ความคิดเห็นที่ 1 ก็เป็น side-effect ครับ มีโอกาสเกิดได้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะเกิดกับทุกคนทุกครั้งที่กิน ป.ล. ตอบคำถามที่หัวกระทู้, คุณกินยาแก้แพ้เข้าไปแล้วแน่นอนครับ :P แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 52 19:02:52 จากคุณ : za-Nuker เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 19:01:58

ความคิดเห็นที่ 2 กินยาแก้แพ้ครับ เหรียญมีสองด้าน จากคุณ : oakemon เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 19:05:22

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นผลข้างเคียงของและอาการไม่พึงไม่ประสงค์จากการใช้ยา ต้องเขียนให้ครอบคลุมทั้งหมดเพื่อให้ผู้ป่วยทราบก่อนใช้ยา เพื่อให้ระวังและใช้ยาอย่างถูกวิธี (เช่น ยาแก้แพ้ทำให้ง่วงนอน ไม่ควรขับยานพาหนะหรือใช้เครื่องจักร) หากไม่เขียนเอาไว้ก็ผิดกฎหมาย ไม่ได้เขียนให้เกิดความกลัวจนไม่กล้าใช้ และเท่าที่คุณอ่าน ก็มีข้อควรระวังเกี่ยวกับคุณแค่ไม่กี่ข้อ ทำไมถึงเกิดความกังวลจนกระทั่งไม่อยากรับประทานยาล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 52 19:15:00 จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 19:10:19

ความคิดเห็นที่ 4 กลุ่มยาแก้แพ้ที่ทำให้ง่วง อย. ใบังคับให้มีฉลากแบบนี้เหมือนกันหลายตัวมากครับ ฟังดูอาจน่ากลัว แต่ไม่ต้องกลัวหรอก อย่าง ซีพีเอ็ม ก็เป็นยาสามัญประจำบ้านด้วยซ้ำไป ผลข้างเคียงที่เห็นชัดอาจง่วง หมอที่ รพ ผมก็จ่ายบ่อย ยา แก้แพ้เนี๊ย เอาฤทธิ์ง่วงของมันน่ะ แต่ก็อ่านฉลากก่อนกินยาจะดีกว่านะครับ โรคบางโรคก็อาจกำเริบหรือเป็นรุนแรงขึ้นได้ถ้ากินยาเหล่านี้เช่น กำลังหอบอยู่แล้วไปกินยานี้ ก็อาจทำให้หอบแรงขึ้นหนักขึ้น น่ะครับ จากคุณ : wanlop_Rx เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 19:14:23

ความคิดเห็นที่ 5 หากท่านเป็นอะไรในขอบเขตดังกล่าวนี้ก็แสดงว่าเป็นผลข้างเคียงที่มีการศึกษามาแล้วครับ อย่าง 1,000 คน อาจเกิดอาการต่างๆ 8 คน ซึ่งหากคุณมีอาการใน list นั้นจะได้รู้ว่าอาจเกิดจากการแพ้ยาไงครับ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 19:15:40

ความคิดเห็นที่ 6 อ่านจากคำตอบแล้ว สบายใจขึ้นเยอะเลยครับ แล้วถ้าเป็นตาสีตาสา ที่ไปซื้อยาแก้แพ้มากิน แล้วอ่านฉลากขึ้นมา ไม่กล้ากิน ปายาทิ้ง (ร้านขายยาหรือเภสัชกรอยู่ไกล ไม่ได้ถามมาก่อน) ทำไงล่ะครับ ? จากคุณ : Kunzite เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 20:19:44

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ เพราะฉะนั้นถึงพยายามผลักดันให้มีเภสัชกรประจำร้านยา"ทุกๆร้าน" และถ้าเป็นไปได้ต่อไปจะได้ปรับเป็นระบบใบสั่งยา (ซื้อยาอันตรายต้องมี prescriptiion) แต่คงเป็นได้แค่ความฝัน?? ไม่ค่อยเกี่ยวกับประเด็น จขกท. แต่มาเพิ่มเรื่องการแพ้ยาให้ เพราะมีคนจุดธูปเรียกหลังมือ แพ้ยา VS ผลข้างเคียง ปัจจุบันมีคนสับสนระหว่างคำว่า “แพ้ยา” กับ “ผลข้างเคียง” อยู่ไม่น้อย มีคนจำนวนมากที่ชอบทึกทักไว้ก่อนเลยว่าตัวเองแพ้ยา ทั้งๆที่อาการที่เกิดขึ้น อาจไม่เกี่ยวข้องกับการแพ้ยาเลยแม้แต่น้อย การทำเช่นนี้ นับว่าก่อให้เกิดผลเสียเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ ทำให้ตัวผู้ป่วยเองเสียโอกาสในการใช้ยา เมื่อผู้ป่วยแจ้งว่าแพ้ยา แพทย์และเภสัชกรอาจจะต้องเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่มเดียวกันทั้งกลุ่ม เพราะยาที่มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายกัน สามารถเกิดอาการแพ้ข้ามกันได้ จากที่สามารถใช้ยาราคาถูก ประสิทธิภาพดี ผู้ป่วยอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อเลี่ยงไปใช้ยาราคาแพง หรือเลี่ยงไปใช้ยากลุ่มอื่น ที่มีประสิทธิภาพด้อยกว่า แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 52 20:53:39 แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 52 20:36:36 แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 52 20:30:26 จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 20:29:04

ความคิดเห็นที่ 8 ผลข้างเคียง (Side effect) เกิดจากการที่ยาไปมีผลต่ออวัยวะส่วนอื่นนอกเหนือจากอวัยวะเป้าหมาย อาการที่ปรากฏมักจะมีความสัมพันธ์กับขนาดยาที่ได้รับ กล่าวคือ ถ้าได้รับยาปริมาณสูงขึ้น อาการข้างเคียงก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อาการข้างเคียงสามารถพบได้ในการให้ยาขนาดปกติค่ะและไม่จำเป็นต้องเกิดกับทุกคนที่กินยา อาจจะเกิดกับบางคนเท่านั้น ยกตัวอย่าง ยาแก้คัดจมูก ต้องการให้ออกฤทธิ์เพื่อลดการคัดหลั่งของเหลวบริเวณเยื่อบุโพรงจมูก แต่ยากลับไปออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้ง่วงนอน เพราะฉะนั้นจึงถือว่าอาการ ง่วงนอน เป็นผลข้างเคียงของยา นอกเหนือจากอาการแสดงภายนอกแล้ว การที่ผลตรวจเลือดมีการเปลี่ยนแปลงจากยาก็จัดว่าเป็นอาการข้างเคียงประเภทหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากต้องการตรวจหรือบริจาคเลือดต้องแจ้งข้อมูลการใช้ยาทุกอย่างให้แพทย์ทราบเสมอ แต่ผลข้างเคียง ใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป ในทางการแพทย์มีการนำผลข้างเคียงของยามาใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วย เช่น แอสไพริน จากที่เคยใช้เป็นยาแก้ปวด ก็นำมาใช้ในการป้องกันการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด การใช้ยาแก้อาเจียน เพื่อเพิ่มการหลั่งน้ำนมในสตรีที่ไม่มีน้ำนมให้กับบุตร จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 20:30:50

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่เอายาแรง กินแล้วผลข้างเคียงเยอะ คำว่า “ยาแรง” เป็นคำที่ถูกบัญญัติขึ้นมาแบบผิดๆ การจ่ายยาเป็นศาสตร์และศิลป์ สามารถปรับเปลี่ยนได้ขึ้นกับอาการและสภาวะร่างกายของผู้ป่วย การเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา ไม่ได้เป็นเพราะว่า “ยาแรง” ในการวิจัยยา จะมีการพัฒนายาใหม่เรื่อยๆ หากสามารถค้นคว้าพัฒนายาตัวใหม่ที่ประสิทธิภาพดีกว่ายาตัวเดิม มีผลข้างเคียงน้อยกว่า และคุ้มค่ากว่า ยาตัวเก่าก็จะเสื่อมความนิยมและเลิกใช้ไปในที่สุด เพราะฉะนั้นยาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือยาที่ได้รับการยอมรับแล้ว ว่าเป็นยาที่ดีที่สุดที่สามารถหาได้ในระยะเวลานี้ ไม่มียาตัวไหน ที่ไม่มีผลข้างเคียง แต่ผลข้างเคียงที่เกิดในแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องเกิดเหมือนกันเสมอไป อาการแพ้ยา (Drug Allergy or Hypersensitivity) เป็นอาการทางภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม (ในที่นี้คือยา) ทั้งนี้อาการแพ้ยาต่างจากผลข้างเคียงตรงที่อาการแพ้ยา ไม่มีความสัมพันธ์กับขนาดยาที่ได้รับ อีกทั้งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ กล่าวคือ แม้จะได้รับยาปริมาณต่ำ ก็สามารถแพ้ยาได้ และอาการแพ้ยามักเกิดขึ้นในคนกลุ่มน้อย เนื่องจากร่างกายบางคนมีการตอบสนองต่อยาแปลกกว่าคนทั่วไป จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 20:31:10

ความคิดเห็นที่ 10 อาการแพ้ยาที่เกิดขึ้น มีตั้งแต่อาการทางผิวหนัง เล็กๆน้อยๆ เช่น ผื่นคัน ลมพิษ หรือจนถึงระดับแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) โดยผู้ป่วยจะมีอาการ คันทั้งตัว บวม แสบร้อนผิว หลอดลมตีบตัน ทำให้หายใจไม่ออก ความดันโลหิตลดต่ำลง และถึงแก่ชีวิตได้ แต่อ่านแล้วไม่ต้องตกใจค่ะ เพราะการแพ้ยาแบบ Anaphylaxis มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก กรณีศึกษาที่เคยเป็นข่าวครึกโครมเรื่อง “แพ้ยา ตาบอด” ทำให้คนเข้าใจผิดกันมากว่า “แพ้ยา เป็นความผิดของแพทย์ที่ทำการรักษา” แท้จริงแล้วเรื่องการแพ้ยา เป็นเรื่องที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะต้องทำการรักษาเฉพาะหน้าให้รวดเร็วที่สุด ยาแรง ทำให้แพ้ยา ประโยคนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เราไม่สามารถทราบได้เลยว่าจะแพ้ยาหรือไม่ จนกว่าร่างกายจะได้รับยาเข้าไป เพราะฉะนั้น “ไม่สามารถป้องกันการแพ้ยาได้ แต่สามารถป้องกันการแพ้ยาซ้ำได้” ก่อนที่จะนำยามาใช้กับผู้ป่วยจริงนั้น จะมีการศึกษา ค้นคว้าวิจัย ถึงความปลอดภัยของยา ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการอาหารและยาอย่างละเอียด แม้ว่าจะมีการเพิกถอนยาบางตัวหลังจากอนุมัติให้ขาย แต่ก็จัดว่าเป็นส่วนน้อยมาก จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 20:31:32

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อควรปฏิบัติเมื่อสงสัยว่าอาจจะแพ้ยา • หยุดยาทันที ถ้าใช้ยาอยู่หลายชนิด ให้หยุดยาทุกชนิด  แจ้งบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งนี้แพทย์ หรือเภสัชกรจะเป็นผู้วินิจฉัยเองว่าอาการที่เกิดขึ้น จัดเป็นอาการแพ้ยาหรือไม่ เพราะบางครั้งอาการที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้มีเกี่ยวข้องกับอาการแพ้ยาเลย • ในบางกรณี หากอาการแพ้ยาไม่รุนแรง แต่ผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องใช้ยา แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาต่อไป เช่น คนที่ติดเชื้อในกระแสเลือดแต่แพ้ยาปฏิชีวะนะ เกิดอาการปากบวม อย่างไรเสียก็ต้องใช้ยาอยู่ดี (ระหว่างปากเจ่อชั่วคราวและมีโอกาสเสียชีวิต ใครก็คงต้องเลือกอย่างแรกค่ะ) ข้อสำคัญสำหรับคนแพ้ยา ควรจดชื่อยาติดตัวเสมอ หรือไม่ก็แจ้งทางสถานพยาบาลออกบัตรแพ้ยาให้ คัดลอกจากหนังสือ XXX สนพ. By yourself Inspiration สงวนลิขสิทธิ์ ขออนุญาตไม่ลงชื่อหนังสือ เพราะเกรงเข้าข่ายโฆษณา แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 52 20:55:13 จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 20:35:16

ความคิดเห็นที่ 12 ตอบประเด็น จขกท. สำหรับบุคคลประเภทที่อ่านฉลากยาแล้วไม่กล้ากินยา คงทำอะไรได้ไม่มาก เพราะการจะเปลี่ยนทัศนคติคน ต้องใช้เวลาพอสมควร หากพบตาสีตาสาโยนยาทิ้งดัง จขกท. กล่าวอ้างถึง อยากให้คนรอบข้างพึงกระทำดังนี้ 1. อธิบายด้วยจิตสำนึกในการให้บริการ และทำให้ดีที่สุด เท่าที่ "มนุษย์คนหนึ่ง" พึงจะกระทำให้ได้ 2. หากผู้ป่วยดื้อแพ่ง จบบทสนทนาแต่เพียงเท่านั้น เพราะถือว่าทำดีที่สุดแล้ว อันบัวนั้นมีสี่เหล่า หากเป็นบัวปริ่มน้ำ อธิบายนานหน่อยแต่ยังได้ผล แต่ถ้าเป็นบัวใต้น้ำ ย่อมต้องทำใจ ***บุคคลประเภทที่จขกท.กล่าวอ้างถึงนั้น คิดว่าไม่น่ามีเกิน 1% ของประชากร*** การให้ข้อมูลจึงนับว่ามีผลเสียมากกว่าผลดี (โดยเฉพาะต่อประชากร 99% ที่เหลือ) (ข้อมูลทางสถิติอ้างอิงจากประสบการณ์ จขคห. จึงไม่อาจเชื่อถือได้สักเท่าไหร่นัก) หากมีผุ้ใดสนใจทำแบบสำรวจความเห็นประชากร จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 20:52:36

ความคิดเห็นที่ 13 ผมคงเจอ 1%ของคุณลูกเป็ดขี้เกียจบ่อย เลยคิดว่าน่าจะเยอะ โดยเฉพาะคนตั้งครรภ์ ขนาดบอกว่าทานได้ เอาไปยังไม่ทานเลย สงสัยอยากได้ใบลาไปนอนพักผ่อน ให้หายเอง จากคุณ : Megrim เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 21:44:26

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ถ้าตั้งครรภ์นี่เยอะจริงๆค่ะ เพราะคนตั้งครรภ์วิตกจริตกว่าคนปกติ เคยเจอผู้ป่วยได้ยาจากแพทย์ เอามาไล่ถามเภสัช+แพทย์ ซ้ำอีก 2-3 คน - -" (amoxycilin) สรุป ไม่กิน (ที่จริงคุณเธอเป็นเพื่อนเราเองแหละ ไม่ใช่ผู้ป่วยที่ไหนไกลตัวหรอก 555) (1% พิมพ์ประชดชีวิตไปงั้นๆละค่ะ อย่าเชื่อค่ะ) จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 22:10:37

ความคิดเห็นที่ 15 คุณลูกเป็ดเอา give ไปเลยค่ะ สำหรับข้อมูล อยากอ่านบันทึกเป็ดก๊าบต่อนะคะ ชอบมากเลย ส่วนตาสีตาสา ถ้ากลัวบ้างก็คงดี เพราะตอนนี้ก็ปากเปียกปากแฉะ ไม่อยากให้พ่อทานยาพร่ำเพรื่อ แต่จะห้ามยังไงไหว เพราะตอนเราไม่อยู่ด้วยก็ไปซื้อยาทีเป็นกระปุก แล้วก็แปลกตรงที่ เขาขายกันง่ายด้วยวุ้ย ไปบ้านที่ ตจว ทีไร ปวดหัวนิดหน่อย พ่อประทานยาแก้ไมเกรนให้ซะงั้น บอกกินแล้วหายดีนะ ซื้อมาเม็ดไม่กี่บาทเอง พ่อกับแม่กินประจำ แถมซัดแก้แพ้ต่ออีก ถ้าหากเภสัชมีระบบที่ต้องใช้ใบสั่งยาเหมือนเมืองนอก หรือ จำกัดการใช้ยาได้บ้าง ก็คงจะดี แล้วร้านขายยาในหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงเนี่ย เภสัชจริงเป่าหว่า คิดแล้วก็กังวล แต่ตัวเลือกก็ไม่ค่อยมี เพราะทั้งหมู่บ้านก็มีแค่ร้านเดียวเอง แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 52 22:23:32 จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 22:21:54

ความคิดเห็นที่ 16 ผมกินยาแก้แพ้ เพราะอยากทำให้ง่วง เป็นไรมั้ยครับ อิอิ หลับดีเชียวนะ จากคุณ : Culture เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 22:44:35

ความคิดเห็นที่ 17 ยาแก้แพ้+เหล้า=มีฤทธิ์เหมือนยานอนหลับหรือเปล่าครับ จากคุณ : HanumaN-ZA เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 01:51:21

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ ^ แค่เหล้าก็หลับแล้วครับ ยาพวก SSRI ที่ผมกินเนี่ย ผลข้างเคียงยาวเป็นหน้ากระดาษได้มั้ง จากคุณ : atheist เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 02:09:34

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณมากครับ เข้าใจแล้วๆ คือมันเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ในผู้ป่วยทุกราย ถ้าเกิดขึ้นก็ไม่ต้องตกใจ ผมเข้าใจถูกแล้วใช่มั้ยครับ ? แต่ถ้าเป็นการแพ้ยา อาการจะรุนแรงกว่านี้? เพราะคุณยายผมเคยแพ้ยาแก้อักเสบตัวนึงจนถึงขั้นต้องนอนรพ. (อันนี้ยืนยันว่าแพ้ยาจริงๆ ไม่ใช่ side effect แน่นอนเพราะหมอบอกเอง) ปล.มีอยู่วันนึง ผมคิดว่า คุณ ลูกเป็ดขี้เกียจ เป็นผู้ชายด้วยแหละ จากคุณ : Kunzite เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 06:55:40

ความคิดเห็นที่ 20 จขกท ครับ มีลูกเป็ดขี้เกียจ และก็มี ลูกเป็ดขี้เหร่ ด้วยนะครับผมก็ยัง งง จากคุณ : ขอชื่อที่รักจ๋า ณ พันทิป เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 10:14:19

ความคิดเห็นที่ 21 ข้อ 1 2 6 7 เป็นอาการข้างเคียง อยู่ในหมู่ทำให้ง่วง เพียงแต่แยกข้อออกมาให้ชัดเจน แต่ทั้งหมดก็เพราะยานี้มีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้ง่วงซึม ข้อ 3 5 เป็นเนื่องจากการออกฤทธิ์ของยาแก้แพ้ มีฤทธิ์ Anticholinergic ด้วย ทำให้ลดการหลั่งสารคัดหลั่ง ก็ลดน้ำมูก ลดเสมหะได้ แต่ในคนแก่ หรือคนที่เป็นโรคหอบหืด พอลดเสมหะมากๆ กลับทำให้เสมหะแห้งเหนียว ไอออกยาก จนอาจเป็นก้อน ไอไม่ออก อุดหลอดลมทำให้หายใจไม่ออกได้ โดยเฉพาะคนแก่ที่ไม่ค่อยมีแรงไอ กับเด็กเล็กที่บอกอะไรกับใครไม่ได้ ฤทธิ์นี้ยังอาจทำให้ความดันในลูกตาสูงขึ้นได้ คนที่เป็นต้อจึงต้องระวัง ข้อเรื่องคนท้องนี่ก็เกือบทุกชนิดเลยมั้งที่ไม่ควรใช้ รวมแล้วก็ 3 หมวด แต่แตกย่อยออกมาให้ชัดเจน เลยมีตั้ง 8 ข้อ น่้ากลัวจริงๆ จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 14:03:46

ความคิดเห็นที่ 22 ดูแล้วนี่สงสัยจะเป็นคลอเฟนิลามีน แน่ๆ เลย .. จากคุณ : น้องหนอนนุ่ม เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 14:34:26

ความคิดเห็นที่ 23 จังซี่มันต้องถอน จากคุณ : ปิติกับเจ้าแก่ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 18:51:49

ความคิดเห็นที่ 24 แล้วจขกท กินเข้าไปแล้วเป็นไงมั่งล่ะคะ ง่วงมั้ย น่าจะง่วงนะ เพราะเป็นอาการข้างเคียงที่เกิดได้มาก ส่วนใหญ่กินก็ง่วงกันแทบทุกคน แล้วปากแห้งตาพร่าปัสสาวะคั่งรึปล่าว ไม่มีใช่มั้ย หรือไม่ทันสังเกต ก็เพราะมันอาจเกิดได้กับบางคน บางคนก็ไม่เกิด ไอ้อาการปากแห้งตาพร่าปัสสาวะคั่งนี่ก็เป็นอาการที่เกิดน้อย ซึ่งจะเกิดไม่เกิด ก็ขึ้นกับคนที่ใช้และขนาดยาที่ใช้ด้วยค่ะ ขอชื่นชม จขกท ที่อ่านฉลากยา น้อยคนนักจะอ่าน อ่านให้รู้และระวังแต่อย่าอ่านแล้วกลัวจนไม่กล้าใช้ ปล. ที่คุณลูกเป็ดฯ เขียนมีประโยชน์มากเลยค่ะ เป็นเรื่องที่คนเข้าใจผิดกันเยอะมาก เอ้า ทุกท่าน ไปอ่านกันโดยพร้อมเพรียง เร้วววว จากคุณ : doraemomo เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 52 22:19:42