ความคิดเห็นที่ 1 หยุด เนื่องจากแรงเสียดทาน จากคุณ : Phantom thief เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 13:14:45

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่มีอากาศ แต่ยังมีแรงเสียดทานนะครับ แต่ถ้าไม่มีแรงเสียดทาน ก็จะกลิ้งไม่ได้ หมุนอยู่กับที่ จากคุณ : Artillery เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 13:31:41

ความคิดเห็นที่ 3 คำตอบคือ กลิ้งได้เรื่อยๆ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 13:34:28

ความคิดเห็นที่ 4 นอกจากการอาศัยแรงเสียดทานกับพื้นเพื่อให้ล้อกลิ้งไปได้แล้ว การกลิ้งของล้อกลมก็ย่อม"เป็นพฤติกรรมของการลงน้ำหนักและเคลื่อนสัมผัสไปกับพื้น"  จึง "ย่อมมีแรงเสียดทานที่ต้านการเคลื่อนที่เช่นเดียวกับการไถล"  เพียงแต่แรงเสียดทานที่เกิดจากการหมุนกลิ้งสัมผัสพื้นนั้นมีค่าน้อยกว่าการไถลสัมผัสพื้นอยู่มากทีเดียว เมื่อมีแรงเสียดทานแม้แต่น้อยนิดใดๆที่เกิดขึ้นตามระยะทางที่เคลื่อนที่ จึงเกิดพลังงานเนื่องจากแรงเสียดทานที่คล้ายพลังงานเนื่องจากการเบรกต่อเนื่อง ทำให้พลังงานการหมุนตามค่าโมเมนต์ความเฉื่อยของล้อตลอดจนพลังงานจลน์การเคลื่อนที่ของล้อ ถูกต้านทานและถึงคราวจอดในที่สุด จอดอีกแล้วครับผม จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 13:50:21

ความคิดเห็นที่ 5 แรงเสียดทาน แสดงว่าผิววัสดุมิได้เรียบเป็นอุดมคติครับ การสมมุติให้มีแรงเสียดทานก็เป็นการบ่งชี้แล้วว่ามันไม่ได้เรียบจนเป็นอุดมคติ วัสดุที่มิได้เป็นอุดมคติจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานเป็นอุณหภูมิจากแรงที่กดทับ ดังนั้นเมื่อมีการสูญเสียของแรงมันก็ต้องมีวันที่จะหยุด คำว่าแรงเสียดทานที่เราจะเรียนกันในสมัยมัธยมจริงๆแล้วมันเป็นค่าประมาณการผลรวมของแรงยิบๆย่อยๆที่มีการกระทำผ่าน ความยืดหยุ่นของผิววัสดุ และรวมไปถึงความไม่สมบูรณ์ของรูปทรงและพื้นผิวด้วยครับ เวลาเรามองแรงเสียดทาน เราสามารถมองได้อย่างตีนตุ๊กแกที่เหมือนซิบแปะผ้านะครับ เวลาแปะมันจะเกี่ยวเข้าด้วยกัน ถ้าตีนตุ๊กนี้มีขนาดเล็กมากๆ แล้วเราพยายามไถลมันผ่านกัน (สมมุติตัวเราขนาดสักอีวานเกเลี่ยน หรืออุลตร้าแมนก็ได้) การที่ตีนตุ๊กแกเกาะเกี่ยวกันอย่างเรามองออกเพราะมันมีลักษณะตะขอเกาะเกี่ยวกับเส้นใย แต่เพราะขนาดเราเป็นมนุษย์ยักษ์ เราจึงเรียกมันว่าแรงเสียดทานเพราะเรามองไม่เห็น จึงกล่าวได้ว่า เมื่อยอมให้มีแรงเสียดทานแล้ว ก็เท่ากับเรายอมรับว่าวัสดุไม่ใช่พื้นผิวเรียบสมบูรณ์ พื้นผิวเองก็ไม่ได้เรียบสมบูรณ์ไม่ใช่วัสดุที่แข็งโดยสมบูรณ์ รวมไปถึง จุดสัมผัส มิใช่มิติเดียวโดยสมบูรณ์ด้วยครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 13:52:24

ความคิดเห็นที่ 6 ก็ยังคล้ายๆ กับกระทู้ที่แล้วที่ได้อภิปรายไปแล้ว ถ้าออกแรงดันเพียงครั้งแรกครั้งเดียว Eventually มันต้องหยุดแน่นอน .... จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 14:53:40

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ครับ เจอแรงเสียดทานจนหมดพลังงานไปเอง แต่ถ้าอยู่บนอวกาศเฉย ๆ ไม่มีพื้นที่สัมผัสใด ๆ แรงเสียดทานจากสิ่งรอบข้างไม่มีก็สามารถเคลื่อนที่ได้นิรันดร์ แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 15:37:51 จากคุณ : สายลับ>>>มีด เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 15:37:39

ความคิดเห็นที่ 8 #5แสดงว่า  ถ้าพื้นมีแรงเสียดทาน แต่ว่าเรียบเป็นอุดมคติ  ถ้ามีจริง  ก็จะกลิ้งได้ตลอดใช่มั้ยครับ ส่วนท่านอื่นๆจะต้องทราบก่อนว่า  มนุษย์เราประดิษฐ์ "ล้อ" ขึ้นเพื่อประโยชน์อะไร ดังนั้น เมื่อเราลากรถเข็น  เราไม่ได้กำลังออกแรงต้านแรงเสียดทานบนพื้น  แต่เรากำลังออกแรงต้านแรงเสียดทานในเพลาหมุน ต่างหากครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 16:26:27

ความคิดเห็นที่ 9 ตกลงเราตอบถูกใช่ไหมเนี่ย จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 16:31:15

ความคิดเห็นที่ 10 เรียนอาจารย์สมภพ 1. "ถ้าพื้นมีแรงเสียดทาน แต่ว่าเรียบเป็นอุดมคติ" วลีนี้เป็น Paradox ครับ ถ้าเรียบเป็นอุดมคติ จะเกิดแรงเสียดทานขึ้นได้อย่างไรเล่า Friction = มิว x N มิว = สัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน เป็นฟังก์ชั่นของหลายๆ พารามิเตอร์        เช่น ยาง กับ แก้ว มิวก็ต่างกัน        น้ำแข็ง กับ ไม้ มิวก็ต่างกัน 2. ล้อถูกประดิษฐ์ขึ้นเพราะต้องการเคลื่อนย้ายสิ่งของด้วยพลังงานที่น้อยกว่า พลังงานที่ทำให้ล้อหมุน น้อยกว่า ลากของโดยที่มีพื้นที่สัมผัสกับพื้นมากมาย การเอาชนะแรงเสียดทานระหว่างวัตถุกับพื้นเป็นปัจจัยหลักครับที่ทำให้เกิดการประดิษฐ์ล้อขึ้น จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 16:41:05

ความคิดเห็นที่ 11 แรงต้านการกลิ้งสูตรว่ากระไร คืนครูบาอาจารย์หมดแล้ว 5555 จากคุณ : chaiwaru เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:01:04

ความคิดเห็นที่ 12 แรงเสียดทาน แรง Tidal ถึงแม้กระจิ๊ดเดียว นานๆไปก็ทำให้หยุดได้ จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:09:35

ความคิดเห็นที่ 13 มันเป็น Paradox ตาม STUV กล่าวไว้ถูกต้องแล้วครับ ล้อรถยนต์ก็ยังมีการสูญเสียผ่านแรงเสียดทาน แรงนั้นมีต้นมาจาก 1) ยางมีความยืดหยุ่นและมีความร้อนเกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว ภายใต้แรงกด 2) พื้นผิวดอกยางเองไม่เรียบสมบูรณ์ การเคลื่อนที่ของยางก็ยังมีการงัด ขัดกับพื้นในระดับพื้นผิว สำหรับการเข็นรถ แรงเสียดทานของเพลามีมากกว่า มิได้หมายความว่าไม่มีแรงเสียดทานระหว่างผิวพื้นกับผิวล้อครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:17:03

ความคิดเห็นที่ 14   นึกว่าจากกระทู้ที่แล้ว จขกท. จะเข้าใจเรื่องแรงเสียดทานมากกว่าเดิมซะอีก มาอ่านกระทู้นี่ พบว่าเข้าใจเหมือนเดิม เหมือนไม่ได้ทำความเข้าใจความเห็นบางอันที่ขัดกับความรู้สึกของตัวเอง จากคุณ : rhythmrain เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 18:11:59 A:124.122.65.173 X: TicketID:240897

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่เป็นไรหรอกครับ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการโต้แย้งด้วยหลักเหตุผล จะไม่ถูกลืมง่ายๆ เมื่อเข้าใจแล้ว จะจดจำไปได้อีกนาน .... จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 18:20:02

ความคิดเห็นที่ 16 ....ต้องมีแรงดึงดูดจึงจะมีแรงเสียดทาน.... ....ถ้าไม่มี...ผลักมันมันจะลอยออกไปในอวกาศครับ.... จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 18:51:29

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่จำเป็นต้องมีแรงดึงดูดก็มีแรงเสียดทานได้ครับ เพราะคำว่าแรงเสียดทานเป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มแรงและพฤติกรรมยิบๆย่อยๆหลายอย่าง เมื่อตัดแรงออกไปทีละอย่างๆจนหมด ก็ถึงจะเป็นสภาพไร้แรงเสียดทาน อย่างความหนืดของจารบีในตลับลูกปืน พอพูดในสภาพของการผลักรถให้เคลื่อนที่ ความหนืดนี้ก็จัดเป็นส่วนหนึ่งในแรงเสียดทานเช่นกัน ในอวกาศน็อตที่ขันไว้ในกระสวยอวกาศก็ยังอยู่กับที่นะครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 19:20:06

ความคิดเห็นที่ 18   แล้วการกลิ้งโดยสมมุติว่าพื้นไม่มีแรงเสียดทานนี่เป็นไปได้ไหม ถ้ามีคนตอบว่าได้ คงต้องมา discuss ถึงนิยามของคำใช่ว่ากลิ้งกันอีก ความคิดของผมคือ วัตถุจะกลิ้งไม่ได้ ถ้าไม่มีแรงเสียดทาน แต่มันคือการไถล จากคุณ : rhythmrain เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 20:27:57 A:124.122.65.173 X: TicketID:240897

ความคิดเห็นที่ 19 อย่าไปว่าคุณสมภพค่ะ บางทีเค้าอาจจะมองในมุมที่เรานึกไม่ถึงก็ได้ รอฟังคำตอบ คำเฉลยดีกว่า จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 20:31:03

ความคิดเห็นที่ 20 ต้องขอบคุณอาจารย์สมภพ อาจาย์ Darth Prin และอีกหลายๆ ท่านที่ร่วมกันจุดประกายแลกเปลี่ยนความรู้ เดิมผมชะล่าใจคิดว่าวิชา Statics และ Dynamics มันตายมาเป็นร้อยๆปีแล้วแต่กระทู้นี้ทำให้ผมเฉลียวใจไปค้นเรื่อง Friction ดูในวิกิพีเดีย ปรากฎว่า ความเข้าใจของผมที่ว่า แรงเสียดทานเกิดขึ้นจากความขรุขระ ไม่เรียบ ของพื้นผิวทั้งสองที่สัมผัสกันด้วยแรงที่ตั้งฉากกับพื้นผิว นั้นล้าสมัยไปแล้ว ในวิกิพีเดียบอกว่า ในปัจจุบัน เชื่อกันว่า แรงเสียดทานเกิดจากพันธะเคมี (Chemical bonding) ระหว่างพื้นผิวต่างหาก ทำให้ต้องกลับไปเป็นนักเรียนใหม่อีกแล้ว Link ข้างล่าง จะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาที่กำลังถกกันได้ดียิ่งขึ้นครับ .. http://en.wikipedia.org/wiki/Friction แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 52 20:37:01 จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 20:35:58

ความคิดเห็นที่ 21 มันไม่ใช่ "แรงเสียดทานเกิดจากพันธะเคมี ระหว่างพื้นผิวต่างหาก" แต่เป็น "แรงเสียดทานจากพันธะเคมี ระหว่างพื้นผิวก็เป็นส่วนหนึ่งของแรงเสียดทาน" ไฟฟ้าสถิตย์ จากการแลกเปลี่ยนประจุเนื่องจากการเสียดสีกัน พลังงานที่ถูกใช้ในการสร้างความต่างศักย์นี้ถูกดึงมาจากการเคลื่อนไหว ไฟฟ้าสถิตย์ก็เป็นแรงเสียดทานด้วย อ้อ เรื่องความหนืด หรือการไหล การต้าน หรือแรงดูด (vacuum) จากสภาพการไหลก็เป็นแรงเสียดทานได้อีก ผมถึงเรียกว่า "แรงเสียดทานเป็นผลรวมของแรงยิบๆย่อยๆ" น่ะครับ ref ที่คุณ STUV หามาน่าสนใจ มันยังมีอีกหลายแรงที่สามารถเป็นแรงเสียดทานที่ผมก็คิดไปไม่ถึงในลิงค์นั้นครับ เกี่ยวกับค่า มิว ค่านี้ในชีวิตจริงหลายๆครั้งจะไม่ใช่ค่าคงที่ แรงเสียดทานบางอย่างสูงขึ้นทวีคูณที่ความเร็วมากขึ้น แต่บางอย่างค่าแรงเสียดทานจะค่อยๆน้อยลงที่ความเร็วสูงขึ้น อย่างการไหลของของไหลพวก Non-Newtonian นี่ละครับ ตอนเรียนเคยคิดว่าจบแล้วจะได้ใช้มั๊ย ตอนนี้มารำพันว่าทำไมชีวิตนี้ตูต้องได้ใช้ไอ้วิชาที่ตอนเรียนอ่อนๆทั้งนั้นเลยฟระ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 21:54:18

ความคิดเห็นที่ 22 ใช่ครับ อาจารย์ Darth Prin มิว ไม่ใช่ constant แบบง่ายๆ หรอกครับ มันแปรเปลี่ยนไปได้ โลกจริงๆ ไม่ค่อยจะมีอะไรเป็น Linear ที่แท้จริง ใช้ได้เฉพาะเงื่อนไขหนึ่งๆ หรือ range แคบๆ เท่านั้น แต่ถ้าไม่เรียนไม่สอนกับแบบ Simplfied ลงไป ก็จะยากเกินไปที่จะทำความเข้าใจ ... จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 22:03:39

ความคิดเห็นที่ 23 ฤา คุณสมภพ จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ชื่อก้องโลกคนต่อไป...... จากคุณ : Artaria EpisodeII เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 23:45:00

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้า มีเฟืองเกียร์ชิ้นหนึ่ง  เอาแบบฟันถี่ขนาดจิ๋ว วางบนพื้น ที่มีหยักร่อง ขนาดรับกับฟันเฟืองพอดี ถ้าเข็นให้เฟืองเกียร์ชิ้นนี้ ไถลไปบนพื้น จะต้องออกแรงมาก แรงที่ต้อง สามารถทำให้ฟันเกียร์กระโดดข้ามร่องที่พื้นได้ บางคนอาจเรียกแรงนี้ว่า  แรงเสียดทาน ถ้าดันให้เฟืองกลิ้งไปบนพื้น   เฟืองจะกลิ้งไปได้ง่าย  และกลิ้งต่อไปได้เรื่อยๆ การกลิ้งต่อที่ดำเนินไปหลังจากการผลักเริ่มต้น  ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ แรงเสียดทาน แต่มันดำเนินไปโดย innertia + momemt of innertia จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 00:15:50

ความคิดเห็นที่ 25 เหนมะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 00:44:17

ความคิดเห็นที่ 26 ขออนุญาตแยกเป็นสามกรณีครับ กรณีแรก ไม่มีแรงเสียดทานเลย เมื่อออกแรงผลักวัตถุทรงกลมให้กลิ้ง (ต้องผลักเยื้องศูนย์นิดนึงนะจ๊ะ) วัตถุจะโคจรไปรอบๆดาวด้วยโมเมนต์ความเฉื่อยและโมเมนตัม อันนี้เข้าใจตรงกันว่าไม่หยุด กรณีที่สอง สมมติให้มีแรงเสียดทานเฉพาะในแนวระนาบ วัตถุจะมีพฤติกรรมเหมือนที่คุณ sb*star บรรยาย คือเนื่องจากความเร็วสัมพัทธ์ ณ จุดสัมผัสเป็น 0 จึงไม่มีแรงเสียดทานจลน์เกิดขึ้น เมื่อลักษณะการหมุนเกิดจากโมเมนต์ความเฉื่อยล้วนๆ และก็จะหมุนตลอดไป กรณีที่สาม กำหนดให้มีแรงเสียดทานเหมือนวัตถุจริง มีแรงเสียดทานทั้งในแนวระนาบและแนวดิ่ง วัตถยังคงแสดงพฤติกรรมเหมือนเฟือง คือหมุนด้วยโมเมนต์ความเฉื่อยและเคลื่อนที่ไปด้วยโมเมนตัม แต่เนื่องจากแรงเสียดทานจริงมีทิศทางในแนวดิ่งด้วย คือมี attraction repulsion ณ จุดสัมผัส (จากแรงยิบๆย่อยๆ) ในกรณีนี้เปรียบกับโมเดลคุณ sb*star คือเฟืองสองตัวที่ผิวสัมผัสดันมีน้ำมันเหนียวๆเคลือบ ทุกครั้งที่เฟืองเข้าร่องจะเกิดแรงต้าน และเมื่อเฟืองออกจากร่องจะเกิดแรงหน่วง ทำให้สูญเสียพลังงานจลน์ไปในรูปของความร้อน วัตถุจะหยุดในที่สุด ทั้งนี้ ทั้งสามโมเดลสมมติว่าทดสอบกับวัตถุแข็งในอุดมคติและไม่มี tidal force แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 52 06:23:48 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 52 06:22:34 จากคุณ : PUFF เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 06:21:50

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าลองมองเป็นเรื่องพลังงานดู ผมว่าวัตถุจะกลิ้งไปเรื่อยๆเนื่องจากพลังงานไม่สูญหายไปไหน และไม่ได้มีการถ่ายเท ยกเว้นแต่เกิดความร้อนขึ้นหรือแผ่รังสีที่ทำให้พลังงานลดลง จากคุณ : pretza (pretza) เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 06:25:38

ความคิดเห็นที่ 28 ครับ ขอขอบคุณทุกๆคน(ที่ตอบดีๆ)ด้วยเช่นกันครับ สรุปคำตอบในกระทู้นี้ ก็คงไม่ได้ไปไหนไกล  คือ ไม่เกินความเข้าใจของเรากันนัก ตรงที่พื้นเรียบที่มีแรงเสียดทาน ล้อก็ย่อมกลิ้งไปเหมือนไม่มีแรงเสียดทาน แต่การที่โจทย์กำหนดให้พื้นมีแรงเสียดทาน ย่อมต้องนึกถึงจุดกำเนิดของแรงเสียดทาน  หากพิจารณาขยายพื้นผิววัตถุลงไป  ก็คงเห็นความขรุขระเล็กๆของวัตถุ และความขรุขระนั่นเอง เป็นเหตุให้ล้อหยุดกลิ้งในระยะยาวได้ และหากความขรุขระนั้นมีขนาดเล็กเข้าใกล้ 0  ล้อก็จะกลิ้งไปตลอดเข้าใกล้อนันต์ ใช่มั้ยครับ แต่ปัญหาว่าแรงเสียดทานคืออะไร? คือความขรุขระเสมอไปหรือไม่  หากพิจารณาลงไปในความขรุขระเล็กๆนั้น  จะยังคงเห็นความเสียดทานในการเสียดสีจากร่องไปหาเนิน จากเนินไปหาร่อง  แรงเสียดทานในนั้นเกิดจากอะไร ยังมีความขรุขระละเอียดย่อยลงไปมากกว่านั้นอีกหรือไม่ หากมองตามหลักฟิสิกส์ ก็คงจะเห็นแค่ความขรุขระ  จึงต้องหันมาพิจารณาเรื่องคุณสมบัติเฉพาะทางสสารเคมีของวัตถุนั้น  เป็นแรงเสียดทานที่เกิดจากพันธะเคมีต่อไป  ซึ่งก็ต้องขอบคุณคุณ STUV สำหรับความรู้เรื่องนี้น่ะครับ #24 ครับ ถ้าเฟืองนั้นไม่ใช่เฟืองฟันปลา  แต่เป็นเฟืองสี่เหลี่ยมหละครับ  ดันยังไงก็ไม่ข้ามร่อง  อย่างงี้เรียกว่าแรงเสียดทานเป็นอนันต์ได้หรือเปล่าครับ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 12:54:15

ความคิดเห็นที่ 29 ความจริงปัญหาเรื่องนี้ ก็จะลามไปหาปัญหาอีกเรื่องคือ "ทำไมล้อรถจึงสึกได้ ทั้งที่มันเคลื่อนที่แบบกลิ้ง" คิดจะตั้ง แต่ยังไม่เคยได้ตั้ง  แต่คาดว่าคำตอบที่ได้ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องแรงเสียดทาน  แต่ผมอยากได้คำตอบลึกซึ้งกว่านั้น ซึ่งสาเหตุที่ล้อสึกได้ ก็คือ ความคิดเห็นที่ 13     2) พื้นผิวดอกยางเองไม่เรียบสมบูรณ์ การเคลื่อนที่ของยางก็ยังมีการงัด ขัดกับพื้นในระดับพื้นผิว จากคุณ : Darth Prin     เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 52 17:17:03 ถ้าจะขยายความ  ก็คือส่วนที่ล้อสัมผัสพื้นนั้น ไม่ได้มีพื้นที่เป็น 0 ตารางหน่วย คือถ้าล้อกลมโดยสมบูรณ์  มันจะมีเนื้อที่สัมผัสกับพื้นเรียบ เป็น 0 ตารางหน่วย ทางอุดมคติ แต่ว่าล้อยางจะมีการแบนเล็กน้อย  ทำให้เนื้อที่สัมผัสพื้นนั้น มากกว่า 0 ตารางหน่วย  การเสียดสีจะเกิดขึ้นที่ยางสัมผัสแรกและสัมผัสสุดท้าย ใช่มั้ยครับ (เหมือนแรงไทด์) แต่ไม่ได้เกิดที่สัมผัสในระหว่าง ส่วนมอเตอร์ไซน์ ล้อจะมีลักษณะโค้ง  จะมีเรื่องการสัมผัสข้างด้วย จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 13:17:43

ความคิดเห็นที่ 30 ล้อสึกเป็นเรื่อง wear แล้วครับ ออกนอกเรื่องที่เราคุยกันไปไกล จากคุณ : PUFF เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 14:06:27

ความคิดเห็นที่ 31 จากคำถาม ผมขอตอบว่า 1. ถ้ามีแรงเสียดทาน แต่ไม่มีแรงต้านจากอากาศ ทรงกลมดังกล่าวก็จะกลิ้งไปแล้วหยุดในที่สุดครับ 2. แต่ถ้าเปลี่ยนเปนไม่มีแรงเสียดทาน แล้วคุณใส่แรงเข้าไปที่พื้นผิว สมมติทิศทางของแรงเป็น tangent กับผิวของทรงกลม และทำมุมกันกับแกนโลก zeta ถ้า zeta = 90 ลูกทรงกลมจะลอยขึ้น หากแรงเอาชนะแรง g ได้ และ จะหมุนอยู่กับที่ ไม่กลิ้งไปไหน แต่ถ้า zeta = 0 ลูกทรงกลมจะหมุนและเดินทางไปในทิศทางตามแนวแรงด้วย แต่ไม่ได้กลิ้งไป ในสภาวะเช่นนี้ลูกทรงกลมจะเดินทางไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ผมแบ่งไว้ สองกรณีง่ายดังกล่าวนี่แหล่ะครับ จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 15:55:31

ความคิดเห็นที่ 32 ส่วนเรื่องล้อยางทำไมถึงสึกได้นั้น ผมขอตอบว่า เนื่องจากมีแรงเสียดทางระหว่างล้อยางกับพื้น แรงเสียดทานที่พื้นถนนกระทำกับยางทำให้โมเลกุลของยางหลุดออกจากกัน จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 15:59:16

ความคิดเห็นที่ 33 ล้อน่าจะสึกตอนเบรก ไม่ใช่ตอนวิ่งไปข้างหน้า (มากกว่า )มั้งคะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 20:44:17

ความคิดเห็นที่ 34 เพิ่มเติมนะ เหมือนเคยเรียนมาว่า แรงเสียดทานมีสองแบบ คือแรงเสียดทานจลน์กับสถิตย์ อันนึงจะทำให้วัตถุกลิ้ง อันนึงจะทำให้วัตถุไถล อันที่ทำให้วัตถุไถล ทำให้ยางสึก ทำให้เกิดความร้อนด้วย แต่อันกลิ้ง ไม่แน่ใจ รอผู้รู้อีกที หากอันกลิ่้ง ทำให้เกิดความร้อนด้วย แสดงว่า วัตถุ จะหยุด จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 20:58:20

ความคิดเห็นที่ 35 #33 คุณ mint ลองไปดู พวกรถแข่ง daytona สิครับ ล้อข้างนึงจะสึกก่อนเพราะใช้ในการวิ่งมากกว่า เนื่องจากเปนการแข่งแบ่บวิ่งวนซ้ายอย่างเดียว ลองนึกภาพตามดูสิครับ ถ้าไม่มีแรงเสียดทานระหว่างยางกับถนน รถก็จะไม่วิ่ง ดูตามรูป รถวิ่งได้เพราะแรงเสียดทานที่ว่านั้น และ แรงนี้ถ้ามันมากพอ มันก็อาจทำให้โมเลกุลของยางหลุดออกมาได้ ลองดูตามรูปน่ะครับ จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 21:13:39

ความคิดเห็นที่ 36 คุณ Santa_Baby ขออภัยที่ตอบไม่ค่อยดี ตอนนี้คอมไม่่มีแป้นถาษาไทย การวิ่งวนทนเดียว ล้อจะเกิดการไถล ด้านหนัง ตาม ๓๔ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 21:17:23

ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อล้อมีการไถลจะทำให้เกิดการเสียดสี เมื่อล้อกลิ้งไม่เกิด (มั่ง) จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 21:18:37

ความคิดเห็นที่ 38 ขออนุญาต ตอบเปนข้อๆเลยน่ะครับ ครับ ขอขอบคุณทุกๆคน(ที่ตอบดีๆ)ด้วยเช่นกันครับ สรุปคำตอบในกระทู้นี้ ก็คงไม่ได้ไปไหนไกล  คือ ไม่เกินความเข้าใจของเรากันนัก ตรงที่พื้นเรียบที่มีแรงเสียดทาน ล้อก็ย่อมกลิ้งไปเหมือนไม่มีแรงเสียดทาน ขอตอบว่า ไม่ใช่ครับ คุณสมภพ เข้าใจไม่ถูกต้องเสียทีเดียวครับ พื้นจะเรียบหรือไม่เรียบไม่ใช่ประเด็นครับ แต่พารามิเตอร์ของข้อสังเกตุอันนี้คือ การมีอยู่ หรือ ไม่มีของแรงเสียดทาน ซึ่งส่งผลให้การเคลื่อนที่ของล้อแตกต่างกันคือ ถ้ามีแรงเสียดทานล้อจะกลิ้งไปจนแรงที่เราให้ไปในครั้งแรก กับแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นสมมูลกัน กับอีกแบบคือไม่มีแรงเสียดทานล้อจะหมุนก็ต่อเมื่อคุณให้แรงที่พื้นผิวในทิศทางที่ทำมุม มากกว่า 0 rad กับจุดศูนย์กลางมวล และถ้าแรงดังกล่าวไม่ตั้งฉากกับพื้นโลก ล้อก็จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อมกับหมุนไปด้วย แต่เนื่องจากแรงเสียดทานระหว่างทรงกลมกับพื้นไม่มีนั่นหมายความว่า มันก็จะเคลื่อนที่ไปอย่างนั้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุด นั่นคือข้อแตกต่างครับ แต่การที่โจทย์กำหนดให้พื้นมีแรงเสียดทาน ย่อมต้องนึกถึงจุดกำเนิดของแรงเสียดทาน  หากพิจารณาขยายพื้นผิววัตถุลงไป  ก็คงเห็นความขรุขระเล็กๆของวัตถุ และความขรุขระนั่นเอง เป็นเหตุให้ล้อหยุดกลิ้งในระยะยาวได้ และหากความขรุขระนั้นมีขนาดเล็กเข้าใกล้ 0  ล้อก็จะกลิ้งไปตลอดเข้าใกล้อนันต์ ใช่มั้ยครับ กำลังจะบอกว่า ถ้าเรียบสุดๆ เรียบในอุดมคติ แล้วหมายถึงไม่มีแรงเสียดทาน อย่างนั้นเหรอครับ อันนี้ ผมไม่ทราบจริงๆครับ คงต้องศึกษาถึงต้นตอของแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นอย่างที่คุณสมภพ เกริ่นเอาไว้นั่นแหล่ะครับ จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 21:32:38

ความคิดเห็นที่ 39 เอ่อ คุณ mint จะอธิบายต่อยังไงดี เอาอย่างนี้น่ะครับ นึกภาพตาม 1. รถหยุดนิ่ง รถมีน้ำหนัก ทำให้เกิดแรง N จากรถกระทำกับพื้นถนน 2. จากนั้นล้อหมุนตามเข็มนาฬิกา ณ จุดที่ยางสัมผัสกับถนน ล้อออกแรงกระทำกับพื้นถนนในทิศทางไปข้างหลัง 3. ในเวลาเดียวกัน พื้นถนนก็มีแรงปฏิกิริยา กระทำกับยางรถ ในทิศทางไปข้างหน้า 4. แรงปฏิกิริยานี้เองที่ทำให้รถเคลื่อนที่ 5. แรงจาก  2 และ 3 มีผลกับสภาพของยางเนื่องจาก ยางถูกแรงนี้กระทำอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้ยางสึกหรอในที่สุด ผมเคยได้มีโอกาสทำงานในบริษัทผลิตยางรถยนต์แห่งหนึ่งในประเทศไทยเมื่อหลายปีที่แล้ว ที่บริษัทแห่งนั้นมีห้องทดสอบยาง และก็พบว่ายางก็สึกกร่อน สาเหตุหลักจากการหมุนไปบนพื้นมากกว่าการเบรก (ในห้องทดสอบไม่ได้เบรกโดยให้ยางสัมผัสกับพื้น) แต่ใช้การเบรกที่เพลา จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 21:47:50

ความคิดเห็นที่ 40 อ้อ เป็นแบบนั้นนั่นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า เข้าใจผิดมาตั้งนาน ขอบคุณค่ะ ทีหลังจะได้เอาไปสอนเดกๆ รุ่นต่อๆไปได้ถูกต้อง แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 52 22:13:37 จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 22:01:14

ความคิดเห็นที่ 41 อธิบายทาง webboard ยากจังครับ แต่ผมก็ไม่อยากให้กระทู้จบลงไปด้วยความเข้าใจไม่ถูกต้อง และยิ่งกังวลใหญ่เมื่อพอทราบว่าบางท่านเป็นอาจารย์ที่จะต้องไปสอนเด็กๆ ต่อไป มันคงเป็นเพราะ ทุกคนเรียนมาทางสายวิทย์ (อันนี้ assume เอาเอง) แต่ว่าแตกต่างสาขากัน ชำนาญกันคนละด้าน แต่พยายามจะเข้าใจในวิชาอื่น ที่ไม่ได้เรียนมา โดยใช้ตรรกะที่มีพิ้นฐานจากความรู้ความเข้าใจเดิม ผมคงกังวลมากไปเอง หรือควรจะปล่อยให้กระทู้นี้มันจบๆ ไปเสีย อย่าไปซีเรียสว่าใครจะเข้าใจถุกหรือไม่เพียงใด ... จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 22:34:22

ความคิดเห็นที่ 42 อ้าวๆ งั้น คุณ STUV  จะแย้งอะไร ก้อว่ามา คุณ Santa_Baby เค้าก็อธิบายถูกแล้สไม่ใช่เหรอ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 22:38:38

ความคิดเห็นที่ 43 ขออภัยคุณ Santa_Baby นะครับ ที่เขียนว่า .......... 3. ในเวลาเดียวกัน พื้นถนนก็มีแรงปฏิกิริยา กระทำกับยางรถ ในทิศทางไปข้างหน้า 4. แรงปฏิกิริยานี้เองที่ทำให้รถเคลื่อนที่ ........... ข้อ 4. ครับที่ไม่ถูก รถไม่ได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเพราะแรงปฏิกิริยานี้ รถเคลื่อนที่เพราะเพลาล้อหมุน มาขับให้ล้อหมุน และมีแรงเสียดทานระหว่างยางกับพื้นถนน เป็นสิ่งที่ทำให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไม่เกิดการหมุนอยู่กับที่ ดูจากตอนที่รถตกหลุมโคลนเละๆ ตอนนั้นแรงเสียดทานมีน้อยเพราะระหว่างยางกับพื้นหลุมเป็นโคลนเละๆ ที่ทำให้แรงเสียดทานเหลือน้อย ไม่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการ slip ล้อก็เลยหมุนฟรีอยู่ในหลุมโคลนนั่นเอง จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 22:49:38

ความคิดเห็นที่ 44 แต่ส่วนใหญ่ของคุณ Santa_Baby ถูกต้องนะครับ ... จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 22:52:01

ความคิดเห็นที่ 45 งงกับคุณ STUV   แรงเสียดทานคือแรงปฏิกริยาที่คุณซานต้าพูด ไม่ใช่เหรอคะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 23:10:34

ความคิดเห็นที่ 46 คห 28 #24 ครับ ถ้าเฟืองนั้นไม่ใช่เฟืองฟันปลา  แต่เป็นเฟืองสี่เหลี่ยมหละครับ  ดันยังไงก็ไม่ข้ามร่อง  อย่างงี้เรียกว่าแรงเสียดทานเป็นอนันต์ได้หรือเปล่าครับ ถูกต้องแล้วคราบ.... ถ้า วัสดุในอุดมคติ ไม่แตกหัก แม้แรงจะเป็นอนันต์   มันก็ผลักไม่ไปอ่ะนะ ______________________________ คห 39 3. ในเวลาเดียวกัน พื้นถนนก็มีแรงปฏิกิริยา กระทำกับยางรถ ในทิศทางไปข้างหน้า 4. แรงปฏิกิริยานี้เองที่ทำให้รถเคลื่อนที่ กับความเห็นแย้ง ของ คห 43 รถไม่ได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเพราะแรงปฏิกิริยานี้ รถเคลื่อนที่เพราะเพลาล้อหมุน มาขับให้ล้อหมุน และมีแรงเสียดทานระหว่างยางกับพื้นถนน ***  ความจริงมันเป็นเรื่องเดียวกัน ขึ้นอยู่กับกรอบการพิจารณาแรงกระทำ ถ้าเราจะให้รถมีความเร่ง A  ( สมมุติตอนออกรถ  ยังไม่มีแรงต้านของอากาศ) รถมีมวล m แรงผลักรถให้เคลื่อน ก็จะเท่ากับ F  =  mA แรงผลักนี้  จะเท่ากับแรงเสียดทานของยาง ถ้ารถวิ่งด้วยความเร็วคงที่ (ไม่มีความเร่ง) มีแรงต้านของอากาศ = f แรงเสียดทานที่ล้อ ก็จะ = f  เช่นกัน ___________________________ คห 39 และก็พบว่ายางก็สึกกร่อน สาเหตุหลักจากการหมุนไปบนพื้นมากกว่าการเบรก น่าจะเป็นเพราะ ในช่วงอายุการใช้ยาง  มันใช้หมุนวิ่งไป มากกว่า การเบรค แต่ถ้า พิจารณาต่อช่วงเวลาเท่ากัน การเบรค ทำให้ยางสึกมากกว่า เพราะ การวิ่งไปข้างหน้า จะมีแรงเสียดทานของยาง คือ F ( แรงจากการเร่ง )  และ f  ( แรงต้านของอากาศ) ทั้งสองแรง จะมีค่าน้อยกว่า แรงเสียดทานของการเบรค มากมายนัก จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 23:31:52

ความคิดเห็นที่ 47 คห 38 น่าจะ ทำความเข้าใจ ตามโมเดลที่เราเขียนใน คห 24 อีกครั้ง และต้องแยกให้ออก ระหว่าง วัสดุอุดมคติ ( กลิ้งได้ไม่หยุด  แบบ กรณี 2 ของ คห 26) กับวัสดุจริงในธรรมชาติ ( วิ่งแล้วหยุดแน่ๆ  แบบ กรณี 3 ของ คห 26) จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 23:40:49

ความคิดเห็นที่ 48 คห 34 (mint..) เหมือนเคยเรียนมาว่า แรงเสียดทานมีสองแบบ คือแรงเสียดทานจลน์กับสถิตย์ อันนึงจะทำให้วัตถุกลิ้ง อันนึงจะทำให้วัตถุไถล แก้ให้ แรงเสียดทานสถิตย์ คือแรงเสียดทานเมื่อผิวสัมผัสไม่เคลื่อนที่ มักมีค่ามากกว่า แรงเสียดทานจลน์ ตามตัวอย่างที่เราผลักเฟืองเกียร์(โดยไม่หมุน) ให้ฟันเฟืองหลุดข้ามไป ตอนแรกฟันเฟืองขบกันสนิท  อยู่ลึก เราต้องใช้แรงผลักมาก กว่ามันจะข้ามไปได้ หลังจาก มันกระโดดข้ามฟันไปได้  เกียร์ก็ไถลไปได้ ฟันเฟืองข้ามไปแล้วก็จะตกลงในร่องถัดไป แต่มันตกลงไปนิดเดียว เราก็ผลักมันข้ามฟันที่สอง..สาม ..สี่..... เราออกแรงน้อยกว่า เพราะแค่ต้องผลักมันข้ามปลายฟันเฟืองที่สองนิดเดียว และ เป็นเช่นนี้เรื่อยไป ตราบที่เกียร์ยังเคลื่อนไป แรงผลัก  มีค่าเท่ากับแรงเสียดทานของฟันเฟือง เราเรียกมันว่า แรงเสียดทานจลน์ แรงเสียดทาน เมื่อผิวสัมผัสเคลื่อนที่ จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 23:57:54

ความคิดเห็นที่ 49 สงสัยจะเข้าใจกันผิด ถ้ารถเคลื่อนที่ด้วยมีแรง F มากระทำ นั่นคือกรณีเข็นรถแล้วครับ ถ้าถ้ารถเคลื่อนที่ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน รถจะเคลื่อนที่เพราะลูกสูบช่วยกันหมุนเพลาข้อเหวี่ยง ส่งกำลังผ่านคลัทช์ผ่านเกียร์มาหมุนเพลาขับล้อให้หมุน .... จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 00:42:29

ความคิดเห็นที่ 50 กรณีการหมุน ต้องไปดูเรื่อง Angular momentum, Angular velocity, Torque, Speed คุยเรื่องนี้ สงสัยจะไม่ได้นอนแน่เลยครับ :-) จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 00:50:32

ความคิดเห็นที่ 51 คุยเรื่องนี้ สงสัยจะไม่ได้นอนแน่เลยครับ จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 01:32:35

ความคิดเห็นที่ 52 ถ้ารถเคลื่อนที่ด้วยมีแรง F มากระทำ นั่นคือกรณีเข็นรถแล้วครับ Hint  คุณ STUV   ลองคิดว่า รถ+เครื่อง+ล้อ   ทั้งก้อนกำลังจะเคลื่อนตัวออก แรงที่กระทำกับรถที่จะให้มันเคลื่อน 1) มีทิศทางไหน 2) มาจากไหน ราตรีสวัสจ้ะ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ย. 52 01:42:01 จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 01:40:54

ความคิดเห็นที่ 53 ดูใน คคห.49 ครับ ต้นกำลังหรือพลังงานทั้งหมดมาจากการสันดาปเชื้อเพลิงในกระบอกสูบ ส่งผ่านระบบส่งกำลังมาเรื่อยๆ มาหมุนเพลาขับล้อ แรงเสียดทานระหว่างล้อกับถนนทำหน้าที่ให้ล้อไม่หมุนฟรีอยุ่กับที่ เป็นจุดเทคออฟให้รถทะยานไปข้างหน้าทุกขณะ ... จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 01:46:05

ความคิดเห็นที่ 54 อื้ม ตกลงกันให้เคลียร์ก่อน แล้วค่อย ลอกตอนสรุป ไปเลยทีเดียวดีกว่า บางอย่าง ต้อง ละวาง ทิฐิ แล้ว มองกว้างๆๆ ให้มากๆ พยายามหาจุดผิดของตัวเอง แล้วก็ไตร่ตรองให้ถ้วน ถี่ บางที กลับไปเปิดตำราที่อาจ จะจำผิด จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 05:46:30

ความคิดเห็นที่ 55 เพิ่มเติม ถามพี่เต้อว่า เฟืองหมุนขบกัน ในอวกาศ โดยมีแกนทำให้ระยะห่างพอดี ในการขบเฟือง ถามว่า ตอนเฟืองดันกัน มีการสูญเสีย พลังงานไปในรูปแบบของความร้อนไหมคะ ถ้ามีแล้วเฟืองจะหยุดใช่ไหมคะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 05:53:15

ความคิดเห็นที่ 56 ถ้าเฟืองมีแรงกระทำต่อกัน และเฟืองไม่ใช่วัสดุในอุดมคติ ย่อมมีการเปลี่ยนรูปพลังงานเป็นความร้อนเนื่องจาก deformation ระดับจุลภาคครับ จากคุณ : PUFF เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 08:39:52

ความคิดเห็นที่ 57 ยังถกกันอยู่แฮะ แรง F ที่กระทำต่อรถ เวลามองดูในภาพกว้างจะบอกรถถูกฉุดหรือผลัก มันก็เหมือนกัน เป็นลักษณะการสรุปแรง แต่พอจะเอาให้ละเอียดมันก็เป็น พลังงานเคมี -> ความร้อน -> พลังงานกล + ความร้อนสูญเสีย (จาก thermal efficiency) พลังงานกลกระบอกสูบ -> พลังงานกล เพลา + ความร้อนสูญเสียจากการเอาชนะความหนืด แรงตึงผิว บลาๆๆ พลังงานกลเพลา -> ความร้อนสูญเสียที่ยาง + การเพิ่มหรือลดของพลังงานจลน์ + การเพิ่มหรือลดของพลังงานศักย์ของรถ (ระดับความสูง)+ การสู้กับกระแสของอากาศ (การปะทะโดยตรง แรงดูด และแรงเสียดทานพื้นผิวของอากาศ) ความร้อนสูญเสียที่ยาง แรงกดที่กระทำต่อผิววัสดุ และก๊าซภายใน ซึ่งก่อความเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่ต่อเนื่อง และอุณหภูมิแปลงเป็นพลังงานภายในของก๊าซและยางไม่ทันเลยคงรูปเป็นความร้อนและสูญเสียสู่บรรยากาศ การเคลื่อนที่ และแตกหักของฝุ่นและทราย การแตกหักทำให้เกิดพื้นที่ต่อปริมาตร ต้องใช้พลังงานก็ดึงมาจากพลังงานจลน์ของยาง การเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวยางต่อแรงกด (การยืดหรือหดของโมเลกุล) แปลงเป็นความร้อนและถ่ายคืนให้ผิวยางไม่ทันก็สูญเสียสู่อากาศหรือคงรูปไว้ในสภาพความร้อน ฯลฯ ในภาพรวมเราเห็นรถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วหนึ่งผ่านระยะทางหนึ่ง เราเอาพลังงานทั้งหมด/ระยะทาง เราเรียกว่าแรง รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ ไม่มีความเร่ง เรากล่าวว่า แรงเสียดทาน = แรงที่กระทำต่อรถ ผลรวมของแรงเสียดทานมาจากไหน ก็ลองไล่ดูตั้งแต่ต้น เมื่อมันไล่ออกมายากเย็นนัก เราก็ถือรวมว่ามันเป็น function ของแรงโน้มถ่วง เพราะดูให้ดี แรงกดที่ใช้สร้างหรือทำให้เกิดพื้นที่หน้ายาง หรือการแตกหักของพวกหิน ดิน ทราย หรือการกระดอนกระเด็นตัวนี้มันเป็นแรงแนวดิ่ง แรงกดที่กระทำต่อเพลาที่ส่งไปยังตลับลูกปืน ตรงนี้ก็แรงแนวดิ่ง การสูญเสียความร้อนของกำลังเครื่อง มันก็เป็นลักษณะสัมประสิทธิ์คูณกับกำลังที่ส่งออกได้ ใช้แรงโน้มถ่วงเป็นตัวแปรก็ยังสะท้อนถึงการสูญเสียผ่าน thermal efficiency เราเอาแรงโน้มถ่วงเป็นตัวสัมประสิทธิ์ของการคำนวณแรงเสียดทานก็น่าจะเหมาะ การวัดออกมา ประเมินออกมา เรียกค่าคงที่ มิวที่คูณกับแรง และเวลาวัดความเร่งของรถในตอนต้นได้ เราก็เรียกสรุปง่ายๆว่า Fnet = m.anet = Finput - m.m.g Finput = Einput/L ทั้งหมดก็เพื่อจะสอนเด็กให้ง่าย เพื่อต่อยอดไปยัง concept ความเร็วเชิงมุม พลังงาน  กำลัง กลศาสตร์ของไหล กลศาสตร์ความร้อน การถ่ายเทมวลและความร้อน วัสดุศาสตร์ ถึงจะย้อนกลับมาเรื่องว่า แรงเสียดทานมาจากไหน แต่ ใช่ คนจะสอนควรลิงค์ความรู้นี้ให้มีความเข้าใจพอสมควร เพราะเด็กบางคนอาจเรียนรู้เร็วเกินไป และข้ามมาถึงเหตุผลของแรงเสียดทานที่มากกว่าความขรุขระของผิววัสดุ ซึ่งครูก็คงต้องอ่านและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ตั้งแต่ตำราบทแรก ชั้นประถม ไปจนถึงฟิสิกส์กายภาพอื่นๆที่เรียนในมหาวิทยาลัยครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 08:58:13

ความคิดเห็นที่ 58 ด้วยเหตุที่เราสมมุติแรงเสียดทานกระทำด้วยแรงกดจากแรงโน้มถ่วงนี้เอง เวลาจะให้สมมุติมีแรงเสียดทานแล้ว ตัดเฉพาะ แรงดึงดูด หรือความยืดหยุ่น ไปบอกว่าวัสดุเรียบ หรือเป็นฟันเฟืองที่เข้ากันสมบูรณ์ คนตอบก็ต้องไล่สาเหตุของการสูญเสียพลังงานก่อน ถ้าไม่มีเหตุการสูญเสียพลังงานแล้วถึงค่อยตอบว่าไม่มีแรงเสียดทานตามแนวนั้นครับ ปล เกี่ยวกับการสึกของยาง ยังเกี่ยวกับการเลี้ยวด้วยครับ และรวมไปถึงการที่ยางมีการยืดหยุ่นเพื่อจับกับหน้าความขรุขระของถนน มันมีการเคลื่อนไหวในระดับพื้นผิวที่เสียดสีกันตลอดด้วยนะครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 09:05:21

ความคิดเห็นที่ 59 เฟือง (Gear) เป็นเรื่องใหญ่ผีกเรื่องหนึ่งแล้วครับ เฟืองส่งผ่านกำลังกันเกิดความร้อนที่สูญเสียไปอย่างไรประโยชน์มากมาย ต้องมาน้ำมันหล่อลื่นหรือจารบีมาช่วยลดแรงเสียดทาน จารบีใช้แล้วหมดไปเสื่อมไป ต้องเติมเป็นระยะๆ น้ำมันหล่อลื่น ใช้แล้วอุณหภูมิสูงขึ้น ต้องมีระบบ cooling และต้องเติม เปลี่ยนถ่ายเช่นกัน ขณะที่เฟืองสัมผัสกัน (โดยมีฟิล์มบางๆของสารหล่อลื่นขั้นกลาง) แรงที่กระทำซึ่งกันและกันสามารถแตกได้เป็น 2 แนว แนวหนึ่งตั้งฉากกับฟันเฟือง ผลักให้เฟืองตามหมุนไปและฟันเฟืองห่างจากกัน ไม่ขบกัน หน้าสัมผัสของฟันเฟืองต้องแข็งแรงพอที่จะรับ Compression มหาศาลนี้ได้ มิฉะนั้นก็จะเป็นหลุมเล็กๆ ที่เรียกว่า Pitting อีกแนวหนึ่งสัมผัสกับหน้าฟันเฟืองทั้งสอง (ทั้งเฟืองขับและเฟืองตาม) แรงนี้แหละที่ทำให้เกิด Wear and Tear การสึกหรอด้วย Shear force เฟืองที่ดี ต้องมีการชุมแข็งที่ผิว (Surface hardening) ให้ทนทานต่อแรงกดและแรงเสียดทานมหาศาล จึงจะใช้ได้นานๆ ไม่มีเสียงดัง หรือ หอน ในอวกาศ หมายถึง ไม่มีอากาศ คงไม่ effect กับ mechanism นี้เท่าใดนัก จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 09:53:06

ความคิดเห็นที่ 60 สาเหตุที่ยางสึก  ผมขอสรุปตามความเห็นที่ #39 น่ะครับ "แรงจาก  2 และ 3 มีผลกับสภาพของยางเนื่องจาก ยางถูกแรงนี้กระทำอยู่ตลอดเวลา นั่นทำให้ยางสึกหรอในที่สุด การทดสอบยาง พบว่ายางก็สึกกร่อน สาเหตุหลักจากการหมุนไปบนพื้นมากกว่าการเบรก" ยางที่ถูกกระทำอยู่นั่น  มาจากความเร็วที่ไม่สมำเสมอของการขับรถ  เช่น การเร่งความเร็ว และการชะลอ  ซึ่งเหล่านี้มีผลต่อการสึกมากกว่าหรือบ่อยครั้งกว่าการเบรค ใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมขออนุญาตถามให้กระจ่างว่า 1. ถ้ารถวิ่งขึ้นเนินด้วยความเร็วคงที่  ตัววัดระยะทางในรถอาจจะวัดระยะทางได้มากกว่าความยาวถนนจริง ใช่มั้ยครับ 2. ถ้ารถวิ่งลงเนิน(ไม่ใช่ไหล) แต่วิ่งลงด้วยความเร็วคงที่  ตัววัดระยะทางในรถ อาจจะวัดระยะทางได้น้อยกว่าความยาวถนนจริง ใช่มั้ยครับ เหตุเพราะ ระยะทางที่ผิวล้อหมุนไป ไม่เท่ากับระยะทางถนนจริง(ด้วยแฟกเตอร์เหล่านั้น)  และนั่นคือการเสียดสีเล็กๆที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ชัดเจนเหมือนการเบรคสุดตัวและการเร่งสุดฤทธิ์ จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 10:56:16

ความคิดเห็นที่ 61 ถ้าเอารถวิ่งลงเขา กับ ล๊อกล้อไว้แล้วดึงรถลงเขาอันไหน ยางสึกมากกว่ากัน (น่าจะสรุป เรื่อง ยางสึกเพราะเบรก หรือเพราะ วิ่งได้ มากกว่ากัน) จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 13:07:26

ความคิดเห็นที่ 62 รถยนต์ในปัจุบัน การเคลื่อนที่ของล้อ นับว่า ยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะทำให้ ล้อไม่ได้ เคลื่อนที่ ตามการหมุนของล้อโดยตรง เมื่อเลี้ยว เกิดการ ไถล และ นั่นก็ทำให้ยางสึกได้เหมือนเบรก จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 13:15:45

ความคิดเห็นที่ 63 โดยทฤษฎีแล้ว เอารถวิ่งลงเขา ใช้เกียร์ต่ำๆ เป็น Engine brake เปิดเครื่องปรับอากาศเต็มที่เพื่อช่วยหน่วงรถ หลีกเลี่ยงการใช้เบรคให้มากที่สุด จะทำให้ยางสึกน้อยกว่าลากรถที่ล็อคล้อลงเขา แต่ในทางปฏิบัติ (ถ้าใครกล้าจะปฏิบัติ) ลากรถที่ล็อคล้อลงเขา ยางจะสึกน้อยกว่า เพราะผ่านไปไม่กี่โค้ง ก็จะแหกโค้ง กลิ้งลงเหวไปเลย ยางจะไม่สึก แต่อาจจะสาหัสทั้ง 2 คัน ... จากคุณ : STUV เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 13:20:54

ความคิดเห็นที่ 64 จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 52 13:29:34

ความคิดเห็นที่ 65 ความคิดเห็นที่ 31     1. ถ้ามีแรงเสียดทาน แต่ไม่มีแรงต้านจากอากาศ ทรงกลมดังกล่าวก็จะกลิ้งไปแล้วหยุดในที่สุดครับ จากคุณ : Santa_Baby     เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 15:55:31 จริงๆ สาเหตุที่ลูกฟุตบอลหยุดกลิ้ง  เพราะแรงต้านจากหญ้า สาเหตุที่ลูกสนุ๊กหยุดกลิ้ง  เพราะความฟูของผ้าปูโต๊ะต่างหากครับ และก็ แรงต้านอากาศนิดหน่อย จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 09:42:43

ความคิดเห็นที่ 66 #65 ตกลงเราคุยกันเรื่องวัตถุกลม หรือ ลูกบอล หรือ ลูกสนุ๊กครับ คุณ สมภพ จากการอ่านดูแล้วเหมือนคุณสมภพ มีอะไรในใจ อย่างไรช่วยให้ข้อมูลพวกเราด้วยเถอะครับ ถามนำไปเรื่อยๆ ที่สุดก็จะเจอแต่ classical physic เท่านั้นล่ะครับ ที่อ้างถึงได้ จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 23:38:07

ความคิดเห็นที่ 67 ตอบ #60 น่ะครับ คุณ สมภพ เดี๋ยวผมขออนุญาตถามให้กระจ่างว่า 1. ถ้ารถวิ่งขึ้นเนินด้วยความเร็วคงที่  ตัววัดระยะทางในรถอาจจะวัดระยะทางได้มากกว่าความยาวถนนจริง ใช่มั้ยครับ 2. ถ้ารถวิ่งลงเนิน(ไม่ใช่ไหล) แต่วิ่งลงด้วยความเร็วคงที่  ตัววัดระยะทางในรถ อาจจะวัดระยะทางได้น้อยกว่าความยาวถนนจริง ใช่มั้ยครับ ถ้าความเร็วคงที่ (อันที่จริงไม่ต้องความเร็วคงที่ก็ได้ครับ) และ ยางไม่สลิป คำตอบสำหรับ คำถามทั้งสองข้อนั้น คือ ไม่ใช่ครับ ระยะทางที่วัดได้ในรถ กับ ระยะทางบนถนน จะเท่ากัน คือ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ยางสลิป หรือ ไม่สลิป ครับ ที่จะมีผลทำให้ระยะทางออกมาแตกต่างกัน จริงๆ ผมว่าน่าจะคำนวณได้น่ะครับ ถ้าเรามี u ของยางกับพื้นถนน มีแรง ที่กระทำที่ผิวยาง (แรงขับ) ความชัน น้ำหนักรถ ก็น่าจะพอคำนวณได้ว่า มันจะมีการสลิปได้ก็ต่อเมื่ออะไร (แรงมากที่สุดเท่าไรที่ทำให้เกิดการสลิป น่ะครับ จากคุณ : Santa_Baby เขียนเมื่อ : 15 พ.ย. 52 23:54:39

ความคิดเห็นที่ 68 #66 เอ่ออออ  ลูกบอล ลูกสนุ๊ก  มันก็กลมไม่ใช่เหรอครับ สิ่งที่ค้างในใจผม  ก็ไม่มีอะไรมากครับ เพียงแต่อยากพูดถึงสามัญสำนึกมนุษย์ เทียบกับความจริงทางฟิสิกส์อ่ะครับ ที่เราเคยคิดว่า วัตถุหยุดเคลื่อนที่ได้ เพราะหมดแรง  แต่จริงๆเพราะมีแรงในทางตรงกันข้ามมากระทำ แต่ก็เกรงว่า สามัญสำนึกดังกล่าวนั้นอาจจะยังมีแฝงอยู่ในเรื่องอื่นๆหนะครับ  คือเรื่องที่รู้เพราะอ่านมากับเพราะเข้าใจ อาจจะต่างกัน สรุปได้เรื่อง แรงเสียดทานในวัตถุที่ไม่กลิ้ง  กับแรงเสียดทานในวัตถุที่กลิ้งหนะครับ ถ้าไม่มีหญ้า ผ้าปูโต๊ะไม่ฟู  มันจะเป็นยังไง? จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 21:09:41

ความคิดเห็นที่ 69 มันก็กลิ้งไปได้เรื่อยๆไม่หยุดไงคะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 52 01:39:18