ความคิดเห็นที่ 1 ขึ้นลง สูงเท่าเดิม แต่บ่อยขึ้น แค่นั้น จากคุณ : Darkvider เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 00:48:02

ความคิดเห็นที่ 2 ที่อธิบายน้ำขึ้นสองฝั่งนั้นเข้าใจแล้วใช่ไหมคะ ถ้าเข้าใจแล้วจะได้อธิบายเรื่องใหม่ได้ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 01:00:43

ความคิดเห็นที่ 3 ความสูงกลับน่าจะน้อยลงเพราะการไหลของกระแสน้ำเป็นไปตามหลัก Fluid dynamic เมื่อมีความเร็วกระแสเพิ่มตามจุดที่เป็นแรงดึงคือดวงจันทร์ จุดสมดุลของ head หรือระดับน้ำจะสูงตามความดันสูญเสียที่แปรผันตามความเร็ว อีกส่วนที่จะได้รับผลกระทบคืออัตราการชะลอของการหมุนของโลกจะเพิ่มขึ้น เพราะแรงเสียดทานที่มากขึ้น จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 05:41:24

ความคิดเห็นที่ 4   ^ ^ ผมก็คิดว่างั้นน่ะ เพราะการขึ้นลงของน้ำทะเลมีความถี่ธรรมชาติอยู่หรือเปล่า ??? จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 08:03:03 A:124.121.210.227 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 5 ระดับเดิม แต่จะเกิดคลื่นรุนแรงขึ้น จากคุณ : bankk99 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:11:44

ความคิดเห็นที่ 6   อึมมีสองแนวทางคำตอบล่ะ... จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 09:18:09 A:124.121.210.227 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 7 ยังไม่ตอบเลยว่าของเดิมเข้าใจไหม สมมุติว่าเข้าใจแล้วกัน คำตอบของโจทย์ข้อนี้ คือน้ำจะสูงขึ้นเท่าเดิม เพราะอะไรเด๋วมาเฉลย จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 11:49:42

ความคิดเห็นที่ 8   เพราะอะไรอ่ะ? จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 12:01:31 A:124.121.210.227 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าดวงจันทร์โคจรรอบโลกเร็วขึ้นจากเดิม จะเกิดแรงเหวี่ยงหนีออกจากโลกจนไม่เป็นสมดุลโคจรรอบโลกเช่นเดิม นอกเสียจากว่าตำแหน่งของดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกเข้ามาอีกจึงสามารถเกิดสมดุลโคจรรอบโลกด้วยความเร็วโคจรมากขึ้นได้ เมื่อดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกเข้ามาอีกก็ย่อมเกิดอิทธิพลแรงดึงดูดต่อระดับน้ำที่ชัดเจนมากขึ้นได้ คิดว่าอย่างนั้น แต่อาจมีปัจจัยทางดาราศาสตร์อีกมากมายซึ่งไม่ทราบครับผม จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:05:07

ความคิดเห็นที่ 10 เออ คำถามจริงๆเป็นความเร็วการหมุนรอบตัวเองของโลก ตอนเข้ามาตะแรกทำไมเห็นเป็นดวงจันทร์หมุนรอบโลกใน 18 ชั่วโมงนะ การหมุนของโลกเป็นในทิศทางเดียวกับดวงจันทร์ ถ้าเร่งขึ้น แรงต้านกระแสก็ต้องน้อยลงสิ magnitude ก็ควรมากขึ้น แก่แล้วตาไม่ค่อยดี จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:37:10

ความคิดเห็นที่ 11   เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ น้ำขึ้นๆลงๆถี่ขึ้น แต่ แรงดึงจะน้อยลงครับ จากคุณ : ธรรมดาไม่เคยมี เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 13:55:02

ความคิดเห็นที่ 12 กลับมาใหม่ เฮ้อ พลาดครับท่านจขกท เอาใหม่ โลกหมุนรอบตัวเองเร็วกว่าดวงจันทร์มาก ดังนั้นดวงจันทร์ถือเสมือนเป็นจุดที่หยุดนิ่งกับโลก เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองเร็วกว่าดวงจันทร์ มวลน้ำของโลก จะถูกดึงไว้ที่จุดดวงจันทร์ แรงเสียดทานจึงกระทำโดยความเร็วของโลก เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้น Lead-lag ของโลกและน้ำจะมากขึ้น ผลคือแรงเสียดทานที่โลกต้องเสียไปมากขึ้น ผลทางกลศาสตร์ของไหล การพาของน้ำไปจากจุดสูงสุดจะมากขึ้น แต่การกลับเข้ามาของน้ำสู่จุดสูงสุดนี้เป็นผลมาจากองศาของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่คงที่ ระดับความสูงของน้ำจะลดลงครับ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของน้ำมีทั้งในแนวตามวงโคจรดวงจันทร์และตั้งฉากกับแนววงโคจรดวงจันทร์ ผลของ amplitude นี้จำกัดเฉพาะการพาของน้ำตามแนววงโคจรดวงจันทร์เท่านั้น ซึ่งจะมีผลน้อยกว่าการเคลื่อนที่ของน้ำ ในแนวตั้งฉากกับวงโคจรดวงจันทร์มากครับ กรณีความเข้าใจของ ฟหกด ในกระทู้ก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์แรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ มันมีลักษณะเป็นแรงที่กระทำต่อ Centre ของโลก ถ้าแรงโน้มถ่วงดึงน้ำจากด้านหนึ่งของโลกมาแล้ว จุดศูนย์กลางของโลกจะใกล้ดวงจันทร์มากขึ้นระยะของ จุด ศกโลกกับน้ำอีกด้านก็จะห่างขึ้น เมื่อน้ำอีกด้านขึ้นก็จะ Balance ทำให้ จุด ศก ของโลกอยู่ที่จุดเดิม น้ำจากอีกด้านจึงต้องขึ้นเท่ากับอีกฝั่งเนื่องจาก จุด ศก ของโลกต่อดวงจันทร์ท้ายสุดผลรวมต้องคงเดิม และดังนั้นน้ำจึงขึ้นทั้งสองฝั่งครับ แต่เรื่องความเร็วหมุนรอบตัวเองของโลก อันนี้เป็นอีกประเด็นหนึ่ง เป็นประเด็นทาง Fluid dynamic ถ้าอธิบายเฉพาะการเคลื่อนที่ของน้ำในแนวตั้งก็จะละเลยการเคลื่อนของน้ำในแนวนอน และมองไม่เห็นผลทาง Fluid ครับ ตามความเห็นเท่าที่คิดมาอย่างดีเป็นอย่างนี้ครับ (แก้ไข แนวดวงจันทร์ กับแนวตั้งฉาก เขียนไปงงไป วาดรูปเอาน่าจะง่ายกว่า) แก้ไขเมื่อ 18 พ.ย. 52 21:05:30 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 19:02:21

ความคิดเห็นที่ 13   อึมครับ ที่ผมคิด ฟังดูอาจจะมีประโยคที่ฟังแล้วขัดๆ กันสิ่งที่เรียนกันมาบ้าง (ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตีความความเห็นผมที่คลาดเคลื่อน ...ดังนั้นผมจะพยายามอธิบายให้ดีที่สุดก่อนล่ะกัน) สมมุติว่า มีลูกชิ้นลูกใหญ่ ราดด้วยน้ำจิ้มน้ำจิ้ม เราถือมันบนโลก มันมี แรงดึงดูดโลก ... ถ้าเราถือนิ่งๆ ที่สุดน้ำจิ้มก็จะหก หยดตามแรงดึงดูดของโลก แต่ถ้าเราหมุนไม้ ... น้ำจิ้มคือจะเคลือบทั้งลูกชิ้น ... มันก็จะไม่หก เช่นเดียวกัน ผมมองว่า สมมุติมีแรง 3 แรง ในกรณีโลกกับดวงจันทร์ แรงแรกคือ แรงดึงดูดของโลก ซึ่งสมมุติว่ามีค่าเท่ากัน ... (แต่อาจจะเปลี่ยนในภายหลังเหมือนคห. 12) แรงที่สองคือ แรงดึงดูดของดวงจันทร์ ตามสูตร Gmm/(R^2) แรงที่สามคือแรงตึงผิวของน้ำ หรือแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล ในกรณีที่โลกหมุน แรงจากโลก จะตรึงให้น้ำเกลี่ยกระจายเท่ากัน แรงจากดวงจันทร์ จะดึงน้ำไปด้านหนึ่ง ... รวมทั้งฝั่งทั้งสองฝั่งของโลกด้วย และแรงตึงผิว ที่จะดึงมวลของน้ำจากบริเวณที่สูง กว่ามายังบริเวณที่ต่ำกว่า พอดีว่าโลกหมุน ดังนั้นจึงทำให้ แรงจากดวงจันทร์ที่กระทำต่อบริเวณต่างๆ ของโลก เมื่อมองในกรอบอ้างอิงของโลก "โดยเฉลี่ย" ทั้งเดือนเท่ากัน อีกทั้งเกิดเป็นสภาพเหมือนแรงเสียดทานต่อการเคลื่อนตัวของมวลน้ำ แต่บนดวงจันทร์ มันไม่หมุน (หรือว่ามันหมุนหว่า???) ถ้ามีน้ำบนดวงจันทร์ เมื่อมองในกรอบอ้างอิงของดวงจันทร์ แม้ว่าจะมีแรง กระทำจากโลกเพียงด้านเดียว ผลที่ได้คือ แรงกระทำต่อน้ำบนดวงจันทร์จะมีค่าคงที่ๆ บริเวณเดียว แม้ว่าจะมีน้ำกอง อยู่ทั้งสองฝั่ง(สองด้าน)ในตอนแรก ตามแรงจากโลก ที่เมื่อเวลาผ่านไป น้ำก็น่าจะต้องมากองยังฝั่งที่ใกล้โลก จาก คห.12 คำถามนึงที่ต้องถามคือปริมาณ มวลของน้ำ เมื่อเทียบกับมวลของดวงจันทร์ ในคห. 12 ผมสงสัยว่า ทำไมถึงให้ จุดศก ของโลกกับดวงจันทร์ เท่าเดิม เพราะ ต่อให้จุกศูนย์กลางเปลี่ยน กฏอนุรักษ์พลังงานก็ยังน่าจะใช้ได้ .................................................................................................. ส่วนตัวผมคิดว่า คำถามนี้น่าคิดน่ะครับ ไม่งั้นไม่ถามคุณ mint_la หรอก....ขอ อย่าคิดมากน่ะครับ จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 21:16:07 A:124.121.210.227 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 14 ลองทำโมเดลดู กรณีโลกไม่หมุนมันได้ผลลัพธ์ประมาณนี้ จุดศูนย์กลาง โลกกับดวงจันทร์ มันแปรตามจุดสมดุลแรงโน้มถ่วงและความเร็วการโคจรน่ะท่าน พิจารณาแล้วจุดๆนี้เป็น stationary ครับ เคยเห็นว่ามีโมเดลคำนวณที่อธิบายละเอียดกว่านี้แต่ก็หาไม่เจอ ผิดถูกอย่างไรก็ชี้แนะด้วย เดี๋ยวนี้บางเรื่องผมก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่การที่น้ำขึ้นสองฝั่งเห็นว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่โลกหมุน แรงที่โลกหมุนกลับเป็นส่วนที่จะทำให้ระดับน้ำลดลง เดี๋ยวขอแก้ลบการคำนวณก่อน ผมรู้สึกใส่เครื่องหมายผิด โอย ปวดหัวขอรับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 00:04:24 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 52 22:51:09

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่ใช่เพราะการหมุนรอบตัวเองของโลก คำตอบที่น้ำจะไม่ไหลไปกระจุกเดียวจนหมด คือกรณีเดียวกันกับที่ โลกไม่ตกสู่ดวงอาทิตย์ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 01:30:42 จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 01:12:47

ความคิดเห็นที่ 16 เพิ่มเติมนะคะ ดวงจันทร์ หมุนรอบตัวเอง นะคะ เพราะดวงจันทร์มีการหมุนรอบตัวเอง สมวารกับโลก ทำให้เรา เห็นกระต่าย เสมอไงคะ ถ้าดวงจัทนร์ไม่หมุนรอบตัวเองแต่โคจรรอบโลกอย่างเดียว คงได้มีโอกาสเห็นอีกด้านของดวงจันทร์ไปแล้ว จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 01:36:08

ความคิดเห็นที่ 17   อึมดวงจันทร์หมุนรอบตัวเอง ... ผมต้องบอกกรอบอ้างอิงด้วยเนอะ ส่วนข้อ 15 อึม.... ผมไม่ค่อยคิดว่าอย่างนั้นน่ะ (คือแรงหนีศูนย์กลาง) แต่ผมคิดว่าน่าจะเกิดจากการที่แรงดึงดูดโลกมีความสม่ำเสมอ และมีอิธิพลมาก เพราะดูอย่างดาวพฤหัส ... มันเป็นก๊าซ แน่ๆ คือแรงเสียดทานของน้ำ-ก๊าซกับพื้นผิวมีผลต่อการเคลื่อนที่ แต่สำหรับแรงหนีศูนย์กลาง ... น้ำกับอากาศ ไม่ใช่วัตถุแข็ง rigid body ที่เคลื่อนที่อย่างอิสระ แต่กลับมีแรงตึงผิว จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 02:07:49 A:124.121.210.4 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 18 เริ่ม ไม่แน่ใจ ดาวพฤหัสมีผิวเป็นก๊าซแล้วเกี่ยวยังไงกับโ๗ทย์ข้อนี้หรือคะ ช่วยอธิบายให้ทีค่ะ ยังนึกตามไม่ทัน แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 02:37:13 จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 02:36:02

ความคิดเห็นที่ 19 สอง ทำไมแรงหนีศก.ใช้ไม่ได้กับ ของไหลเหรอคะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 02:38:34

ความคิดเห็นที่ 20 แรงไทดัล มีผลทำให้รูปร่างของโลกพยายามยืดออกเป็นลูกรักบี้ ส่วนที่เป็นหินแข็งเคลื่อนตัวเป็นรูปร่างยาก ส่วนที่เป็นของไหลเคลื่อนตัวง่าย จึงเป็นส่วนที่ไหลไปเพิ่มส่วนนูนตรงที่เป็นนจมูกลูกรักบี้ น้ำขึ้นอีกฝั่งนึงของดวงจันทร์ เป็นเพราะแรงเหวี่ยงของการหมุนรอบจุดศูนย์กลางโลก-ดวงจันทร์ บาลานซ์กับแรงดึงดูดโลก-ดวงจันทร์ แต่เนื่องจากโลกหมุน จุดที่น้ำขึ้นสูงสุดโดยเฉลี่ยจะไม่ตรงกับจุดใต้ดวงจันทร์หรือตรงข้าม เนื่องจากน้ำมีความเฉื่อย มีแรงเสียดทานตอนไหล ถ้าโลกหมุนเร็วขึ้นอีก น้ำยังไม่ทันขึ้นสะสมสูงสุด ณ ตรงนั้นๆเลย พื้นดินตรงนั้นก็หนีออกจากใต้ดวงจันทร์ไปไกลเสียแล้ว อย่างนี้ ผมนับว่า ระดับน้ำสูงสุดต่ำลงกว่าตอนที่โลกหมุนปรกติครับ จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 07:22:44

ความคิดเห็นที่ 21   คห.19 ในความคิดผมน่ะครับ ... ถ้าอธิบายง่ายๆ คือ moment of inertia หรือมวลความเฉื่อยเชิงมุม มันไม่อนุรักษ์ครับ ... สำหรับของไหล สมมุติว่ามีก้อนน้ำแข็ง ทรงกลม กับ สี่เหลี่ยมหมุนอยู่ ... โดยมีพิกัดการหมุนเท่ากัน มีมวลและปริมาตรเท่ากัน ถามว่าจะมีพลังงานเท่ากันหรือไม่ ทีนี้ถ้าเกิดน้ำละลาย หรือมีการเปลี่ยรรูปจากก้องกลมเป็นสี่เหลี่ยม ถามว่า มันต้องอนุกรักษ์พลังงาน แล้วมวลเชิงมุม มันเปลี่ยนไป อย่างงี้ มันก็ต้องไปปรับความเร็วในตัวมัน ยังไง ถ้ามองที่ส่วนเล็กๆของน้ำ โดยการซอยน้ำเป็นชิ้นเล็กที่สุด แล้วติต่างว่าชิ้นนั้นเป็น rigid body หลังจากนั้นก็ดูแรงที่กระทำ ผมยังเชื่อว่า กลไกที่ส่งผ่านแรงหนีศูนย์กลางของโลกไปยังมวลของน้ำ (อาจจะคล้ายแนวคิดของคุณ darthprince คือ การหมุนของโลก -> แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล -> แรงที่กระทำต่อ rigid body ของน้ำ หรืออาจจะมองว่าแรงเสียดทาน ของน้ำต่อพื้นผิว ดังนั้นที่ยกดาวพฤหัสเพราะ ดวงตาในดาวพฤหัสเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสลงว่า มวลของของไหล(เหลว+ก๊าซ) มันสามารถเกิดแรงเฉือน ได้ คล้ายๆกับแรง คอริดอริส ... ซึ่งแสดงว่ามีแรงเสียดทานการไหลอยู่ ดังนั้นจากแรงเสียดทาน อาจจะมี โมเดลสัมพันธ์กับความเร็ว ... การเปลี่ยนความเร็ว ซึ่งเกิดจากความเร็วในการหมุน ก็น่าจะมีผล จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 09:11:34 A:124.121.210.4 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 22 แรงเหวี่ยงจากการหมุนรอบตัวเองของโลกมันไม่เกี่ยวเลยครับ สมมุติโลกไม่มีมวล และ CM ของโลกคือจุดศูนย์กลางโมเมนต์ของมวลน้ำทั้ง 2 ที่อยู่ทั้งสองฟากของโลก ให้ M1 = มวลของน้ำด้านใกล้ดวงจันทร์ R1= ระยะของมวลน้ำด้านใกล้ดวงจันทร์จาก CM ของโลก M2 และ R2 คือด้านไกล D เป็นรัศมีระหว่างโลกกับดวงจันทร์ G เป็น Gravitational constant MM=มวลของดวงจันทร์ มวลของโลกคือ M1+M2 M1.R1=M2.R2 ที่จุดเริ่มต้น เราสมมุติใส่น้ำเกลี่ยเท่ากันทั้งสองด้านของโลก ดังนั้น M1 = M2 และ R1=R2 ณ จุดเริ่มต้น ที่นี้เราใส่แรงโน้มถ่วงดวงจันทร์เข้าไป แรงโน้มถ่วงดวงจันทร์ที่มีต่อมวล M1 มากกว่ามวล M2 โดย F ด้านใกล้= gm1M F ด้านไกล= gm2M แรงโน้มถ่วง gm1 = GMM/(D-R1)2 และ gm2 = GMM/(D+R2)2 แรง g จึงแปรผกผันกับระยะห่างของมวลต่อ CM โลกยกกำลังสอง แต่ เมื่อ มีแรงต่างกันทั้งสองด้าน ก็เกิดการยืดตัวของระยะห่างระหว่าง M1 และ M2 ระยะเดิม = R1+ R2 และ ระยะใหม่ เป็น R1+R2+d ถามว่า ในตรงนี้ CM ระหว่าง M1 และ M2 เปลี่ยนไปหรือไม่ถ้า M1 = M2 ตอบว่าไม่ต่างกันเพราะ CM จะเลื่อนออกจาก M1 ในระยะ d/2 และ โมเมนต์ใหม่ก็เป็น M1(R1+d/2)=M2(R2+d/2) แต่ แรงที่ดวงจันทร์กระทำต่อโลกกระทำที่จุด CM ถูกล็อคไว้ด้วยความเร็วการโคจร คือ G(M1+M2)MM/D2=MMV2/D V=[G(M1+M2)/D]0.5 สังเกตคือ ระยะห่างจาก CM โลก ถึง CM ดวงจันทร์ถูกล็อคไว้ด้วยความเร็ว การโคจรรอบดวงจันทร์ ดังนั้นการยืดของระยะ d จึงถูกเกลี่ยออกไปทั้งสองข้าง จึงเป็นน้ำขึ้นสองข้าง ไม่ว่าโลกจะหมุนรอบตัวเองหรือไม่ น้ำขึ้นน้ำลงก็จะมีอยู่ทั้งสองข้างอยู่ดี ประเด็นสมการอนุรักษ์พลังงานประมาณ CM เปลี่ยนแล้วมันจะไปปรับที่ ความเร็วโคจร ถ้าคำนวณดูจริงๆ เป็น 3 มิติทุกมุมการโคจรของดวงจันทร์ รอบโลก การเปลี่ยนของ CM กับความเร็วจะมีต่อเนื่องและผลรวมคือ CM จะ คงที่ๆจุดเดิม ความเร็วการโคจรจะคงที่ๆจุดเดิม ระยะวงโคจรก็คงที่ๆจุดเดิม แก้ไข สมการสุดท้าย สักครู่นี้ลืมใส่พจน์ D2 ที่ด้านซ้ายของสมการ G(M1+M2)MM/D2=MMV2/D แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 09:43:11 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 09:13:38

ความคิดเห็นที่ 23 การหมุนรอบตัวเองของโลก เกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ ซึ่งไปหักลบกับแรงสู่ศูนย์กลางโดยแรงโน้มถ่วง อย่างไรก็ตาม แรงนี้จะมีการเกลี่ยเท่ากันตลอด โดย ถ้าโลกหมุนเร็วขึ้น แรงเหวี่ยงหนีศูนย์มากขึ้น ระดับน้ำที่เส้นศูนย์สูตร จะสูงกว่าระดับน้ำที่ขั้วโลกมากขึ้น ตรงนี้กลายเป็นว่าที่ผมวิเคราะห์ ใน คห 12 ไว้ก็คือคิดง่ายเกินไปแล้ว เพราะระดับความสูงของน้ำนี้ มีผลกับแรงกระทำของดวงจันทร์ต่อมวลน้ำทั้งด้าน 1 และ 2 ถ้าความเร็วการหมุนของโลกเร็วมาก ระยะ R1 และ R2 ก็จะเริ่มขึ้นสูงมาก พจน์ความต่างของ gm1 และ gm2 ยิ่งต่างกันมาก ระดับน้ำขึ้นน้ำลงจะยิ่งสูง แต่แรงเสียดทานของพื้นน้ำต่อผิวโลก มันเกี่ยวพันกับลักษณะพื้นผิวของโลก ถ้าดูตามสมการของ Darcy–Weisbach equation ที่เราคุ้นตากัน พจน์ของแรงเสียดทานมันแปร แรงเสียดทานที่กระทำโดยพื้นน้ำ <-> การสูญเสีย head = fL/x.V2/2.g พจน์ X เสมือนความลึกของ flow channel และ L เสมือนเป็นระยะการไหลของน้ำของมหาสมุทร รวมๆกันคือเทียบเคียง factor บ่งชี้ลักษณะพื้นผิวของดาวโลกอย่างหนึ่ง แรงเสียดทานนี้ แปรตามความเร็วกำลังสองจริง แต่พจน์ friction มันก็แปรตามความปั่นป่วน ที่เกี่ยวกับความขรุขระ ความหนืด สภาพ Channel เช่นระดับความลึก และระยะการไหล ดาวที่มีพื้นผิวเรียบ การดึง หรือ หน่วงน้ำไปกับผิวโลกก็จะน้อยกว่าผลของดาวที่มีผิวขรุขระหรือช่องทางน้ำแคบ การหน่วงไปกับการโคจรของโลกก็จะมากกว่า ณ ตรงนี้ ผมคิดว่ามันไม่สามารถสรุปได้ว่าถ้าโลกหมุนเร็วขึ้นแล้ว แรงจากการดึงน้ำด้วยแรงเสียดทานที่ผิวโลกจะมากไปกว่าระดับ Magnitude ของแรงที่ดวงจันทร์กระทำต่อระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ ปล ขอกลับไปทำงานก่อนขอรับ แต่กระทู้นี้ได้คิดสนุกดี ลืมๆที่เรียนมาเยอะ ได้ถือโอกาสทบทวนไปในตัว แก้ไข ใส่ eqn ไม่ครบ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 09:38:16 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 09:36:30

ความคิดเห็นที่ 24 พี่ Darth Prin ครับ ไม่แน่ใจว่าที่พี่แย้งเรื่องการหมุนรอบตัวเองนี่ พูดกะผมรึเปล่า... ที่ผมบอกว่า "น้ำขึ้นอีกฝั่งนึงของดวงจันทร์ เป็นเพราะแรงเหวี่ยงของการหมุนรอบจุดศูนย์กลางโลก-ดวงจันทร์ บาลานซ์กับแรงดึงดูดโลก-ดวงจันทร์" ผมหมายถึงแรงเหวี่ยงรอบ จุดศูนย์กลางการโคจรรอบกันและกัน อ่ะครับ มันอยู่นอก CM ของโลกไปทางดวงจันทร์ แต่ก็ยังไม่พ้นผิวโลก เรื่องน้ำขึ้นสองฝั่งไม่เกี่ยวกับการหมุนรอบตัวเองของโลกหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 10:53:55 จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 10:46:33

ความคิดเห็นที่ 25 อ่อ ขอโทษจริงๆครับ ผมเขียนไม่เคลียร์ ประหยัดแรงพิมพ์ไปหน่อย หุ หุ จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 10:47:11

ความคิดเห็นที่ 26 อ้อ เรื่องการหมุนรอบตัวเองนี่ผมตอบโจทย์ตั้งแต่ตอนแรกของ จขกท เกี่ยวกับระดับน้ำขึ้นน้ำลงที่มีอยู่ 2 ครั้งใน 1 วัน โดยการหมุนรอบตัวเองผมบ่งชี้มีผลต่อ amplitude ไม่ใช่เรื่องที่โลกมีการบวมน้ำสองข้าง เรื่องแรงเหวี่ยงของดวงจันทร์ต่อโลกของ Ontjung ผมคิดว่าเป็นวิธีการอธิบายเรื่องเดียวกัน เพราะมันก็เป็นการส่งผลต่อการเลื่อนของ CM ที่ไม่ว่าจะเลื่อนยังไง ระยะระหว่างโลกกับดวงจันทร์จะกลับมาที่จุดเดิมเสมอ แน่นอนว่าถ้าโลกถูกผูกนิ่งไว้กับที่ ณ ตัวโลกที่เป็นของแข็ง และดวงจันทร์ถูกผูกนิ่งไว้ และระยะระหว่างโลกกับดวงจันทร์ไม่ได้มีการเกี่ยวพันระหว่างความเร็วการโคจร กับแรงโน้มถ่วง น้ำก็จะไปกองอยู่ด้านเดียวได้ เพราะการเลื่อนของ CM จะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับแรงที่ Balance ระยะของโลกและดวงจันทร์เอาไว้เลย   ประเด็นระหว่างโลกกับดวงจันทร์ตอนนี้ถ้าไล่เรียงมาคือ 1) สมดุลแรงโน้มถ่วง และแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ของดวงจันทร์ กับระดับน้ำทั้งสองฝั่งโลก 2) การหมุนรอบตัวเองของโลก และแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ที่เส้นศูนย์สูตร ที่เกี่ยวพันกับระดับน้ำ 3) แรงเสียดทานจากการเคลื่อนตัวของโลกที่เป็นของแข็ง กับน้ำที่เป็นของไหล ภายใต้อิทธิพลของดวงจันทร์ที่จะหน่วงน้ำไว้ ณ จุดสูงสุด เพราะ จขกท กล่าวถึงผลกระทบของความเร็วการหมุนรอบตัวเองของโลกต่อระดับน้ำ ถ้าคิดแค่อิทธิพลของ 1 จะมองไม่เห็น 2 และ 3 และสรุปว่า โลกหมุนรอบตัวเองเร็วยังไง น้ำขึ้นน้ำลงก็ไม่เปลี่ยน ถ้าคิด 1 และ 2 แต่ละเลย 3 จะได้ข้อสรุปว่า น้ำขึ้นน้ำลงจะมากขึ้นเพราะระดับน้ำทะเลเฉลี่ยที่เส้นศูนย์สูตร อยู่ใกล้และไกลดวงจันทร์มากกว่าเดิม ถ้าคิดแค่ 1 และ 3 ไม่คิด 2 ก็กลายเป็นว่า ระดับน้ำขึ้นน้ำลงจะน้อยลง เพราะแรงเสียดทานจากการไหลเป็นตัวดึงน้ำออกจากจุดสูงสุด แต่โจทย์นี้จะตอบได้ต้องคิดทั้ง 1 2 และ 3 ซึ่งด้วยสิ่งที่ผมรู้ตอนนี้ไม่สามารถให้ข้อสรุปอะไรได้ตรงนี้ว่ามันจะเพิ่มหรือจะลด เพราะไม่รู้ว่าปัจจัยเรื่องแรงเสียดทานจากสภาพภูมิประเทศของโลกว่ามีขนาดเท่าใดเมื่อ เทียบกับแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ของโลกครับ ต้องไปศึกษาเรื่องกระแสน้ำและระดับน้ำของโลกอย่างจริงจังเพื่อได้ค่าแรงเสียดทานของผิวโลกก่อนจึงจะตอบโจทย์นี้ได้ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 11:16:47

ความคิดเห็นที่ 27 จริงครับ เรื่องแรงเสียดทานนี่ ปัจจัยมันเยอะมาก ถ้าเป็นบนดาวพฤหัส คงตัดประเด็น 3 ได้เกือบหมด พี่เป็นอาจารย์แหงเลย อธิบายละเอียด และตัดแต่งประเด็นของเรื่องให้เข้าใจง่ายดีจริงๆ ขอบคุณครับ จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 11:43:39

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่ใช่อาจารย์ขอรับ และความจริงตรงนี้ก็ยังไม่ใช่ว่าข้อสรุปผมจะถูกด้วย ที่ผมถนัดจริงๆคือด้านกลศาสตร์ความร้อนแค่นั้นละครับ ส่วนอื่นที่เห็นผมตอบนี่ผมก็มาเรียนรู้ไปกับทุกคนเหมือนกัน ถ้าจะเรียกเป็นอาจารย์ คนที่ถามและคนที่ตอบอย่างมีสาระทุกคนก็เป็นทั้งอาจารย์และศิษย์เสมอเหมือนกันครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 13:01:11

ความคิดเห็นที่ 29   ูู^ ^ เห็นด้วยครับ ถ้าจะวิเคราะห์กันต่อคงจะต้องมีการเอาตำเลขจริงๆ มาใช้อ้างอิงแล้วละมั้ง ยังไงในโจทย์นี้ ผมแตกประเด็นมาจากอีกโจทย์ ของคุณ mint_la ว่าถ้ามีน้ำบนดวงจันทร์ จะเป็นยังไง จากที่ผมเข้าใจใน คห.26 ถ้าหากดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าโลก และถ้ามีน้ำบนดวงจันทร์ ก็จะตัดข้อ 2 ออก และเมื่อมองว่า ทิ้งให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวตลอดนานๆ ก็จะทำให้ สามารถตัดข้อ 3 ไปได้ ทำให้เหลือเพียงข้อ 1 ซึ่ง ในคห.22 คุณ darthprince มองว่ามันก็ไม่น่าจะมีผล เพราะน้ำก็ยังอยู่ทั้งสองฝั่งเท่ากันอยู่ดี ซ฿่งจะกลายเป็นว่าจะมีน้ำกระจุกอยู่ที่สองฝั่งของดวงจันทร์? จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 13:14:04 A:124.121.210.4 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 30 งั้นขอถามคุณฟหกดหน่อยค่ะ ถ้าจู่ๆเราเอาแรงเสียดทานของโลกออกไปเลย น้ำจะขึ้นลงอย่างไรคะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 14:10:44

ความคิดเห็นที่ 31 มันเป็นด้านที่หันเข้าหาโลกนะครับ ไม่ใช่ปูดอยู่ด้านเดียว อย่างช่วงขึ้น 7 ค่ำอย่างนี้ น้ำจะมีจุดยอดที่ด้านสว่างครึ่งหนึ่ง ด้านมืดครึ่งหนึ่งนะครับ เอ แต่ถ้าดวงจันทร์มีน้ำ ผมว่ากระแสลมและน้ำคงปั่นป่วนพิลึก เพราะด้านสว่างเจอความร้อนตลอด น้ำต้องระเหยเป็นไอตลอดและเคลื่อนไปกลั่นตัวที่ด้านมืด ต่อให้มี GHG รักษาเสถียรภาพความร้อน กระแสลมหลักน่าจะพัดไปทางด้านมืด ส่วนด้านมืดก็น้ำก็น่าจะมีสภาพเหมือนขั้วโลกคือเป็นน้ำแข็งเกือบตลอดเวลา กระแสน้ำจากแรงโน้มถ่วงดวงจันทร์จะพาเข้าไปเป็นน้ำแข็งที่ด้านมืด และจุดสมดุลที่น้ำแข็งอาจมีการละลายและไหล น่าจะอยู่ตรงส่วนขอบคาบเกี่ยวระหว่างด้านมืดและด้านสว่างเท่านั้น ตัวด้านสว่างน่าจะเป็นแผ่นดินแห้งที่น้ำอยู่ไม่ได้ และไม่เกิดอาการปูดของน้ำใดๆเหมือนกรณีของโลก แต่เรื่องนี้น่าจะเลยขอบเขตของการถกในกระทู้นี้แล้วกระมัง เอาโจทย์เก่า ให้เสร็จก่อนน่าจะดีกว่านะขอรับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 16:17:06

ความคิดเห็นที่ 32 ที่ถามนี่ก็เพราะจะได้ เข้าใจ โจทย์เก่าได้มากขึ้นน่ะค่ะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 16:52:05

ความคิดเห็นที่ 33 ปัญหาของเหล่าวิศวกร รวมถึงผมด้วยคือพวกผมมักจะใช้วิธีการประมวลผล (integrate) และตรวจสอบสมมุติฐานของตัวเองจากการ รวมผลนั้นๆ ซึ่งการอธิบายเชิงลึกในเรื่องหนึ่งจะมักมีความเห็นด้านกว้างอยู่ค่อนข้างมาก ฟหกด ผมเห็นว่าเขาพยายามลองเอาส่วนของที่ Mint_la อธิบายมาลองใช้ร่วมกับทฤษฎีที่เขารู้ไว้อยู่ ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นกลศาสตร์ของไหล และแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางเข้ามาเป็นตัว check ตรวจ ก็ขอให้ทำใจกับคนประเภทวิศวกรอย่างพวกผม ที่มักจะถามออกนอกลู่นอกรอย เพราะหลักวิธีการประมวลผล จะเป็นวิธีการหลักในการทำความเข้าใจ ของผู้ที่อยู่ และผู้ที่ศึกษาในวิชาชีพวิศวกร จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 18:36:50

ความคิดเห็นที่ 34 เข้าใจค่ะ คุณ  Darth Prin จะลองตอบคำถาม #30 ด้วยก็ดีค่ะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 18:52:25

ความคิดเห็นที่ 35 ถ้าไม่มีแรงเสียดทาน การไหลของน้ำจะไม่เป็นไปตามโลกครับ ขาดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง ระดับน้ำฐานจะกระจายตามทรงโลก Amplitude รวม ณ เส้นศูนย์สูตรจะลดลง เพราะไปชดเชยที่ระดับตรงขั้วโลก ระดับน้ำขึ้นน้ำลงจากสมดุลการกระทำของดวงจันทร์จะน้อยลงเพราะระยะฐานน้อยลงครับ แต่สมบัติของคาบเวลา และลักษณะยอดการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงที่มากสุด ณ คืนเดือนมืดและจันทร์เต็มดวง กับน้อยสุด ณ ขึ้น 7 ค่ำ และแรม 7 ค่ำจะยังคงเดิม จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 19:38:14

ความคิดเห็นที่ 36 ทำไม ขาดแรงเหวียงหนีศก.หละคะ ไม่เห็นเกี่ยวกันเลยนี่นาคะ น้ำก็ยังไหลไปในทางเดิมของมันตามแรงเฉื่อย แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 20:05:21 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 20:03:18 จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 19:57:12

ความคิดเห็นที่ 37 เพราะแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางมันกระทำผ่านแรงเสียดทานน่ะครับ ถ้าตัดแรงเสียดทานออกไป แค่บางส่วน ความสมจริงจะหายไปเยอะมาก ลองคิดถึงโจทย์ล้อที่กลิ้งบนดาวที่ไร้แรงเสียดทานที่คุณมิ้นกะคุณสมภพเคยตั้งไว้น่ะครับ มันจะคล้ายๆกันว่า การหมุนเชิงมุมของล้อจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับการเคลื่อนที่ไปตามผิวดาว แต่ถ้าจะสมมุติน้ำไหลด้วยความเร็วเท่าโลกแล้วค่อยตัดแรงเสียดทานฉัวะๆ ไป อันนี้ก็น่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งกลายเป็นตอบว่า amplitude น้ำขึ้นน้ำลงจะสูงขึ้น เพราะจะไม่มีปัจจัยการสูญเสียแรงอื่นใดมาหยุดกระแสน้ำตามแนวการไหลครับ การตัดแรงเสียดทาน จะเริ่มจากการตัดผลของโมเมนตัมของสสารออกไปเป็นบางส่วนครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 20:12:59

ความคิดเห็นที่ 38 จาก #30  คำถามคือ จู่ๆก็ตัดเอาแรงเสียดทานออกไปเลย ก็แปลว่า ในปัจจุบันน้ำก็ไหล ไปพร้อมกับโลกอยู่แล้ว จะไม่มีปัจจัยการสูญเสียแรงอื่นใดมาหยุดกระแสน้ำตามแนวการไหล น้ำยังคงไหลไปเรื่อยๆ และ น้ำก็จะมีแรงหนีศก.ด้วย นะคะ และก็จะมีแรงเหวี่ยงหนีศก.เหมือนเดิมด้วย ถ้าเทียบโจทย์ของคุณสมภพจะไม่เหมือนซะทีเดียว แต่โจทย์จะกลายเป็น ดันวัตถุให้วิ่งไปตามทรงกลมที่ไม่มีแรงเสียดทาน และก็อีกแหละที่ มันไม่เกี่วกันเลย เพราะ ลองนึกถึงบอลลูนที่ลอยขึ้นไปบนฟ้า ถ้าลอยบอลลูนไป 12 ชม. พอลงมาเราก็ยังอยู่ที่ประเทศไทยไม่ไปที่อเมริกา นั่นก็เพราะว่า เรามีความเร็วเท่ากับโลก และยังเคลื่อนที่ไปด้วยแรงเฉื่อย ถึงแม้แรงเสียดทานของพื้นผิวจะหายไปแล้วก็ตาม แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 20:26:39 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 20:24:12 จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 20:22:10

ความคิดเห็นที่ 39 เพิ่มตาม #38 นั่นก็เป็น case ที่สองที่ระดับสูงสุดและต่ำสุดจะเพิ่มขึ้นเพราะไม่มีการ Delay ของแรงจากสมบัติการไหล และเพราะมีจุดเริ่มต้นของค่าเฉลี่ยพื้นน้ำ ณ เส้นศูนย์สูตรสูงกว่าครับ ผมถือว่าถ้าไม่บอกให้ชัดเจนไว้ก่อนผมจะตัดแรงออกนับจากจุดเริ่มต้นของปรากฎการณ์นะครับ เหมือนกับเรื่องผลักลูกล้อกลิ้งผมก็จะนับจุดเริ่มต้นที่ลูกล้อหยุดกลิ้งก่อน ขืนไปนับปรากฏการณ์หลังจากลูกล้อเริ่มกลิ้งแล้วไปอธิบายปรากฎการณ์ตั้งแต่เริ่มผลักมันก็เข้ารกเข้าพงน่ะสิ เพราะไม่มีแรงที่จะหยุดลูกล้อในตอนต้นเพื่อเบี่ยงการเคลื่อนไหวให้เป็นการเคลื่อนเชิงมุม กรณีนี้ ให้คิดไปเองว่าเป็นตอนที่หมุนอยู่แล้ว ก็กลายเป็นผมต้องถามตัวเองว่าแล้วน้ำเริ่มมีแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางได้อย่างไร :( จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 20:50:59

ความคิดเห็นที่ 40 คำว่าจู่ๆ แสดงว่า เป็นตอนเริ่มไปแล้ว ไม่ใช่ตั้งแต่โลกยังไม่หมุน แสดงว่าเข้าใจผิดไปเต็มๆ แล้วคิดว่าไม่เข้ารกเข้าพงนะคะ เพราะยังสามารถหาคำตอบได้อยู่นี่นาคะ และเพราะ ทั้งหมดนี่เราสมมุติกันขึ้นมาถามทั้งนั้น หรือ จะต้องถามตัวเองอีกว่า ทำไมแรงเสียดทานหายไป แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 21:15:53 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 21:04:37 แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 21:03:53 จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 21:00:22

ความคิดเห็นที่ 41 ใช่ โดยวิธีการคิดแบบผมจะเป็นอย่างนั้น ถ้าสิ่งใดที่เอาออกไปและไม่สามารถสืบหาต้นตอปรากฎการณ์ได้ผมจะมีปัญหามาก ตรงนี้ก็คงเป็นเฉพาะคนส่วนน้อย ตัวผมเองจะต้องอ่านหนังสือเลยที่อาจารย์สอน เพราะเวลาอาจารย์สอนแล้วสมมุติอะไรไม่สมเหตุสมผลกลายเป็น ความเข้าใจผมจะติดขัดไปหมด เวลาผมตั้งโจทย์อะไรสอนคนอื่นผมก็จะต้องระวังเรื่องความสมเหตุสมผล หรือถ้าจำเป็นก็จะต้องเขียนให้ชัดเจนเสมอ โจทย์ตรงนี้ ที่ คห 39 นี่ผมก็ให้ความเร็วเริ่มต้นเป็นตามหัวกระทู้คือโลกหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้น เป็น 18 ชั่วโมง จุดเริ่มต้นให้ตัดแรงเสียดทาน ผมก็เลยเริ่มที่ใส่ความเร็วของโลกทดเข้าไปก่อนตัดแรงเสียดทานนะ ถ้าเริ่มความเร็วที่จุดคาบเดิม ตัดแรงเสียดทานก่อนค่อยหมุนโลกเร็วขึ้น ปรากฏการณ์ ก็จะเป็นไปเหมือนก่อนโลกหมุนเร็วขึ้น อันนี้ใช่ไหมที่คิดจะถามน่ะ Mint_la สังเกตไหมว่าพวกในห้องนี้หลายๆคนก็จะมีลักษณะการคิดคล้ายกับผมเวลาจะบีบให้เป็นการสมมุติ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 21:35:41

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่ค่ะ แล้วแต่นะคะ เด็กๆมักมีจินตนาการแบบนี้หละคะ ลองสมมุติโจทย์ ถ้าเป็นแบบนั้น แบบนี้ แล้วจะเป็นยังไง บางคนโตแล้วไม่เข้าใจ ว่า สิ่งที่จินตนาการแบบนี้ สามารถเป็น ความจริงได้ กลับมาว่าเด็ก สมมุติอะไรไม่สมเหตุสมผล ในห้องนี้ก็มีหลายคน ที่ชอบถามแบบนี้ มัน ไม่สมเหตุ สมผล ใช่ แต่มันก็ฝึกให้เราเข้าใจ ในกฏทางฟิสิกส์ ที่มากขึ้น เข้าใจโลกได้มากขึ้น และสุดท้าย หวังว่าคุณฟหกด จะเข้ามาตอบบ้าง ^^ ยินดที่ได้ร่วมคุยกันค่ะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 22:47:28

ความคิดเห็นที่ 43 ลักษณะการคิดของมนุษย์มีพัฒนาการหลายแบบน่ะ เท่าที่ดู mint_la เป็นแบบเรียนเจาะลึกก่อนแล้วขยาย สำหรับพวกที่ต้องออกทะเลก่อนแล้วค่อยลงลึก อันนี้ครูสอนจะเหมือนทำงานหนักมากในตอนแรก พวกออกทะเลก่อนลงลึกนี่มักจะพบในกลุ่มที่เรียนวิศวกรรมมากกว่าสาขาอื่น ห้องนี้วิศวะเยอะก็จะมีเรื่องบอกไม่สมเหตุสมผลเยอะ ดังนั้นหว้ากอเลยอยู่ใกล้ทะเล (เกี่ยวไหมเนี่ย) ไปนอนละขอรับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 23:22:58

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณที่ชี้แนะค่ะได้ความรู้เพียบเลย กิฟหมดแล้ว จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 00:11:56

ความคิดเห็นที่ 45   มาแว้ววว ... พอดีวุ่นๆทั้งวัน ในประเด็นกอ่น ผมก็เริ่มคิดคล้อยตามคห.22 ของคุณ darth prince ว่าน้ำที่อยู่ทั้งสองฝั่งของโลกควรจะเท่ากัน แต่ถ้าจะประมาณตรงนี้คงต้องไปดูสมการ และเอาค่ามาเปรียบเทียบ (ยังเชื่อว่าประมาณของมวลน้ำและมวลของโลก ยังสามารถทำให้ได้หลายคำตอบ... และออกทะเล) เพราะในกรณีที่น้ำน้อยมากๆ เช่นในโลก เราอาจจะตัดคิดผลของระยะของการเปลี่นรูปทรงไป ... แต่ในจินตนาการตอนแรกของผมเอง คือมีน้ำบนดวงจันทร์ปริมาณมาก (ซึ่ง มันก็แปลกๆ) บางทีถ้าเราได้ model แล้วลองใส่ค่า เข้าไปใน model หลายๆ test case ก็อาจจะได้คำตอบหลายคำตอบ ครบตามที่ทุกคนคิด ส่วนเรื่องการ proof ดดยเอาลักษณะ what-if ขึ้นมา บางทีมันก็สนุกกว่าการ proof โดยทฤษฏี ... ผมเองก็ยังคิดว่า คุณ mint_la อาจจะเป็นเด็กวิศวะเหมือนกันน่ะเนี่ย ... เพราะลักษณะคำถามที่ผ่านๆ ก็คล้ายกัน ถามว่าทำไม คงเป็นเพราะลักษณะงานละมั้ง ที่ต้องการ การคาดเดาปัญหาที่ "~อาจจะเกิดขึ้น" โดยล่วงหน้า ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นการ คว้าเอาปัญหามาเป็นการศึกษา มชอบบรรยากาศของกระทู้นี้ครับ เพราะได้มองกันสนุกดี ที่ผมโยนปัญหาแปลก ขึ้นมา เพราะในบางจุดเราอาจจะเจอสิ่งที่เป็นข้อจำกัดของคำอธิบายที่ยังมีอยู่ ... มันทำให้เข้าในตำราได้มากขึ้นว่าขอบเขตของการอธิบายโดยหลักนั้นๆ อยู่ตรงใหนครับ ... ทิ้งท้าย ในคห.39 ผมก็สงสัยว่าน้ำจะเกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางยังไง หรืออีกนัยหนึ่ง การที่น้ำมีแรงเหวี่ยงหนีศูนย์การจากการเคลื่อนที่ของดวงดาว จะต้องอาศัย แรงอะไรมาก่อนหรือไม่? และถ้ามีมีแรงอะไรบ้าง? เพราะน้ำเป็นของเหลว... จากคุณ : ฟหดก เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 00:37:54 A:124.121.210.4 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 46 โอย อยากจะสารภาพว่า เรื่องของเหลวของไหล นี่ไม่ได้เรียนมาเลยค่ะ อีกสองปี  ถึงจะได้กลายเป็นเด็กวิศวะ จริงๆกะเค้าซักที(ถ้าโทเฟลผ่านนะ ) ^^ ตอนนี้ ต้องศึกษาหาความรู้ไปก่อน ค่ะ เด๋วไปเรียนจริง จะได้ตามเพื่อนทัน แล้วก็คงจะได้เก่งเหมือนพี่ๆ สำหรับคำถาม ลองตอบดูนะคะ ก็คงเป็นแรงเสียดทานนั่นแหละค่ะที่คุณ Darth Prin พูดถึง รวมถึงอากาศด้วยนะคะ ที่มีความเร็วไปกับโลก ดังเรื่องบอลลูนที่ยกตัวอย่างไปแล้ว ถ้าโผล่มาไม่มีแรงเสียดทาน น้ำก็จะไม่หมุนตามโลก ทีนี้ปัญหาของมิ้นๆ คุณ Darth Prin ช่วยเฉลยไปแล้ว เลยจะชวนคิดว่า ตอนนี้ เรามองได้สองแบบ คือแบบแรก ดวงจัทนร์(เสมือน)อยู่นิ่ง และโลกหมุนรอบตัเองทำให้เกิดอะไรหลายๆอย่าง ถ้าเรามองกลับกันว่า โลกอยู่นิ่ง (แน่นอนว่าน้ำก็อยู่นิ่งด้วยเพราะน้ำความเร็วเท่าโลกหมุน) และมองให้ดวงจันทร์เป็นตัวโคจรแทน จะทำใหเรา คิดออกได้ง่ายกว่าหรือเปล่าคะ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 01:04:54

ความคิดเห็นที่ 47 ขออนุญาตมักง่าย เอาภาพมาให้ดูเลยละกัน คิดว่า ถ้าโลกมีแต่น้ำปกคลุม น้ำคงจะกองสองฝั่งอยู่ดี ถึงจะไม่หมุนรอบตัวเอง(เทียบดวงจันทร์) จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 52 07:29:25