Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"โลก" ของพระพุทธเจ้า ใช่หรือไม่  

“แผ่นดินนี้มีน้ำรอง ใต้น้ำก็มีลม ลมนั้นหนาได้เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์สำหรับรองน้ำเอาไว้ ใต้ลมนั้นลงไปก็เป็น อากาศหาที่สุดไม่ได้ ที่สุดเบื้องต่ำก็เพียง ลม เท่านั้น”

นี่คือพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าตอนหนึ่งที่ทรงตรัสถึงรูปร่างหน้าตาโครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานของโลกเอาไว้ในพระสูตรคิริมานนทสูตร (พระสูตรคิริมานนทสูตรมีหลายเว็ปให้เลือก)

“อากาศหาที่สุดไม่ได้” ก็คือ “หลุมดำ” ใจแกนกลางของโลกและของดวงดาวต่างๆบนฟากฟ้าในห่วงอวกาศ และใจแกนกลางของ “ลมรองน้ำ” ลมรองน้ำที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วมหาศาล “เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์”หรือ “สิบห้าล้านสี่หมื่นกิโลเมตรต่อวินาที” เร็วกว่าความเร็วแสงมหาศาลกว่าห้าสิบเท่า
มิติหลุมดำอีกด้านที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามี แล้วกำลังค้นหาแสวงหาว่ามิติอีกด้านของหลุมดำที่พบเห็นบนฟากฟ้าในห่วงอวกาศนั้น คืออะไรและอยู่ที่ไหน
ก็คือ ใจแกนกลางของโลกและดวงดาวต่างๆบนฟากฟ้า นั้นเอง

ไอนสไตน์ได้ท้าทายกับชาวโลกไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดในหล้าจะเร็วกว่าแสง แต่พระพุทธเจ้าก็ท้าทายกับชาวโลกเช่นกันว่ามี มี มีสิ่งที่เร็วกว่าแสงถึงห้าสิบเท่า
นั้นก็คือ ความเร็วหมุนรอบตัวเองของ “ลมรองน้ำ” นี่ไง

ความเร็วแสงไม่สามารถเปิดประตูมิติได้ และไม่สามารถสร้างอุโมงค์รูหนอนได้ แต่ความเร็วหมุนรอบตัวเองของลมรองน้ำสามารถเปิดประตูมิติได้ และสามารถสร้างอุโมงค์รูหนอนเชื่อมโยงจากดวงดาวดวงหนึ่งไปยังดวงดาวอีกดวงหนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกลมหาศาลได้ และทำให้เส้นทางของอุโมงค์รูหนอนที่ไกลแสนไกลเป็นเพียงแค่ประตูมิติม่านดำบางๆที่บางแสนบางเท่านั้นเอง

“ลมนั้นหนาได้เก้าแสนสี่หมื่นโยชน์” ตัวเลขนี้ก็คือ ค่าคงที่หรือค่าความเป็นกลาง หรือ “ค่านิวตรอนของอะตอม”
ด้วยเหตุนี้ ลมรองน้ำจึงไม่ได้อยู่ในสถานะดั่งเช่นลมบนผิวเปลือกโลก
“ลมรองน้ำ” ก็คือ การวิ่งไล่กันของโปรตรอนกับอิเล็ดตรอน หรือการวิ่งไล่กันของหยินกับหยาง นั้นเอง

“แผ่นดิน” จะเคลื่อนตัวทวนเข็มนาฬิกาช้าๆตามกระแสคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า สวนทิศทางกับลมรองน้ำที่เคลื่อนตัวตามเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วค่าคงที่ ความเร็วของค่าคงที่ก็คือมีจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดของความเร็วหมุนรอบตัวเองเป็นจุดจุดเดียวกันเกิดขึ้นพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน โดยมี “น้ำรองแผ่นดิน” เป็นตัวกลางทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นหล่อเลี้ยงขั้นกลางการเคลื่อนตัวสวนทิศทางกันระหว่าง “แผ่นดิน” กับ “ลมรองน้ำ”

ลักษณะการเคลื่อนตัวสวนทิศทางกันระหว่างแผ่นดินกับลมรองน้ำ จะมีลักษณะเช่น ใบพัดหรือวงล้อรถยนตร์ เมื่อวงล้อรถยนตร์หมุนรอบตัวเองไปข้างหน้าด้วยความเร็วระยะหนึ่ง เราจะสังเกตเห็นว่าวงล้อจริงนั้นหายไป แล้วจะมีวงล้อเทียมเกิดขึ้นมาใหม่หมุนสวนทิศทางช้าๆกับวงล้อจริง เช่นเดียวกับเกลียวก้นหอยของสุริยะที่เราเห็นเป็นภาพนิ่งหรือกำลังเคลื่อนช้าๆแสนช้า แต่ความเป็นจริงเกลียวก้นหอยของสุริยะตัวจริงกำลังหมุนด้วยความเร็วมหาศาลด้วยค่าความเร็วที่คงที่เช่นเดียวกับลมรองน้ำ ภาพเกลียวก้นหอยของสุริยะที่เราเห็นจึงเป็นภาพที่เกิดจากคลื่นพลังงานไม่ใช่ภาพจริง ดั่งเช่นวงล้อเทียมของวงล้อรถยนตร์ที่วงล้อจริงหมุนรอบตัวเองไปข้างหน้า เช่นเดียวกับแผ่นดินผิวเปลือกโลกที่เคลื่อนตัวช้าๆทวนเข็มนาฬิกาตามกระแสคลื่นพลังงานของลมรองน้ำที่หมุนรอบตัวเองตามเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วสูงมหาศาลของค่าคงที่ โดยมี “น้ำรองแผ่นดิน” เป็นตัวหล่อลื่นขั้นกลาง

สรุป โครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมานี้ก็คือโครงสร้างของ “อะตอม” นั้นเอง
นักวิทยาศาสตร์พบว่า อะตอมคือสิ่งที่เล็กที่สุด แต่พระพุทธเจ้ากำลังท้าทายนักวิทยาศาสตร์ว่า อะตอม ก็คือ สิ่งที่ใหญ่ที่สุด เช่นกัน ฉันใดฉันนั้น

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่าจุดศูนย์กลางเกลียวก้นหอยของสุริยะจักรวาลนั้นคืออะไรและอยู่ที่ไหน โครงสร้างโลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมานี้จะเป็นคำตอบอธิบายด้วยเหตุผลทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ให้นักวิทยาศาสตร์ได้รู้เห็นและเข้าใจอย่างชัดเจนว่า จุดศูนย์กลางที่แท้จริงของเกลียวสุริยะจักรวาลแกแลตซี่ก้นหอยนั้นคืออะไรและอยู่ที่ไหน

ปีพ.ศ.2545 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบโลก ได้รับรางวัลโนแบลเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก แต่การค้นพบครั้งนี้นักวิทยาศาสตร์กลับอธิบายไม่ได้ว่าวงแหวนสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบโลกนั้น เกิดขึ้นจากอะไร และมีองค์ประกอบส่วนไหนของโลกเป็นเหตุให้เกิดขึ้น ทั้งๆที่นักวิทยาศาสตร์มีโครงสร้างองค์ประกอบระบบทำงานของโลกอยู่ในมือ นอกเสียจากโครงสร้างโลกที่นักวิทยาศาสตร์มีนั้น มันผิด

โลกในตำราเรียนที่แพร่หลายอยู่ทั่วโลก ไม่สามารถให้คำตอบหรืออธิบายสิ่งต่างๆของโลกได้เลยแม้กระทั้ง โลกหมุนรอบตัวเองได้อย่างไร โลกมีแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงได้อย่างไร มีอะไรหรือองค์ประกอบส่วนไหนของโลกให้เป็นเหตุ แต่โลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมานี้นั้นสามารถให้คำตอบและอธิบายกับปริศนาทุกๆสรรพสิ่งได้อย่างชัดเจน

ผมกำลังสับสนไม่รู้จะบอกตนเองและลูกๆหลานๆเยาวชนรุ่นใหม่อย่างไรดี เรากำลังอยู่โลกใบไหนกันแน่ บางครั้งเห็นคำถามเกี่ยวกับการหมุนรอบตัวเองของโลก คำถามแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงของโลกจากผู้อื่น ได้แต่ทำตาปริบๆ หมดสิทธิ์ให้คำตอบเขา อย่างที่ตนเองเข้าใจ เพราะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน โลกที่ตนเองอาศัยอยู่มันคนละใบกันกับคนทั้งโลกอาศัยอยู่ ชีวิตเลยโดดเดียวกับโลกที่ตนเองเชื่ออยู่คนเดียว

โลกในตำราเรียนที่มีอยู่ทั่วโลก เกิดจากสมมติฐานความน่าจะเป็นทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์
แต่โลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมานี่ล่ะ เอ้อ เอ้อ เอาสิ เอาสิ ใครรู้บ้าง พระพุทธเจ้ารู้ได้ไง โลกที่พระพุทธเจ้าแสดงมานั้น จริงเท็จแค่ไหน

จึงกราบเรียน สมาชิกและท่านผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญทุกๆท่าน ได้โปรดพิจารณา ด้วยเพราะผมด้อยการศึกษาไม่สามารถอธิบายด้วยวิชาการได้มากกว่านี้
ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งจะได้รับการพิจารณาจากทุกๆท่าน บนโลก แสดงความคิดเห็น คำแนะนำของเพื่อนสมาชิก ไม่ว่าจะดุด่าติเตียนติชม ต่อเติมเสริมแต่งต่างๆนาๆอย่างไรก็ตาม ผมน้อมรับเสมอทั้งสองด้านของจิตใจเพื่อนมนุษย์ เพื่อเป็นข้อมูลพิสูจน์ว่า ผมกำลังเข้าใจผิดหรือกำลังเข้าใจถูก

จากคุณ : พระจันทร์มืด999
เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 52 18:12:06 A:125.25.148.222 X:




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com