ความคิดเห็นที่ 1 ประเด็นของคำถามนี้อาจแบ่งย่อยได้เป็นสองกรณี คือ กรณีผู้ทำการทดลองด้วยตนเอง และกรณีผู้ไม่ได้ทำการทดลองด้วยตนเอง ลองสมมติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่ง คุณครู  :                  ...จากผลการทดลองเรื่องหลอดรังสีแคโทดของทอมสัน พบว่า ค่าประจุต่อมวลของอิเล็กตรอนเท่ากับ 1.76 x 108 คูลอมบ์ต่อกรัม... Look-Sky-Walker :   คุณครูครับ! แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าเท่ากับ 1.76 x 108 จริง? คุณครู (ไม่สนใจ)  :   ...และต่อมา จากการทดลองด้วยวิธีเม็ดน้ำมันของมิลลิแกน ได้ผลว่าอิเล็กตรอนมีประจุเท่ากับ 1.602 x 10-19 คูลอมบ์... Look-Sky-Walker :    นั่นสิครับ! แล้วแต่ทำไมมันถึงเท่ากับ 1.602 x 10-19 ล่ะ? คุณครู  :                   ... อืม... แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เราได้รับมานั้นถูกต้องจริง ในเมื่อเราไม่ได้ทำการทดลองด้วยตัวเอง? Question: เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมานั้นถูกต้องจริง ถ้าไม่ได้ทำการทดลองด้วยตัวเอง Question: การรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความเชื่อหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 05:40:24 แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 05:39:41 จากคุณ : Look-Sky-Walker เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 05:37:50

ความคิดเห็นที่ 2 (เหตุการณ์ต่อมา) คุณครู  :             เอาล่ะๆ ก็ได้ งั้นครูจะพาเธอทำการทดลองแล้วกัน... นักเรียนทั้งห้อง  :  เยส! โอ้เย้! เย๊ว! ย๊ากกก! (ดีใจที่ไม่ต้องเรียน) หลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาที อุปกรณ์สำหรับทำการทดลองก็วางกันพร้อมเพรียงเรียงหน้า คุณครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มและทำการทดลองร่วมกัน จากนั้นจึงบันทึกผลและออกมารายงานหน้าชั้นเรียน ทุกอย่างเป็นโดยเรียบร้อยดี และผลการทดลองที่ได้ก็ใกล้เคียงกับทฤษฎีในหนังสือในระดับที่ยอมรับได้ คุณครู  :                   เป็นไงล่ะ? ทีนี้พอจะเชื่อหรือยังว่าที่เขียนไว้ในหนังสือมันถูกต้องจริงๆ? Look-Sky-Walker  :   ครับๆ ผมพอจะเชื่อแล้วล่ะ แต่ เอ... แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผลการทดลองนั้นไม่ได้หลอกเรา? อืม... เป็นคำถามที่ตอบยากทีเดียว ลองจินตนาการถึงสมัยก่อนมีการคิดค้นกฎของนิวตันขึ้น มีชายผู้หนึ่งพยายามทำการทดลองเรื่องการโยนวัตถุหนักและวัตถุเบาลงสู่พื้น โดยวิธีการทดลองของเขาคือ ใช้ลูกเหล็กกลมและกระดาษปั้นก้อนกลมที่ปริมาตรเท่ากัน โยนลงสู่พื้นจากความสูงระดับหนึ่ง แล้วสังเกตว่าวัตถุไหนจะตกลงถึงพื้นก่อนกัน ผลการทดลองปรากฏว่า ลูกเหล็กตกถึงพื้นก่อนก้อนกระดาษ! เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีความรู้เรื่องแรงดันอากาศที่ส่งผลต่อผิวโลหะและกระดาษ เขาจึงสรุปว่า "วัตถุหนักจะตกถึงพื้นก่อนวัตถุเบา" เขาโดนผลการทดลองหลอกเข้าเต็มๆเปา! แต่! แต่! แต่! (หลายแต่จริงๆ) แม้แต่ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้าถึงระดับนี้ ก็ไม่แน่ว่าผลการทดลองทุกอย่างจะถูกต้องสมบูรณ์และเชื่อได้ถือทั้งหมดเสมอไป บางทีอาจมีทฤษฎีนับร้อยที่ยังไม่ค้นพบ เกี่ยวข้องและส่งผลต่อการทดลองโดยตรง อย่างเช่น ในอนาคตข้างหน้า อาจมีการค้นพบว่าตัวแปรที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับผลการทดลอง เช่น (อันนี้เพ้อเจ้อนิดนึง) มิติของเวลา มีผลกระทบต่อการทดลองอย่างมีนัยสำคัญก็ได้ เอาล่ะ... มาสรุปเป็นคำถามเลยดีกว่า Question: เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้กำลังโดนผลการทดลองหลอกเอา จากคุณ : Look-Sky-Walker เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 05:44:42

ความคิดเห็นที่ 3 จากทั้งสองกรณีที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่ได้ทำการทดลองหรือผู้ที่ทำการทดลองโดยตรง ก็ยังไม่สามารถเชื่อมั่นได้ 100% ว่าข้อมูลที่ได้รับมาและสิ่งที่ตาเห็น (ผลการทดลอง) นั้น เป็นจริงและถูกต้องโดยสมบูรณ์ การที่จะนำข้อมูลและผลการทดลองไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ บางทีอาจมีความจำเป็นที่จะต้อง "เชื่อ" สิ่งเหล่านั้นในระดับหนึ่ง แต่ผลในทางตรงกันข้ามก็คือ เราอาจถูกตรรกะที่แนบเนียนของมันหลอกเอาได้ และในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะพัฒนาก้าวหน้าไปถึงระดับไหน สุดท้ายแล้วก็จะยังมีสิ่งที่ลึกและเป็นพื้นฐานยิ่งกว่าที่เราไม่รู้และเอื้อมไม่ถึงอยู่เสมอ และเราก็ต้องเผชิญกับคำถามซ้ำๆเดิมๆไม่รู้จบที่ว่า "เราจะเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ได้แค่ไหน?" หรือบางที ความเชื่อก็เป็นพื้นฐานและเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของวิทยาศาสตร์? ขอโยนคำถามชุดสุดท้ายแล้วกันครับ: Question: วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่ Question: ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ เหมือนความเชื่อด้านอื่นๆหรือไม่ Question: วิทยาศาสตร์ ถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่ จากคุณ : Look-Sky-Walker เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 05:46:52

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อมูลและข้อคิดเห็นบางส่วนของผมอาจหลงประเด็นบ้าง และเยิ่นเย้อไปบ้างต่างๆนาๆ ก็ต้องขออภัยล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วย ท่านใดเห็นส่วนไหนผิดพลาดก็ทักท้วงกันได้ครับ สรุปประเด็นคำถาม: Question 1: เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวิทยาศาสตร์ที่เราใช้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด Question 2: เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมานั้นถูกต้องจริง Question 3: การรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความเชื่อหรือไม่ Question 4: เราแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้กำลังโดนผลการทดลอง (ทางวิทยาศาสตร์) หลอกเอา Question 5: วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่ Question 6: ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ เหมือนความเชื่อด้านอื่นๆหรือไม่ Question 7: วิทยาศาสตร์ ถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่ หรืออาจแสดงความคิดเห็นในประเด็นกว้างๆ คือ "วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่?" ก็ได้ครับ เชิญทุกท่านแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่! ปล. 1: ขออภัยเล็กน้อยที่ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับกระทู้ (อิอิ) ปล. 2: ผมขอไปนอนก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวตื่นจะกลับมาดูใหม่ จากคุณ : Look-Sky-Walker เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 05:52:32

ความคิดเห็นที่ 5 เพิ่มเติมเล็กน้อย: แม้แต่คณิตศาสตร์ที่พิสูจน์ด้วยตรรกะล้วนๆและปราศจากการทดลองเข้ามาอ้างอิง ก็ยังมีคำถามเชิงปรัชญาที่ว่า "แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตรรกะที่ใช้พิสูจน์นั้นถูกต้อง?" จากคุณ : Look-Sky-Walker เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 05:57:08

ความคิดเห็นที่ 6 "เราจะนำคำตอบใดไปตอบท่านได้ ราชาแห่งความสงสัย"                                                                        มายองเนส หลุยส์ เปเรซ ที่12 จากคุณ : ท่านประธานบริษัท เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 07:09:45

ความคิดเห็นที่ 7 "What science really offer is not facts, but understanding; not answers, but contingency plans." (Ian Stewart and Jack Cohen) จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 07:41:04

ความคิดเห็นที่ 8 อ่านไม่จบนะครับ กำลังจะไปมหาลัย ท่านเจ้าของกระทู้ลืมไปว่า science is the system of best estimates ค่าทุกค่าในวิทยาศาสตร์เป็นค่าประมาณครับ ตัวแปรบางตัวก็สามารถตัดทิ้งตอนคิดได้ เพราะมัน insignificant หรือไม่มีผลครับ ยกเว้นค่าที่มนุษย์ตั้งขึ้นเพื่อเปรียบเทียบไม่ได้เป็นค่าประมาณ เช่น น้ำ 1L หนัก 1Kg แต่วิทยาศาสตร์ก็ดีกว่าพวกนักปราชย์สมัยก่อนที่เอาแต่นั่งเทียนเอา ไม่มีการทดลองนะ ถึงจะไม่จริง 100% แต่มันก็ใกล้เคียงสุดครับ แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 07:47:54 จากคุณ : Epsilon5th เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 07:47:07

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่เชื่อก็ไม่บาป ไม่ตกนรก และไม่จำเป็นถ้าไม่ได้อยู่ในสายงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าสงสัยในความถูกต้อง สามารถทำการทดสอบซ้ำได้ พึงระลึกว่าผลการทดสอบ ย่อมสัมพัทธ์กับวิธีการทดสอบเสมอ นักวิทยาศาสตร์ย่อมรู้ขอบเขตของการทดสอบและขอบเขตของการแปลผลการทดสอบ ข้อเท็จจริง (fact) ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงเสมอไป (truth) แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 07:51:34 จากคุณ : PUFF เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 07:50:51

ความคิดเห็นที่ 10 วิทยาศาสตร์พิสูจน์ ธรรมชาติที่เราอยู่ด้วยกับมัน ถ้ากาทดลองหลอกเราได้ แสดงว่า ธรรมชาติก็เป็นตัวแปรลวง และหลอกเราได้ จากคุณ : IRQ5 เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 08:21:08

ความคิดเห็นที่ 11 วิทยาศาสตร์ยอมให้คุณสงสัยและพิสูจน์ ที่เหลือคุณก็ใช้วิจารณญานก็แล้วกัน จากคุณ : Away from Thailand เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 08:25:35

ความคิดเห็นที่ 12 Look-Sky-Walker ทุกคำบอกเล่า ถ้าคุณเชื่อถือ ไม่ว่าจะจากปากใครหรือหนังสือเล่มใด นั่นคือความเชื่อ แต่ถ้าคุณนำความเชื่อนั้นมาทดลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง หรือใช้งานจริงทำซ้ำๆ ทำกี่ครั้งก็เป็นจริง นั่นคือวิทยาศาตร์ ดังนั้นถ้าคุณเอาแต่ถามแล้วนั่งดูเฉยๆคุณก็เป็นแค่ อีกคนหนึ่งที่เชื่อ ไม่ว่าจะเชื่อ คนที่บอกว่าตัวเองเห็นนักวิทยาศาตร์ หรือ เชื่อคนที่บอกว่าตัวเองเป็น มนุษย์ดาวอังคารกลับชาติมาเกิด ปล.บางคน ก็เชื่อโดยไม่เคยคิดอะไรแถมยังหัวชนฝา จึงมีคำกล่าวว่า "งมงาย" จากคุณ : ทำไมต้องเชื่อใคร (Humandroy) เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 08:39:28

ความคิดเห็นที่ 13 Question 1: เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวิทยาศาสตร์ที่เราใช้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด Question 2: เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมานั้นถูกต้องจริง Question 3: การรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความเชื่อหรือไม่ A : เราไม่สามารถมั่นใจอะไรได้จริงๆเลยครับ ถ้าคิดแบบที่จขกท.ยกตัวอย่างขึ้นมา ในอดีตมีนักปรัชญาคนหนึ่งที่คิดแนวนี้ คือ David Hume ที่มาพร้อมแนวคิดแบบวิมัตินิยม(Skeptic)สุดขั้ว ถึงขนาดที่ว่า มนุษย์ต้องระวังทุกย่างก้าวที่เดิน เพราะไม่รู้ว่าก้าวต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น (มีการยกตัวอย่างง่ายๆว่า Humeไม่อาจแน่ใจได้ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออกหรอไม่ในวันพรุ่งนี้) แต่ถ้าเรายอมให้ความจริงอยู่แค่ในระดับของความน่าจะเป็น(ซึ่งโดยปกติเราก็ทำอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากิจวัตรประจำวัน) วิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถพิสูจน์และให้ค่าความน่าจะเป็นที่แน่นอนในระดับที่ยอมรับได้มากกว่าศาสตร์อื่นๆ เช่น ศาสนา โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ฯลฯ ความเชื่อหรือความจริงต่างเป็นแค่ชื่อเรียกครับ เพราะมนุษย์มีขีดจำกัดในเรื่องการรับรู้อนาคต ถ้าเป็นพวกวิมัตินิยม เขาก็เห็นว่าเรามีชีวิตอยู่โดยอ้างอิงความเชื่อ เพราะตอนนี้ยังไม่มีทฤษฎีใดๆจริง100%ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต(จริงแบบReality ซึ่งขณะนี้ยังหาไม่เจอเลยครับ) แต่ถ้าในทางวิทยาศาสตร์ แค่ทดลองหลายๆครั้ง หรือทฤษฎีมีความแม่นยำทางคณิตศาสตร์ ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้แล้ว(จริงแบบTruth,probability) วิทยาศาสตร์จึงไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้ เพียงแต่เป็นปัญหาเรื่องภาษากับมโนทัศน์ของมนุษย์เท่านั้น(Logical positivism) Question 4: เราแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้กำลังโดนผลการทดลอง (ทางวิทยาศาสตร์) หลอกเอา A: เพราะวิทยาศาสตร์มีความเชื่อ(แบบที่มีการทดลองและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มารองรับ) ว่าธรรมชาติมีความสม่ำเสมอ ทุกอย่างในจักรวาลนี้อยู่ใต้กฎชุดหนึ่ง รองรับทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และยังมีความเชื่อ(ซึ่งก็เกิดจากความเข้ากันได้ในการทดลองจริงหลายต่อหลายครั้ง) ว่าคณิตศาสตร์เป็นภาษาสากลของจักรวาล สิ่งที่คณิตศาสตร์คำนวณได้จะสะท้อนความเป็นจริงของจักรวาลเสมอ ทั้งหมดนี้คือแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ ดังนั้นเมื่อธรรมชาติมีความสม่ำเสมอ การทดลองซ้ำๆกันกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์จะเปิดเผยให้เห็นถึงระดับของความน่าจะเป็นของปรากฏการณ์ต่างๆ โดยที่ธรรมชาติไม่สามารถซ่อนหรือหลอกเราได้ แต่ถ้าไม่เชื่อ ก็เท่ากับว่าหลุดกรอบของวิทยาศาสตร์ไปแล้วล่ะครับ Question 5: วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่ A: จำเป็น เพราะเมื่อลงไปถึงแนวคิดพื้นฐานที่สุดอย่างความเป็นระเบียบของจักรวาล กับความแม่นยำของคณิตศาสตร์แล้ว มนุษย์ก็มาถึงขีดจำกัดที่ไม่สามารถตรวจสอบได้อีก แต่จะแปลกอะไร ในเมื่อหากพูดในแนวทางนี้ ทุกเรื่องรอบตัวมนุษย์ก็ตรวจสอบไม่ได้ทั้งนั้น เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราไม่ได้เป็นสมองในถัง ( http://plato.stanford.edu/entries/brain-vat/ ) หรือเป็นเพียงฝันของพระพรหม(อันนี้อยู่ในแนวคิดเรื่องมายา ของศาสนา พราหมณ์-ฮินดู) เราก็รู้ได้แค่ว่า"มีบางสิ่งกำลังสงสัยอยู่" (I think , therefore I am ของ Descartes นั่นแหละ) Question 6: ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ เหมือนความเชื่อด้านอื่นๆหรือไม่ A: ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความเชื่อที่พิสูจน์ด้วยวิธีทางอุปนัย แต่ความเชื่อในอีกความหมายหนึ่งไม่ต้องการการพิสูจน์ใดๆ เพียงแค่เชื่อเท่านั้น และความเชื่อในทางวิทยาศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงได้จากหลัก Falsification ของ Karl Popper ครับ Question 7: วิทยาศาสตร์ ถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่ A: ในทางปรัชญาคิดแบบนั้นครับ อันนี้ฟังอาจารย์มาไม่ละเอียดเท่าไหร่ แต่มีการชี้ให้เห็นถึงการอ้างตัวเองของวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับพื้นฐาน ----------------------------------------------------------------------------------- ประมาณนี้แหละครับ อธิบายไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ แต่อยากให้ลองเอาKeyword ไปค้นหาอ่านเพิ่มดู เพราะในต่างประเทศมีการโต้เถียงประเด็นพวกนี้เยอะพอสมควร แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 10:58:06 แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 10:51:26 แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 10:50:26 แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 08:42:34 จากคุณ : NeoBahamut เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 08:42:12

ความคิดเห็นที่ 14 กระบวนการคิดแบบวิทยาศาสคร์ กระบวนการพิสูจน์ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ แล้วสุดท้ายกระบวนการสรุปผลแบบวิทยาศาสตร์ ทั้งสามกระบวนการของวิทยาศาสตร์ ยินยอมให้สงสัยและพิสูจน์ล้มล้างได้ตลอดเวลาค่ะ .. วิทยาศาสตร์ จึงเป็นศาสตร์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และพร้อมที่จะเกิดทฤษฏีต่างต่างมากมายตลอดเวลา ดังนั้นทฤษฎีใดที่ผ่านมายาวนานได้ป่านนี้โดยยังไม่มีผู้ใดมาหักล้างได้นั้น เราจึงอาจยึดถือได้ว่า สิ่งนั้นเป็นจริงน่าเชื่อถือได้นะคะ.. เพราะวิทยาศาสตร์ รอให้คุณพิสูจน์ตลอดเวลาค่ะ.. จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 09:06:52

ความคิดเห็นที่ 15 มันก็ถูกเท่าที่คุณเห็น นั่นแหละ อะไรที่ไม่เห็น ก็ยังบอกไม่ได้ ว่าถูกมั้ย แล้ว จะเรียกว่า ของจริง หรือของปลอม มัน ต่างก็หลอกคุณอยู่เหมือนกัน เป็นความเชื่อมั้ย เชื่อได้มากกว่าอย่างอื่น เพราะมีกระบวนการค้านอยู่ หรือตรวจสอบอยู่ อย่างเต็มรูปแบบ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 09:08:32

ความคิดเห็นที่ 16 จงเชื่อในสิ่งที่อธิบายได้นะโยมนะ จากคุณ : FOXTROT เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 09:38:57

ความคิดเห็นที่ 17 post modern รึเปล่าครับเนี่ย -0- จริงๆตรงนี้พูดถึงวิทยาศาสตร์นะครับ แต่ผมกลับนึกถึงองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา "กาลามสูตร" http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3 แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ยังสามารถถูกล้มล้างได้ด้วยทฤษฎีที่เกิดขึ้นในภายหลังเลยครับ ยิ่งนานมนุษย์ยิ่งเรียนรู้ แต่ยิ่งรู้มนุษย์ยิ่งดำดิ่งสู่ความมืดมิด วิทยาศาสตร์อาจจะเป็นแค่ Honey pot ที่ล่อหลอกให้มนูษย์ทำลายตัวเองก็ได้นะครับ ps แต่ก็นะ ถ้าไม่มีมัน เราคงไม่มี pantip ให้ได้เจอกันน่ะสิเนี่ย ps2 เราอาจจะนั่งทางในส่งโทรจิตสื่อสารกันแทน ================================ #12 ครับ บางครั้งการทดลองซ้ำๆหลายๆครั้งได้ผลเหมือนกัน แต่กลับไม่เป็นจริงก็มีนะครับ เพราะทุกอย่างล้วนมี error เพียงแค่จะ error ในระดับมากน้อยแค่ไหน และ error ที่น่ากลัวที่สุดคือ human error นั่นเอง (ยิ่ง ego สูง ผลของ error ยิ่งน่ากลัว -*-) #14 ครับ "ทฤษฎีจะยังคงเป็นจริงจนกว่าจะถูกล้มล้าง" ใช่ไหมครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 09:48:21 แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 09:44:46 จากคุณ : Chocolate`Browny (guta_me) เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 09:40:55

ความคิดเห็นที่ 18 Question 1: เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวิทยาศาสตร์ที่เราใช้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด Question 2: เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมานั้นถูกต้องจริงquestion Question 3: การรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความเชื่อหรือไม่question Question 4: เราแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้กำลังโดนผลการทดลอง (ทางวิทยาศาสตร์) หลอกเอาquestion ข้อ 1-4 ถ้าถูกต้องที่สุดหมายความถึง Absolute truth ก็ตอบว่า ไม่ได้ เพราะเราไม่มีทางรับรู้ความจริงได้โดยไม่ผ่านประสาทสัมผัสของเรา ในระดับที่ใหญ่เกินหรือเล็กเกินกว่าที่ประสาทสัมผัสรับรู้ได้โดยตรง ก็ต้องรับรู้(ผ่านเป็นทอดๆ)จากเครื่องวัดเครื่องมือต่างๆแทน ประสาทสัมผัส หรือเครื่องมือเครื่องวัด ย่อมมีเขตจำกัดของความสามารถในการรับ เช่น ขนาดที่เล็กในระดับ plank scale ของสตริงก์ ทำให้ไม่มีทางพิสูจน์ได้โดยตรงว่าสตริงก์มีจริง นอกจากตัวเลขบนกระดาษ และผลการทำนายที่ก็ต้องตรวจสอบผ่านปรากฏการณ์ที่เกิดเป็นทอดๆๆๆ หลายทอดมาก จนถึงระดับที่เครื่องมือวัดรับรู้ได้ วิทยาศาสตร์ จึงทำได้มากที่สุดเพียงสร้างสมมุติฐาน แล้วพิสูจน์ว่าสมมุติฐานนั้นสามารถใช้ทำนายผลได้ใกล้เคียงความเป็นจริง และยอมรับเป็นทฤษฎี เพื่อใช้อธิบายความเป็นไปต่างๆ และพยายามสร้างสมมุติฐานใหม่ขึ้นเพื่อปรับปรุงหรือล้มล้างทฤษฎีเดิม เพื่อให้ได้ทฤษฎีใหม่ที่ใกล้ธรรมชาติมากขึ้นๆ แต่สิ่งที่ยอมรับกัน ก็จะเป็นสิ่งที่ "ใกล้เคียง" ความเป็นจริงมากที่สุด เท่าที่วิทยาการในขณะนั้นจะทำได้ Question 5: วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่question Question 6: ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ เหมือนความเชื่อด้านอื่นๆหรือไม่question ขอกระแดะใช้ภาษาอังกฤษนะครับ เพราะสามารถแจกแจงความหมายได้ดีกว่า และไม่ดิ้นแบบภาษาไทย ความเชื่อมันเป็นได้ทั้ง Faith และ Belief อย่างแรก เป็นความเชื่อที่ไม่ต้องมีเหตุผล ก็จะเชื่อซะอย่างอ่ะ อย่างหลัง เป็นความเชื่อ ที่มีเหตุผลเป็นหลังพิง คงได้คำตอบแล้ว Question 7: วิทยาศาสตร์ ถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่question เป็นแล้วเป็นไง ไม่เป็นแล้วเป็นไง มันจะเปลี่ยนวิทยาศาสตร์ไปหรือเปล่า ถ้าไม่ สนใจไปใย จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 09:43:16

ความคิดเห็นที่ 19 น้องหลิว เอ๊ย...ไม่ใช่ กระทู้นี้น่าสนใจครับ เหมือนแอ๊ปเปิ้ลกับไมโครซอฟท์ เหมือนไนกี้กับอะดีดาส เหมือนวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ ผมคิดว่า จขกท. อุปมาอุปมัยผิดนะครับ จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 09:47:13

ความคิดเห็นที่ 20 วิทยาศาสตร์เป็นวิธีการเสาะหาความจริง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง สังเกตให้ดี ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะต้องประกอบด้วยค่าความเบี่ยงเบนเสมอ ที่ต้องมีค่าความเบี่ยงเบนก็ตามคุณ KL ยกมา เพราะมันเป็นการประมาณการ วิทยาศาสตร์ ตัวแม่ไม่ใช่ความเชื่อ แต่เพราะเราเป็นมนุษย์เราจึงมีความเชื่อ วิทยาศาสตร์ ที่ถูกความเชื่อครอบงำก็กลายเป็นลัทธิ เป็นศาสนา เป็นความงมงาย และไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เพียงแต่มันถูกเรียกโดยเหล่าผู้งมงายว่าวิทยาศาสตร์ และเพราะเราเป็นมนุษย์ เราคงไม่อาจตัดขาดจากความเชื่อได้ วิทยาศาสตร์ มันก็เลยเป็น ความเชื่อที่มีหลักเกณฑ์น่าเชื่อถือ ผ่านกระบวนการคิดตาม ตรรกะที่สามารถทดสอบซ้ำได้ โดยมีการบันทึกสภาพการทดสอบอย่าง ละเอียดชัดเจน และเพราะเราใช้ตรรกะเป็นหลัก สิ่งที่เชื่อนี้จึงเปลี่ยนแปลง ได้ นิยายฉบับย่อ โลกแบน นักเกรียน: เรารู้ได้อย่างไรว่าโลกกลม คุณครู: เพราะเรามีการออกอวกาศถ่ายรูปของโลกกลับมา นักเกรียน: คุณครูครับ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่ถ่ายรูปไม่ได้ถูกทำ photoshop คุณครู: ครูก็ไม่รู้ นักเกรียน: คุณครูครับ ถ้าอย่างนั้นจริงๆแล้วโลกอาจแบนก็ได้ คุณครู: แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นละตก การหมุนของดาวบนท้องฟ้าตอนกลางคืน และมุมของเงาที่ ต่างกันบนพื้นที่ๆห่างกัน etc etc etc นักเกรียน: คุณครูครับ แต่ถ้าเพราะพระเจ้าทำให้พระอาทิตย์ อยู่ใกล้ๆโลก และจัดดาวให้หมุนบนฟ้าล่ะ คุณครู: แล้วพระเจ้าจัดยังไง มีแรงอะไรมาทำล่ะ นักเกรียน: คุณครูครับ อิทธฤทธิ์ครับ คุณครู: แล้วระหว่างเชื่อเรื่องอิทธฤทธิ์กับคำอธิบายเรื่องโลกกลม อะไรสมเหตุสมผลกว่ากัน นักเกรียน: คุณครูครับ แต่ถ้ายังไม่พิสูจน์จนประจักษ์ชัด ผมย่อมมีสิทธิ์ที่จะเชื่อ คุณครู: ใช่ เธอมีสิทธิ์ที่จะเชื่อ แต่นี่คือวิชาวิทยาศาสตร์ เธอต้องอธิบายให้มีเหตุผล หรือหลักฐานรองรับ ไม่ใช่อ้างสิ่งเลื่อนลอยที่พิสูจน์ไม่ได้ นักเกรียน: งั้นผมจะฟ้องเพราะครูละเมิดความเชื่อของผม คุณครู: การที่เธอมีสิทธิ์จะเชื่อนั่นก็ถูก แต่วิทยาศาสตร์ที่เธอเรียน มันเกี่ยวกับความสมเหตุสมผล ถ้าเธอจะให้เชื่อว่าโลกแบน เพราะพระเจ้าสร้างไว้ เธอมีผลการทดลองอะไรที่สนับสนุน1ว่าพระเจ้ามีจริงแล้วหรือยัง ปัญหาความเชื่อเรื่องโลกแบนเป็นอีกตัวอย่างของการโต้แย้งด้วยเหตุผลวิบัติ ซึ่งมีการใช้หลายรูปแบบทั้ง การใช้แบบ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าฉันผิดแปลว่าฉัน ถูก (พระเจ้า) หรือการจับผิดว่าเพราะคำตอบวิทยาศาสตร์ไม่สมบูรณ์ หลัก ฐานไม่ประจักษ์ แปลว่าวิทยาศาสตร์ผิด ถ้าเราไปใช้การบังคับ หรือไปเรียก วิทยาศาสตร์ว่าเป็นความจริงประจักษ์ เราก็กำลังใช้เหตุผลวิบัติอยู่เช่นกัน การจัดการกับเหตุผลวิบัติเราต้องเริ่มจากการแยกแยะความเชื่อที่มีเหตุผล รองรับกับความเชื่อที่ยกมาลอยๆ และอธิบายความหมายของวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างวิธีการทำความเข้าใจกับความเชื่อว่าโลกแบน http://www.indiana.edu/~ensiweb/lessons/flaterth.html ตำราวิเคราะห์เหตุผลวิบัติ นอกเหนือจากที่คุณ Cryptomnesia เคยตั้งไว้ เหตุผลวิบัติเป็นพื้นฐานของการโต้แย้งโดยดึงออกจากตรรกะที่ถูกต้อง ซึ่ง มนุษย์เรามีการใช้อย่างแพร่หลายมาก ลักษณะคำถามของ ครูกับนักเรียน ของ จขกท จริงๆก็จะวนอยู่กับเหตุผลวิบัติที่ใช้ด้วยความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึง การณ์ของนักเรียน และก็จะมีบางส่วนที่แถเอาชนะคะคานโดยนักเกรียน http://www.entish.org/fallacies.html http://www.geocities.com/Athens/Olympus/7695/FALLACYS.HTM 1. แก้ไขจากพิสูจน์ เป็นสนับสนุน การให้พิสูจน์เรื่องพระเจ้าก็ถือเป็นเหตุผลวิบัติในการเอาชนะเช่นกัน เขียนแบบไม่ให้มีเหตุผลวิบัตินี่ยากจริงๆครับ แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 11:25:52 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 10:17:55

ความคิดเห็นที่ 21 "...และก็จะมีบางส่วนที่แถเอาชนะคะคานโดยนักเกรียน..." ชอบประโยคนี้จังแฮะ ^^ว จากคุณ : Chocolate`Browny (guta_me) เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 10:25:28

ความคิดเห็นที่ 22 เห็นด้วยกับคุณพริมจังอย่างหมดใจครับ คล้ายๆ แนวคิดเรื่อง "Paradigm Shift" ของ Thomas Khun ครับ "Though each may hope to convert the other to his way of seeing science and its problems, neither may hope to prove his case. The competition between paradigms is not the sort of battle that can be resolved by proof." Source: http://en.wikipedia.org/wiki/Paradigm_shift http://en.wikipedia.org/wiki/The_Structure_of_Scientific_Revolutions แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 10:28:25 จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 10:27:59

ความคิดเห็นที่ 23   เนื่องด้วยพี่เอง ก็เคยผ่านช่วงเวลาที่คิดว่าจริง ๆ โลกแบน แต่เราโดนหลอกทั้งโลกมาแล้ว พี่จึงขอตอบคำถามน้องตามประสบการณ์นะคะ Question 1: เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวิทยาศาสตร์ที่เราใช้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด Answer 1: ห้ามมั่นใจ แต่ไม่ปฏิเสธ จนกว่าเราจะเจอผลการทดลองที่ขัดแย้ง Question 2: เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมานั้นถูกต้องจริง Answer 2: ไม่เชื่อ แต่ไม่ปฏิเสธ จนกว่าจะเจอผลการทดลองที่ขัดแย้ง Question 3: การรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความเชื่อหรือไม่ Answer 3: รับฟัง แต่ไม่ฝังใจ Question 4: เราแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้กำลังโดนผลการทดลอง (ทางวิทยาศาสตร์) หลอกเอา Answer 4: การจะแน่ใจว่าผลการทดลองไม่ผิด ต้องใช้สมองพิจารณา ตัวแปรควบคุม วิธีการทดลอง วิธีการวัดค่า วิธีการแปรผล เพราะในโลกนี้ (เคยได้ยิน Prof บอกว่า) ผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์กว่า 60% สรุปผลผิด  แต่สิ่งที่ถูก สุดท้ายมันจะเผยตัวออกมา Question 5: วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่ Answer 5: วิทยาศาสตร์ อาศัยความไม่เชื่อ ความช่างสงสัย ความคิดที่เป็นระบบ และจินตนาการ Question 6: ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ เหมือนความเชื่อด้านอื่นๆหรือไม่ Answer 6: นักวิทยาศาสตร์ก็มีความเชื่อเหมือนกัน แต่เชื่อในสิ่งที่ทดลองซ้ำได้ผลเหมือนเดิม (หรือคำนวนเป็นสถิติได้เท่าเดิม) แต่ความเชื่ออย่างอื่นเช่นความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ทดลองซ้ำได้ผลเดิมไหม  ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาพูดกัน Question 7: วิทยาศาสตร์ ถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่ Answer 7: เป็นความเชื่อในตรรกะ เหตุผล และปัญญา จากคุณ : Black-White&Gray เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 10:28:45

ความคิดเห็นที่ 24 ส่วนปัญหาที่ถกเถียงกันอยู่ก็คือการนำเอากระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้กับทางด้านสังคมศาสตร์เป็นสรณะแค่นั้นเองครับ ลองอ่านบทความของอาจารย์วีระดู มีแต่วิทยาศาสตร์เท่านั้นหรือที่เป็นวิธีวิทยา พอล ฟายเออราเบนด์ (Paul Feyerabend) นักปรัชญาวิทยาศาสตร์ เขาเขียนหนังสือชื่อ Against Method เป็นหนังสือที่เน้นคำขวัญว่า "อะไรก็ได้ (Anything goes)" และต้องการต่อต้านวิธีวิทยา เขาต้องการแสดงให้เห็นว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์นั้นไม่มีอะไรที่แน่นอน และการยึดติดในวิธีวิทยาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นตัวขัดขวางความก้าวหน้าในการพัฒนาองค์ความรู้ หากเราดูการเรียนการสอนหรือการทำวิจัยในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จนถึงทุกวันนี้ การที่จะมีการศึกษาขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง ก็ต้องมาถกเถียงว่าจะเอาวิธีวิทยาแบบไหนดี อะไรคือวิธีเชิงปริมาณ อะไรคือเชิงคุณภาพ ถ้าไม่สามารถระบุวิธีวิทยาให้ชัดเจนได้ หรือเป็นวิธีวิทยาที่ชุมชนทางวิชาการนั้นไม่รับรอง งานวิจัยชิ้นนั้นก็ทำไม่ได้ ฟายเออราเบนด์ วิจารณ์ว่า การที่ต้องมีวิธีวิทยาและมีการสรุปว่าวิธีใดเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง นับเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ และว่าโดยพื้นฐานแล้วก็จำกัดเสรีภาพของคนในการที่จะแสวงหาความรู้ เขาจึงเสนอแนวทางของเขาเองในแบบที่ไม่ได้เป็นการสรุปว่าวิธีไหนเป็นวิธีดี ซึ่งก็คือหลักการที่ว่า "อะไรก็ได้" วิธีการในการที่จะค้นคว้าหรือวิจัยหรือทำการศึกษา ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อหาและเรื่องที่จะศึกษาด้วย เพราะการศึกษาบางเรื่องใช้บางวิธีจะเหมาะสมกว่า แล้วในบางเรื่องอาจจะใช้อีกวิธีหนึ่งที่เหมาะสมกว่า เพราะฉะนั้นไม่มีข้อสรุปอะไรได้ นอกจากนี้ก็ไม่ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์หรือนักวิธีวิทยาทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งที่ตัวเองพูดเสมอไป ก็หาไม่ มีการแหกกรอบ ออกนอกลู่นอกทางจากวิธีที่ถือว่าเป็นวิธีมาตราฐานมากมายทีเดียว งานเขียนของฟายเออราเบนด์ มีข้อดีที่ว่า มีลักษณะการวิพากษ์วิจารณ์โดยอาศัยข้อมูลและวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์และพัฒนาการของวิทยาศาสตร์ ทำให้เราได้เห็นภาพชัดเจนเป็นรูปธรรม เขายกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ไอน์สไตน์ ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ จดหมายที่ไอน์สไตน์โต้ตอบกับนักวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยชี้ให้เห็นว่า ไอน์สไตน์คิดทฤษฎีสัมพันธภาพขึ้นมาก่อน แล้วค่อยไปตามหางานวิจัยที่คนอื่นทำมาสนับสนุน เขาไม่ได้เริ่มต้นจากการตั้งโจทย์ ตั้งสมมติฐาน แล้วไปทำการทดลอง แล้วจึงมาหาข้อสรุป ไอน์สไตน์เริ่มต้นจากปัญหาในเรื่องเวลาของการเคลื่อนตัวของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นโจทย์ทางฟิสิกส์ แล้วสมมติขึ้นมาว่า ถ้าเวลาไม่นิ่งจริง ๆ อย่างที่มันเป็น ปัญหาก็คือว่าทำอย่างไรจึงจะวัดเวลาได้ ในเมื่อในระดับอะตอมเวลามันค่อนข้างจะวัดไม่ได้ มันไม่อยู่นิ่ง มันเป็นปัญหาเพราะนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเวลาเป็นสิ่งที่แน่นอน เที่ยงตรงและก็เคลื่อนเป็นเส้นตรงต่อไปเรื่อย ๆ เป็นจังหวะจะโคนแน่นอน ปัญหาคือ ถ้าเวลามันเริ่มไม่แน่ไม่นอน จับไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไรแน่ นักวิทยาศาสตร์ก็มีปัญหากับตรงนี้ว่า จะทำอย่างไรถึงจะสามารถควบคุมและวัดเวลาได้เที่ยงตรงแน่นอนมากยิ่งขึ้น ฟายเออราเบนด์เขียนบรรยายว่า แทนที่ไอน์สไตน์จะพยายามไปแก้ปัญหานั้น ไอน์สไตน์ไม่แก้ ไอน์สไตน์กลับสมมุติขึ้นมาว่าถ้าเวลามันไม่นิ่งจริง ๆ เราจะทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างไร เป็นการตั้งโจทย์ใหม่เลยจากการยอมรับในลักษณะที่ว่าปัญหานั้นคือความจริง คือแทนที่จะมองว่าเราจะต้องไปแก้ปัญหา ไอน์สไตน์กลับแก้ไปอีกแบบหนึ่งว่า สมมุติว่าถ้าปัญหามันเป็นแบบนั้น เรื่องจริงมันเป็นอย่างนั้น อะไรจะเกิดขึ้น ไอน์สไตน์ใช้จินตนาการของตัวเองแล้วสร้างคำอธิบายขึ้นมา เขาจินตนาการทฤษฎีนั้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยบอกว่า ถ้าทำการทดลองแบบนี้แล้วผลน่าจะเป็นแบบนั้น ซึ่งเมื่อไอน์สไตน์พูดแบบนั้น นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์หลายคน ก็บอกว่าไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานน้อยมาก ที่ทำงานน้อยมากก็เพราะว่า การทดลองที่ไอน์สไตน์สมมติขึ้นมา มีคนเขาทำขึ้นมาเรียบร้อยก่อนหน้าแล้ว และได้พิสูจน์ออกมาเรียบร้อยแล้ว และเกิดผลตามที่ไอนสไตน์ได้บอกไว้ เพียงแต่ไอนส์ไตน์ไม่รู้ว่าเขาทำกันมาแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายผลที่เกิดขึ้นได้ ว่าเป็นเพราะเหตุใด จะเห็นได้ว่า ขบวนการทำงานที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันไม่ได้เป็นไปตามระบบระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์อะไรเลยอย่างที่กล่าวอ้าง จะว่าไปก็คือ ถ้าไอสไตน์เกิดยอมรับระเบียบแบบแผนและไม่กระโดดข้ามโจทย์ปัญหาไปสู่ข้อสรุปของตัวเอง องค์ความรู้ฟิสิกส์สมัยใหม่ก็ไม่สามารถก้าวพ้นโจทย์อันนี้ได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในงานเขียนของฟายเออราเบนด์ ที่ทำให้เราสนใจและอยากรู้และศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อให้รู้ถึงความเป็นมาในการทำงานทางวิทยาศาสตร์ในแขนงต่าง ๆ ว่าเป็นอย่างไร ในทางชีววิทยาเป็นอย่างไร ในด้านอื่น ๆ เป็นอย่างไร ที่มา: http://www.midnightuniv.org/midfrontpage/newpage77.html จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 10:33:47

ความคิดเห็นที่ 25 ต่อ วิทยาศาสตร์มีอะไรดีนักหนา คำถามข้อที่สองคือ วิทยาศาสตร์มีอะไรดีนักหนา ฟายเออราเบนด์พยายามถามตรงนี้ว่า หลายต่อหลายเรื่องที่บอกว่าเป็นผลมาจากวิทยาศาสตร์นั้น อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นผลจากวิทยาศาสตร์โดยส่วนเดียว ยกตัวอย่างเช่น การแพทย์สมัยใหม่ก็ยืมองค์ความรู้ของการแพทย์สมัยกลางมามากมายมหาศาล แล้วก็ไม่ได้สร้างอะไรใหม่เป็นเวลานานมาก จนกระทั่งเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 นี้เองที่เพิ่งจะมีอะไรใหม่ ๆ ออกมาจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในการแพทย์สมัยใหม่ส่วนใหญ่ก็เป็นการเอาของเดิมมาใช้อ้างอิง โดยเอาแบบแผนทางวิทยาศาสตร์เข้ามาปรับใช้เท่านั้นเอง การศึกษาหลาย ๆ อย่างในทางการแพทย์ องค์ความรู้หลาย ๆ เรื่องที่วิทยาศาสตร์มีในปัจจุบัน ก็หันกลับไปยืมความคิดในสมัยกรีกเป็นจำนวนมาก ความคิดกรีกที่ยืมมาหลายความคิดแม้กระทั่งความคิดในเรื่องธาตุ ความคิดในเรื่องโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ เชื่อมโยงกับความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าและประสบการณ์ทางศาสนาอยู่ด้วย ฉะนั้น ความคิดที่หยิบยืมมา มันไม่ได้เกิดจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ฟายเออราเบนด์ ยังตั้งคำถามว่า เมื่อเทียบกับองค์ความรู้อีกหลาย ๆ แบบที่ไม่ได้อ้างตัวเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทำได้ดีกว่าเขาจริงหรือไม่ เช่น เมื่อเทียบกับความรู้แบบหยิน-หยางของจีน วิธีการแบบจีนที่มองร่างกายเป็นองค์รวม มองจักรวาลเป็นองค์รวม วิทยาศาสตร์ทำได้ดีแบบเขาหรือไม่ เขาทำได้ดีกว่าวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลานานแล้ว และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน วิทยาศาสตร์อาจจะสู้ไม่ได้ ฟายเออราเบนด์ยกตัวอย่างมากมาย แม้กระทั่งการเดินเรือสมัยโบราณซึ่งมีคนมาค้นพบว่า ที่จริงการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกระหว่างอเมริกาใต้กับแอฟริกา เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว ด้วยความรู้เกี่ยวกับลมที่ค่อนข้างจะแม่นยำของคนในสมัยโบราณ นอกจากนี้ฟายเออราเบนด์ยังบอกว่า ในหลายต่อหลายเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นเพียงผู้ที่นำเอาสิ่งที่ผู้อื่นเขาทำไว้แล้วมาพัฒนาให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นต้นคิด แล้วก็นำมาปรับปรุงบางอย่างเพื่อให้ดีขึ้น แต่บางอย่างก็ไม่ได้ดีขึ้นจริง ในขณะเดียวกันฟายเออราเบนด์ก็ตั้งคำถามต่อว่า วิทยาศาสตร์ก็สร้างอะไรหลาย ๆ อย่างที่องค์ความรู้อื่นทำไม่ได้ก็คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดการทำลายล้าง เกิดผลร้ายมหาศาล หากชั่งน้ำหนักดูก็ไม่แน่ว่าผลดีที่เกิดขึ้นกับผลร้ายที่ตามมานั้น คุ้มได้คุ้มเสียหรือไม่ ฉะนั้นในการตอบข้อที่สอง ฟายเออราเบนด์พยายามชี้ให้เห็นว่า เมื่อเราพยายามที่จะอ้างอิงโดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เราพยายามมองวิทยาศาสตร์ในแง่ดี ๆ นั้น ก็ควรหันมามองอย่างเปรียบเทียบกับแบบอื่น ๆ ว่าเป็นอย่างไร ดีจริงแค่ไหน วิทยาศาสตร์ควรเป็นจารีตเดียวของสังคมหรือ จากทั้งสองคำถามดังกล่าว สิ่งที่ตามมาก็คือ ในเมื่อเรานิยามชัดไม่ได้ว่าอะไรคือวิทยาศาสตร์ เราไม่แน่ใจว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่ดีจริง ขณะที่จารีตอื่น ๆ ดี ๆ มีมากมาย เช่นนั้นแล้วทำไมจึงจะปล่อยให้วิทยาศาสตร์เป็นเพียงจารีตเดียวที่ครอบงำจารีตอื่นได้หมด ทำไมจึงเป็นจารีตเดียวที่สามารถสยบจารีตอื่น ๆ ทำไมเมื่ออ้างวิทยาศาสตร์ ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา จารีตอื่นต้องพ่ายแพ้หรือว่าตกกระป๋องไป ซึ่งในหลาย ๆ เรื่องไม่ใช่การโต้เถียงทางวิชาการ และหลายเรื่อง เป็นการโต้เถียงที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คนจำนวนมาก ดูในบ้านเราจะเห็นได้ชัดว่า การโต้แย้งเรื่องการสร้างเขื่อน แนวคิดเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นแนวคิดที่ได้รับการประกาศยืนยันจากผู้นำทางความคิด หรืออย่างน้อยที่สุด สังคมก็พอจะรับฟัง หลายปีก่อนอาจจะแย่กว่านี้ แต่ทุกวันนี้ก็ใช่ว่าจะดีขึ้นสักเท่าไร การที่เราเถียงกันเรื่องการสร้างเขื่อน มักหลีกหนีไม่พ้นเรื่องที่เราจะต้องพยายามเก็บข้อมูล นำเสนอข้อมูล และต้องพิสูจน์ข้อมูลด้วยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ้าทำไม่ได้ ก็ถือว่าไม่ใช่ความรู้ที่จะมายืนยันกันได้ แทนที่องค์ความรู้อื่นที่เคยมีอยู่ที่ไม่ได้อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น ความรู้เรื่องพันธุ์ปลาที่ไม่จำเป็นจะต้องมานั่งบันทึก เขาสามารถมีความรู้ความเข้าใจมองเห็นได้จากการกระโดดของมัน เป็นสิ่งที่เรียนรู้และพิสูจน์ได้จากการที่เขาได้ใช้ชีวิตเรียนรู้ด้วยกันเป็นปี ๆ ทำไมอย่างนี้จะทำไม่ได้ แล้วทำไมเราจะเรียกร้องกับนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ว่า แบบแผนทางวิทยาศาสตร์นั้น ต้องเรียนกันอย่างน้อย 3-4 ปี ต้องเข้าห้องทดลอง ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราจะเรียกร้องให้นักวิทยาศาสตร์มาใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้านสัก 2 ปีจะได้รู้ว่าพันธุ์ปลามีอะไรบ้าง เรียนรู้จากประสบการณ์ในวิถีชีวิตจริง จะทำได้ไหม เพื่อให้วิธีการเรียนรู้แบบหลังมีศักดิ์ศรี และมีความเป็นไปได้อย่างเท่าเทียมกัน ทำไมคิดว่าจารีตวิทยาศาสตร์ไม่มีความลำเอียงและไม่มีผลประโยชน์ จารีตทางวิทยาศาสตร์ไม่ควรจะเป็นจารีตเดียวที่เป็นเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากนี้จารีตอื่น ๆ ก็ควรจะมีโอกาสเสนอแง่มุมข้อโต้แย้งของตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสนอแง่มุมและการเสนอข้อโต้แย้งของคนที่จะได้รับผลกระทบในเรื่องนั้น ๆ เราไม่ควรจะปฏิบัติกับวิทยาศาสตร์เหมือนกับจารีตที่ไม่มีความลำเอียงหรือไม่มีผลประโยชน์ เพราะจารีตวิทยาศาสตร์ก็เหมือนกับจารีตอื่น ๆ ที่มีเรื่องความลำเอียง มีอคติของผู้วิจัย มีเรื่องของผลประโยชน์ เงินทองที่จะได้จากการวิจัย ผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยที่จะนำไปสู่ชื่อเสียงต่าง ๆ ซึ่งก็มีเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น จะปล่อยให้องค์ความรู้เดียวมาครอบงำหมด เป็นไปไม่ได้ เราจะต้องเปิดโอกาสให้คนทั่ว ๆ ไปเข้ามามีส่วนร่วมในการโต้แย้ง และนำเสนอองค์ความรู้และวิธีการของเขาอย่างเปิดกว้าง เราต้องถือว่านักวิทยาศาสตร์ก็เป็นปุถุชน ฟายเออราเบนด์ยกตัวอย่างชัดเจนว่า นักวิทยาศาสตร์นั้น เมื่อมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วมักต่อสู้กันรุนแรง เช่น ชื่อเสียง การจารึกเข้าไปในประวัติศาสตร์ว่า เป็นผู้ค้นพบสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต่อสู้กันขนาดหนัก บางเรื่องก็กระทำการเพียงเพื่อที่จะแสวงหาความเป็นอมตะ หรือแสวงหารางวัลโนเบล ฯลฯ มีเรื่องเหล่านี้แฝงอยู่ วิทยาศาสตร์และรัฐผูกขาดทรัพยากรของสังคม จารีตวิทยาศาสตร์เป็นจารีตเดียวที่ผูกขาดการใช้ทรัพยากรสังคมผ่านรัฐ อย่างน้อยที่สุดรัฐในระบอบเสรีนิยม ตามแนวความคิดเชิงเสรีประชาธิปไตย รัฐควรจะวางตัวเป็นกลางในทางความคิดความเชื่อ คือ รัฐไม่ควรจะไปยุ่งวุ่นวายกับความคิดความเชื่อของคน รัฐควรจะเป็นอิสระจากความคิดทางศาสนา ไม่ควรจะไปอิงแอบแนบแน่นกับความเชื่อทางศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เพราะเราถือว่า การใช้ทรัพยากรของสังคมควรจะกระจายให้ทุกศาสนา ทุกจารีต เปิดโอกาสให้ทุกความคิดความเชื่อได้มีโอกาสแสดงออก เช่นเดียวกันเราควรเปิดโอกาสให้ทุกจารีตได้เข้าถึงทรัพยากร เครื่องไม้เครื่องมือของรัฐอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ผูกขาดโดยจารีตใดจารีตหนึ่ง เช่น ถ้าไม่จบปริญญาทางวิทยาศาสตร์จะขอทุนวิจัยในเรื่องเดียวกันกับที่วิทยาศาสตร์สนใจได้ไหม แนะนำตัวว่าไม่ได้จบอะไรแต่เป็นพ่อใหญ่มาจากหมู่บ้าน และวิธีวิจัยก็ไม่ได้ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ แต่อยากจะไปหาคำตอบด้วยวิธีการอีกแบบหนึ่ง อย่างนี้ทำได้ไหม ทำไมทุนวิจัยเหล่านี้จึงไม่มีให้ชาวบ้าน หรือการทดลองอะไรบางอย่างทำไมจะต้องให้กับจารีตเดียวคือ จะต้องมีเครื่องมือสมัยใหม่ ต้องมีห้องทดลอง ทำไมไม่มีทุนในการที่จะเปิดโอกาสให้คนทั่วไปทดลองในอีกหลายเรื่อง อันที่จริงการค้นพบทางเทคโนโลยีที่สำคัญหลายเรื่องเป็นการค้นพบของชาวบ้าน เช่น ในอดีตมีตัวอย่างของเจมส์ วัตต์ ใครต่อใครที่ประดิษฐ์เครื่องทอผ้า เขาเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ไปค้นคว้าเป็นเรื่องเป็นราว มันก็มาจากการลองผิดลองถูก หลาย ๆ เรื่องชาวบ้านทั่วไปก็น่าจะมีโอกาสลองผิดลองถูกแบบเดียวกัน ทุนวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางโครงการหลายร้อยล้านบาท ถ้าแตกออกมาเป็นทุนให้ชาวบ้านลองผิดลองถูกกัน จัดสรรให้โครงการละแสนบาทก็จะได้งานวิจัยเรื่องข้าวปลา เรื่องป่า เรื่องเห็ด เรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายมหาศาล ทำไมจึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ที่ไม่สามารถทำได้ก็เพราะว่าคนไม่เชื่อว่าจารีตอื่นจะสามารถผลิตความรู้แบบวิทยาศาสตร์ได้ ทำไมจึงต้องมีความเชื่อแบบนั้น ทำไมปล่อยให้สถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น นี่เป็นผลที่ตามมาจากการที่ฟายเออราเบนด์ได้ตั้งคำถามในสองประเด็นข้างต้น จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 10:36:23

ความคิดเห็นที่ 26   เห็นด้วยอย่างมากว่าวิทยาศาสตร์ คือความเชื่ออย่างนึงเช่นเดียวกับศาสนา แต่สิ่งที่ต่างกันคือจุดมุ่งหมายของการหาคำตอบ จากคุณ : หมึก เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 11:02:21 A:203.185.69.121 X: TicketID:216612

ความคิดเห็นที่ 27 แ้ล้วรูปที่แนบมาเกี่ยวอะไรครับ จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 11:16:02

ความคิดเห็นที่ 28 โหวตเลยดีมั้ย .. จากคุณ : kodindy เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 11:16:16

ความคิดเห็นที่ 29 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 11:34:57

ความคิดเห็นที่ 30 โหวตแล้วจ้า จากคุณ : มะจิ๋ว เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 11:37:55

ความคิดเห็นที่ 31 จัดโหวตไปเลยดีกว่า จากคุณ : taechawat เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 11:58:41

ความคิดเห็นที่ 32 ตื่นมากำลังงัวเงีย + งง จะพยายามอ่านความเห็นของทุกท่านครับ จากคุณ : Look-Sky-Walker เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 12:07:37

ความคิดเห็นที่ 33 มีหนังสือเล่มหนึ่งจะแนะนำให้จขกท.อ่าน เกี่ยวกับปรัชญาวิทยาศาสตร์เป็นหนังสือที่ดีมากๆ และน่าจะตอบคำถามกระทู้ได้ (ซึ่งตรงกับคำตอบที่หลายๆท่านในกระทู้ตอบด้วย) แต่จำชื่อหนังสือเต็มๆไม่ได้ ไว้กลับบ้านจะจดมาโพสตอบให้ สำหรับกระทู้นี้ โหวตจ้า จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 12:37:19

ความคิดเห็นที่ 34 อนึ่ง อยากให้จขกท.ลองไปหาหลักการ Falsification มาอ่านดู (โดยคร่าวๆคือ ทุกข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ต้องมีหนทางที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันอาจจะผิด แม้ว่าความจริงมันไม่ผิดก็ตาม) เป็นหลักการหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับปรัชญาวิทยาศาสตร์ และแยกความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ออกจากความเชื่อทางศาสนาได้อย่างสิ้นเชิง แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 12:40:46 จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 12:40:22

ความคิดเห็นที่ 35 #33 "วิทยาศาสตร์ในสังคมเสรี" ของพอล ฟายเออราเบ็น ป่าวครับ จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 13:10:02

ความคิดเห็นที่ 36   Question 1: เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวิทยาศาสตร์ที่เราใช้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด - เทคโนโลยีที่เราใช้กันในปัจจุบันถือเป็นหลักฐานอย่างนึงที่พิสูจน์ให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์นั้นถูกต้อง Question 2: เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมานั้นถูกต้องจริง - เราไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้ สามารถทดเองหาค่าเองก็ได้ ดีไม่ดีอาจจะพบอะไรใหม่ๆเพิ่มก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์ที่้ค้นพบสิ่งใหม่ๆก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแล Question 3: การรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความเชื่อหรือไม่question - ไม่เป็นเพราะความเชื่อใช้กับความคิดที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่วิทยาศาสตร์เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ Question 4: เราแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้กำลังโดนผลการทดลอง (ทางวิทยาศาสตร์) หลอกเอา -อันที่จริงเรื่องโดนหลอกผมคิดว่าไม่มีหรอกครับอย่างเรื่องลูกเหล็กกับลูกกระดาษโยนลงพื้น ผมว่าไม่ได้โดนหลอกนะครับ มันก็เป็นงั้นจริงๆที่วัตถุที่หนักกว่าจะตกลงสู่พื้นเร็วกว่าเพียงแต่ถ้าเค้าต่อยอดไปสักหน่อยก็จะพบเองว่ามันตกเร็วต่างกันเพราะมีอากาศต้านอยู่ ถ้าเป็นสูญญากาศไงๆก็ตกถึงพร้อมกันแน่นอน สรุปคือไม่มีผิดครับ เพียงแค่มันยังไม่สมบูรณ์เท่านั้น Question 5: วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่ - ไม่มีทางแน่นอน วิทยาศาสตร์เริ่มต้นจากการสงสัย ทดลอง อาศัยความเข้าใจไปสู่ทฤษฏี ไม่ได้ใช้ความเชื่อ Question 6: ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ เหมือนความเชื่อด้านอื่นๆหรือไม่ - ไม่ครับ วิทยาศาสตร์ไม่มีความเชื่อมีแต่ความเข้าใจ Question 7: วิทยาศาสตร์ ถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่ - ขึ้นชื่อว่าลัทธิมันต้องมีผู้นำหรือศาสดาสิ แล้ววิทยาศาสตร์มีใครเป็นศาสดา นักวิทยาศาสตร์หรือ? มีตั้งกี่ร้อยกี่พันคน - - เพราะงั้นไม่เป็นลัทธิหรอก จากคุณ : MATLAB (MathWork) เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 13:11:03

ความคิดเห็นที่ 37 อยากให้กีบ คห. 23 ของคุณ Black-White&Gray ซักสิบกีบ ให้ดอกไม้แทนก็เอาดี จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 13:18:21

ความคิดเห็นที่ 38 ผมว่าอย่าเพิ่งไปตีความว่าเจ้าของกระทู้จะยกศาสนามายุ่ง เพราะคำถามพวกนี้จริงๆแล้วคนที่เรียนวิทยาศาสตร์ ควรจะต้องถามตนเอง เพื่อที่จะได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า"วิทยาศาสตร์"มากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากคำถามพวกนี้จะมีอยู่ในปรัชญาวิทยาศาสตร์ หลายความคิดเห็นก็บอกไว้ดีในระดับหนึ่งแล้ว ผมขอเสริมด้วยเรื่องนิดหน่อยเพื่อจะได้เห็นถึงรากของคำถามเจ้าของกระทู้ และkeyword ที่บางคนอาจจะนำไปขยายความต่อเพื่อตอบเจ้าของกระทู้ดังนี้ครับ Joe walks in on his wife and his best friend in bed. The best friend jumps out of bed, stark naked and say, "now Joe, before you say anything, who you gonna' believe, me, or your eyes?" Keyword: Realism, Justification และขอบเขตของวิทยาศาสตร์ จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 13:27:25

ความคิดเห็นที่ 39 #34 เท่าที่อ่านผ่านๆมันคล้ายกับตอนเรียนเรื่อง logic เลยน่ะครับ คล้ายๆ Probability, Tautology อะไรแบบนี้เลย แต่ละเอียดอ่อนกว่าครับ ไว้จะกลับไปอ่านดูนะครับ ขอบคุณที่แนะนำ http://en.wikipedia.org/wiki/Falsifiability จากคุณ : Chocolate`Browny (guta_me) เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 13:30:55

ความคิดเห็นที่ 40 แนะนำหนังสือ An Introduction to the Philosophy of Science, O'Hear, A, (1991), Clarendon Press, Oxford. What is This Thing Called Science ?, Chalmers, A.F., (1999), Open University Press, UK. Plato and a Platypus Walk into a Bar: Understanding Philosophy Through Jokes, Cathcart, T. and Daniel Klein, (2007), Harry N. Abrams Inc., USA. ความคิดเห็น 39 ถ้าสนใจเรื่อง Falsification ต้นฉบับอันนี้เลย The Logic of Scientific Discovery, Popper, K, (1975), Hutchinson & Co (Publisher) LTD, London. แก้ไขเมื่อ 27 ต.ค. 52 13:49:47 จากคุณ : KL เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 13:42:06

ความคิดเห็นที่ 41   อือม์ บางคนถาม คำถามเดียว ได้คำตอบ พะเรอ นี่ถาม คำถาม พะเรอ เดี๋ยวถ้าท่านนั้นมา คงได้ คำตอบ เทอรา แล้วอ่านให้ไหว ละกันครับ http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X8474147/X8474147.html จากคุณ : ด้วยรักและผ่านมาก่อน เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 13:51:52 A:58.9.62.150 X: TicketID:127369

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่ได้อ่านความเห็นล่างๆ อ่านเฉพาะของ จขกท แต่ผมอยากบอกว่า ถึงวิทยาศาสตร์จะเป็นแค่ลัทธิความเชื่อ แต่มันเป็นลัทธิความเชื่อที่เข้มแข็งที่สุดในโลกยุคนี้ สาเหตุเพราะ มันเป็นลัทธิความเชื่อที่สามารถเปลี่ยนความเชื่อตัวเองให้สอดคล้องกับสภาพการณ์จริงที่เกิดขึ้นได้" เวลามีผลการทดลองใหม่ๆ มาหักล้าง เราก็เปลี่ยนความเชื่อที ซึ่งตรงนี้ทำให้เกิดความยืดหยุ่น เกิดความเปลี่ยนแปลง ทันต่อเหตุการณ์ในโลก และทำให้มันเข้มแข็งที่สุด จากคุณ : ดุก เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 14:46:32

ความคิดเห็นที่ 43 ตอนเด็กๆก็เคยสงสัยแบบนี้ค่ะ ^^    แต่ก็ได้ข้อสรุปในใจคล้ายๆกับคุณ NeoBahamut(คห.13)  แค่ไม่ละเอียดเท่านี้ บางครั้งก็เคยสงสัยนะคะ  ว่าสิ่งที่มนุษย์เราเห็นและสัมผัสเนี่ย  มันจริงอย่างที่เห็นหรือสัมผัสหรือไม่ ในความจริงมันอาจจะเป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้เราเห็นหรือสัมผัสผิดเพี้ยนไปก็ได้   ถ้าตัวแปรบางตัวเปลี่ยนไป  ผลที่ได้อาจเปลี่ยนไปด้วย  ทั้งที่วัตถุที่เห็นหรือสัมผัสยังคงเดิมไม่เปลี่ยน(งงมั้ย?) หรือแม้กลไกการคิดของสมอง    แท้จริงแล้วมนุษย์อาจจะไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่เราคิดก็ได้ อาจจะแค่อยู่นิ่งๆ  แต่สิ่งที่เห็นสิ่งที่ดำเนิน   เป็นเพียงแค่จิตนึกคิด  (เว่อร์ไปใหญ่ละ   เหอๆ) จากคุณ : ฟุมิ เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 15:21:25

ความคิดเห็นที่ 44 ขอท้วงเรื่องความดันอากาศใน คห.2 มันไม่ใช่แรงต้านอากาศหรอครับ จากคุณ : PanJ เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 15:52:07

ความคิดเห็นที่ 45 #16 มันคืออะไรอ่ะ  หุ่นยนต์หรอ จากคุณ : GounZ เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 16:02:49

ความคิดเห็นที่ 46 เหมือนแมวของโชริงเจอร์ครับ แมวต้องตายด้วยกลไกในกล่องแน่นอนแต่ช้าเร็วไม่อาจบอกได้จนกว่าจะเปิดกล่อง ทฤษฎีเก่าต้องถูกแก้เข้าซักวัน แต่เมื่อพิสูจน์อาจพบว่าทฤษฎียังไม่ตาย เราจะไม่มีทางรู้ว่าแมวในกล่องอยู่หรือตาย เราจะยังไม่รู้ว่าวิทยาศาสตร์งมงายหรือถูกต้อง เพราะฉะนั้นแมวจึงมีทั้งสองสถานะทั้งเป็นและตายในเวลาเดียวกัน เหมือนที่วิทยาศาสตร์เป็นทั้งงมงายและมีเหตุผลในเวลาเดียวกัน จากคุณ : RennasS เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 17:14:29

ความคิดเห็นที่ 47 คห. 44 เอ... อันนี้ผมไม่ค่อยแน่ใจนะ แต่เข้าใจว่าแรงดันอากาศก็ส่งผลให้เกิดแรงต้านอากาศเช่นเดียวกัน รอ คห. อื่นมายืนยันครับ จากคุณ : Look-Sky-Walker เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 17:58:45

ความคิดเห็นที่ 48 อ่านจบปวดตับมากๆ คนข้อมูลน้อยสำหรับผมขอตัวทำความเข้าใจหน่อยนะครับ จากคุณ : monixe เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 18:02:00

ความคิดเห็นที่ 49 บางครั้งทำโจทย์ฟิสิกส์สักข้อ.... คนส่วนใหญ่จะทำวิธีๆนึง ซึ่งได้ผลตามเฉลย แต่ผมใช้หลักอีกหลักนึง ซึ่งเป็นหลักเบสิคง่ายๆ ตรงตามทฤษฎีเป๊ะ คำตอบไม่ตรงกัน เกิดความข้องใจ เดินไปถามอาจารย์ คำตอบกลับมาว่า "ก็เฉลยเค้าทำมาแบบนี้.... -*-" เห้ออออออออออ ชีวิต ม.ปลาย จากคุณ : ไม่หล่อ ไม่ดี ไม่มีอะไรเลย เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 20:15:53

ความคิดเห็นที่ 50 มีใครเหมือนเรามั๊ย . . . ไปๆมาๆดูแต่หลิวอี้เฟย -*- จากคุณ : ต.ตวง^^ เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 21:27:00

ความคิดเห็นที่ 51 Question 1: เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวิทยาศาสตร์ที่เราใช้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดquestion Ans ตั้งแต่เจอไอน์ไสตน์ แล้วไม่เคยมั่นใจเลย Question 2: เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมานั้นถูกต้องจริงquestion Ans เราไม่มีทางมั่นใจได้ Question 3: การรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความเชื่อหรือไม่question Ans ถือเป็นการรับข้อมูลแบบประจักร์นิยม(Realistic) คือเชื่อตามที่เห็นซึ่งจริงเปล่าไม่รู้ Question 4: เราแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้กำลังโดนผลการทดลอง (ทางวิทยาศาสตร์) หลอกเอาquestion Ans ไม่มีทางมั่นใจได้100% แต่ก็เชื่อได้ในระดับหนึ่ง Question 5: วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่question Ans จำเป็น Question 6: ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ เหมือนความเชื่อด้านอื่นๆหรือไม่question Ans วิทยาศาสตร์เน้นการใช้เหตุผล และข้อมูลเชิงประจัก ดังนั้น น่าเชื่อถือกว่าความเชื่ออื่นเกือบทั้งหมด(เท่าทีผมรู้) Question 7: วิทยาศาสตร์ ถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่question Ans ใช่ สรุปว่าอย่าเชื่อ100% จากคุณ : Ao+ เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 52 23:34:12

ความคิดเห็นที่ 52 เราทุกคนอยู่ใน Matrix!! จากคุณ : BloodX เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 01:20:19

ความคิดเห็นที่ 53 พิสูจน์ได้ ถึงจะไม่ทั้งหมด เพราะข้อจำกัดทางเทคโนโลยี แต่ก็ดีกว่าบางอย่างที่พิสูจน์ไม่ได้เลย จากคุณ : Dequardo เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 01:34:49

ความคิดเห็นที่ 54 หนังสือ เปิดมิติวิทยาศาสตร์ สนพ.มูลนิธิเด็ก เหมือนจะเป็นหนังสือเบาๆ แต่อ่านไปได้สักพัก ปรัชญาจ๋ามากๆ จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 09:05:27

ความคิดเห็นที่ 55 สงสัยผมจะเปิดประเด็นยากไปรึเปล่าครับเนี่ย หลายๆท่านเงียบกันเป็นแถว - -" จากคุณ : จขกท. (Look-Sky-Walker) เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 09:13:14

ความคิดเห็นที่ 56 We associate truth with convenience, with what most closely accords with self-interest and personal well-being or promises best to avoid awkward effort or unwelcome dislocation of life. we also find highly acceptable what contributes most to self-esteem (John Kenneth Galbraith) กระบวนการคิดแบบนี้จะตามมา เมื่อข้อพิสูจน์ไม่ชัดเจน Bias นั่นเอง จากคุณ : pendulum swings เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 09:34:30

ความคิดเห็นที่ 57 เงียบเพราะตะลึงความงามของแม่นางหลิวตะหาก....เหอๆๆๆ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 10:38:35

ความคิดเห็นที่ 58 งงครับเลยขอเซฟรูปก่อน จากคุณ : ใส่พริกเม็ดเดียว เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 12:38:10

ความคิดเห็นที่ 59 เข้าใจตั้งคำถามดีครับ งานเพลาเมื่อไหร่ จะลองมานั่งคิดดูนะครับ จากคุณ : macenjoy เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 13:24:34

ความคิดเห็นที่ 60 อ่านแล้วนึกถึงคำพูดเหล่านี้ "ผู้คนจะยอมรับความคิดคุณง่ายขึ้น ถ้าคุณบอกว่า เบนจามิน แฟรงคลิน เป็นต้นความคิดนั้น" Kert Bennerchkay. "ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายมันได้อย่างง่ายๆ แสดงว่าคุณ ยังไม่เข้าใจมันดีพอ" Albert Einstine. เรื่องโลกกลมหรือแบน ถ้าครูจะสอนด้วยการพิสูจน์ว่าโลกไม่แบน น่าจะได้ผลกว่า การสอน และพยายามพิสูจน์ว่าโลกมันกลม จากคุณ : wrought เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 13:25:43

ความคิดเห็นที่ 61   มันก็มีทั้งกลุ่มที่เป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ1กลุ่ม กับพวกที่มาอาศัย1กลุ่ม แล้วก็ปะปนกันทั้งสองกลุ่มอีก1กลุ่ม(เพราะเราก็ไม่ได้ทดลองอะไรเอง) พวกมาอาศัย ต้องอาศัยความเชื่อ พวกวิทย์จริง ก็ต้องอาศัยความเชื่อ พวกปะปน ก็ต้องอาศัยความเชื่อ หากย้อนอดีตไปสมัย100ปีก่อน ไปบอกนักชีวะยุคนั้นว่าเราโคลนนิ่งกับสัตว์ต่างๆได้ แต่ไม่ได้พกหลักฐานมา ได้แต่อธิบาย เค้าก็ต้องไม่เชื่อ เพราะความไม่เชื่อมันก็เกิดอยู่ข้างๆความเชื่อ เมื่อเลือกที่จะไม่เชื่อก็แสดงว่าความเชื่อก็ปรากฏออกมาแล้วแต่ไม่แสดงตัว จากคุณ : หลับตา เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 21:45:13 A:58.64.64.203 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 62 วิทยาศาสตร์ ประกอบไปด้วยศาสตร์ และ ศิลป์ ครับ ทำไมต้องศาสตร์และศิลป์ เพราะ วิทยาศาสตร์ มีการพิสูจน์ ทดลอง ตรงนี้เป็นศาสตร์อย่างนึง แต่คำว่า ศาสตร์ ใครก็สามารถคิดค้นได้ แม้แต่พวกเจ้าลัทธิที่ได้อ้างว่าค้นพบวิธี ค้นพบอะไรต่างๆนานา ก็อ้างว่าตัวเองได้ค้นพบศาสตร์ทางด้านนั้นๆมา หรือแม้แต่หมอเดา ที่เราๆเห็นทางสื่อ ก็อ้างว่าตัวเอง จบศาสตร์หมอดูทางนั้นมา วิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน เป็นศาสตร์อย่างนึง ที่คนที่ค้นพบก็อ้างว่าค้นพบ คนในสมัยก่อนไม่มีใครเชื่อหรอก ก็คิดว่าหมอนี่บ้าแค่นั้นเอง   แต่ครับ การที่วิทยาศาสตร์ ได้มีต่อยอดองค์ความรู้อย่างกว้างขวางและเป็นที่นิยมถึงปัจจุบัน เพราะว่าวิทศาสตร์ไม่ได้เป็นแค่ศาสตร์อย่างเดียว การนำความรู้ที่ได้จากการพิสูจน์และทดลอง นำมาประยุกต์และใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันตะหาก นี่ล่ะคือศิลป์ ลองคิดดู เรามีโทรทัศน์ ดูได้อย่างไรถ้าไม่ได้มีการค้นพบด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ จนมาถึง จอ LCD ที่ได้คิดค้นด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาจนทำให้จอนูนๆ เทอะทะ กลายมาเป็น แบนๆ อย่างปัจจุบัน นั่นเพราะว่าเป็นการนำศาสตร์ของวิทย์ มาประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์ นั่นเอง และการที่ด้วยความมีศิลป์ ทำให้คนเราสบายมากขึ้น ค้นพบและสร้างอุปกรณ์ หลายอย่างรอบตัวเรามากขึ้น จึงทำให้วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ได้รับความนิยมและการเชื่อถือนั่นเอง เพราะการต่อยอดมีให้เห็นเป็นรูปธรรม ต่างจากพวกลัทธิ ความเชื่อ ที่หลอกคนไปวันๆ แค่หลอกให้คนเชื่อว่ามีจริง แรกๆคนก็เชื่อ แต่วันนึงก็ดับศูนย์ เพราะเมื่อคนเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่ หรือใช่แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าวิทยาศาสตร์ มีการค้นพบ พิสูจน์ แต่เป็นแค่ในตำรา ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานอะไรได้เลยก็คงเป็นศาสตร์ที่ศูนย์หายไปกับความเชื่อนานไปแล้ว แต่ครับ ศาสตร์ที่ได้คิด ค้นพบ และนำมาใช้ได้จริง ไม่จำเป็นต้องทำให้เห็นเป็นรูปธรรมหรือไม่จำเป็นต้องจับต้องได้ แต่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เชื่อว่าทำแล้วดีจริง มีประโยชน์จริง เป็นความเชื่อและการกระทำสืบทอดกันมาไม่ดับศูนย์ บางทีเป็นสิ่งที่ไม่ต้องพิสูจน์ก็ได้ เพราะศาสดาได้พิสูจน์ไปแล้ว ทำแล้วดีเป็นใช้ได้ ไม่ต้องรู้หรอกว่ามันเป็นมายังไง ก็เป็นศาสตร์ที่มีศิลป์อย่างนึง ที่เรารู้จักกันดีก็ ศาสนา ไง ในความคิดผมนะ จากคุณ : BABOO_eat (BABOO_JZ) เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 52 22:08:38

ความคิดเห็นที่ 63 ความรู้ขจัดความกลัว จากคุณ : จอนนี่ ย่าง เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 00:56:43

ความคิดเห็นที่ 64 Question 1: เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวิทยาศาสตร์ที่เราใช้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด Answer : เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคำตอบที่เราตอบนั้นถูกต้องจนกว่าจะได้รับคำเฉลยที่เรายอมรับว่ามันเป็นจริง  เพราะฉะนั้นเราจะมั่นใจก็ต่อเมื่อตัวเราเข้าใจและยอมรับว่าสิ่งนั้นถูกต้อง  และก็เพราะเหตุนี้ล่ะที่ทำให้คำถามที่เหมือนกันดันมีคำตอบมากมายหลายรูปแบบเสียเหลือเกิน มนุษย์มักเชื่อในสิ่งที่ตนต้องการเชื่อเสมอ  ต่อให้ทีเร็กซ์มาเดินในสนามหน้าบ้านของคุณในคืนพระจันทร์เต็มดวง  มนุษย์บางส่วนก็ยังเชื่อว่าพระเ้จ้าสร้างโลกอยู่ดี Question 2: เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมานั้นถูกต้องจริง Answer : คำตอบก็คงใกล้เคียงกันกับข้อแรก  "เมื่อเราชื่อว่ามันถูกต้อง" Question 3: การรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความเชื่อหรือไม่ Answer : บางคนรับแล้วเชื่อเลย  แต่ทว่าบางคนก็แค่รับไว้เฉยๆ Question 4: เราแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้กำลังโดนผลการทดลอง (ทางวิทยาศาสตร์) หลอกเอา Answer :  เราไม่มีทางแน่ใจได้เลยจนกว่าคุณจะทำให้ตัวเองเชื่อในผลการทดลองนั้นได้ไม่ว่าจะด้วยการให้คนข้างๆช่วยหยิกแก้มให้หรือไม่ก็บอกตัวเองว่า "เราไม่ไ่ด้ฝัน" Question 5: วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่ Answer : จำเป็น เพราะถ้าเราไม่เชื่อว่า "มันเป็นจริง"  เราก็คงไม่เสียเวลาไปนั่งหาข้อพิสูจน์ Question 6: ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ เหมือนความเชื่อด้านอื่นๆหรือไม่ Answer : แล้วแต่มุมมองของบุคคล Question 7: วิทยาศาสตร์ ถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่ Answer : ก็เพราะมนุษย์บางกลุ่มเชื่อในวิทยาศาสตร์  มนุษย์กลุ่มนั้นถึงไม่เคยเชื่อว่าแฟรี่มีอยู่จริง ในอีกด้านหนึ่ง มนุษย์บางกลุ่มเชื่อว่าแฟรี่มีจริง  มนุษย์กลุ่มนั้นถึงตั้งแง่ในเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ถ้าอิงตามตรรกนี้แล้วล่ะก็  วิทยาศาสตร์ก็ "ไม่ต่าง" ไปจากลัทธิอื่นๆ สรุป : สำหรับผมเอง  วิทยาศาสตร์นั้นต้องอาศัยความเชื่อเช่นกัน เพราะอะไร? เพราะนักวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยจินตนาการและความน่าจะเป็นตั้งเป็นคำถาม  ก่อนที่จะทำการลงมือเพื่อหาคำตอบ จินตนาการและความน่าจะเป็นก็คือ "ความเชื่อ" อย่างหนึ่ง (เฉพาะจากมุมมองของผมเองนะ) เพราะฉะนั้น  ผมจึงมองว่าวิทยาศาสตร์นั้นต้องอาศัย "ความเชื่อ" เช่นกันครับ จากคุณ : s.jf.logan. เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 01:57:44

ความคิดเห็นที่ 65 วิทยาศาสตร์เป็นลัทธิความเชื่อหนึ่งที่สามารถปรับปรุงความเชื่อได้ แต่เมื่อสร้างฐานความรู้มากขึ้นเท่าไหร่ การปรับปรุงความเชื่อก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ถ้ามองในแง่เริ่มต้นที่มีองค์ความรู้น้อย ผู้สนใจจะเพ่งเล็งไปที่ความพยายามที่จะอธิบายสิ่งต่างๆในธรรมชาติ และสร้างทฤษฎีขึ้นมาเพื่อที่จะอธิบาย ดังนั้นผู้บุกเบิกจึงเริ่มที่ความไม่เชื่อแล้วพิสูจน์และอธิบายสิ่งนั้นๆ ซึ่งก่อให้เกิดความรู้ในเวลาต่อมา เมื่อความรู้มีมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ความต้องการอธิบายสิ่งต่างๆในธรรมชาติก็จะน้อยลงไปด้วย เพราะถ้าเกิดความเชื่อขึ้นแล้วว่าสิ่งที่อธิบายที่ผ่านมาถูกต้องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องเหล่านี้อีก ซึ่งถ้าสมมติว่าจุดเริ่มต้นของคำอธิบายนั้นยังไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆอย่างหัวข้อวิจัยบางหัวข้อ การเปลี่ยนแปลงก็อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าวิธีวิทยาของวิทยาศาสตร์เดินผิดมาตั้งแต่ต้น จะเป็นไปได้หรอกหรือที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดนั้นๆ ตอนนี้ถ้าหากมองจริงๆ วิทยาศาสตร์ก็ไม่ต่างจากลัทธิความเชื่ออื่นๆ เพียงแต่มีวิธีการในการพิสูจน์ที่ก็ไม่จำเป็นต้องสรุปได้ถูกเสมอไป แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงที่ "วิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการที่น่าเชื่อถือ" ถ้าเกิดมีโฆษณาที่มีคนๆหนึ่งในเสื้อกราวน์และแว่น ทำหน้าตาน่าเชื่อถือ ชี้ไปที่สถิติแล้วบอกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดดีเยี่ยม กับนาย ก ที่มาบอกว่าผลิตภัณฑ์นี้ไม่คุ้มกับคุณภาพ คุณจะเชื่อใคร ความเชื่อเป็นคุณสมบัติที่ความลวงขาดไม่ได้ แต่ความจริงไม่ต้องใช้ความเชื่อเพราะมันเป็นจริงของมันอย่างนั้น และไม่มีความเชื่อใดที่จะเอาความลวงออกไปได้หมดหรอก จากคุณ : blueocynia เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 06:46:59

ความคิดเห็นที่ 66 วิทยาศาสตร์ไม่เคยบอกว่าอะไรถูกต้อง วิทยาศาสตร์บอกว่าอะไรบ้างที่ผิด โดยใช้การทดลองชี้วัดต่างหาก จากคุณ : akinis เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 07:42:56

ความคิดเห็นที่ 67 #45 ครับ หุ่นยนต์ สร้างเพื่อทดสอบเรื่องการทรงตัวครับ ทรงตัวได้สุดยอดมากๆ ส่วน จขกท. ถ้า ตัวเองทดลองแล้ว กี่ครั้งๆ ผมเท่าเดิมทุกครั้ง และเท่าที่คนอื่นๆ ทดลองด้วย ถ้ายังไม่เชื่อว่าจริง ก้อเป็นแค่ เหตุผลวิบัติ ตามที่ ข้างบนบอกแล้วครับ จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 08:52:32

ความคิดเห็นที่ 68 คำนวณหวยแม่นเกิน 80% เมื่อไหร่... นั่นแหละ "เหตุผลวิบัติ " สำหรับร่างทรง พ่อมดหมอผี พระใบ้หวยจริงๆ.... แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 52 09:50:08 จากคุณ : Muyan เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 09:49:35

ความคิดเห็นที่ 69   อยากตั้งคำถามไว้สักหน่อย   ----------------------------------------------------------------------------- แล้วทำใม ทฤษฎีใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ถึงได้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ??? ---------------------------------------------------------------------------- ในยุคนึงรุ่นนึ่ง  กลุ่มนึง อาจจะเจริญเติบโตด้วยแนวคิดและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์จากชนกลุ่ม รุ่น ๆ นึง แต่ในอีกยุคของบุคคลอีกรุ่นนึง  อาจจะเจริญเติบโตด้วยแนวคิดและทฤษฎีทางวิทยศาสตร์จากอีกรุ่น ที่ไม่ใช่และไม่เหมือนรุ่นแรก ๆ ก็เป็นได้   จะว่าไปผมสนับสนุนความคิดเห็นของน้องเจ้าของกระทู้นะ เพราะความเชื่อลึกๆ ค่อนข้างจะมั่นใจว่า วิวัฒธนาการของมนุษย์ได้ขาดหายไปช่วงนึง(ความเชื่อส่วนบุคคล) แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 52 10:43:33 จากคุณ : แฟนน้องกุ๊ก เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 10:41:59

ความคิดเห็นที่ 70 #65 อันที่จริงวิธีการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีขั้นตอนการเชื่อมโยงกฎและทฤษฎีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว กับทฤษฎีใหม่ที่ค้นพบ และหากเกิดความไม่เข้ากันขึ้น บางครั้งอาจเกิดการชำระกฎและทฤษฎีเก่าได้ เช่น ทฤษฎีการขยายตัวของจักรวาลแบบinflation สุดท้ายหลังจากตรวจสอบความถูกต้องด้วยWMAPแล้ว ก็ไปชำระทฤษฎีbig bangในที่สุด เป็นต้น ดังนั้นกฎและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มีการตรวจสอบตัวเองเสมอ ผ่านแนวคิดพื้นฐานเรื่องความสม่ำเสมอของกฎเกณฑ์ในจักรวาล ในเรื่องวิธีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ผ่านการสร้างขึ้นโดยชุดความเชื่อพื้นฐานถึงความสม่ำเสมอของจักรวาล ความเชื่อว่ามนุษย์สามารถใช้ระบบเหตุผลและหลักคณิตศาสตร์ในการเปิดเผยความจริงของธรรมชาติได้ แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถยืนยันความเชื่อนี้ได้ เลยเกิดการอ้างตัวเองในทางตรรกะในที่สุด #67 อันที่จริงมีสิทธิ์สงสัย และไม่เป็นเหตุผลวิบัติด้วยครับ เพราะการอ้างการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เป็นการใช้วิธีอุปนัย คือการอ้างการทดลองบางส่วนเพื่อสรุปเป็นกฎธรรมชาติแบบสากล ทางปรัชญาก็ถกเถียงมานานแล้ว ว่าวิทยาศาสตร์ไม่ควรบอกว่าความรู้ของตัวเองถูกต้อง ควรจะบอกว่ามีความเป็นไปได้สูงเท่านั้น จากคุณ : NeoBahamut เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 11:21:42

ความคิดเห็นที่ 71 วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือที่พัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆครับ เป็นเครื่องมือที่พัฒนาเครื่องมือ เป็นเครื่องมือที่มีหลายตัวให้เลือกใช้ เป็นเครื่องมือที่บางครั้งคนใช้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังใช้อยู่ เป็นเครื่องมือที่ขอบเขตกำลังขยายขึ้นทุกวัน โดยไม่สนใจว่าใครจะเชื่อหรือไม่ จากคุณ : รุตน้อย เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 12:16:04

ความคิดเห็นที่ 72 โดนรูปหลอกจนมึนละครับ จากคุณ : WiseChocolate เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 12:20:10

ความคิดเห็นที่ 73 Question 1: เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวิทยาศาสตร์ที่เราใช้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด Ans : ถูกต้องเท่าที่  เหตุ ทำให้เกิดผลในรูปแบบเดิม และซ้ำกันทุกครั้ง ภายในช่วงชีวิตของเรา เรียกว่าความน่าจะเป็น ที่เกิดผลลัพธ์แน่นอนในช่วง เวลาหนึ่ง Question 2: เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมานั้นถูกต้องจริง Ans: ตามข้อ 1 คือเป็นแค่ผลลัพธ์ในช่วงเวลาหนึ่ง เกิดในทางนั้นทุกครั้ง ถือว่าถูกต้องในกรอบเวลานั้น แต่ไม่ใช่สิ่งถูกต้องโดยสมบูรณ์ Question 3: การรับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นความเชื่อหรือไม่ Ans : เป็นความเชื่อ Question 4: เราแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้กำลังโดนผลการทดลอง (ทางวิทยาศาสตร์) หลอกเอา คำว่าหลอกมีความจำกัดความกว้าง ถ้าแค่ถูกต้องในกรอบจำกัด ก็ถือว่าไม่ถูกหลอก   แต่ถ้ากรอบขยายออกไป ก็ถือว่าถูกหลอก เหมือนก่อนการคิดทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษ ของไอสไตน์ ทุกคนก็ถูกหลอกกันหมด จริงๆมีบุคลหนึ่งเมื่อ 2500 ปีก่อน พยายามสอนแล้วว่าธรรมชาติและเอกภพ หลอกลวงเรามากแค่ใหน แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อ Question 5: วิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือไม่ ความเชื่อ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวิทยาศาสตร์ในขั้นแรกเริ่ม ในขั้นสังเกตุ ทดลองปรากฎการณ์ในธรรมชาติ แต่เมื่อกำลังจะพ้นกรอบเดิม เพื่อหาความจริง ความเชื่อกลับเป็นอุปสรรค สำคัญในการพ้นกรอบนั้น Question 6: ความเชื่อในวิทยาศาสตร์ เหมือนความเชื่อด้านอื่นๆหรือไม่ เหมือนกันในแง่ความคิด แต่ต่างกันเรื่องความถี่ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ Question 7: วิทยาศาสตร์ ถือเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่ Ans : เป็น  เพราะเราเชื่อว่าเราไม่เชื่อ ลัทธิความเชื่อ แก้ไขเมื่อ 29 ต.ค. 52 13:59:33 จากคุณ : พิซซ่าหน้าปลาเค็ม เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 13:44:58

ความคิดเห็นที่ 74 กำลังคิดเรื่องนี้อยู่พอดีเลย แต่ของผมแค่คิดว่า ถ้าตรรกะพื้นฐานของทางคณิตศาสตร์ false หมด ความรู็วิทยาศาสตร์ที่เหลือก็แทบจะไร้ค่าไปเลยหรือเปล่าน้อ จริงๆแล้ว สิ่งที่จขกท.ถามผมว่ามันออกแนวปรัชญาอยู่นา ตอบประเด็นกว้างๆคือ ให้รู้ว่าใช้เป็นเครื่องมีแต่อย่าไปยึดติด เพราะไม่มีความจริงที่แท้ขนาดนั้นหรอกครับ จริงๆแล้วเราไม่รู้จักอะไรจริงๆหรอก ตามหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก จากคุณ : Arboramo เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 18:11:31

ความคิดเห็นที่ 75   คำถามของเจ้าของกระทู้น่ัะ  ผมก็เขียนตอบบ่อย ๆ นะ  และไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย เพราะศาสตร์ทุกศาสตร์เป็นระบบภาษาชุดหนึ่ง  ซึ่งนำมาอธิบายความจริง  แต่ไม่ใช่ความจริงหรอกนะ   แม้แต่การตรัสรู้  นิพพาน ของพระพุทธเจ้า  ก็เป็นแค่ระบบภาษาชุดหนึ่งเหมือนกันครับ เพียงแต่  วิทยาศาสตร์  เป้นระับบการจัดองค์ความรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงเท่านั้นเองครับ จากคุณ : ตีสี่ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 19:57:23

ความคิดเห็นที่ 76 ดูเรื่องสังคมศาสตร์ไปด้วย จะพบว่าวิทยาศาสตร์ ถูกสร้างมาเพื่อความจริง พร้อมจะเปลี่ยนแปลงหากมีหลักฐานขัดแย้ง ต่างกับลัทธิ ศาสนา ทุกอันที่มีจุดมุ่งหมายบางอย่างต่างกับลัทธิ ศาสนา ทุกอันที่มีจุดมุ่งหมายบางอย่างต่างกับลัทธิ ศาสนา ทุกอันที่มีจุดมุ่งหมายบางอย่างต่างกับลัทธิ ศาสนา ทุกอันที่มีจุดมุ่งหมายบางอย่าง เรื่องความสงสัยของนักเรียนนั้น พบได้ในห้องนี้เหมือนกัน กับผู้งมงาย หรือเกรียนทั้งหลาย จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 20:53:17

ความคิดเห็นที่ 77 ก่อนไอนสไตน์จะพบทฤษฏีสัมพันธภาพ   โลกนี้ก็เชื่อแค่ว่า s = ut จากคุณ : น้องปั้ม เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 23:33:25

ความคิดเห็นที่ 78   วิทยาศาสตร์ก็ไม่จริงครับ  เป็นแค่สัญลักษณ์ตัวแปรต่าง ๆ เพื่อใช้แทนค่าความจริงหรือธรรมชาติเท่านั้น แต่ความจริงมันก็อยู่ของมันยังงั้น  ไม่สามารถอธิบายได้ครับ  เหมือนกับ นิพพาน  ซาโตริ  รู้แจ้ง  เซน  เต๋า  อะไรเทือก ๆ นี้ครับ  ที่มักพูดว่าให้ห้ามคิด  ให้จิตว่าง   ก็เพื่อหลุดจากกรอบภาษาต่าง ๆ น่ะครับ  เพราะภาษาคือความคิด  ภาษาคือโลก  วิทยาศาสตร์ก็คือภาษาหนึ่งน่ะครับ   ที่ว่ามาก็คือ   เราต้องยอมรับในศาตร์หลาย ๆ ศาสตร์  ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อย่างเดียว  เพราะวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นศาสตร์แห่งการรุกราน  ไม่ค่อยเปิดพื้นที่ให้แนวคิดระบบอื่น ๆ ทำให้คนหลงคิดว่า วิทยาศาสตร์คือความจริง  วิทยาศาสตร์คือธรรมชาติ จากคุณ : ตีสี่ เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 52 23:44:06

ความคิดเห็นที่ 79 เท่าๆที่อ่านมา ทฤษฏีต่างๆที่สร้างขึ้นมา ส่วนนึงก็เป็นความเชื่อนะครับ ซึ่งมันไม่ได้รู้ หรือถูกต้องทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าทฤษฏีเดิมๆ ที่เคยมีมา หรือ ไม่มีมาก่อน เค้าจึงใช้คำว่า paradigm (กระบวนทรรศน์) ซึ่งเป็นแนวคิดหรือทฤษฏีต่างๆ ก่อนจะเป็น theory (ถ้าจำไม่ผิด ความคิดแนวนี้จะเป็นแบบ Kuhn  นักปรัชญาสายวิทย์) จากคุณ : solvonou เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 10:58:54

ความคิดเห็นที่ 80 ยังไงก็ไม่มีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาบังคับให้เชื่อตามอ่ะ (และถ้าไม่เชื่อออกนอกหน้าก็ไม่โดนเผาทั้งเป็น) จากคุณ : proudtobethai เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 13:13:10

ความคิดเห็นที่ 81 วิทยาศาสตร์เป็นวิธีการเสาะหาความจริง แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง จากคุณ : ชอบจัง (0vvaynar0) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 18:43:43

ความคิดเห็นที่ 82 คำถามน่าสนใจมากๆครับ จากคุณ : แสงเรืองรองของฟ้าหลังฝน เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 00:03:22

ความคิดเห็นที่ 83 เพราะมนุษย์เราเชื่อกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่ใช้พิสูจน์... ซึ่งกระบวนการเหล่านั้น มนุษย์เราก็กำหนดขึ้นมาเอง... และเราก็เชื่อผลที่ออกมาจากกระบวนการนี้... โดยเชื่อว่ามันเป็นข้อเท็จจริง... ซึ่งจริงๆแล้ว ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องสมบูรณ์เป็นอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้... วิทยาศาสตร์จึงเป็นความเชื่อแน่นอน... จากคุณ : Little Pig in Big World เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 01:11:50

ความคิดเห็นที่ 84 ผมว่า เฉพาะคำถามสุดท้ายคำถามเดียว ก็น่าจะครอบคลุมทั้งหมดนะครับ สำหรับคำถามที่ว่า "วิทยาศาสตร์ ถือว่าเป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งหรือไม่" นั้น ในความคิดของผม ผมคิดว่า "ใช่" ครับ จริงอยู่ที่ว่า วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของเหตุและผลที่ต้องพิสูจน์ได้จริง   ทำไมผลเป็นแบบนี้ ก็ไปหาเหตุกัน ด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่สุดแล้วจะหาได้ พอหาเหตุกันได้  ก็นำมาป่าวประกาศให้รู้โดยทั่วกัน "แต่มันก็มีบางทฤษฎีที่ถูกตีให้ตกไปเมื่อมีผู้ออกมาค้านและเหตุผลที่นำเสนอนั้น มีความถูกต้องมากกว่าทฤษฎีแรก" ...ตรงนี้ครับ ที่ทำให้ผมเชื่อว่า หากมองดีๆ วิทยาศาสตร์ก็เป็นเหมือน เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ  จุดศูนย์รวมจิตใจอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ต้องการจะหาคำตอบให้กับหลายๆสิ่งหลายๆอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว   เพราะว่า เมื่อมีการค้านทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งขึ้นมานั้น นั่นย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า ที่ท่านๆเชื่อกันมาก่อนหน้านั้น เป็นสิ่งที่ผิด.... แล้วมันต่างกับชาวบ้านที่งมงายในเรื่องต่างๆมั้ย ?   ผมมองว่าไม่ต่าง   แต่บางท่านอาจจะมองว่าต่าง เพราะ นักวิทยาศาสตร์ได้หาเหตุผลต่างๆมาประกอบ ไม่ใช่คิดเอาลอยๆเหมือนชาวบ้าน... แต่ผมคิดว่า นั่นมันเหมือนข้อแก้ตัวหรือเปล่า  จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่  แต่สุดท้าย สิ่งที่คุณเคยเชื่อมาระยะเวลาหนึ่งนั้น มันคือสิ่งที่ผิด แน่นอน มันผิด ไม่ต่างจากเรื่องงมงายของชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย  แต่แค่ชาวบ้านเค้ามีกระบวนการตัดสินใจเชื่อแบบนั้น แต่พวกนักวิทยาศาสตร์ก็มีแบบของเค้าไป  มันเป็นเหมือนวิธีการตัดสินใจเชื่ออะไรซักอย่างมากกว่า... สรุปคือ  ผมว่าวิทยาศาสตร์เป็นลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งครับ อาจจะต่างกับสิ่งงมงายที่ชาวบ้านเชื่อตรงที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์มีเหตุผลรองรับ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่มีการพิสูจน์ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่สังคมวิทยาศาสตร์เคยยอมรับเป็นสิ่งผิดแล้วล่ะก็  มันก็จะกลายเป็นการงมงายไม่ต่างจากชาวบ้านที่ไม่มีความรู้เลย นี่เป็นความคิดเห็นของผม ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ จากคุณ : เมื่อกี้ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 01:15:55

ความคิดเห็นที่ 85 หุ่นยนต์น้องหมา เจ๋ง!! (in thailand ด้วย ยิ่งชอบไปใหญ่) จากคุณ : Bongiovi เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 14:26:22

ความคิดเห็นที่ 86 ผมชอบน้องหลิว ( ภาพประกอบ ) จากคุณ : manopetchara เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:25:32