ความคิดเห็นที่ 1 สถติเกี่ยวกับคุณภาพของชีวิต * อายุเฉลี่ยของคนไทย 2005   69.6 ปี 2004 70.3 ปี 2003 70.0 ปี 2002 69.1 ปี 2001 68.9 ปี 2000 70.2 ปี * อายุเฉลี่ยของ "ชาย" ไทย 2005   65.0 ปี 2004 66.7 ปี 2003 66.3 ปี 2002 65.2 ปี 2001 64.9 ปี 2000 67.3 ปี * อายุเฉลี่ยของ "หญิง" ไทย 2005   74.5 ปี 2004 74.0 ปี 2003 73.8 ปี 2002 73.4 ปี 2001 73.2 ปี 2000 73.2 ปี ผู้หญิงไทยอายุยืนกว่าเห็นๆ ไม่มีข้อโต้แย้ง.. * อัตราเสียชีวิตของทารก 2007   6 : 1,000 live births (เข้าใจว่าแปลว่า การคลอดที่ประสบความสำเร็จ คือทารกที่คลอดออกมารอดชีวิต ถ้าผิด กรุณาท้วงด้วยนะครับ) 2006 7 : 1,000 live births 2005 18 : 1,000 live births 2004 18 : 1,000 live births 2003 23 : 1,000 live births 2002 24 : 1,000 live births 2001 24 : 1,000 live births 2000 25 : 1,000 live births ตัวเลขนี้น่าสนใจนะครับ จะเห็นว่ามีการก้าวกระโดดในช่วงปี 2005-2006 ไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์ทางการแพทย์อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าในช่วงนั้น * อัตราเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี 2007   7 : 1,000 live births 2006 8 : 1,000 live births 2005 21 : 1,000 live births 2004 21 : 1,000 live births 2003 26 : 1,000 live births 2002 28 : 1,000 live births 2000 29 : 1,000 live births อันนี้ก็เหมือนกัน ปี 2006 อัตราการเสียชีวิตลดลงมากเมื่อเทียบกับปี 2005 * การทำคลอดโดยบุคคลากรที่ได้รับการอบรม (แปลแข็งหน่อย แต่ประมาณนี้ครับ) 1997-2005 99% 1996-2004 99% 1995-2003 99% 1995-2002 99% 1995-2001 85% 1995-2000 85% คลอดลูกในไทยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีหมอดูแล :) *อัตราการเสียชีวิตของมารดาที่ให้กำเนิดบุตร 2005 110 : 100,000 live births 2000 44 : 100,000 live births แม่เสียชีวิตมากขึ้น!! * Human development index (HDI rank) - เดี๋ยวจะหานิยามมาแถมให้ตอนท้ายครับ 2005 78 2004 74 2003 73 <-- ลดลงแฮะ!! 2002 76 2001 74 2000 70 * เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี และมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ 2000-2007 9% 2000-2006 9% 1996-2005 18% 1996-2004 No data available percent 1995-2003 No data available percent 1995-2002 No data available percent 1995-2001 19% 1995-2000 21% ข้อสังเกตผมเหมือนเดิมครับ คือ ปี 2005 - 2006 ดูเหมือนเด็กไทยจะสุขภาพดีขึ้น * อัตราของเด็กขาดอาหาร 2003-2005 17% 2002-2004 22% 2001-2003 21% สงสัยเพราะตัวนี้หรือเปล่า เด็กไทยมีอาหารกินดีขึ้นในช่วงหลังปี 2005?? * ประชากรที่มีน้ำประปาใช้ 2006 98% 2004 99% 2002 85% 2000 84% นึกถึงยุคที่ฝรั่งในเมืองไทยต้องซื้อโซดากินแทนน้ำ :) * ประชากรที่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข 2006 96% 2004 99% 2002 99% 2000 96% * อัตราของประชากรที่รู้หนังสือ (อ่านหนังสือออกนั่นแหล่ะ) 2004 92.6% 2003 92.6% 2002 92.6% 2001 95.7% 2000 95.5% อ่านออกแต่ดูเหมือนไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือกัน ว่าไม๊ครับ :D * อัตราประชากรชายที่อ่านหนังสือออก 2004 94.9% 2003 94.9% 2002 94.9% 2001 97.3% 2000 97.1% * อัตราประชากรหญิงที่อ่านหนังสือออก 2004 90.5% 2003 90.5% 2002 90.5% 2001 94.1% 2000 93.9% *โทรศัพท์บ้านต่อประชากร 1,000 คน 2008 105 : 1,000 people 2007 105 : 1,000 people 2006 106 : 1,000 people 2005 107 : 1,000 people 2004 104 : 1,000 people 2003 103 : 1,000 people 2002 103 : 1,000 people 2001 96 : 1,000 people 2000 90 : 1,000 people * โทรศัพท์มือถือต่อประชากร 1,000 คน 2008 1180 : 1,000 2007 1180 : 1,000 2006 612 : 1,000 2005 472 : 1,000 2004 419 : 1,000 2003 338 : 1,000 2002 160 : 1,000 2001 120 : 1,000 2000 49 : 1,000 เฉลี่ยแล้ว ตอนนี้เรามีโทรศัพท์มือถือกันมากกว่า 1 เครื่องต่อคน!!! * จำนวนอินเตอร์เน็ตยูสเซอร์ต่อประชากร 1,000 คน 2008   210 : 1,000 2007 210 : 1,000 2006 176 : 1,000 2005 154 : 1,000 2004 109 : 1,000 2003 95 : 1,000 2002 77 : 1,000 2001 56 : 1,000 2000 37 : 1,000 ยังโตได้อีกเยอะ * Transparency International corruption ranking (Scale: 1 = least corrupt, >175 = most corrupt) อันนี้ขอไม่แปล เนื่องจากอายเหลือเกิน ใครมีหน้าที่ ช่วยแก้ไขด่วน 2008   80 (joint) 2007 84 (joint) 2006 Not ranked 2005 59 (joint) 2004 64 (joint) 2003 70 (joint) 2002 64 (joint) 2001 61 (joint) 2000 60 (joint) -- มีต่อครับ -- จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:54:33

ความคิดเห็นที่ 2   รออ่านอยู่นะ อิอิ จากคุณ : Arrancar (Arrancar) เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 19:54:58

ความคิดเห็นที่ 3 ข้อมูลเชิงเศรษฐกิจ * อัตราของประชากรที่มีชีวิตอยู่ด้วยรายได้ต่ำกว่า 1USD ต่อวัน 1990-2005 2.0% 1990-2004 2.0% 1990-2003 <2% 1990-2002 <2% 1990-2001 <2% คนไทยจนลง?!? * GNI per capita, Atlas method เดี๋ยวตอนท้ายจะหาคำอธิบายให้ครับว่ามันคืออะไร แต่บนเวบอธิบายว่า Atlas Method ใช้เพื่อ Normalize ตัวเลขเพื่อลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้ว ถ้าท่านใดทราบ รบกวนแจกแจงด้วยครับ 2007   3400 current US$ 2006 2990 current US$ 2005 2700 current US$ 2004 2470 current US$ 2003 2140 current US$ 2002 1960 current US$ 2001 1960 current US$ 2000 2010 current US$ * GDP 2007 245.4 current US$ billions 2006 206.7 current US$ billions โตขึ้นจากปีก่อน 5.0% 2005 176.4 current US$ billions โตขึ้นจากปีก่อน 4.5% 2004 161.3 current US$ billions โตขึ้นจากปีก่อน 6.3% 2003 142.6 current US$ billions โตขึ้นจากปีก่อน 7.1% 2002 126.9 current US$ billions โตขึ้นจากปีก่อน 5.3% 2001 115.5 current US$ billions โตขึ้นจากปีก่อน 2.2% 2000 122.7 current US$ billions โตขึ้นจากปีก่อน 4.8% * อัตราเงินเฟ้อ 2007 3.3% 2006 5.0% 2005 4.6% 2004 3.1% 2003 1.3% 2002 0.8% 2001 2.1% 2000 1.3% คนที่จนที่สุด 10% แรก มีรายได้คิดเป็น 2.7% ของรายได้คนทั้งประเทศ คนที่รวยที่สุด 10% แรก มีรายได้คิดเป็น 33% ของรายได้คนทั้งประเทศ -- มีต่อครับ -- จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:02:28

ความคิดเห็นที่ 4 ทางด้านสุขภาพ * อัตราส่วนของแพทย์ต่อประชากร 100,000 คนเฉลี่ยในแต่ละช่วงเวลา 2000-2004  37 : 100,000 1990-2004  37 : 100,000 1990-2003  30 : 100,000 1990-2002  24 : 100,000 คุณหมอคงเหนื่อยกันน่าดู โดยเฉพาะในชนบท :( * อัตราส่วนของประชากรในวัย (15-49 ปี) ที่ติดเชื้อ HIV 2007 1.4 % 2006 1.4 % 2005 1.5 % 2004 1.5 % 2003 1.5 % ผมสงสัยว่าทำไมสถิติถึงเก็บในช่วงอาุยุ 15-49 ปี - จะว่าเป็นเพราะวัยทำงานก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตัวเลขอายุ 15 น่าจะต่ำเกินไป หรือเปล่า? * การแพร่ระบาดของมาลาเรีย ไม่พบการแพร่ระบาดในเขตเมืองใหญ่ แต่พบบ้างเล็กน้อยตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา และชายแดนไทย-พม่า (บ้านเขาป่ายังเยอะอยู่) * การแพร่ระบาดของวัณโรค ตั้งแต่ปี 2000-2007 ตัวเลขคงที่ที่ 142:100,000 คน ผมว่า การแพทย์และสาธารณสุขไทยเราค่อนข้างล้ำหน้านะครับ จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:09:32

ความคิดเห็นที่ 5 รบกวนแก้ไช อันแรกอะครับ  เรียงปีให้เหมือนกันหน่อย  อ่านแล้ว งง เลย จากคุณ : PureSnow เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:10:47

ความคิดเห็นที่ 6 ประชากรมีแต่เพิ่มขึ้น     จะไม่มีทางลดลงได้เลยรึไงนะ      เห็นสมัยWW2มีประชากร14ล้านคนแล้วสวรรค์ชัดๆ   ไม่ต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:12:40

ความคิดเห็นที่ 7 สุดท้าย ตัวเลขเกี่ยวกับผู้อพยพ และพิบัติภัยต่างๆ * ผู้อพยพจากประเทศไทย (ไปประเทศอื่น - หน่วยเป็น "คน" นะครับ) 2008 1801 2007 2313 2006 3325 2005 424 2004 319 2003 296 2002 344 2001 94 2000 217 คนไทยทิ้งบ้านมากขึ้น สงสัยเพราะสนามบินสุวรรณภูมิเสร็จ คนไทยนั่งเครื่องบินสะดวกขึ้นหรือเปล่า? (ขำๆ นะครับ อย่าคิดมาก) * ผู้อพยพที่เข้ามาเมืองไทย (หน่วยเป็น "คน" เช่นกัน) 2008 112,932 2007 125,643 2006 133,117 2005 117,053 2004 121,139 2003 119,053 2002 112,614 2001 110,711 2000 104,965 เปรียบเทียบกับคนอพยพออกแล้ว พอจะบอกว่าเมืองไทยเรายังน่าอยู่อยู่ ได้หรือเปล่าครับ? * ผู้เสียชีวิตจากกับระเบิด 2004 24 คน 2003 29 คน รวมจากปัญหาที่ภาคใต้หรือยังเนี่ย ... ที่แน่ๆ ตัวเลขนี้รวมทหารที่เสียชีวิตด้วยแล้ว * ค่าใช้จ่ายทางการทหารต่อ GDP 2005 1.1% 2004 1.2% 2003 1.3% ไว้จะลองหาตัวเลขของมหาอำนาจทางทหารอื่นๆ มาเปรียบเทียบให้ครับ * ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาต่อ GDP 2002-2005 4.2% 2002-2004 4.2% 2000-2002 5.2% 1999-2001 5.0% 1998-2000 5.4% รัฐบาลน่าจะเพิ่มอีกนิดนะครับ * ค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขต่อ GDP 2004  2.3% 2003-2004 2.0% 2002 3.1% 2001 2.1% 2000 2.1% เอ.. แล้วที่เหลือหายไปไหนน้อ .... จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:18:26

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบคุณ #6 ข้อมูลมันมาอย่างนี้ครับ เกี่ยวกับ HDI ผมถอดความเอาจาก wiki - http://en.wikipedia.org/wiki/Human_Development_Index ถ้าผิดก็ทักท้วงด้วยครับ HDI คำนวณจากปัจจัย 3 ตัวใหญ่ๆ คื่อ - อายุเฉลี่ยของประชากร - ความรู้และการศึกษา - มาตรฐานการใช้ชีวิต โดยดูจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ เช่น GDP, กำลังซื้อ ตัวเลขที่สูงสุดคือ 100 ต่ำสุดคือ 0 ใน wiki จะใช้ 1.0 - 0.0 ประเทศที่มี HDI สุงสุดในปี 2009 คือ นอร์เวย์ ได้คะแนน 97.1 หรือ 0.971 ต่ำสุด (ข้อมูลเป็นของปี 2007) คือ ไนเจอร์ (Niger) ที่ 0.340 ส่วน GNI ย่อมาจาก Gross National Income - ต่างจาก GDP ยังไง ขอยกหน้าที่ให้กับนักเศรษฐศาสตร์ละกันครับ เดี๋ยวผมจะพาเข้ารกเข้าพงเอา.. แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 20:27:59 จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:19:09

ความคิดเห็นที่ 9 อันนี้เป็นกราฟเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายทางการทหาต่อ GDP ของ "มหาอำนาจ" ในท้องถิ่นนี้ กับของโลก :P กราฟสูงกว่า แปลว่า "ค่าใช้จ่ายต่อ GDP" มากกว่านะครับ ไม่ใช่จำนวนเงินมากกว่า จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:34:06

ความคิดเห็นที่ 10 ค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขต่อ GDP น่าเสียดายในกราฟไม่มีให้เลือกค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษาต่อ GDP แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 20:40:01 จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:36:48

ความคิดเห็นที่ 11   ปาดด จากคุณ : คนของอาร์ตี้ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:48:37

ความคิดเห็นที่ 12 ดีใจจัง โดนปาดกะเค้าบ้างแล้ว ดูอัตราการเติบโตของโทรศัพท์มือถือของไทยครับ incredible จริงๆ!! หน่วยคือ หมายเลข (subscriber) ต่อประชากร 1,000 คนครับ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 20:55:19 จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:54:00

ความคิดเห็นที่ 13 อินเตอร์เน็ตบ้านเราจะโตเหมือนมือถือไม๊ โปรดติดตาม!! จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 20:57:02

ความคิดเห็นที่ 14 อัตราการอ่านออกเขียนได้ - เีราเคยนำสิงคโปร์นะครับ ไม่น่าเชื่อเลย จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:00:25

ความคิดเห็นที่ 15 ผมว่า พอ benchmark กันดีๆ จะเห็นว่าไทยเรามาไกลทีเดียวนะครับ ถึงแม้ว่าตัวเลขบางตัว เช่น corruption ยังค่อนข้างย่ำแย่ แต่อีกหลายอย่าง (เ่ช่นการสาธารณสุข) ดีกว่าที่ผมคาดไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว ขอตัวไปอาบน้ำก่อนครับ เหมืนตัวเองน่าดู เดี๋ยวถ้ายังมีไฟ จะหาข้อมูลเปรียบเทียบที่น่าสนใจมาเพิ่มอีก เท่านี้ก่อนครับ ขอบคุณที่ติดตาม ถ้าใครสนใจจะลองชาร์ตเปรียบเทียบด้านอื่นๆ ด้วยตัวเอง เชิญที่นี่ครับ http://www.alertnet.org/thefacts/chart.htm แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 21:07:07 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 21:06:46 จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:04:37

ความคิดเห็นที่ 16 #7 ต่อ GDP ไม่ได้ต่องบประมาณแผ่นดินนะครับ จากคุณ : the_architect เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:28:17

ความคิดเห็นที่ 17 ตัวเลข % ของ GDP ที่ใช้จ่ายด้านสาธารณสุขและด้านการศึกษาไม่ได้เฉพาะจากรัฐบาลนะครับ หากมีการใช้จ่ายในการซื้อยาแดง ทิฟฟี่ ดีคอลเจน จากประชาชน ก็ถือว่าเป็นการใช้จ่ายทั้งหมด แต่ในส่วนการทหาร ก็นับเฉพาะแต่ภาครัฐเท่านั้นครับ อยากทราบอัตราส่วนการใช้จ่ายงบประมาณประเทศ ดูได้ที่นี่ครับ http://www.parliament.go.th/parcy/sapa_db/adhoc-upload/conclusion.pdf ส่วนเรื่องการแพทย์และสาธารณสุข ผมยกเครดิตให้หลักประกันสุขภาพมากอนเลยครับ ขอแนะนำว่าอย่ามาการเมืองในกระทู้นี้นะครับ ได้โปรดเถอะ ขอร้อง ปีไหนรัฐบาลอะไรขออย่ามาพูดในนี้ครับ จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:30:34

ความคิดเห็นที่ 18 แนวโน้มประเทศเราก็น่าจะดีขึ้นครับ เพราะรายได้เราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก GDP ที่โตขึ้น ภาษีที่มากขึ้น ซึ่งก็มาจากพวกเราส่วนใหญ่ในประเทศที่ช่วยๆ กัน จะไปหวังให้อะไรๆ มันดีขึ้นในปีสองปีคงจะยากครับ ถ้ามองไปเมื่อ 10-20 ปีก่อน แล้วจะทราบว่า เราก็มีการเจริญมากขึ้นในหลายๆ เรื่อง และถดถอยลงในหลายๆ เรื่อง อยู่ที่เราจะมองครับ จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:37:56

ความคิดเห็นที่ 19 อยากรู้จำนวนผู้เสียภาษีครับว่าแต่ละปีมีคนที่จ่ายภาษีเงินได้ประจำปีกี่คน คิดเป็นกี่%ของประชากร และเสียที่ระดับใด10% 20% 37% อย่างละกี่% หากแยกตามภาคด้วยจะดีมากครับ ผมอยากได้ข้อมูลตรงนี้มากไม่รู้ว่าจะหาได้จากที่ไหน จากคุณ : Megrim เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 21:52:02

ความคิดเห็นที่ 21 มีของปี 51 ครับ กรมสรรพากรแจกเอง อยู่ประมาณหน้าที่ 107 แถวๆ นั้น แยกเป็นเขตสำนักงานสรรพากรภาคต่างๆ และแสดงแต่อัตราเพิ่ม/ลด อัตราส่วนของแต่ละภาค คงต้องลองคำนวนเองครับ แหล่งข้อมูล http://download.rd.go.th/fileadmin/download/annual_report51/annual_report51.pdf จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 22:08:18

ความคิดเห็นที่ 22 ส่วนอันนี้แยกตามประเภทของภาษีครับ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 52 22:09:27 จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 22:09:20

ความคิดเห็นที่ 23 ลืมรูป ขออภัยครับ จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 22:09:42

ความคิดเห็นที่ 24 รายได้หลักของภาษีมาจากภาษีมูลค่่าเพิ่ม นั่นก็คือการจับจ่ายใช้สอยของคนที่อยู่ในประเทศไทยทุกคนครับ แม้จะไม่มีรายได้ แต่คุณก็ต้องเสียภาษีจากการซื้อของกินนั่นเอง จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 22:15:14

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าว่ากันตามข้อมูลในตาราง ผมยังเห็นว่าภาษีที่สำคัญคือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม จะพูดถึงแค่ภาษีมูลค่าเพิ่มเพียงอย่างเดียวโดยไม่ให้ความสำคัญกับภาษีเงินได้นิติบุคคลเลยคงไม่ได้หรอกครับ อีกอย่าง ภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ได้เก็บจากสินค้าทุกชนิดนะครับ มีข้อยกเว้นอยู่พอสมควรเหมือนกัน โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มที่เกี่ยวกับอาหารสดทั้งหลาย จะเหมาว่าเป็นภาษีจากการซื้อของกินนั้น คงไม่ accurate เท่าไหร่นัก ยังไง รบกวนอย่าโยงเข้าการเมืองนะครับ ผมยังอยากให้กระทู้นี้เป็นเรื่องของข้อมูลที่จับต้องได้มากกว่า ขอบคุณล่วงหน้าทุกท่านครับ จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 22:33:35

ความคิดเห็นที่ 26 มาติดตามข้อมูล เสร็จแล้วก็โหวตไปอีกหนึ่งทีครับ จากคุณ : @power เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 22:51:01

ความคิดเห็นที่ 27 คอรัปชั่นกันสนุกสนานจริงๆเมืองไทย ไม่เคยต่ำกว่า 50% สินะ - - จากคุณ : หมาข้างถนนคนบ้าการ์ตูน เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 23:10:39

ความคิดเห็นที่ 28 ผมสงสัยว่าทำไมสถิติถึงเก็บในช่วงอาุยุ 15-49 ปี - จะว่าเป็นเพราะวัยทำงานก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตัวเลขอายุ 15 น่าจะต่ำเกินไป หรือเปล่า? เป็นช่วงวัยที่เจริญต่อการสืบพันธ์ครับ จากคุณ : MaSaChi เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 23:31:06

ความคิดเห็นที่ 29 อยากทราบตัวเลขที่เกี่ยวกับภาษี นิติบุคคล ครับ ผมว่าภาษีบุคคลธรรมดาเราจัดเก็บได้ "ตามความเป็นจริง" ค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่ภาษีนิติบุคคลนี่ไม่แน่ใจ ไม่ทราบมีอัตราส่วนของประเทศอื่นๆไหมครับ เช่น % เทียบกับภาษีบุคคลธรรมดา หรือเทียบเป็น % ของภาษีที่จัดเก็บได้ทั้งหมด ส่วนเรื่อง HIV ผมว่าที่เขาจัดเก็บในช่วงอายุนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นช่วงที่ไวต่อการสืบพันธ์ครับ จากคุณ : MaSaChi เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 23:40:41

ความคิดเห็นที่ 30 อือหือ อะไรน่าสนใจเยอะเลย จากคุณ : mrmamonzx เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 00:31:29

ความคิดเห็นที่ 31 การเมืองตรงไหนครับ พูดข้อเท็จจริงว่า คนที่อยู่ในประเทศไทยทุกคนเสียภาษีแฝงอยู่ในการใช้ชีวิตตามปกติอยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กยันโต ฉะนั้นใครที่ชอบพูดว่าคนนั้นคนนี้ไม่เสียภาษี จึงไม่จริงจากหลักฐาน และฐานภาษีมูลค่าเพิ่มก็เป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด อย่างน้อยก็ตลอด 5ปีที่ผ่านมา (ก่อนหน้านั้นผมไม่ได้ค้นแต่คิดว่าแนวโน้มน่าจะจริงตั้งแต่ปีแรกที่มีการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่ปี 2535) ส่วนจะบอกว่าสัดส่วนการซื้ออาหารสดไม่เสียภาษีก็มีส่วนจริงเฉพาะการซื้อจากตลาดสดหรือสินค้าจากตลาดนัดแบกะดิน แต่สินค้าอุปโภคอื่นๆที่มียี่ห้อปกติเราเสียกันเต็มๆอยู่แล้วครับ ลองคำนวณจากรายจ่ายดู ผมกล้าพูดว่าเกิน 70% ของรายจ่ายในชีวิตประจำวันของคนเมืองนั้น เป็นสินค้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มครับ ถึงจะเป็นคนบ้านนอกก็ยังโดนภาษีน้ำมันกันเต็มๆอีกอยู่ดี อยู่ในเมืองไทยยากครับที่จะไม่ต้องเสียภาษีใดๆเลยสักนิด ส่วนรายได้จากนิติบุคคลหลักๆ มาจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ค่อนข้างไกลตัวจากคนธรรมดา(สัดส่วนการส่งภาษีดูจากรายงานในตลาดหุ้่นได้) หรือมนุษย์เงินเดือนอยู่แล้วล่ะครับ และบ.ขนาดเล็กหรือขนาดกลาง กลับเป็นผู้ที่เลี่ยงภาษีโดยการทำบัญชีเท็จมากกว่ามนุึษย์เงินเดือนที่ทำได้ยากเสียอีก ถ้าดูแต่ตัวเลขแล้วห้ามวิเคราะห์ บอก link ใน google มาก็พอมั๊งครับ ไม่ได้ประชดแต่พูดตรงๆนะ #27 พุ่งขึ้นสูงมากหลังจาก... จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 00:53:40

ความคิดเห็นที่ 32 กระทู้นี้ ได้ข้อสรุปว่า ปี 2007 - 2008 - 2009 คนอี๊บกันมากขึ้น จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 01:55:07

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณคุณ 4 จุดที่แสดงความเห็นครับ จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 07:13:23

ความคิดเห็นที่ 34 อธิบายเรื่องอัตราการตายของทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ข้อมูลกระโดด ต่างกันมากระหว่างปี 2005-2006 เพราะประเทศไทยมีการเปลี่ยนระบบการอ้างอิงฐานข้อมูล สมัยก่อน สธ ใช้ระบบข้อมูลสถิติสาธารณสุขที่ประมวลมาจากมรณบัตรและรายงานการสำรวจสภาวะการเปลี่ยนแปลงของประชากร (Survey of population change) ที่รายงานโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ นำมาใช้ร่วมกันในการประเมินอัตราการตายของทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่า เป็นข้อมูลที่ใกล้เคียงสภาพการณ์จริง คือ ประมาณ 18-20 ต่อ การเกิด 1000 ราย ซึ่งเป็นระดับที่พบในประเทศที่มีระบบ สธ ปานกลางค่อนข้างดี การที่ไม่ใช้ฐานข้อมูลเดียว เนื่องจากพบว่า การแจ้งการตายของเด็ก มีการรายงานต่ำกว่าความเป็นจริง (ก็คือ มีเด็กจำนวนมากที่ตายแล้วพ่อแม่ไม่ได้แจ้งตาย) จึงใช้หลักฐานจากมรณบัตรอย่างเดียวไม่ได้ ต่อมา เนื่องจากข้อมูลมีความขัดแย้งกัน ระยะหลังๆ ได้มีข้อสรุปว่า ให้ใช้ข้อมูลจากฐานทะเบียนราษฏร (ก็คือข้อมูลจากใบแจ้งเกิดและมรณบัตร) เพียงอย่างเดียวในการอ้างอิง ข้อมูลก็เป็นอย่างที่เห็น ตัวเลขการตายของเด็ก drop ลงประมาณครึ่งหนึ่ง สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ตัวเลขนี้ สะท้อนความเป็นจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงผลสะท้อนของความบกพร่องของระบบการรายงาน? Note: การตายของเด็กทารกในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น แถบสแกนดิเนเวีย ญี่ปุ่น ประมาณ 3-5 ต่อ 1000 ในประเทศพัฒนาปานกลาง เช่น จีน อินเดีย ประมาณ 20-30 ต่อ 1000 ในประเทศที่การ สธ พัฒนาน้อย อาจจะสูงถึง 50-80 ต่อ 1000 จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 07:34:48

ความคิดเห็นที่ 35 (ต่อ) จากการศึกษาภาวะการตายและความยืนยาวของอายุของประชากรไทย http://www.ipsr.mahidol.ac.th/IPSR/AnnualConference/ConferenceII/Article/Article01.htm มีการประมาณว่า การตกจดทะเบียนของการตายในประเทศไทยนั้น อาจมีจำนวนถึง 7-8 หมื่นรายที่ตายแล้วไม่ได้แจ้งการตายในแต่ละปี (รวมทุกอายุ) ดังนั้นเรายังเชื่อว่า ตัวเลขที่รายงานระยะหลังๆนั้น ต่ำกว่าความเป็นจริง จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 07:41:38

ความคิดเห็นที่ 36 ไหนๆ แล้ว เอามาเพิ่มเป็น value added ให้กระทู้ครับ ตัวเลข HDI ของประเทศในอาเซียนครับ คัดมาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_Human_Development_Index ข้อมูลเผยแพร่ในปี 2009 โดยใช้ข้อมูลของปี 2007 Singapore ลำดับที่  23 คะแนน 0.944 Brunei    ลำดับที่  30 คะแนน 0.920 Malaysia  ลำดับที่  66 คะแนน 0.829 Thailand  ลำดับที่  87 คะแนน 0.783 Indonesia ลำดับที่ 111 คะแนน 0.734 Vietnam   ลำดับที่ 116 คะแนน 0.725 Laos      ลำดับที่ 133 คะแนน 0.619 Cambodia  ลำดับที่ 137 คะแนน 0.593 Myanmar   ลำดับที่ 138 คะแนน 0.586 มองในมุมนี้ ของเราก็ยังไม่นับว่าน่าเกลียด แต่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่เคยทรุดโทรมจากสงครามก็เบียดใกล้เราเข้ามาทุกที จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 07:53:00

ความคิดเห็นที่ 37 * Transparency International corruption ranking (Scale: 1 = least corrupt, >175 = most corrupt) อันนี้ขอไม่แปล เนื่องจากอายเหลือเกิน ใครมีหน้าที่ ช่วยแก้ไขด่วน 2008   80 (joint) 2007 84 (joint) 2006 Not ranked 2005 59 (joint) 2004 64 (joint) 2003 70 (joint) 2002 64 (joint) 2001 61 (joint) 2000 60 (joint) ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพ ไม่มากไป ไม่น้อยไป ทางสายกลาง จากคุณ : เครื่องวัดความสวย เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 09:35:45

ความคิดเห็นที่ 38 ท่าทางการเมืองจะมาอีกแล้ว แก้เซ็งด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมรายภาคของประเทศหน่อย จากคุณ : masueoh เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 16:15:12

ความคิดเห็นที่ 39 10 อันดับจังหวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมเยอะสุด มีจังหวัดผมติดอันดับด้วย 555 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 16:52:53 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 16:51:47 จากคุณ : masueoh เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 16:48:53

ความคิดเห็นที่ 40 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 17:07:13 จากคุณ : masueoh เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:06:19

ความคิดเห็นที่ 41 พอคิดเป็นต่อประชากรแล้ว ก็ออกเป็นอย่างนี้ (สงสัยจริง ๆ รายได้ต่อหัวของผมไปอยู่กับใครหมดฟร่ะ ของจริงได้ไม่ถึงอ่ะ !!!) จากคุณ : masueoh เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:08:58

ความคิดเห็นที่ 42 . . . เข้ามาอ่านเก็บข้อมูลต่อไปครับ จากคุณ : monixe เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:13:15

ความคิดเห็นที่ 43   น่าสนใจมากเลยครับ จากคุณ : darinfc เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:29:21

ความคิดเห็นที่ 44 มี % ระหว่างประชากร ชาย : หญิง ใหม จากคุณ : สปุ้กนิกปาปิยองกุ๊กๆ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:40:03

ความคิดเห็นที่ 45 * ปีที่สตริมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง คือ ปี 1932 หรือปี 2475 (ใช่ปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครองหรือเปล่า?) แสดงว่าบ้านเราสิทธิสตรีก้าวหน้าไม่น้อยเลยนะครับ :) สส. หญิงคนแรกคือ นางอรพิน ไชยกาล จากจังหวัดอุบลราชธานี จากคุณ : กระต๊อบน้อย เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 18:16:49

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณค่ะ เนื้อหาน่าสนใจมาก จากคุณ : -ทำเป็นเล่นไป- เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 19:16:46

ความคิดเห็นที่ 47 #37 แรกๆค่อนหัว ตอนนี้กลางๆ ต่อไปจะเป็นยังไงหนอ #39 จังหวัดผมก็ติด ก็นะพื้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนี่นา จากคุณ : zeromaster เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 19:26:53

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณที่นำข้อมูลมาให้ได้ดูกันครับ แต่อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าข้อมูลบางอย่างค่อนข้างจะคลาดเคลื่อนครับ เช่น % การมีน้ำประปาใช้ของชาวไทย ปี 2006 หรือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว บอกว่ามีใช้กันสูงถึง 98% ซึ่งผมหัดเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ อย่าว่าแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้วเลย อีก 20 ปีก็ยังไม่รู้จะได้ขนาดนั้นเลยหรือปล่าว เอาแค่ขับรถออกจากกทม.รัศมีไม่เกิน 500 กม. รับรองว่าได้เจอบ้านที่ไม่มีน้ำประปาใช้ครับ เอาง่ายๆ บ้านผมจ.สระบุรี ห่างกทม.แค่ 100 กม.เศษๆ (2-3 ชม.) ถ้าเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แค่ไม่กี่สิบกิโลฯ ก็เจอแล้วครับ บ้านที่ไม่มีน้ำประปา ยิ่งถ้าลงทุนไปไกลๆ อีกสัก 2-3 ชม. .. อาจจะได้เจอบ้านที่ยังใช้คันโยกโยกน้ำบาดาลด้วยซ้ำครับ! (แต่คาดว่าปัจจุบันอย่างน้อยก็น่าจะเป็นบ่อบาดาล (บ่อวง) ต่อด้วยเครื่องสูบน้ำแล้วล่ะ) อย่างไรก็ดี คนเหล่านี้เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร จริงๆ ดีด้วยซ้ำที่ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ เพราะเขาจะรองน้ำฝนไว้ในโอ่ง รอบบ้านเลยล่ะครับ ว่าแล้ว น้ำฝนอร่อยกว่าน้ำขวดจริงๆ นะ (เฉพาะตจว.นะ) จากคุณ : art_sarawut เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 19:51:41

ความคิดเห็นที่ 49 ต้นฉบับใช้คำว่า Improved Water ครับ ผมแปลเอาใจความว่าน้ำประปา คิดว่าน่าจะหมายรวมถึงพวกน้ำบาดาล หรือประปาท้องถิ่นที่หมู่บ้านจัดทำกันเองด้วย บ้านพ่อตาผมที่พิจิตรก็มีประปาท้องถิ่น คือในหมู่บ้านจัดทำกันเองโดยการสูบน้ำบาดาลขึ้นมา แล้วปรับปรุงคุณภาพให้ใช้ประโยชน์ได้ เข้าใจว่าทางราชการเข้าไป initiate ให้แล้วต่อมาก็ปล่อยให้ชาวบ้านดำเนินการกันเอง คิดว่า ตัวเลขดังกล่าวคงหมายรวมประปาในลักษณะนี้ด้วยครับ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นน้ำประปาหรือเปล่า ถือว่าหยวนๆ ละกัน :D แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 20:49:10 จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 20:48:35

ความคิดเห็นที่ 50 ตอนนี้ฝรั่งแถวแม่สอดบางคนยังกินโซดาอยู่นะครับ จากคุณ : delytezz เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 21:58:36

ความคิดเห็นที่ 51 โม้เชื่อผมไหม  รัฐบาลแก้ตัวเลข ตังวเลขจริงทุเรดทุรังกว่าีเเยอะ จากคุณ : i-sho เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 23:58:45

ความคิดเห็นที่ 52   คุณเถียงอะไรกันมากมาย.... ผมสนใจอยู่ข้อเดียวเท่านั้น "อายุเฉลี่ยชายไทยลดลงทุกปี อายุเฉลี่ยหญิงไทยเพิ่มขึ้นทุกปี" ??? แปลเป็นไทยว่า ผู้หญิงแก่ๆจะตายยากขึ้น จากคุณ : ยังไม่มีเมีย เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 03:50:09 A:118.173.72.101 X: TicketID:162373

ความคิดเห็นที่ 53 คุณ #51 ข้อมูลเอามาจากต่างประเทศครับ ส่วนใหญ่มาจากหน่วยงานของสหประชาชาติ และ NGO ครับ ลองแวะเข้าไปที่เวบที่ผมบอกละกันครับ รบกวนช่วยประคับประคองกระทู้นี้ให้ห่างๆ การเมืองหน่อยจะเป็นพระคุณมากครับ จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 06:28:41

ความคิดเห็นที่ 54 ข้อมูลที่ตีพิมพ์ในรายงานของ WHO หรือ UNDP ก็มาจากรัฐบาลไทยแหละค่ะ เพราะถือว่า เป็นข้อมูลที่เป็นทางการ ข้อมูลรัฐ ก็มาจากหน่วยงาน เช่น ทะเบียนราษฏร เรื่องนี้ เป็นข้อหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ ในการหาข้อสรุปเรื่องฐานข้อมูล ในฐานะที่เคยเกี่ยวข้องกับงานวิชาการ จะบอกว่า นักวิชาการถือว่า ข้อมูลในระบบพวกนี้ มีความเชื่อถือได้ในระดับต่ำ ยกเว้นในบางเรื่อง เพราะระบบการรายงานมันบกพร่อง และคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ไม่สนใจเรื่อง data coverage / accuracy สนใจแต่เพียงว่า หากหน่วยเบื้องบนขอมา ต้องมีตัวเลขส่ง สำหรับคนที่ทำงานวิชาการนั้น เราต้องใช้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่านี้ เพื่อจะได้วางแผนการทำงานได้ถูกต้อง จึงต้องใช้ข้อมูลในระบบ บวกกับการสำรวจพื้นที่ สุ่มสำรวจทั่วประเทศ เป็นครั้งคราว เพื่อหา %underreport ในการนำมาปรับตัวเลขให้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด (ส่วนตัวเลขที่ส่ง ตปท นั้น ก็ช่างหัวมัน) แต่ก็ต้องใช้ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ การสำรวจพื้นที่เป็นครั้งคราว ก็ทำหลายเรื่อง อาจอาศัย สนง สถิติแห่งชาติ ซึ่งทำสำรวจเป็นประจำอยู่แล้ว อาจตั้งโครงการขึ้นมาเอง เช่น การสำรวจเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุการตาย อาจใช้มือไม้ในพื้นที่ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุข สรุปว่า ตัวเลขของประเทศไทย ในเรื่องหนึ่งๆ จะมีหลายตัวเลข ตัวเลขเหล่านี้ จะมีที่มาต่างๆกัน ด้วยวิธีการต่างๆกัน และด้วยคำนิยามต่างๆกัน คนที่นำตัวเลขไปใช้ อาจต้องหาที่มาของข้อมูลด้วย เพื่อจะได้ไม่นำไปแปลผลผิดๆ จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 08:39:34

ความคิดเห็นที่ 55 มีความรู้สึกว่าตัวเลขหลายตัวค่อนข้างผิดปกติครับ บางตัวนี่ค่อนข้างมั่นใจเลยว่าผิดปกติแน่นอน ขอละเหตุผลไว้ เนื่องจากเหตุผลของผม แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่สามารถโยงไปการเมืองได้ จากคุณ : Lethe เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 09:18:57

ความคิดเห็นที่ 56 ผมเคยทำงานอยู่ในภาครัฐมาหลายหน่วยงานครับ ต้อง make ส่งรายงานกันเพราะรายงานมันเยอะมากๆ และคนทำก็น้อย เช่น งานภาคสาธารณสุข จนท อนามัย ที่อยู่ในชุมชนห่างไกลมีอยู่ คน สองคน แต่ต้องทำรายงานเท่ากับ จนท ที่อยู่ส่วนกลางที่มีคนเป็นสิบคน ถ้าไม่ make ก็ส่งไม่ทัน แถมยังต้องทำงานบริการ งานรักษา งานชุมชน ฯลฯ จากคุณ : กระเพาไก่ไข่ดาว เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 09:27:34

ความคิดเห็นที่ 57 ที่ผมออกมาแจงว่ามาจากต่างประเทศ ไม่ได้ต้องการเน้นว่ามันน่าเชื่อถือหรอกครับ แต่ต้องการแจ้งให้ทราบว่าเป็นตัวเลขที่ "มีที่มาที่ไป" อย่างไร เท่านั้นเอง และยังคงต้องการแจงความประสงค์ส่วนตัวว่า ไม่ต้องการให้โยงเข้ากับการเมืองมากนัก ผมเคยมีโอกาสทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ benchmarking มาบ้าง ถึงจะไม่ใช่ในแง่ของรัฐศาสตร์ (ที่เคยทำคืองานทางด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์) แต่ก็พอจะเข้าใจดีครับว่า มันมี error เกิดขึ้นได้เยอะ และ metrics ทั้งหลาย มักจะมีประเด็นให้ถกเถียงกันมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า metrics แต่ละตัว มีวัตถุประสงค์เฉพาะของมัน และใช้อธิบายเหตุการณ์ใน "ขอบเขตที่จำกัด" ได้ดีระดับหนึ่งเสมอ จึงแนะนำว่า ให้กลับไปดู Link ที่ผมทิ้งไว้ เพื่อจะได้เข้าใจ "ขอบเขต" ของมัน แต่อาจจะใช้ wording แข็งไปนิด เลยอาจจะสื่ออะไรผิดไปบ้าง ที่ต้องการให้เลี่ยงมากที่สุดก็คือการ "วิเคราะห์" ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของตัวเลข แต่ใช้ความรู้สึกผสมกับบรรยากาศของบ้านเราในช่วงนี้มากเกินไป เพราะผมคิดว่า เรามีกระทู้ที่ใช้อารมณ์กันฟุ่มเฟือยมากพอแล้ว อยากได้กระทู้เชิงวิชาการแบบเบาๆ (เน้นว่าเบาๆ เพราะคุณ Cookies ก็บอกแ้ล้วว่ามันเอาไปใช้อ้างอิงไม่ได้) มาคั่นรายการบ้าง เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ตั้งกระทู้ขึ้นมา ก็เพราะเห็นว่า บ้านเรามีการใช้ metrics และ benchmarking กันน้อยมาก และในวงที่จำกัดมากๆ หลายครั้งเมื่อมีการ present ตัวเลขทั้งหลายออกมา เราก็มักจะเลี่ยงที่จะทำความเข้าใจมันให้ถ่องแท้ แต่เมื่อมีเหตุการณ์ เราก็พากันทำตัวเป็น Guru แห่งสถิติ งัดข้อมูลตัวเลขมาถล่มกันใหญ่ สรุปแล้ว เรามักจะไม่ได้ "ปัญญา" จากการถกเถียงกันด้วยสถิติเท่าไหร่ แล้วบังเอิญ ผมไปเจอฐานข้อมูลสาธารณะอันนี้เข้า เห็นว่ามันน่าสนใจดี โดยเฉพาะ เมื่อเราสามารถเปรียบเทียบ "ตัวเลข" ของเรากับของประเทศอื่นๆ ได้ระดับหนึ่ง จึงคิดว่า น่าจะมีประโยชน์ในแง่ของการกระตุ้นให้ใช้ข้อมูลที่มีพื้นฐานที่อ้างอิงได้บ้าง เท่านั้นเองครับ ที่จริง ผมมีแผนจะลองตั้งกระทู้เกี่ยวกับ Metrics ทางวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่อาจจะประยุกต์มาใช้กับด้านอื่นๆ อยู่อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่อง GQM แต่เกรงว่าจะหนักไป เลยลองเนื้อหาที่คิดว่าเบาลง และใกล้ตัวซักหน่อยอย่างกระทู้นี้ ไม่ได้คิดว่าจะมีคนสนใจเยอะขนาดนี้ ยังไง ถ้ามีเวลาว่าง จะลองเอามาเสนอกันอีกทีครับ จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 10:20:58

ความคิดเห็นที่ 58 แหม๋ ข้อมูลมันก็ต้องมี Error กันบ้างล่ะนะ จากคุณ : ElinTyne เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 10:56:42

ความคิดเห็นที่ 59 อยากดูอัตราการมีเพศสัมพันธ์ของแต่ละประเทศ ต่อ 1 week จัง เคยดูสถิติเหมือนกัน แต่หายไปหมดแล้ว จากคุณ : Antonymer เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 13:36:36

ความคิดเห็นที่ 60 ขอตัวเลขค่าใช้จ่ายทางทหารในภูมิภาคอาเซียนหน่อยครับ ไม่ใช่การเมืองนะครับ อยากรู้จริงๆ เห็นประเทศแถบล่างๆเราซื้อเอาๆ เราทำไมได้ซื้อน้อยกว่าเค้า ถ้าไม่ได้เอาฉพาะประเทศที่คิดว่าจะเป็นคู่แข่งหรือริเป็นคู่แข่งกับเราก็ได้ 1.% ต่อGDP 2.บาท ต่อGDP 3.เอาซัก5ปีย้อนหลัง เห็นบางคนยังเข้าใจว่าไทยใช้จ่ายทางทหารมากที่สุด จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 17:08:44

ความคิดเห็นที่ 61 #60 ข้อมูลมันขาดหายครับ แต่ถ้าเปรียบเทียบเฉพาะจากข้อมูลที่มี พอจะบอกได้คร่าวๆ ว่า Singapore เป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายทางทหารต่อ GDP สูงที่สุดในอาเซียน คือราวๆ 4-5% ของ GDP ใกล้เคียงกับประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ ส่วนไทยเราอยู่กลางๆ ค่อนข้างต่ำ มากกว่าฟิลิปปินส์ แต่น้อยกว่ามาเลยเซียและเขมรครับ ดูที่นี่ได้เลยครับ http://www.alertnet.org/thefacts/chart.htm ประเทศที่ไม่ีมีข้อมูลปรากฏคือ บรูไน ลาว พม่า และเวียดนาม เดี๋ยวจะลองไปไล่ดูจากในรายละเอียดของแต่ละประเทศให้ครับ จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 17:24:40

ความคิดเห็นที่ 62 เท่าที่หาได้มีเท่านี้ครับ คงต้องพึ่งพาท่านอื่นๆ แล้ว จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 17:33:41

ความคิดเห็นที่ 63 แวะมาดู ดูเหมือนจะมี comment ประเภท สักแต่ได้แดกดันเยอะขึ้นเรื่อย เป็นกำลังใจให้ครับ สถิตินี่แหละ ที่ทำให้เราสามารถรับรู้ข้อมูลหมื่นพันแสนล้านได้ในเวลาอันรวดเร็ว -------------- แก้ไขครับ ลงความหมายในภาษาลาตินของคำว่าสถิติผิด ที่ถูกต้อง กรุณาอ่านความเห็นที่ 71 ครับ และขอยืนยันว่า ที่ร่ำเรียนมา อาจารย์ท่านก็กล่าวเช่นความเห็นที่ 71 เหมือนกัน ขออภัยในความผิดพลาดด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 52 15:18:28 จากคุณ : @power เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 19:23:05

ความคิดเห็นที่ 64 ประชากรเกย์ ก็เยอะขึ้นนะครับ เดี๋ยวก็สมดุลเอง ! จากคุณ : bibliophile เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 19:54:31

ความคิดเห็นที่ 65   คำว่าประชากรน่าจะรวมแรงงานข้ามชาติอีกซัก 3-4ล้านคนด้วยน๊ะครับ จากคุณ : มะค่าแต้ เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 20:34:35

ความคิดเห็นที่ 66 จริงๆการวิเคราะห์ที่มาและกระบวนการเก็บตัวอย่างของข้อมูลสถิติก็สำคัญนะ ช่วยกันดูๆน่ะดีแล้ว ไม่ใช่เรื่องจับผิดกันหรอก อย่างกระทู้ก่อน มีเรื่องอาชญากรรมในประเทศต่างๆ มีคนยกมา total crime ไทยน้อยกว่าญี่ปุ่นซะงั้น ขัดกับความเชื่อเก่าๆว่าญี่ปุ่นมีอาชญากรรมน้อยกว่าไทย แต่พอไล่ไปไล่มาที่เวบต้นทาง  source ที่เอามาเทียบดันเอามาจากคนละที่ และเก็บข้อมูลคนละช่วงปี เอามาเทียบกันตรงๆไม่ไ้ด้ ไอ้่ที่เทียบกันตรงๆได้เพราะมาจากรายงานเดียวกันอย่างหัวข้อฆาตรกรรม ไทยสูงกว่าญี่ปุ่นเพียบเลย เหอๆ โดยส่วนตัวขอแย้งกับบางคคห.ครับ สถิิติมันอธิบายข้อมูลได้มากสำหรับผู้ที่มีความรู้ก็จริง แต่หว้ากอไม่ใช่แค่ year handbook ที่จะเปิดคำตอบเทียบเฉยๆ เราเลยต้องช่วยกันวิเคราะห์ อธิบาย ความหมาย ความน่าเชื่อถือ ของสถิติต่างๆกันไงล่ะครับ จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 21:33:11

ความคิดเห็นที่ 67 เก็บเข้าคลังกระทู้ จากคุณ : หญิงป้า เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 00:07:58

ความคิดเห็นที่ 68   ขอบคุณครับ คนบางคนพอเห็นสถิติอะไรๆที่ขัดใจหน่อยก็หาว่าไม่น่าเชื่อถือ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อกันทั้งโลกเลยล่ะ วันหลังก็นั่งทำชาร์ตสถิติด้วยตัวเองสิ อยากจะใส่อะไร ลดอะไรก็ตามใจ 555 โลกทั้งโลกเป็นของกรู เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง บางคนนะยังมีความเชื่อ stereotype แบบเดิมๆอยู่ เช่น ญี่ปุ่นมีอัตราก่ออาชญากรรมน้อยกว่าไทย แต่พอดูตามสถิติแล้ว หน้าแหกกันเป็นแถบๆ เชื่อในสิ่งที่คุณเชื่อเถอะ ถ้ามันจะทำให้สบายใจ เหอๆ ไอ้ประเภทถ้าไทยได้อันดับดีๆไม่อยากจะเชื่อ ถ้าได้ลำดับแย่ๆ พร้อมที่จะเชื่อทันที น่าคิดนะคนประเภทนี้ self-hating อคติฝังสมอง ยากที่จะรับอะไรใหม่ๆเข้าไป เมืองไทยได้รับการโหวตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดของเอเชีย คนไทยส่วนใหญ่ไม่อยากจะเชื่อ คัดค้านทันที ถ้าไทยคิดอันดับคอรัปชั่นยอดแย่ล่ะก็ เสนอหน้าเชื่อทันที จากคุณ : กบนอกกะลา เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 14:27:25 A:118.174.5.183 X: TicketID:240789

ความคิดเห็นที่ 69 ว๊ากกกกกส์    ข้อมูลพวกนี้ส่วนหนึ่งเอามาจาก NGO หรอ? (ใน #53) นู๋กัว เอ็งจีโอ  0,o' จากคุณ : siLvan เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 16:48:28

ความคิดเห็นที่ 70 NGO ที่ดีๆ มีมากนะครับ อย่าติดภาพ NGO บางกลุ่มมาเหมารวมเลยครับ แม้กระทั่ง NGO สัญชาติไทยแท้ๆ เช่น มูลนิธิเด็ก ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยอยู่มาก ต้องพยายามแยกแยะครับ อย่าเหมารวมเลย ไม่งั้น โลกเราจะไม่มีองค์กรดีๆ อยู่ในโลกเลยครับ จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 21:53:25

ความคิดเห็นที่ 71 คคห 63 statistics มาจากรากศัพท์ลาติน statisticum collegium แปลว่า council of state ดังนั้นคำว่า "stat-" ก็มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า state (รัฐ) เนื่องจากแรกเริ่มเดิมที ถูกนำมาใช้เพื่องานสัมมะโนประชากร เรียกว่าศาสตร์แห่งรัฐ (science of state) หาใช่มาจากคำว่า stat ที่มาจากคำว่า statim ที่แปลว่าทันทีทันใด แก้ไขเมื่อ 15 พ.ย. 52 11:00:48 จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 10:59:35

ความคิดเห็นที่ 72 สังเกตเห็นมีคนสนใจสถิติ ต่างๆเยอะ  อยากจะแนะนำเว็บนี้ครับ http://www.worldometers.info/ จากคุณ : TreeAmath เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 12:04:31

ความคิดเห็นที่ 73 นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย อย่าอ้างตนต่อไปเลย เพราะถ้าเพียงอ่านและแปรผลข้อมูล ทำให้เป็นนักวิทยาศาสตร์แล้ว คนไทยกับการคิดแบบวิทยาศาสตร์ ก็ยังห่างไกลกันเหลือเกิน ข้อมูลมาจากที่ใด เชื่อถือได้แค่ไหน เก็บอย่างไร คำนวณอย่างไร ฯลฯ ได้ตั้งคำถาม และข้อสังเกตกันเพียงพอหรือยัง จากคุณ : g9h เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 14:00:49

ความคิดเห็นที่ 74 71# น้อมรับความผิดพลาดครับ ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ จากคุณ : @power เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 15:16:12

ความคิดเห็นที่ 75 เศรษฐกิจแย่มาทำลูกกันดีกว่า จริงๆ ด้วย จากคุณ : Desperado Dejavu เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 22:08:04

ความคิดเห็นที่ 76   จากคห.1 "อัตราการเสียชีวิตของทารก" ให้ข้อมูลเท่าที่รู้เผื่อจะเป็นประโยชน์ครับ ในที่นี้น่าจะหมายถึง "อัตราการตายปริกำเนิด" เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดที่ใช้บ่อยในอ้างอิง หมายถึง จำนวนทารกที่ตายคลอดและตายภายใน 7วันหลังคลอด เทียบกับจำนวนทารกที่เกิดมีชีพ 1000คน (โดยเข้าใจว่าสำหรับประเทศไทยเรานั้นใช้อายุครรภ์ที่ 28สัปดาห์เป็นเกณฑ์ นั่นหมายถึงก่อนหน้า 28สัปดาห์จะนับเป็นการ "แท้ง" ทั้งหมด) ปัจจุบันเทคโนโลยีในการดูแลทารกแรกคลอด รวมถึงการคัดกรองดีกว่าก่อนเยอะ จึงไม่แปลกที่ตัวเลขนี้จะลดลง ลองดูรายงานอัตราการตายปริกำเนิดของสาธารณสุขจังหวัดหลายๆจังหวัด พบว่าต่ำกว่า 10:1000 ในเกือบทุกจังหวัด (เพราะเป็นนโยบายของกระทรวงมาช้านาน) แต่ที่ผมสงสัยก็คือก่อนปี 2005 เราอาจจะใช้อายุครรภ์ที่นำมาคิด ต่ำกว่านี้รึปล่าว (เช่นอาจจะเป็น 24 หรือ 22) ทำให้มีค่าแตกต่างกันขนาดนี้ ยังงัยคงรอผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องทางด้านนี้มาไขกระจ่างอีกทีครับ จากคุณ : พิเศษไม่ใส่ผักโรย เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 01:09:14

ความคิดเห็นที่ 77 ^ #76 - เสียดายให้ Gift ไม่ได้ ขอบคุณครับ :) จากคุณ : BoogieBug เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 07:19:57

ความคิดเห็นที่ 78 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 52 19:15:59

ความคิดเห็นที่ 79 #68  กรุณากลับไปดูกระทู้เก่าด้วยว่า ผมยกความผิดพลาดในการเปรียบเทียบสถิติที่คุณยกมาอย่างไร เดาว่าคุณคงจะ search ใน google แล้วเห็นสถิติจากเวบแรกที่เจอ อารามพาลดีใจจนลืมตรวจสอบ source สินะครับ ผมยังยืนยันครับว่า ญี่ปุ่นมีสถิติอาชญากรรมหลายๆอย่างน้อยกว่าประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องการฆาตรกรรม (กลับไปดู source ต้นทางก่อนนะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นกบในกะลาที่คิดว่าอยู่นอกกะลาไป) จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 22:05:42