 |
ความคิดเห็นที่ 9 |
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี
ว่าด้วยมหาภูตรูป ในคำว่า มหาภูตะ นี้ พึงทราบว่า สภาวะที่ชื่อว่า มหาภูตะ เพราะเหตุทั้งหลายโดยความปรากฏว่าเป็นของใหญ่เป็นต้น เพราะรูปเหล่านั้น ตรัสเรียกว่า มหาภูตะ ด้วยเหตุเหล่านี้ คือ ปรากฏเป็นของใหญ่ ๑ เหมือนมหาภูต คือ นักเล่นกลเป็นต้น ๑ เพราะต้องบำรุงรักษามาก ๑ เพราะวิการ (เปลี่ยนแปลง) ใหญ่ ๑ เพราะเป็นกองใหญ่ที่มีอยู่ ๑. บรรดาเหตุเหล่านั้น ข้อว่า มหาภูตรูปปรากฏเป็นของใหญ่ มีอธิบายว่า รูปเหล่านั้น ปรากฏเป็นของใหญ่ในอนุปาทินนกสันดานบ้าง๑ ในอุปาทินนก- สันดานบ้าง๒ บรรดาสันดานทั้ง ๒ นั้น พึงทราบในอนุปาทินนกสันดานโดย ความเป็นของใหญ่อย่างนี้ จริงอยู่ จักรวาลหนึ่งยาวและกว้างถึง ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (หนึ่งล้าน สองแสนสามพันสี่ร้อยห้าสิบโยชน์) วัดโดยรอบ ตามคาถาที่ท่านประพันธ์ไว้ว่า สพฺพํ สตสหสฺสานิ ฉตฺตึส ปริมณฺฑลํ ทสญฺเจว สหสฺสานิ อฑฺฒุฑฺฒานิ สตานิ จ จักรวาลทั้งหมดมีสัณฐานกลม วัด โดยรอบได้ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์ (สามล้าน หกแสนหนึ่งหมื่นสามร้อยห้าสิบโยชน์). ในจักรวาลนั้น มีคาถาว่า ทุเว สตสหสฺสานิ จตฺตาริ นหุตานิ จ เอตฺตกํ พหลตฺเตน สํขาตายํ พสุนฺธรา แผ่นดินนี้ วัดโดยส่วนหนาได้เท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ (สองแสนสี่หมื่นโยชน์). แผ่นดินนั้นนั่นแหละมีน้ำรองแผ่นดิน (ดังคาถาว่า) จตฺตาริ สตสหสฺสานิ อฏฺเฐว นหุตานิ จ เอตฺตกํ พหลตฺเตน ชลํ วาเต ปติฏฺฐิตํ
น้ำรองแผ่นดินหนาถึง ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์ (สี่แสนแปดหมื่นโยชน์) ตั้งอยู่บนลม. แม้น้ำนั้นแหละก็มีลมรองอยู่ (ดังคาถาว่า) นว สตสหสฺสานิ มาลุโต นภมุคฺคโต สฏฺฐิญฺเจว สหสฺสานิ เอสา โลกสฺส สณฺฐิติ ลมสูงขึ้นสู่ท้องนภาถึง ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ (เก้าแสนหกหมื่นโยชน์) นี้เป็นการตั้ง อยู่ของโลก. ก็เมื่อโลกตั้งอยู่อย่างนี้ มีขุนเขาสิเนรุราช หยั่งลึกลงไปใน มหาสมุทรถึง ๘๔๐,๐๐๐ โยชน์ (แปดหมื่น สี่พันโยชน์) สูงขึ้นจากมหาสมุทรได้ ๘๔๐,๐๐๐ โยชน์ เหมือนกัน. มีภูเขาใหญ่ล้วนด้วยศีลาเป็นแท่งทึบ ๗ เทือก เหล่านี้ คือ ภูเขาชื่อวายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวิก ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธร ภูเขาวินตกะ ภูเขาอสัสกรรณ ล้วนวิจิตรด้วยรัตนะต่าง ๆ อันเป็นทิพย์ หยั่งลงในมหาสมุทร และสูงขึ้นจากมหา- สมุทรประมาณกึ่งหนึ่ง ๆ โดยประมาณที่ กล่าวไว้ทั้งข้างบนข้างล่าง โดยรอบขุนเขา สิเนรุราชนั้น ตามลำดับ* เป็นที่สิ่งสถิตของ มหาราชทั้งหลาย เป็นถิ่นประจำของหมู่เทพ และพวกยักษ์. ยังมีภูเขาชื่อหิมพานต์สูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ งดงามด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด ชมพูทวีปรุ่งเรืองแล้วด้วย อานุภาพแห่งต้นชมพูใด ต้นชมพู (ต้นหว้า) นั้นวัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ มีกิ่งลำต้น ยาว ๕๐ โยชน์รอบด้าน ว่างได้ร้อยโยชน์ สูงขึ้นร้อยโยชน์เหมือนกัน. อนึ่ง ประมาณแห่งต้นชมพูนี้อันใด ต้นจิตตปาฏลี (แคฝอย) ของ พวกอสูรก็ดี ต้นสิมพลี (ไม้งิ้ว) ของพวกครุฑก็ดี ต้นกทัมพะ (ไม้กระทุ่ม) ในทวีปอมรโคยานก็ดี ต้นกัลปพฤษ์ ในทวีปอุตตรกุรุก็ดี ต้นสิรีสะ ในทวีป ปุพพวิเทหะก็ดี ต้นปาริฉัตตกะในดาวดึงส์ทั้งหลายก็ดี ก็มีประมาณนั้นเหมือน กัน ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า ต้นปาฏลี (แคฝอย) ๑ ต้นสิมพลี (ไม้งิ้ว) ๑ ต้นชมพู (ไม้หว้า) ๑ ต้นปาริฉัตตกะ (ต้นทองหลาง) ของพวกเทพ ๑ ต้นกทัมพะ (ไม้กระทุ่ม) ๑ ต้นกัลปพฤกษ์ ๑ ต้นสิรีสะ (ไม้ซึก) เป็นที่ ๗ ภูเขาจักรวาลหยั่งลึกลงในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์ สูงพ้นมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์เหมือนกัน ทั้งหมดได้ตั้งแวดล้อมโลกธาตุ ไว้แล. (นี้ชื่อว่าสันดานของรูปที่ไม่มีใจครอง). แม้ในสันดานของรูปที่มีใจครอง (อุปาทินนกสันดาน) ก็ปรากฏ เป็นของใหญ่นั่นแหละด้วยอำนาจแห่งสรีระมีปลา เต่า เทพ และทานพเป็นต้น ข้อนี้สมดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน มหาสมุทร สัตว์ใหญ่ แม้ยาวตั้งร้อยโยชน์ก็มีเป็นต้น.
จากคุณ |
:
PUFF
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ต.ค. 52 19:39:27
|
|
|
|
 |