PANTIP.COM : X8533211 ฝนตก น้ำท่วม อากาศร้อน น้ำทะเลขึ้นมากผิดปกติ นี่คือ สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ หรือเปล่าค่ะ [วิทยาศาสตร์]

ความคิดเห็นที่ 2

ช่วงนี้ดูอากาศแปรปรวนผิดปกติ
- ธรรมชาติมีความแปรปรวนของมันอยู่แล้ว ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าความแปรปรวนที่เกิดขึ้นเหล่านี้
ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ น้ำทะเลหนุน ชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะ เป็น-
สิ่งที่ผิดปกติที่เกิดขึ้น ในธรรมชาติไม่น่าจะมีสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับว่าทุกวันต้องท้องฟ้าแจ่มใสไม่มี
ภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งตามความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ โลกเป็นดาวเคราะห์ที่ยังไม่ตายกล่าวคือยังมี
การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอยุ่เนืองๆ ดังนั้นสิ่งแวดล้อมบนผิวโลกย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่
โดยตลอดเวลาไม่ใช่ดาวเคราะห์หินที่ตายไปแล้วเหมือนดาวอังคารที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงทาง
ธรณีวิทยาเลยหรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยมาก

อากาศแปรปรวนผิดปกติ เราต้องมาดูปัจจัยและเหตุผลว่าทำไมมันถึงได้แปรปรวนอย่างนี้ ไม่ใช่
เอะอะอะไรมันก็โลกจะแตก น้ำจะท่วม แผ่นดินจะถล่ม คำทำนายเรื่องวันสิ้นโลก ฯลฯ

ทำไมน้ำจึงท่วมบริเวณนั้น ทำไมชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะ ทำไมดินจึงถล่ม ทำไมน้ำจึงหลาก

ซึ่งช่วงเดือนนี้อากาศสมควรจะหนาว แต่ดูแสงแดดตอนกลางวันซิค่ะ ร้อนเปรี้ยงมากๆ แถมบ้างที
ยังมีฝนตกลงมาอีก ข่าวก็บอกว่าทางภาคใต้น้ำท่วม แถบอ่าวไทยน้ำก็ขึ้นล้นชายหาดมากกว่าปกติ
- ประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศในเขตซีกโลกเหนือหรือใต้ ไม่ใช่ดินแดนที่อยู่ดีๆ จะหนาวเย็นขึ้นมาได้
ด้วยตัวเอง กอปรกับอยู่ในบริเวณที่ใกล้เส้นศูนย์สุตรมาก เมื่อแกนโลกเอียงตามรอบในการหมุนรอบ
ดวงอาทิตย์ พื้นที่บริเวณในแถบนี้จึงไม่ค่อยมีความแตกต่างมากนักในเรื่องระยะทางที่แสงจากดวง-
อาทิตย์ส่องมากระทบยังโลกไม่เหมือนประเทศที่อยู่ในซีกโลกเหนือหรือใต้ อากาศจึงไม่เย็นมากนัก
กล่าวได้ว่าหากไม่มีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนไหลลงมาแล้ว ประเทศไทยโดยเฉพาะภาค
กลางคงจะไม่มีอากาศเย็นอย่างแน่นอน ทุกวันนี้ที่อากาศเย็นลงได้ก็เพราะพึ่งลมหนาวหรือความกด
อากาศสูงจากประเทศจีนนั่นแหละ เมื่อลมหมด มันก็เลิกหนาว เมื่อลมมาใหม่มันก็หนาวอีก มันไม่ใช่
เกาหลี หรือจีนที่อยู่ในซีกโลกทางเหนือไม่ต้องไปพึ่งลมจากใคร ดังนั้นเมื่อลมหมดมันก็เลยไม่ต่าง
อะไรไปจากหน้าร้อนสักเท่าไหร่ จึงไม่แปลกที่ช่วงหน้าหนาวแต่ไม่มีความกดอากาศสูงจากประเทศ
จีนแผ่ลงมาแล้ว กทม. มันจะร้อนตับแตกอย่างนี้ คุณต้องเข้าใจว่าประเทศเราเป็นประเทศอยู่ในเขต
ร้อน มันร้อนยืนพื้นอยู่แล้ว อากาศเย็นลงก็เพราะมีลมแอร์จากที่อื่นพัดลงมาเท่านั้น

คุณ จขกท ท่าทางจะอยู่ใน กทม. ใช่ไหม ลองออกไปตาม ตจว. ไกลๆ ดูแล้วจะรู้ว่าเขาก็หนาวเย็น
กันเป็นปกติ กรุงเทพเต็มไปด้วยตึกและถนนดูดซับความร้อนจำนวนมากมหาศาลเอาไว้เมื่อตกเย็น
ก็คายความร้อนออกมา ตอนกลางวันก็เป็นความร้อนจากแอร์ที่เราเปิดยังไม่รวมไอเสียจากรถยนต์
จำนวนมาก ปรากฏการณ์เกาะร้อนในเมืองใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก กรุงเทพมันเลยร้อนทั้งกลางวัน
และกลางคืน

ปัญหาน้ำท่วม ภาคกลางตั้งแต่ตอนบนยันตอนล่างชื่อมันก็บอกยี่ห้ออยู่แล้วว่าเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ
น้ำท่วมถึง ถ้าใครยังจำได้เราเคยเรียนไปแล้วตอนประถม มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก
น้ำมันจะเอ่อล้นเข้าท่วมสองฝั่งแม่น้ำ เป็นเพราะภูมิประเทศมันเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ยังรวมถึงที่ราบลุ่ม
แม่น้ำในภาคอื่นๆ ด้วย และด้วยเหตุที่น้ำหลากทุกปีเช่นนี้ ผู้คนในสมัยก่อนจึงนิยมปลูกบ้านสร้าง
เมืองกันในพื้นที่แบบนี้ เพราะเราเป็นชนชาติที่กินข้าวเป็นหลัก ข้าวชอบที่ราบลุ่มแบบนีในการเจริญ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปน้ำที่มันเคยหลากเข้าท่วมไร่นาเรือกสวนเอื้อประโยชน์ให้กับสังคมเกษตรกรรม
กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่เพราะเรือกสวนไร่นาแต่เดิมก็ถูกเอามาสร้างบ้าน ตัดถนน แทนที่มันจะ
ท่วมไร่นาให้เป็นประโยชน์กลับมาท่วมบ้านคนแทนเลยกลายเป็นปัญหา แต่ถามหน่อยว่าปัญหาที่
เกิดขึ้นนี้มันเป็นเพราะมนุษย์หรือธรรมชาติ ธรรมชาติมันทำให้น้ำต้องท่วมแบบนี้ทุกปีอยู่แล้วไม่ใช่
เพราะมนุษย์หรอกหรือที่คิดว่ามันเป็นปัญหาเพราะมันไปขัดขวางการอยู่อาศัยของมนุษย์

แม่น้ำอะเมซอนก็เอ่อล้นท่วมสองฝั่งแม่น้ำอย่างนี้ทุกปี มิหนำซ้ำยังทวมสูงหลายเมตรด้วย แต่บังเอิญ
ที่ว่าที่มันท่วมไปนั้นไม่ใช่บ้านคนแต่เป็นป่า มันก็เลยไม่มีปัญหายังไงล่ะ สมัยก่อนก็เช่นเดียวกัน
พอหน้าน้ำน้ำก็ท่วมแต่มันท่วมป่า พอคนมาอยู่ท่วมบ้านคน คนบอกว่าธรรมชาติแปรปรวน ทั้งๆ ที่
มันเปนอย่างนี้อยู่แล้วเข้าไปอยู่กันเองแล้วโทษธรรมชาติว่าแปรปรวน

ปัญหาชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะ ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำนั้นมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของดอน
อยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับประแสน้ำและปริมาณตะกอนที่ถูกพัดพามาในแต่ละปี สื่อได้เคยนำเสนอ
ไหมว่าที่ดินตรงนั้นงอก ตรงโน้นงอก มีแต่นำเสนอว่าถูกกัดเซาะออกไป ไม่เห็นจะมีใครพูดเรื่องการ
รุกล้ำพื้นที่ชายฝั่งทะเลของชาวบ้านเลย ถ้าเมื่อหนึ่งพันปีก่อนพื้นที่บริเวณนี้ไม่มีใครอาศัยมันจะถูก
กัดเซาะเข้าไปสัก 2 กิโลก็คงไม่ใช่ปัญหาของใคร แต่พอมีคนมาอยู่ปุ๊บ เข้าไปตั้งบ้านเรือนตามชาย
ฝั่งทะเล พอดินดอนมันเปลี่ยนรูปร่าง หายจากตรงนี้แล้วไปงอกที่อื่นก็บ่นว่าธรรมชาติแปรปรวนเอย
โลกร้อนเอย โลกจะแตกแล้วเอย ตกลงว่าคนหรือธรรมชาติกันแน่ที่มนมีปัญหา

หลายคนบอกว่าเมืองใหญ่ๆ ในโลกนี้โดนภัยพิบัติทุกปี แล้วถามหน่อยเถอะเมืองใหญ่ๆ บนโลกนี้มี
อยู่กี่ร้อยกี่พันเมืองกัน ถ้ามันจะโดนทุกเมืองไม่ซ้ำกันในรอบหนึ่งปีแค่นี้ก็โดนได้ทุกวันแล้ว นี่ยังไม่
รวมการขยายตัวของประชากรมนุษย์ทำให้หลายคนต้องเข้าไปอยู่ในเขตเสี่ยงจากภัยธรรมชาติมาก
กว่าปกติ

แต่ทุกคนกลับมองว่าภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนี้เป็นลางบอกเหตุ เป็นเหตุโลกจะแตก เพราะโลกร้อนบ้าง
เพราะมนุษย์รบกวนธรรมชาติบ้าง แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่มันไม่ปลอดภัยเอง
ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตามสันเขาที่เป็นดินอ่อนนุ่ม พอฝนตกดินอุ้มน้ำไว้ไม่ไหวก็เลยถล่มลงมา ถามว่า
ถ้าไม่มีใครไปตั้งบ้านอยู่แถวนั้น เมื่อดินถล่มก็คงจะไม่หนักหัวใคร แต่บังเอิญมีคนอยู่ตรงนั้นก็เลย
กลายเป็นภัยธรรมชาติไป

สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ไม่ใช่ว่าทุกวันท้องฟ้าจะแจ่มใส ไร้พายุ ไร้ดินถล่ม ไม่มีภัยพิบัติเลย นั่นมันบ้า
กันไปแล้ว โลกเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พายุก็เข้ามาอย่างนี้ทุกปีอยู่แล้ว ถ้ามันขึ้นฝั่งแต่ไม่มีใคร
ไปตั้งบ้านอยู่ตรงนั้นก็คงไม่ใช่ภัยธรรมชาติใช่ไหม ที่ผมกำลังจะบอกก็คือว่าการกล่าวหาว่ามันเป็น
ภัยธรรมชาตินั้นมันไม่ยุติธรรมเลย มันคือธรรมชาติ ธรรมชาติมีความแปรปรวนอยู่แล้ว เราอยู่บน
โลกก็ต้องยอมรับมัน ไม่ใช่โทษว่าทำไมต้องแปรปรวนด้วย ทำไมต้องร้อนด้วย ทำไมต้องอย่างนั้น
ต้องอย่างนี้

เพื่อน ๆ พี่ ๆ คิดอย่างไรกับภาวะธรรมชาติที่เปลี่ยนไปอย่างมากของโลกเราทุกวันนี้ค่ะ
- ธรรมชาติเปลี่ยนไปมาก หรือเพราะเราคิดให้ว่ามันเปลี่ยนไปมาก ผมขอถามว่าสมัยอยุธยา อินเดียน
แดงเผ่าหนึ่งกำลังจะรบล้างโคตรกับอีกเผ่าหนึ่ง อยากจะรู้ว่าพระสนมองค์ที่ห้าของพระเจ้าแผ่นดิน
สยามในตอนนั้นจะรู้เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นในทวีปอเมริกาหรือไม่?

การเข้าถึงสื่อทุกวันนี้ง่ายดายและรวดเร็วมาก เป็นเพราะวิทยาการที่ก้าวล้ำไปมาก และสื่อเองก็
จ้องแต่จะนำเสนอเรื่องภัยพิบัติ ความชิปหายวายป่วงของคนอยู่แล้ว เพราะเรื่องราวแบบนี้มันน่าสนใจ
และที่สำคัญคือมันขายได้ สื่อเองไม่ใช่องค์กรการกุศลที่ไม่ได้หวังกำไร เขาก็ทำกำไรจากข่าวที่ขาย
ให้เราอยู่นี่แหละ ดังนั้นอะไรที่มันขายได้ก็ต้องนำเสนอให้มากๆ จึงไม่แปลกที่เราได้ยินเรื่องเมืองใหญ่ๆ
ในโลกนี้ประสบภัยพิบัติอยู่ทุกวัน เมืองใหญ่ๆ ในโลกมีเป็นร้อยเป็นพันเมือง กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุม
โลกไม่แปลกที่มันจะโดนบ้างแหละ

จากคุณ : axquest

เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 01:45:48

ความคิดเห็นที่ 8

ขอยกคำตอบที่เคยตอบแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาให้อ่าน

ภัยธรรมชาติ

ผมว่าคำนี้ มันเป็นคำที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไหร่ มันเป็นคำที่มนุษย์บัญญัติขึ้นมาเพื่อเรียกปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ที่เกิดขึ้นด้วยความเห็นแก่ตัวมากที่สุด

น้ำท่วม ไฟป่า แผ่นดินไหว ภูเขาถล่ม ภูเขาไฟระเบิด น้ำแข็งละลาย สิ่งเหล่านี้คือ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ คือสิ่งที่
เกิดขึ้นบนโลกด้วยความปกติ แปรเปลี่ยนผันแปรและแตกต่างไปตามแต่ละภูมิภาคภูมิประเทศภูมิอากาศ

มนุษย์ผู้อาศัยอยู่บนโลก ก็เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติแล้วมันเกิดทำให้การดำรงชีวิตอยู่
ของเราไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อาจจะคุกคามหรือสร้างความเดือดร้อน รวมไปถึงทำลายล้างสังคมของเรา

ดังนั้นเราเลยเรียกมันว่า ภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติ ...ฟังดูแล้วไม่แฟร์กับธรรมชาติเลยใช่ไหมครับ?

สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและครรลองที่มันดำเนินไป มิได้มีใครไปกำหนดกฏเกณฑ์หรือสร้างขึ้นมา แต่เมื่อมันทำให้
ชีวิตมนุษย์ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตามอย่างที่ตัวเองต้อง เราเลยเห็นมันเป็นสิ่งที่เลวร้าย น่ารังเกียจ และผิดปกติ

สิ่งที่เกิดขึ้นเองนี้หรือคือสิ่งผิดปกติและเลวร้าย ที่มันเลวร้ายเพราะมนุษย์ไม่ชอบใจมิใช่หรือ มันจะไม่แปลกเลยว่าถ้าโลก
เป็นดาวเคราะห์ที่ดับแล้ว คงจะไม่มีภูเขาไฟเกิดขึ้นอีก ไม่มีน้ำท่วมหรือฤดูกาล

มนุษย์เองมิใช่หรือที่ขยายจำนวนอย่างรวดเร็วจนบางส่วนต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น
ตามป่าเขาอาจจะมีดินถล่มได้ง่าย บริเวณพื้นที่ที่เป็นภูเขาไฟ ที่ราบลุ่มแม่น้ำน้ำท่วมถึง (พอน้ำท่วมก็ออกมาบ่นกัน)

พอเข้าไปอยู่แล้วเจอกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ก็บอกว่ามันเป็นภัยธรรมชาติ เป็นสิ่งผิดปกติ เป็นเหตุมาจากโลกร้อน
โยงกันมั่วตั๊วอีรุงตุงนังกันไปหมด สิ่งที่มนุษย์ต้องการคือธรรมชาติที่เรียบร้อยสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่เกิดน้ำท่วม แผ่นดินไหว
ภูเขาไฟระเบิด ..ใช่มั้ย แต่ได้เคยถามตัวเองหรือเปล่าว่า ไปตั้งบ้านอยู่แถวนั้นทำไม

สุดท้ายก็บอกธรรมชาติผิด

ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เกี่ยวกับกรุงเทพมหานคร เป็นที่ทราบกันดีว่าพื้นที่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำ หรือในอีกชื่อหนึ่งคือที่ราบ-
ลุ่มแม่น้ำ น้ำท่วมถึง ในพื้นที่บริเวณนี้จะมีการหลากของน้ำทุกปีเป็นประจำ มันเป็นเรื่องปกติที่ว่าเมื่อมีฝนตกฉุกมากกว่าเวลา
อื่นในรอบปี จะทำให้แม่น้ำไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน และเอ่อล้นขึ้นมาบนตะลิ่ง

บรรพบุรุษของเรานั้น โดยพื้นฐานแล้วเป็นสังคมเกษตรกรมาแต่ไหนแต่ไร การตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณนี้จึงมีประโยชน์มากเพราะ
ตะกอนที่แม่น้ำพัดพามานั้นประกอบไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อพืช ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เหมาะแก่การ
เพาะปลูกและทำนา ประโยชน์ทางอ้อมทางหนึ่งก็คือเป็นปราการชั้นดีสำหรับการป้องกันพระนคร เมื่อยามมีข้าศึก

แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป การตั้งบ้านเรือนแบบฝรั่งเข้ามาแทนที่ แต่ธรรมชาติไม่ได้เปลี่ยนไปตามใจอย่างที่มนุษย์ต้องการ น้ำก็เลย
ยังคงท่วมทุกปีเหมือนเดิม แต่มีสิ่งที่ต่างออกไป น้ำที่ท่วมนั้นไม่ได้เป็นที่ต้องการ แทนที่มันจะไปท่วมนา หรือให้น้ำแก่การเกษตร
พื้นที่รับน้ำในส่วนนี้กลับกลายเป็นตึกรามบ้านช่อง คอนโดสุดหรู ถนนคอนกรีตขนาด 8 ช่องจราจร ถมคลอง รุกล้ำแม่น้ำ สร้าง
บ้านเรือนกีดขวางทางเดินของน้ำ

พื้นที่ที่เคยเป็นแก้มลิง มันก็ถูกถมเอามาสร้างบ้าน น้ำเป็นสสารก็ต้องการที่อยู่ ถ้ามันท่วมหนองน้ำคงไม่เรียกภัยธรรมชาติ แต่พอ
มันมาท่วมบ้านคนก็เลยเรียกภัยธรรมชาติ ที่ลุ่มรกร้างพอน้ำท่วมไม่มีใครสนใจ พอคนมาอยู่สร้างบ้านน้ำท่วมบอกภัยธรรมชาติ?

น้ำท่วมที่เป็นประโยชน์ในอดีต จึงกลายเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการอีกต่อไป และมนุษย์ก็สาปแช่งธรรมชาติ ที่นำพาน้ำท่วมมาให้
ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องปกติของพื้นที่บริเวณนี้อยู่แล้ว และเพื่อให้เข้ากระแสสักหน่อย ก็ต้องบอกว่าเป็นเพราะโลกร้อน

นี่แหละเมืองไทย

ถ้ารัฐบาลหรือผู้ที่มีความรับผิดชอบ "ฉลาด" สักนิด พื้นที่บริเวณภาคอิสานของประเทศ เป็นดินเก่า แน่น แข็งแรง อีกทั้งบางส่วน
ไม่ใช่พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ น้ำท่วมถึง ย้ายเมืองหลวงหรือเขตธุรกิจไปตั้งที่นั่นเสีย แล้วเอาพื้นที่กรุงเทพ ซึ่งเหมาะแก่การทำเกษตร
มาทำนาปลูกข้าว ทำไร่ ทำสวน คงจะดีไม่น้อย

แต่มนุษย์ก็ไม่ทำ

ธรรมชาติไม่เคยแก้แค้นใคร ทุกสิ่งล้วนเกิดเองตามธรรมชาติทั้งนั้น มนุษย์นั่นแหละ ที่ไม่ชอบสิ่งที่ธรรมชาติกระทำ
แล้วก็บอกว่ามันเป็นภัยกับตัวเอง

จากคุณ : axquest

เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 01:51:38