาวนั้น จะทำการสำรวจกลุ่มดาวต่างๆที่ไม่มีความเสถียร ของการเคลื่อนไหวซึ่งมีอยู่อย่างกระจัดกระจายในระยะทาง 1 AU.รวมทั้งดาวที่มีระบบและ ดาวบริวารถัดจากระยะ 5 AU. มีเป้าหมายหลัก คือ ดาวแคระสีน้ำตาล (Brown Dwarf) ดาวเคราะห์ยักษ์ (Giant Planet) ของการสำรวจ แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการพัฒนา ด้านเครื่องมือ ข้อมูลมากมายในทุกด้านที่จะสามารถนำออกมาใช้ เพื่อการเดินทางไปสู่ดินแดนนอกระบบสุริยะ ยานสำรวจได้รับการพัฒนาระดับสูงพร้อมที่จะสืบค้นจักรวาล มีบัญชีรายชื่อแล้วชื่อแล้วประมาณ 200 ดวง (ข้อมูลปี 2006) จะทำการสำรวจตามลำดับในขอบเขต กาแล็คซี่ทางช้างเผือก อย่างไรก็ดีขบวนการสำรวจ ต้องใช้หลักการทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างมั่นคงด้วยเครื่องมือทันสมัยละเอียดอ่อน เพื่อค้นหาร่องลอยสัญลักษณ์แห่งชีวิต หรืออาณานิคมที่สามารถดำรงชีพได้ Brown dwarf ยังมีค่าความร้อน อยู่ระหว่าง 900 - 2,700 Kสามารถแผ่รังสี อินฟราเรด มีแสงสว่างสามารถมองเห็นได้ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:38:37

ความคิดเห็นที่ 18 ตัวอย่างเป้าหมายและการสำรวจ ระบบสุริยะพิเศษ จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:40:38

ความคิดเห็นที่ 19 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:41:09

ความคิดเห็นที่ 20 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:41:54

ความคิดเห็นที่ 21 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:42:31

ความคิดเห็นที่ 22 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:43:10

ความคิดเห็นที่ 23 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:44:01

ความคิดเห็นที่ 24 มาตรการแห่งข้อกำหนด และการตัดสินสัญลักษณ์แห่งชีวิตในอาณานิคมใหม่ ประเด็นสำคัญคือ จัดหาผลสรุป ข้อมูลด้านชีววิทยาที่ถูกต้องจากแหล่งสิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีพได้ของดาวเคราะห์ โดยพิจารณาจาก 2 ประเด็นจาก การมองเห็นด้าน กายภาพ (Visible) คลื่นอินฟาเรด (Infrared Wavelength) แหล่งที่จะสามารถดำรงชีพได้นั้น จะแสดงผลในรูปแบบ โมเลกุล (Molecular)ของออกซิเจน น้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ โอโซน และก๊าซมีเทน เป็นการบอกได้เบื้องต้นว่า มีโอกาสความเป็นไปได้ของแหล่งกำเนิดแห่งชีวิต บริเวณโดยรอบ ที่เป็นฝุ่นหมอกในวงโคจร ของ Brown dwarf สำรวจพบผลึกแร่สีเขียว ขนาดเล็กมาก (Microscopic crystals) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันที่พบบนโลกหลังจากนั้นหลายปี สรุปผลวิเคราะห์ได้ว่า มีส่วนของ ต้นกำเนิดแห่งชีวิต (Origin of Life) โดยสำรวจพบจาก Brown dwarf (ขนาดเล็กมีสภาพเย็น) ทั้ง 5 ดวง เหมือนกัน และ มีความเป็นไปได้ พัดมาในอวกาศจากดาวอื่น เชื่อว่าดาวเคราะห์แบบโลก ก่อตัวจากกลุ่มฝุ่นหมอก แผ่นจานของดวงอาทิตย์(Disks of dust) หลังจากนั้น เปลี่ยนสภาพเป็น Brown dwarf เมื่อนานผสานเข้ากันตกผลึกด้วยความหลากหลายเป็นกลุ่มๆเชื่อมต่อกัน เกิดเป็นมวลขนาดใหญ่ขึ้นจนเกิดเป็นดาวเคราะห์ ที่สมบูรณ์แบบในที่สุด ผลึกแร่โมเลกุลขนาดเล็ก ต้นทางส่วนผสมชีวิตบนโลก สำรวจพบ โดย Spitzer Space Telescope จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:45:38

ความคิดเห็นที่ 25 ต้องมีเหตุและผล เพียงพอที่จะเกิดแหล่ง สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีพได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยการสำรวจ มีขอบเขตกว้างไกลและใหญ่มาก จำนวนและปริมาณ รูปแบบ ลักษณะโมเลกุล ที่เป็นต้นกำเนิดทาง ชีววิทยาต้องมีเหตุเพียงพอเป็นเหตุให้เกิด แหล่งมีชีวิตสามารถดำรงชีพได้ โดยอยู่ภายใต้กรอบเงื่อนไขในการตรวจสอบ ดังนี้ จำนวนปริมาณองค์ประกอบ ต้องอยู่ในเงื่อนไขจำเป็นและเพียงพอ สำหรับสิ่งมีชีวิตจากสภาพสิ่งแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยทำให้เกิดเป็นระบบ จนเราได้เรียนรู้พัฒนาขึ้นมา เหมือนหลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก เช่น องค์ประกอบพื้นฐาน Carbon - Based ของ ชีวิตจากน้ำที่สามารถให้เกิดพันธุ์ไม้(Plants) สัตว์ (Animals) และจุลชีพ (Microbes) และต้องรวมถึงเรื่องอุณหภูมิ(Temperature) กระทั่งสิ่งปลอมปนสารละลายในน้ำ (Liquid Solvent) ปริมาตรสัดส่วนจำนวน ก๊าซที่มีอยู่มากมาย (Abundances of Gases) ร่องรอยของธาตุสารประกอบต่างๆ (Trace Elements) ค่าปริมาณรังสี (Radiation Ranges) ค่าความแข็งหนา แน่นมวลสารของพื้นผิว (Solid Surface)แหล่งพลังงานรูปแบบต่างๆ (Energy Sources) และค่าเฉลี่ยของสภาพบรรยากาศ(Atmosphere) จำนวนและปริมาณ ของทรัพยากรด้านชีวธรรมชาติ จำนวนและปริมาณ ทรัพยากรด้านชีวธรรมชาติ (Biosignatures) ต้องเพียงพอหรือมีความน่าจะเป็นสำหรับพัฒนาการ รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลง ของความร้อนที่ขาดดุลยภาพ (Thermodynamic Disequilibrium) จากก๊าซ ของเหลวและของแข็ง ต้องอยู่ในเงื่อนไขการกระตุ้นให้เกิดและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต คือ เรื่องฤดูกาล (Weather) การแปรผันของอากาศ (Climate Variations) และโอกาสเกิดความผันแปรของอากาศ การหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์(Rotation) รังสีและมวลสสาร ที่ปรากฎในชั้นบรรยากาศ เช่น Ultraviolet Ray และ X - Ray ต้องพบการพัฒนาการของ Anti-Biosignatures ในชั้นบรรยากาศ เพื่อพิสูจน์ทราบได้ว่า Anti-Biosignatures มีความสามารถทำลายสภาพแหล่งการดำรงชีพได้ มากน้อยเพียงใด ค่า Abundances of Gases (ปริมาณสัดส่วนของก๊าซ) การก่อตัวเกิดดาวเคราะห์(มาตราส่วน 1:3 มม.) สีขาวแสดง ระบบของอัตราความเร็วการกระจายตัว สีแดงและฟ้า แสดงการเปล่งแพร่ขยายตัว โมเลกุลของ ก๊าซ Hydrogen 85% แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 52 16:50:11 จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:49:23

ความคิดเห็นที่ 26 นอกระบบสุริยะ ข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ จะเหมือนกับที่เคยเข้าใจหรือไม่ หัวข้อนี้เป็นเงื่อนไขความสำคัญยิ่ง แสดงผลว่าทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์อื่นหรือไม่ โดยจะได้ข้อมูลจากยานสำรวจต่อไป อย่างไรก็ตาม ด้วยความแรงของสัญญาณที่ถูกส่งออกไป สะท้อนกลับมาเป็นค่าสามารถตรวจสอบ พบก๊าซชนิดต่างๆได้ เช่น ออกซิเจน ไฮโดรเจน ไนโตรเจนหรือการตรวจ สอบคลื่นสัญญาณที่เป็นลักษณะ พื้นผิวมหาสมุทร พื้นผิวแหล่งความร้อน พื้นผิวด้านภูมิศาสตร์ ฯลฯ หมายความว่า เป็นสิ่งที่เข้าใจและเรียนรู้จากระบบสุริยะเท่านั้น ส่วนขอบเขตนอกระบบสุริยะ จะมีขนาด และรูปแบบ ลักษณะ ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ ของวัตถุที่เคยเข้าใจตามกรอบเดิมหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าชวนคิด และหากแตกต่างกันจะต้องหาวิธีเข้าใจได้อย่างไร ในทางวิทยาศาสตร์ถ้าไม่มีทฤษฎีมารองรับ ดวงอาทิตย์ 3 ดวงหรืออาจมากกว่า พบเห็นโลกใหม่ มีดวงอาทิตย์ 3 ดวง ขึ้นและตก พร้อมๆกัน ในระบบสุริยะพิเศษ HD 188753 ห่างจากโลก 149 ปีแสง เป็นระบบ Triple star system อยู่ในเงื่อนไขโคจรคล้ายเป็นตุ้มถ่วงซึ่งกันและกัน ประกอบด้วย HD 188753 a (G class star) เป็นดาวปฐมมูล (Primary star) มี HD 188753 b (K class star) และ HD 188753 b (M class star) โคจรคู่กัน ไปในวงโคจรเดียวกัน ทั้งนี้ระยะเข้าใกล้ที่สุด 6.2 AU ระยะห่างที่สุด 18.5 AU (มีค่าเฉลี่ย 12.3 AU.)แต่ละดวงรักษาระยะห่างกัน ประมาณ 0.66 AU. ดาวใช้เวลาโคจร รอบละ 25.7 ปี และหมุนโคจรระหว่างกันเองอีกรอบละ 156 วัน ต้นไม้ดำแข็งเหมือนถ่านหิน จากรังสีพายุ ดาวเคราะห์หินเหมือนโลก ในระบบสุริยะพิเศษ อาจมีการพัฒนาการเช่นเดียวกันมีต้นไม้สิ่งมีชีวิตหลากหลายพันธุกรรม นับหลายพันล้านปี หลังจากนั้นหยุดพัฒนา ระบบธรรมชาติ เริ่มเสื่อมถอยมลภาวะเป็นพิษ สนามแม่ เหล็กอ่อนแอไม่สามารถปกป้องรังสีอันตรายจาก Host Star ของตนเองได้ ทำให้รังสี UV Hard X-rays แผ่คลื่นความเข้มข้น เพิ่มขึ้นช้าๆที่ละน้อย ทำให้บรรยากาศ เต็มไปด้วยอนุภาคอีเล็คตรอนสะสม มีความร้อนระอุ แบบเตาอบ ด้วยความชื้นถูก ดูดซับออกไปตลอดเวลาช้าๆ ทำให้ต้นไม้ยืนต้นแห้งตายและดำ จากปฏิกิริยาทางเคมี ลักษณะเดียวกับต้นไม้กลายเป็นหินบนโลก ส่วนแหล่งน้ำจะเริ่มแห้งลงตามลำดับ สิ่งมีชีวิตเริ่มดับสูญจนหมดสิ้น จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:53:39

ความคิดเห็นที่ 27 ท้องฟ้ากลางวันมีสีเหลือง ในน้ำมีแต่ความร้อน ดวงอาทิตย์ ในระบบสุริยะมีขนาดใหญ่กว่าโลก 1.5 ล้านเท่า แต่ในระบบสุริยะอื่น ยังมี Host Star ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์อีกนับร้อยเท่า จากการขยายตัวขึ้นตามเวลาเนื่องจากการเผาไหม้ด้านนอก กรณีดังกล่าวจะค่อยๆเพิ่ม ความร้อนให้กับดาวเคราะห์ ในระบบของตนที่ละน้อยสภาพดาวเคราะห์จากเดิมที่เคยสมบูรณ์ จะเปลี่ยนแปลงไปจากความร้อนที่แผ่ขยายมากขึ้นในแต่ละวัน นับหลายล้านปี ขณะที่เริ่มต้น ก๊าซกำมะถันจากอดีตภูเขาไฟยังหลงเหลืออยู่ จึงลอยตัวปะปนกับออกซิเจนและโซเดียม ทำให้มองเห็นเป็นสีเหลืองด้วยการสะท้อนของก๊าซ ส่วนน้ำบนโลกใหม่ ยังอุ่นหรือร้อนอยู่ จากความร้อนภูเขาไฟใต้แผ่นเปลือกและความร้อนที่แผ่มาเพิ่ม อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีกรดกำมะถัน และน้ำมีความร้อนสิ่งมีชีวิตบางชนิด ยังสามารถเกิดไ่ด้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าเชื่อ เช่นเดียวกับแหล่งน้ำพุร้อน จากใต้ดินของโลก จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:55:27

ความคิดเห็นที่ 28 ฤดูกาลหิมะสีดำ บนโลกพบแต่หิมะสีขาว โลกใหม่นอกระบบสุริยะสภาพอากาศที่เย็นจัดทำให้เกิดหิมะได้เช่นกัน แต่ด้วยชั้นบรรยากาศมีฝุ่นหมอกอวกาศหนาแน่น ด้วยอนุภาคสารประกอบของคาร์บอน จากดาวอื่นที่ถูกพัดพาเข้ามาผสมเข้าด้วยกันทำให้เกิดหิมะสีดำเป็นลักษณะเดียวกันที่เกิดฝนกรดบนโลก จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:56:21

ความคิดเห็นที่ 29 โลกแห่งมหาสมุทร น้ำเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต ระบบสุริยะมีหลักฐานชัดเจน ดาวอังคารเคยมีน้ำเป็นจำนวนมหาศาลในอดีต และดวงจันทร์ยูโรปา มีน้ำซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวลึกนับร้อยกิโลเมตร คงไม่ได้เป็นเรื่องน่าประหลาดใจเลย หากโลกใหม่ ในระบบสุริยะอื่น มีน้ำเป็นส่วนใหญ่บนพื้นผิว มีความใสดุจกระจกเงา มองลึกลงไปเห็นได้ นับร้อยเมตร จากแสงของ Host Star ตนโดยปราศจากมลพิษ จากระยะเริ่มแรกของการพัฒนาของตน จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:57:14

ความคิดเห็นที่ 30 ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ปาด แต่ดีใจที่ปาดทัน เย้ๆๆๆๆๆ ครั้งแรกในชีวิตที่ปาดทันและปาดทัน Mr.Terran ด้วย ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดี ตื่นเต้นเร้าใจค่ะ แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 52 17:00:19 จากคุณ : รองเท้ากับนาฬิกา เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:58:10

ความคิดเห็นที่ 31 ปาดนะครับนะ จากคุณ : monixe เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 16:58:54

ความคิดเห็นที่ 32 โลกสลัว ไม่เคยมีกลางวันและกลางคืนที่ชัดเจน บางแห่งบนโลกใหม่ มีความสว่างอย่างจะแจ้ง ร้อนระอุพื้นผิวแทบลุกเป็นไฟแล้วมีลาวา แต่โลกใหม่ที่ห่างไกล Host Star แทบไม่เห็นแสงสว่างมีไม่น้อย ซึ่งเหมือนกับ พิภพน้ำแข็งสุดขอบสุริยะ รับแสงที่ส่องมาจาก Host Starในมุมจำกัดมองเห็นเพียงลำแสง ไม่เคยมีกลางวันกลางคืนที่ชัดเจน บนพื้นผิวมีแต่ความเย็นแบบสุดขั้ว ตัวอย่างที่กล่าวมา เป็นเพียงประเมินให้ต่างออกไป จากทางกายภาพที่ได้พบเห็นบนโลก เป็นเงื่อนไขลักษณะที่พออ้างอิงได้ ไม่แน่ใจ นักว่าจะมีความแตกต่างกัน ระหว่างโลกใหม่กับโลกปัจจุบันในเรื่องอย่างอื่นจนไม่สามารถอธิบายได้ เพราะอาจมองไม่เห็นทั้งๆที่มีอยู่จริง ที่มา www.sunflowercosmos.org NASA - National Aeronautics and Space Administration Jet Propulsion Laboratory -California Institute of Technology The Palomar Testbed Interferometer (PTI) Astronomy Department at the California Institute of Technology The Keck Interferometer The University of Hawaii's Institute for Astronomy Max-Planck-Institut fur extraterrestrische Physik (Max Planck Institute for Extraterrestrial Physics) The Isaac Newton Group of Telescopes (ING) Roque de Los Muchachos Observatory, La Palma, Spain. Astronomisches Institut Basel, Binningen, Switzerland University Corporation for Atmospheric Research (UCAR) Montana State University, USA. The Canadian Space Agency (CSA) NASA's Goddard Institute for Space Studies SETI Search for Extraterrestrial Intelligence Virtual Planetary Laboratory (VPL) at the California Institute of Technology NASA Ames Research Center in California's Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics (CfA) สําหรับวันนี้ก็ขอลาไปก่อนครับ ลาไปแล้วนะครับ สวัสดีครับ แล้วพบกันใหม่.Terran จากคุณ : Mr.Terran เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 17:01:25

ความคิดเห็นที่ 33   ขอบคุณเนื้อหาดี ๆ พร้อมรูปประกอบครับ อ่านไปเรื่อย ๆ รู้สึกเหมือนดูสารคดีและมีคนบรรยายในหัวเราเลย (เสียงใครก็ไม่รู้ น่าจะเป็นเสียง Mr.Terran แหละ) จากคุณ : James Cook เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 17:06:20

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณครับ Mr.Terran จากคุณ : Thadias เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 17:10:33

ความคิดเห็นที่ 35 อ่าน  อ่าน อ่าน จากคุณ : borderer (borderer) เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 17:30:27

ความคิดเห็นที่ 36 อ่าน อ่าน อ่าน จากคุณ : borderer (monixe) เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 19:49:42

ความคิดเห็นที่ 37 สุดยอดครับ ดูผ่านๆ น่าอ่านมาก เดี๋ยวไปทำธุระก่อนครับ จากคุณ : GobZa_052 เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 20:47:29

ความคิดเห็นที่ 38   อืมๆๆ........ผมอ่านจบแล้ว จบแล้วเกิดจินตนาการเลยล่ะครับ ขอบคุณมากๆนะครับ จากคุณ : จุกเสียด เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 52 21:07:39 A:115.87.83.231 X: TicketID:233244

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณครับ จากคุณ : ท้องฟ้าอิสระ เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 00:33:58

ความคิดเห็นที่ 40   ขอบคุณจากใจ จากคุณ : นักเลง Keyboard (Minandmeen) เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 01:32:35

ความคิดเห็นที่ 41 น่าสนใจมากขอบคุณครับ จากคุณ : GoBo_GoBo เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 04:11:48

ความคิดเห็นที่ 42   ขอบคุณมากๆ ผมอ่านของคุณทุกเรื่องเลยครับ  ... มีสาระดีๆ ทั้งนั้น จากคุณ : SuperMox เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 08:00:47

ความคิดเห็นที่ 43 โลกใหม่ ...อืม ..... สาระความรู้เพียบเลย ขอบคุณครับ จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 09:50:31

ความคิดเห็นที่ 44 อ่านจบแล้วครับ แหม...จุใจจริงๆ ชอบภาคนี้ที่สุด จากทั้งสามภาคครับ รู้สึกเลยว่า สิ่งมีชีวิตนอกโลกจะต้องมีจริงๆ รู้สึกเหมือนกระทู้นี้พาผมไปจนถึงดาวดวงต่างๆ ทึ่งกับข้อมูลที่คุณเรียบเรียงมา จากแหล่งต่างๆ ได้ความรู้ สาระเยอะมากๆๆๆครับ ภาพประกอบก็เจ๋ง ดูแล้วระเบิดจิตนาการออกไปได้อีกไกลเลยครับ ขอติดตามผลงานMr.Terran ตลอดไปครับ จากคุณ : knine2five เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 11:02:08

ความคิดเห็นที่ 45   สุดยอดดดด เหมือนหลุดไปในโลกจินตนาการเลย 55+ จากคุณ : doralie6e เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 14:37:24

ความคิดเห็นที่ 46 อ่า.. อ่านบทความของ Mr.terran แล้วเหมือนเปิดหัวออกจินตนาการได้เลย ชอบบทความของท่านมาก ว่าแล้วไปหาแผ่นสตาร์คราฟมาเล่นดีกว่า จากคุณ : Water Boy เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 15:06:52

ความคิดเห็นที่ 47 อ่านแล้วนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังได้ต่อยอดจินตนาการเพิ่มเติมไปอีกนะคะเนี่ย  อิอิ จากคุณ : หนีตามกาลิเลโอ เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 15:41:18

ความคิดเห็นที่ 48 จากคุณ : เซ็งอูฐ เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 18:14:13

ความคิดเห็นที่ 49 เย้ๆๆๆๆ   ตามมาอ่านครับผม  ขอบคุณมากๆนะครับนะ จากคุณ : ไม้ไผ่โย่ง เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 19:11:26

ความคิดเห็นที่ 50 ว้าว! ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แฟนคลับMr.terran (จิงโกะจัง) เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 19:36:10

ความคิดเห็นที่ 51 ว่ากันว่า สหรัฐอเมริกา เก็บบางสิ่งบางอย่าง ไว้เป็นความลับของทางราชการ ทั้งศพ ของมนุษย์ต่างดาว ที่เคยมีเหตุระเบิดกลางอากาศแบบไม่มีสาเหตุ และพบธาตุที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกด้วย  ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ แสดงว่า วิวัฒนาการของเขาดีอย่างมหาศาล ทั้งการเดินทางข้ามกาแล็กซี่และ แอบอาศัยอยู่บนโลกทั้ง ๆ ที่ สภาพที่อยู่อาศัยไม่น่าจะเหมือนกัน หรืออาจจะเหมือนก็เป็นได้  ........... ( แค่ข้อสันนิษฐาน เท่านั้น อย่าคริดมาก ) จากคุณ : reonce เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 20:11:28

ความคิดเห็นที่ 52 เข้ามาอ่าน จากคุณ : TrainnerGoki เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 52 01:32:47

ความคิดเห็นที่ 53 บางทีอาจจะมีสภาจักรวาลก็ได้ แล้วเค้ามีกฏว่าห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของทุกๆดาว รอให้พัฒนาตนเองจนถึงจุดๆหนึ่ง แล้วค่อยติดต่อสือสารกัน จากคุณ : เบื่อโลกจัง เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 52 19:34:05

ความคิดเห็นที่ 54 อ่านและโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับบทความที่น่าสนใจ จากคุณ : deer_na_ja เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 52 23:23:16

ความคิดเห็นที่ 55 ขออนุญาตเอาประสบการณ์เพื่อนผมมาเล่าสู่กันฟัง...... มาแล้วครับ ประสบการณ์กับมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่มะนาวต่างดุ๊ดแน่นอน และเป็นเรื่องจริงครับ ก่อนจะดูรูป เอาเรื่องแรกที่ผมเห็นก่อน ประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมาแล้วครับ ผมชอบลงทำงานฉีดสารกำจัดศรัตรูพืชในสวนส้มช่วงตีสองบ่อยๆ เนื่องจากช่วงกลางคืน จะเป็นช่วงที่แมลงมันออกหาอาหาร เราจะจัดการมันได้ง่ายกว่าช่วงกลางวัน และลมจะสงบครับ อุปกรณ์ที่ผมใช้พ่น เป็นเรือพดลมแรงดันสูง พ่นสารเป็นละอองแบบ ULV ประหยัดน้ำ คืนวันที่ผมเห็นสิ่งประหลาด ผมก็ออกช่วงตีสองเหมือนเช่นทุกครั้งครับ ขับเรือไป ชมต้นไม้ใบหญ้าตามเรื่องตามราว สายตาจะมองเห็นแค่แสงไฟในเรือที่ส่องไปที่ต้นส้ม เหลียวมองไปมาอยู่ดีๆ พลันสายตาผมก็ไปเห็นแสงไฟบนท้องฟ้า ขนาดประมาณครึ่งนึงของดวงจันทร์ มันลอยมาจากขอบฟ้าตะวันออก ทีแรกผมก็นึกในใจว่าเป็นเครื่องบินที่ร่อนต่ำๆ เพราะตอนนั้นสนามบินดอนเมืองยังเปิดบริการอยู่ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่มาสงสัยตอนที่มันเปลี่ยนสีได้ด้วย สีของมันบอกไม่ถูกครับว่าเป้นสีอะไร แสงไม่ได้สว่างมากนัก แต่มันสลับสีแทบไม่ซ้ำกันตลอดเวลา ที่สำคัญ มันมาหยุดอยู่ตรงหัวผมนี่ซิครับ ช่วงนั้นก็ยังนึกว่าเป็นพวกเฮลิคอปเตอร์มั๊ง(เริ่มกลัวนิดๆ)แต่ท่านทั้งหลาย เอ๋ย ตอนที่ผมเห็นทีแรกมันมาจากตะวันออก แต่มันมาหยุด แล้วเปลี่ยนทิศทางไปทิศใต้แบบหักมุมนี่ซิครับ และไม่ได้ค่อยๆไปนะ มันไปแบบผมกระพริบตาสองที หายลับขอบฟ้าไปเลยครับ ผมเริ่มคิดแล้วครับ ว่ามันคืออะไร แต่ที่แน่ๆท่านเอ๋ย ผมนี่ขนลุกไปหมดเลยครับ แต่ก็ยังแข็งใจทำงานต่อจนเสร็จ เกือบสว่างพอดี ผมคิดว่าไม่ใช่เครื่องบินแน่นอน เพราะเครื่องบินจะไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ได้แน่ๆ เฮลิคอปเตอร์ล่ะ ยิ่งไม่น่าใช่ เพราะมันเร็วปรี๊ดซะขนาดนั้นครับ แล้วท่านทั้งหลายคิดว่ามันคืออะไร บินหักมุมได้ เปล่งแสงที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ความเร็วปานจรวด โดยที่ไม่มีเสียงเลยครับ     มาต่อเหตการณ์ที่สอง เหตุนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุแรกสองปีได้ ช่วงปี 2001 ตอนนั้นผมขยายบ้านมาเป็นหลังปัจจุบันนี่แหละ มีสนามหญ้าหน้าบ้านสองสนาม ซึ่งผมได้ทำเป็นสนามกอล์ฟเล็กๆไว้ มีกรีนที่ผมปลูกหญ้าเบอร์มิวด้าไว้ ตัดแต่งตรงส่วนที่เป็นกรีนพัตต์ไว้เป็นรูปทรงกลม ขนาดประมาณสิบตารางเมตร เวลาเช้าๆ ผมชอบยืนดูน้ำค้างที่มันเกาะตรงกรีนนี้ครับ มันจะคนละสีกับส่วนอื่นๆ สวยงามมาก คืนวันก่อนเกิดเหตุ ผมเข้านอนค่อนข้างดึก เพราะช่วงนั้นเริ่มอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กับตำราการเกษตร จนประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ในความเงียบ ผมก็ได้ยินเสียงดังหวีดเบาๆ ที่บริเวณหลังคา ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าเป็นเสียงลมไปตามเรื่องตามราว ประมาณตีหนึ่ง ผมต้องตกใจมากครับ เพราะมีเสียงดังคล้ายๆลมแรงๆ รอบๆบ้านผม คุณแม่ผมแกก็ได้ยินเช่นกัน ลักษณะมันดังจากด้านบนลงมาด้านล่าง ผมก็เปิดไฟรอบบ้าน พยายามมองไปรอบๆ เดินสำรวจดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติ  จนรุ่งเช้า ผมก็ตื่นขึ้นมาแล้วมองผ่านหน้าต่างห้องมองลงไปที่สนามพัตต์กอล์ฟตามปกติทุก วัน แต่สิ่งที่ผมเห็น ผมตกใจมากครับ รีบหยิบกล้อง ที่ตอนนั้นยังใช้กล้องฟิล์มอยู่เลย ติดมือไปด้วย ดูตามรูปเลยครับ แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 52 02:45:44 จากคุณ : HIV-man เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 52 02:44:28

ความคิดเห็นที่ 56 รูปครับ จากคุณ : HIV-man เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 52 02:47:27

ความคิดเห็นที่ 58 รูปไม่ขึ้น  โดนลบซะ  กรรม จากคุณ : HIV-man เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 52 03:27:10

ความคิดเห็นที่ 59 ผมจะติดตามครับ จากคุณ : ประทีป (e21fc) เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 52 08:19:27

ความคิดเห็นที่ 60 คห.58 โอ้ววว รูปปปปๆ จากคุณ : เซ็งอูฐ เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 52 18:12:12