ความคิดเห็นที่ 1 งี้กัญชาก็ทำให้มีญาณพิเศษด้วยสิครับ ? จากคุณ : (oidutS skcarT eriT) (Tire Tracks Studio) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 00:04:39

ความคิดเห็นที่ 2 โลกหลังความตายมีหรือไม่ ? ยังไม่ควรรีบสรุปครับ แต่บรรดาเรื่องราวการประสบเหตุการณ์เมื่อใกล้ตายต่างๆนานาล้วนเป็นความเชื่อที่ยึดถือนึกคิดตามกันจนอาจนำมาสู่อาการสร้างภาพ เสียง ฯลฯ ให้รับรู้ในใจของผู้นั้นได้ทั้งสิ้น เฉกเช่นการฝัน การเพ้อ ฯลฯ ในบางขณะเป็นต้น แท้จริงแล้วเหตุการณ์ดังกล่าวอาจไม่ใช่ภาพและเสียงตามหลักของสสารพลังงานอันเป็นรูปธรรมภายนอกที่สามารถสัมผัสรู้สึกได้ทาง"ร่างกายของสิ่งมีชีวิต"เช่นทางตา หู ผิวสัมผัส ฯลฯ  แต่ล้วนกล่าวได้ว่าคือมโนภาพและเสียงในใจอันเป็นนามธรรมที่ยังผลสู่อาการรับรู้ รู้สึก ยึดถือ ฯลฯ ที่ต้องลงเอยสู่ความมีทุกข์น้อยใหญ่ของ"จิตใจสิ่งมีชีวิต"แล้วมรณาการสิ้นสุดหรือซาลงไป เรื่องราวดังกล่าวเป็นการสั่งการทางสมองร่างกายที่แปรปรวนไปจากปกติหรือไม่ ในทางจิตเวชศาสตร์ย่อมให้คำตอบได้  แต่ขอเสนอความเห็นในแง่สัจธรรมของจิตตามหลักพระปฏิจจสุปบาทซึ่งควรแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง อาจสามารถใช้อ้างอิงข้อเท็จจริงของกายจิตได้ทั้งปวงเลยก็เป็นได้ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 52 00:56:17 จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 00:39:59

ความคิดเห็นที่ 3 เวลาที่คนไข้อาการดูเหมือนหายแต่หมอหาสาเหตุการหายไม่ได้ หลังจากนั้นมีอาการhallucination หรือเห็นภาพในขณะที่ไม่มีของนั้นอยู่จริง มีการพูดคุยคนเดียวทั้งที่ไม่มีคนอยู่ด้วย ต่อให้สามารถพูดคุยกับญาติรู้เรื่องดีเหมือนปกติ แถมหมอบอกว่าอยากให้อยู่ต่อ ไม่อยากให้กลับ อันนี้แปลได้ว่าหมอกำลังนึกระวังเรื่องdeliriumว่ามีสาเหตุที่ยังไม่สามารถตรวจพบ Delirium หรืออาการเพ้อหลง มาได้หลายรูปแบบ มาได้ทั้งอาการโวยวายคุ้มคลั่ง อาการง่วงซึม หรืออย่างที่เจอน้อยหน่อยก็คือ รู้เรื่องเหมือนปกติเป๊ะ แต่ว่ามีอาการเห็นภาพหลอนหูแว่วเล็กๆน้อยๆ อาการแบบหลังสุดน่ากลัวสุด เพราะว่าการที่เป็นน้อยๆ สาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการมักจะไม่มาก การตรวจเลือดอาจจะปกติ ตรวจร่างกายอาจจะปกติ เอ็กซ์เรย์สมองคลื่นแม่เหล็กอะไรก็อาจจะปกติ เพราะว่าความผิดปกติมันน้อย ปัญหาคือ อาการพวกนี้พอเป็นไม่มาก หมอจะเจอญาติและผู้ป่วยขอร้องแกมบังคับให้กลับ เมื่อไม่มีหลักฐานว่าป่วยชัดเจน รั้งไว้ก็ลำบาก พอปล่อยกลับ ... ก็ไปหนักที่บ้าน ตาย แล้วก็มาลงอยู่ในหมวดเรื่องลึกลับ ในชีวิตการเป็นหมอในต่างจังหวัด เคยเจอมาหลายครั้งที่คนไข้อาการหนักจากบ้านมานานๆ พอรักษาแล้ว มองผาดๆเหมือนจะดีขึ้น ไข้ลง , จากที่คุยไม่รู้เรื่องก็กลับมานั่งคุยรู้เรื่อง ผลเลือดดีใสกิ๊ก ไข้ที่ตอนแรกว่าสูงๆก็เป็นปกติทั้งที่ให้ยาไปได้แค่วันเดียว ญาติขอพากลับบ้าน แต่รู้สึกแปลกๆเพราะว่าระหว่างคุยๆคนไข้ก็มีท่าทางแปลกๆ ... พอถามด้วยคำถามมาตรฐาน ปรากฎว่าคนไข้บอกว่าตัวเองอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช (ตอนนั้นอยู่รพ.ภาคกลาง) ... ถามไปถามมา คนไข้มองหมอพยาบาลเป็นคนรู้จักไปหมด ก็เลยให้ระวังไว้ ... ผ่านไปอีกไม่นาน ความดันตก ใส่ท่อช่วยหายใจ ส่งไปรพ.จังหวัด สำหรับญาติคนไข้ ... เค้าก็มองว่าเป็นเรื่องลี้ลับ สำหรับหมอ ... มันคือกลไกปกติของโรคในช่วงที่ร่างกายติดเชื้อรุนแรงและเสียสมดุล จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 00:54:37

ความคิดเห็นที่ 4 ตาม หมอ แมว ^___^ จากคุณ : `aMiZpAnDa~* เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 01:09:51

ความคิดเห็นที่ 5 หมอแมว สุดยอดดดดด จากคุณ : lightkung เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 01:17:42

ความคิดเห็นที่ 6   กระจ่างสุดๆ เพราะเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคนไข้ที่ป่วยหนักๆก่อนที่จะเสียชีวิตจจะกลับมาเหมือนเป็นปรกติ แต่หลังจากนั้นก็จะทรุดลงและจะเสียชีวิต จากคุณ : Salted Egg เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 05:23:57

ความคิดเห็นที่ 7 ได้ยินมาบ่อย จนเกือบเหมือนอาการปรกติของคนที่กำลังจะตาย คือ จากที่ป่วยหนัก จะกลับมีสติ และร่างกายดีขึ้นเยอะ บางคนเห็นและได้ทักทายคนที่ตายไปแล้ว หลังจากนั้นก็พูดจารู้เรื่อง หน้าตาแจ่มใส วันหรือสองวัน อาการก็จะหนักเพียบ และตาย โบราณบอกว่า เป็นอาการของเทียนไขที่ใกล้จะดับ จะสว่างโชติช่วงขึ้นมาแว่บหนึ่ง ก่อนที่จะหมดพลังงานและดับไป จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 07:33:33

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องราวในพระไตรปิฏกก็มีนะลองอ่านดู ......ในพระนครสาวัตถี มีธรรมมิกอุบาสก คนหนึ่งมีธิดาเจ็ดคน ซึ่งทั้งบุตรและธิดาก็ขวนขวายใน การให้ทาน มีการถวายสลากยาคู สลากภัตต์ ปักขิกภัตต์ อุโปสถิกภัตต์ อาคันตุกภัตต์ คนละอย่างกัน บุตรธิดาเหล่านั้น จึงได้ชื่อว่าอนุชาตบุตร ด้วยกันทั้งนั้น ครั้นต่อมาวันหนึ่งธรรมมิกอุบาสก ได้ป่วยเป็นไข้ขึ้น อายุและสังขารก็ถอยลง มีความประสงค์ จะฟังธรรมจึงส่งสาส์นไปยังสำนักพระศาสดาขอให้พระองค์จัดส่งภิกษุสักแปดรูปหรือสิบหกรูป พระศาสดาก็ทรงส่งภิกษุไปแล้ว ธรรมมิกอุบาสกก็พูดว่าท่านเจ้าขา การที่เห็นพระผู้เป็นทั้งหลาย ข้าพเจ้าหาได้ยากมาก เพราะข้าพเจ้ามีกำลังน้อย ดังนั้นขอท่านพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงสวดพระสูตรหนึ่งเถิด พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายก็สวดพระสูตรสติปัฏฐานให้ธรรมมิกอุบาสกฟัง ทันใดนั้น รถหกคันประมาณร้อยห้าสิบโยชน์ประดับด้วยเครื่องอลังการครบทุกอย่างเทียมด้วย ม้าสินธพ หนึ่งพันได้แล่นมาแต่เทวโลกทั้งหกชั้น พวกเทวดาผู้ประจำรถก็กล่าวกันว่า พวกข้าพเจ้าจัก นำไปสู่เทวโลกของพวกข้าพเจ้า ธรรมมิกอุบาสก ไม่ปรารถนาอันตรายแก่การฟังธรรมจึงกล่าวว่ารอ ก่อนดังนั้นภิกษุทั้งหลายก็พากันนิ่งเสีย ด้วยเข้าใจว่าธรรมมิกอุบาสกบอกให้หยุด บุตรและธิดาก็พากัน ร้องไห้ว่าบิดาของตน เมื่อก่อนนี้เป็นผู้สนใจการฟังธรรมแต่บัดนี้กลับห้ามไม่ให้ภิกษุสวดด้วย บิดา ของเรากลัวตาย ภิกษุทั้งหลายก็พากันกลับสู่สำนักธรรมิกอุบาสก เผลอไปคู่หนึ่ง เมื่อได้สติแล้วถาม บุตรว่าเจ้าทั้งหลายค่ำครวญกันทำไม และพระภิกษุไปไหนกันเสียหมดเล่า ข้าแต่พ่อ พ่อได้สั่งให้พระภิกษุหยุดสวด แล้วภิกษุทั้งหลายได้กลับไปหมดแล้วพวกฉันมาคิดว่า ธรรมดาสัตว์ผู้ไม่กลับความตายย่อมไม่มี พ่อไม่ได้พูดกับพระผู้เป็นเจ้า ถ้าเช่นนั้นพ่อพูดกับใคร พ่อบอกกับเทวดาทั้งหลาย ที่เอา รถซึ่งประดับมาหกคัน แต่เทวโลกหกชั้น แล้วหยุดอยู่ในอากาศแล้วบอกพ่อกับเทวดาเหล่านั้น พ่อจึงบอกให้รอก่อน รอก่อน ดังนี้ รถอยู่ที่ไหนเล่าพ่อ พวกฉันไม่เห็น พ่อจึงถามว่า "ดอกไม้ที่ร้อยเป็นพวงมีบ้างไหม" ลูก "มีพ่อ" พ่อ "เทวโลกชั้นไหนน่ารื่นรมย์ " ลูก"ดุสิตพิภพ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ทุก ๆ พระองค์ น่ารื่นรมย์พ่อ" ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงอธิษฐานว่า ขอพวงดอกไม้จงคล้องอยู่ที่รถมาแต่ดุสิตพิภพ แล้วโยน พวงดอกไม้ขึ้นไปบุตรทั้งหลายโยนดอกไม้ขึ้นไป พวงดอกไม้ก็คล้องอยู่ที่งอนรถห้อยอยู่ในอากาศ มหาชนเห็นพวงดอกไม้นั้นแต่ไม่เห็นรถ อุบาสกพูดว่าพวกเจ้าเห็นดอกไม้อยู่ในอากาศแล้วมิใช่หรือ บุตรธิดาทั้งหลายบอกว่าเห็นแล้วจึงบอกว่านั่นแหละ พวงดอกไม้ได้แขวนอยู่ที่รถชั้นดุสิตพ่อจะไปสู่ ดุสิตพิภพ พวกเจ้าอย่าตกใจไปเลย เมื่อต้องการจะไปบังเกิดในสำนักเดียวกับพ่อ ก็จงทำบุญให้ทาน รักษาศีลแล้วฟังธรรมตามโอกาสเวลาสมัย ดังที่เราได้ทำไว้แล้วนั่นแหละครั้นแล้วธรรมมิกอุบาสก ก็ทำกาลกิริยาตายไป ไปประดิษฐานอยู่ในรถที่มาแต่ชั้นดุสิตพิภพ มีนางเทพอัปสรพันหนึ่ง แวดล้อม วิมานแก้ว ประมาณยี่สิบห้าโยชน์ได้ปรากฏคอยรอรับธรรมมิกอุบาสกนั้น http://www.84000.org/anisong/23.html จากคุณ : tonjung เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 07:41:57

ความคิดเห็นที่ 9 ผมไม่รู้นะครับว่าวิญญาณมีจริงหรือไม่ แต่การที่บางคนขณะป่วยหนักแล้วมีวิญญาณมาหา สามารถพูดคุยกันรู้เรื่อง  จะเป็นเพราะเพ้อแล้วละเมอพูดไป หรือเพราะเขาเห็นจริงก็ยังบอกยากครับ คนไม่เชื่อก็ว่าเพ้อ คนที่เชื่อก็ว่าวิญญาณมาจริง  ส่วนผมนั้นยอมรับว่ายังก้ำกึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งครับ ถ้าเป็นชาวบ้านพูด ผมก็จะฟังหูไว้หู ส่วนใหญ่ไม่เชื่อครับ แต่ถ้าเป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องตัวเองที่ใกล้ชิด ก็จะตั้งใจฟังครับ และคิดว่ามี%น่าเชื่อกว่าชาวบ้านพูด แต่ถ้าเผื่อคนที่พูดนั้นเป็นหมอละครับ จะให้น้ำหนักยังไง จะเชื่อหรือไม่ นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ  ได้เขียนถึงสิ่งที่ท่านพบเห็นตอนป่วยหนัก จนตัวท่านเองปักใจเชื่อว่าเป็นจริง อีกทั้งบุคคลที่ท่านกล่าวถึง ล้วนแต่เป็นผู้ที่ท่านให้ความ เคารพนับถือ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ผมจึงเชื่อว่าท่านไม่โกหกครับ   ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่ผมก็หาคำตอบไม่ได้ครับ  แต่คิดถึงในความเป็นหมอ คิดว่าถึงท่านจะเพ้อยังไง วิทยาศาสตร์ที่เรียนมา ย่อมจะคอยคัดค้านในความรู้สึก ท่านคงจะพยายามจับผิดตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดจับไม่ได้ จนมั่นใจในสิ่งพบเห็น จึงได้เขียนเป็นหนังสือออกมาเผยแพร่ครับ   ผมคิดว่า หากท่านยังก้ำกึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ท่านคงไม่เขียนเรื่องอย่างนี้ออกมา  ให้ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ที่ท่านเคยเรียน ขัดกับสถาบันที่หล่อหลอม ขัดกับคำสอนของอาจารย์ที่ท่านเคารพนับถือครับ อ่านหนังสือที่คุณหมออาจินต์เขียนแล้ว ยอมรับว่าจิตใจไขว้เขวครับ ไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่ เพื่อนๆอ่านแล้วเป็นอย่างไรครับ . แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 52 07:40:32 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 52 23:16:26 จากคุณ : บุญถิ่น เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 08:50:05

ความคิดเห็นที่ 10 55555 จากคุณ : -APEM เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 08:57:02

ความคิดเห็นที่ 11   เรื่องแบบนี้นั้นจะให้ชี้ชัด ว่าเป็นอย่างไรก็คงทำไม่ได้ในทุกราย บางครั้งอาการที่ปรากฏก็เป็นไปตามทางการแพทย์ทุกประการ แต่อาการหลาย อย่างก็ไม่สามารถอธิบายในทางการแพทย์ได้ตรงนัก ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเปิดใจยอมรับเหตุต่างๆหรือไม่ ว่าเหตุที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้มีที่มาที่ไป อย่างที่วงการแพทย์คิดว่าเป็น เรื่องนี้เวลาพูดคุยกันก็ควรใช้ความละเอียดอ่อนและระมัดระวังกันสักหน่อย ก็จะไม่มีอารมณ์ขุ่นเคืองต่อกันและกัน ไม่ว่าจะแพทย์หรือคนไข้ก็ไม่ควรยึดติดกับอคติและทิฐิของตัวเอง ควรพยายามทำความเข้าใจและเปิดใจยอมรับด้วยกันจะเป็นประโยชน์ที่สุด จากคุณ : ++The Immortal LastMan ++ เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 10:13:45

ความคิดเห็นที่ 12 หมอแมวพูดมีเหตผลแต่ไม่ครอบคลุมและตอบหลายคำถามไม่ได้ ไม่ควรสรุปว่าเป็นอาการทางกายทั้งหมด  บางทีอาการทางกายที่เกิดที่ตรวจจับได้ ก็อาจจะมีเหตุจากปัจจัยอื่นที่เราเรียกว่าลี้ลับก็ได้ ต้องดูเป็นรายๆไป จากคุณ : หนูหงอย เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 10:35:02

ความคิดเห็นที่ 13 ก่อนคุณย่าจะเสียก็เป็นแบบนี้ค่ะ ตอนนั้นคุณย่าป่วยมานานเกือบปีละ ท่านอยู่คนเดียวในห้อง แต่คุยกับใครไม่รู้เป็นภาษาจีน บางที่ก็บอกว่า มีคนอยู่ในห้อง ให้ไล่ไปที หรือไม่...ก็ทำเหมือนพูดกับใครบางคน...ที่เสียไปแล้ว ญาติโยมในบ้านหลอนกันมากเลย -*- จากคุณ : Cha_cha_koi เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 10:39:44

ความคิดเห็นที่ 14 แม่ผมก่อนเสียชีวิต นอนป่วยที่โรงพยาบาลตั้งนาน แต่จู่ๆ วันหนึ่ง กลับได้สติพูดได้เช่นคนปกติ ลูกๆ รู้ทาง รีบถามเรื่องที่แม่ทำคงค้าง แล้วรีบไปเคลียร์ให้แล้วเสร็จ อีกสักสัปดาห์เศษ อาการก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิตในที่สุด จะเรียกว่า เป็นพลังชีวิตวูบสุดท้ายก่อนดับได้ไหมนี่ ? อีกรายหนึ่ง เป็นพี่ในที่ทำงาน วันหนึ่ง เก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานจนเรียบร้อย แล้วพูดลอยๆ ว่า "งานพี่เสร็จแล้ว" ย้ำอยู่สองหน ก่อนกลับบ้าน ช่วงสามทุ่มเศษ พี่ๆ ในที่ทำงานอีกหลายคนเข้ามาบอกว่า เกิดอุบัติเหตุรถชนกันขณะที่ครอบครัวออกนอกบ้านไปทานข้าวนอกบ้าน  และพี่รายนี้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ สัมผัสที่หก ก่อนหมดอายุ ใช่ไหมครับ ? จากคุณ : owl2 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 10:44:13

ความคิดเห็นที่ 15 การฝัน การมุ่งนั่งสมาธิแล้วยึดถือตามกันว่าคือปัจจัตตังรู้เห็นด้วยตนเอง(ของแท้) การมโนภาพขึ้น เสียงในใจ กลิ่นรสในใจ สัมผัสในใจ อาการหลอน อาการหูแว่ว กลิ่นธูปจากงานศพ !! ฯลฯ  ล้วนเป็นอาการรับรู้ต่อนามธรรมซึ่งเกิดขึ้นในใจโดยล้วนมีเหตุหรือต้นปัจจัยจากอวิชชา และโดยธรรมดาของนามธรรมนั้นย่อมไม่อาจรับรู้ตามหลักสัมผัสทั้ง 5 ของอวัยวะร่างกายได้  แต่ถ้าผู้นั้นยึดถือเป็นจริงเป็นจังและพูดคุยโต้ตอบต่อนามธรรมสิ่งเหตุการณ์ใดๆที่กำลังรับรู้ในใจ ก็ย่อมมีเสียงพูดอันเป็นสสารพลังงานตามหลักรูปธรรมภายนอกอย่างหนึ่งที่ผู้อื่นสามารถรับรู้เสียงด้วยได้เป็นธรรมดา เป็นเหตุผลตามหลักของเหตุอวิชชา และผลปัจจัยอันดำเนินมาสู่รูปธรรมนามธรรมและยังผลสู่อาการรับรู้ได้ตามรูปธรรมนามธรรมนั้น โดยไม่ควรรีบด่วนยึดถือว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับครับ   ส่วนการยึดถือเรื่องใดจนเกิดภาวะอาการครั่นคร้าม ตะลึงจังงัง ขนลุก ฯลฯ ก็ควรหยุดละและพยายามพิจารณาเหตุผลตามหลักความรู้ที่ก้าวหน้าในปัจจุบันกันดีกว่าจ้ะ จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 12:25:16

ความคิดเห็นที่ 16 เราว่าเป็นเรื่องของจิตพะวงความหลังมากกว่าค่ะ 2 ปีก่อนคุณยายอายุ 80 เข้าโรงพยาบาลเพราะล้มในห้องน้ำ นอนสลึมสลือไม่รู้ตัวอยู่หลายวัน อยู่ๆ วันนึงรู้สึกตัวเต็มที่ก็ร่ำร้องจะกลับบ้าน บอกว่าคุณตามารับแล้วนัดแล้วต้องไป ต้องไปหาเพื่อน (เอ่ยมา 2-3 คน) ทุกคนที่คุณยายว่าเสียชีวิตแล้วทั้งนั้น แต่บอกท่านก็ไม่เชื่อ ยังบอกเมื่อวานยังคุยกันอยู่เลย ลุงเราน้ำตาไหลเลยค่ะ คิดว่าแม่คงไม่รอดแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์คุณยายก็ได้กลับบ้านค่ะ หายและกลับมาเดินได้อย่างรวดเร็ว จนถึงทุกวันนี้คุณยายก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ความจำเลอะเลือนไปเยอะ บางวันนั่งรอคุณตาตั้งแต่เช้าบอกว่าคุณตาโทรมาจะมารับบ้าง บางทีก็เดินไปหลังบ้านบอกว่าจะไปตามคุณตาเดินไปหลังบ้านนานแล้ว ไม่รู้ไปทำอะไร (บางคนที่บ้านก็ขนลุกไปตามระเบียบ) บางวันก็หนักหน่อยเดินมาตักข้าวกลางดึกบอกว่ามีคนมาหา มานั่งรอ ยายจะเอาข้าวให้เค้ากิน (ตี 2 ตี 3 นี่นะ) อาการแบบนี้จะเป็นบางวัน บางวันก็ปกติทำอะไรเองได้หมด เราเข้าใจว่าเป็นอาการทางประสาท (โรคสมองเสื่อม) แต่คนแก่ท่านอื่นที่บ้านกลัวทุกคน ท่านว่าสมัยก่อนถ้าคนพูดแบบนี้นี่เตรียมลาได้เลย (เพ้อถึงแต่คนที่ตายไปแล้ว) บางท่านว่ายายเราคงไม่ยอมตาย ยมบาลจะพาไปก็คงไม่ยอมแหง (พอดีคุณยายเป็นคนดื้อมากๆ น่ะค่ะ) แต่คุณยายก็เพ้อแบบนี้มา 2 ปีแล้วค่ะ จากคุณ : pyramidas เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 13:44:45

ความคิดเห็นที่ 17 ขอเรียกว่า...ก๊อกสุดท้ายของคนนั้นครับ จากคุณ : FreeWing เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 15:26:25

ความคิดเห็นที่ 18 มองไม่เห็นเอง ก็อย่าลบหลู่นะครับ จะตีความไปทางวิทยาศาตร์ก็ได้ วันนึง ถ้าคุณได้เจอกับตัวเอง ก็ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่คุณเล่าหรอกครับ จากคุณ : inutero เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 16:27:36

ความคิดเห็นที่ 19 ก่อนย่าผมเสีย ย่าเพ้อว่า พ่อ แม่ มารับหนูแล้วหรอ..... อีกวัน ย่าเข้าห้อง ฉันมองคุณ แล้วย่าก็เสียครับ จากคุณ : nynatinlove เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 01:47:05

ความคิดเห็นที่ 20 แม่ผม เป็นอัมพาต กระดิกตัวไม่ได้เลย พักรักษาตัวที่บ้าน    บอกกับญาติ ที่มาเฝ้าว่า ให้ไล่ ผู้หญิงผมยาว ที่กำลังเอามือ มากดตัวแกอยู่นี้ ออกไปหน่อย แกขยับตัวไม่ได้ ญาติขนลุกเลย เพราะอยู่กันแค่ 2 คน  บางวันก็บอกว่า มีผู้ชาย กับผู้หญิง มายืนใกล้ๆ ตัวแก เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก หลังจากนั้นไม่กี่วัน แกก็ไปเสียชีวิต ที่รพ จากคุณ : จันทราอาทิตย์ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 15:02:55

ความคิดเห็นที่ 21   ^ ^ ^ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด จูออนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน แม่อีโตชิโอะชิมิเคอะ จากคุณ : แอร์อกหักไม่รักใครแล่ว เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 06:20:26