ความคิดเห็นที่ 1 คงต้องตอบว่า It's the way of nature ครับ :D เหมือนกับว่าทำไม g = 9.8กว่า ก็เพราะมันวัดได้ 9.8 m/s^2 ครับ จากคุณ : Epsilon5th เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 00:24:03

ความคิดเห็นที่ 2 no g = GM/r^2 ค่า g ขึ้นกับ มวลโลก และ รัศมี ดังนั้น ค่า g บนที่สูงมักจะต่ำกว่าไงหละ ส่วน E =mc^2 ก็ พิสูจน์มาเรื่อยๆจนได้ สมการนี้หละค่ะ เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ ของธรรมชาติดีกว่า จากนั้น มนุษย์ก็ศึกษาธรรมชาติ แล้วนำมันมาเขียนเป็นสูตรให้เราใช้ ^^ จากคุณ : mint_la เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 00:29:40

ความคิดเห็นที่ 3   มันมาจากการแปลงลอเร็นซ์ Lorentz transformation ที่จะมีแฟคเตอร์แกมม่าปนอยู่ จากคุณ : !!! เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 01:01:20 A:111.84.112.143 X: TicketID:203053

ความคิดเห็นที่ 4 เท่าที่อ่านจากหนังสือเรื่อง "ไอน์สไตน์ หลุมดำและบิกแบง" ของ "ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์" พอจะสรุปได้ว่า ความจริงที่มาของสมการนี้เริ่มจากแนวคิดตรงกันข้ามกับที่ใช้ในปัจจุบันเลย คือไอน์สไตน์เริ่มคิดจากว่า ถ้าหากเราให้พลังงานกับอนุภาคตัวหนึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะวิ่งด้วยอัตราเร็วสูงขึ้นๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะไม่มีอัตราเร็วสูงไปกว่าความเร็วของแสงได้ไม่ว่าให้พลังงานเพิ่มเข้าไปอีกมากแค่ไหนก็ตาม แล้วพลังงานนั้นหายไปไหน ไอน์สไตน์สรุปว่าพลังงานดังกล่าวจะกลายเป็นมวลของอนุภาคนั้นเองซึ่งจะคอยหน่วงทำให้อนุภาคนั้นมีอัตราเร็วต่ำกว่าแสงเสมอ ยิ่งใส่พลังงานเข้าไปมาก พลังงานก็จะเปลี่ยนเป็นมวลมากขึ้นด้วย ซึ่งจากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า มวลที่เพิ่มขึ้นจะมีค่าเท่ากับ E/c^2 ซึ่งเมื่อกลับสูตรแล้วก็จะได้เป็น E = Mc^2 อย่างที่เราคุ้นเคยกัน เรียกว่าไอน์สไตน์เริ่มแนวคิดจาก พลังงาน -> มวล แต่การใช้ประโยชน์ของนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังกลายเป็นสวนทางกัน คือเป็น มวล -> พลังงาน แทน จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 03:24:30

ความคิดเห็นที่ 5 เป็นสิ่งที่ตอบไม่ได้จริง ๆ ครับ ว่าทำไม ต้องเป้นค่าคงที่ c ถ้าบอกที่มา ว่าคิดมายังไง ก็พอได้ คิดได้ยังไง แบบนี้พอตอบได้ แต่ถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วฟิสิกส์ตอบให้ไม่ได้ครับ เป็น Dilemma ที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนต้องเจอ นักวิทยาศาสตร์ควรจะถามเสมอ ว่า ทำไม ทำไม ทำไม แต่สุดท้ายมันมีจุดสิ้นสุดที่ควรจะหยุดถาม จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 04:40:44

ความคิดเห็นที่ 6 อุ... คำตอบคุณเกียรตินำ อ่านแล้วน่าคิดมาก ทำให้มองอะไรกว้างขึ้นอีกเยอะเลย ที่ผ่านมา เรามองแต่สูตรลัดๆ หาแต่วิธีการได้คำตอบ (ซึ่งก็ไม่ผิด) แต่บางทีก็ลืมหลักการพื้นฐานความคิดของคนอื่นเค้า สุดยอดครับ... จากคุณ : เด็กวัดสะพานใหม่ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 05:15:42

ความคิดเห็นที่ 7 นิวตันบอกว่า เวลา เป็น absolute แต่ ไอน์สไตน์ ลบล้างทฤษฎี นิวตัน และ บอกว่า ความเร็วแสงเป็น absolute ดังนั้น เมื่อวัตถุมีความเร็วเข้าใกล้แสง เวลาจะเข้าใกล้ 0 นั่นหมายความว่า ถ้าเราเดินทางด้วยความเร็วแสงตลอดเวลาเราจะไม่แก่เลย และหาก เราเดินทางรอบโลกด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแสง 3 ปี และกลับลงมา ที่จุดเดิม เราจะเห็นทุกอย่างล่วงหน้าก่อนทุกคนเป็นเวลา 3 ปี เพราะ แสงยังวิ่งมาไม่ถึง แต่เราต้องพกไฟฉายไปด้วย เพราะขณะที่เราไปถึงนั้น แสงยังวิ่งมาไม่ถึง และถ้าแสงวิ่งมาถึง ก็จะเป็นเวลาปัจจุบัน จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 05:32:42

ความคิดเห็นที่ 8 #7 เข้าใจผิดแล้วครับ ควรจะอ่านทฤษฎีสัมพัทธภาพใหม่ การเดินทางด้วยความเร็วใดก็ตาม เราก็จะแก่ไปตามกรอบอ้างอิงนั้น เพราะไม่มีอะไรฝืนกฏธรรมชาติได้ และเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเดินทางด้วยความเร็วใด เราก็จะเห็นแสงตามปกติของเรา ไม่มีทางผิดธรรมชาติไปได้ แต่เมื่อเทียบระหว่างกรอบอ้างอิงแล้ว จะเห็นต่างออกไป จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 07:58:56

ความคิดเห็นที่ 9 ไอนไสตน อยากอธิบายเรื่องเวลา และ การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของเวลา โดยอ้างเรื่อง งานและพลังงาน เพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้  (Einstein สนใจเรื่องเวลาเป็นหลัก) แต่ คนไปฮือฮากับเรื่องพลังงาน ไป ซะ... แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 53 10:34:06 จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 10:33:05

ความคิดเห็นที่ 10 .. จากคุณ : pisity เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 10:56:02

ความคิดเห็นที่ 11 ทุกสิ่งอย่างมีเวลาเป็นของตนเอง จากคุณ : Arccyber2004 เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 12:55:11

ความคิดเห็นที่ 12 เชื่อว่า ลำแสงผลักสสาร เรียก ความดันการแผ่รังสี-radiation pressure ลำแสงมีพลังงาน E มีโมเมนตัม E/c ไอน์สไตน์พิสูจน์ พลังงานสมมูลกับมวล Before Einstein, it was known that a beam of light pushes against matter; this is known as . This means the light has momentum. A beam of light of energy E has momentum E/c. Einstein used this fact to show that radiation (light) energy has an equivalent mass. http://www.drphysics.com/syllabus/energy/energy.html มวล M เคลื่อนไปซ้ายเร็ว v=E/(Mc) วิ่งไกล x=vt=[E/(Mc)](L/c) แสงพลังงาน E วิ่งซ้ายไปขวา วิ่งได้ L ใช้เวลา t=L/c สมมุติแสงมีมวล m ดังนั้น Mx=mL--> E=mc^2 แสงมีโมเมนตัม ไอน์สไตน์แสดงว่าแสงมีลักษณะของมวล From the fact that light has momentum, Einstein showed that light energy has the characteristics of mass also. In other words, energy has inertia. It turns out that all energy has this feature. That's because one form of energy can be transformed into another. So, if one kind of energy has this characteristic, all forms of energy do. จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 12:56:52

ความคิดเห็นที่ 14 * * * จากที่อ่าน ผมลองเรียบเรียงให้ง่ายขึ้น ผมเข้าใจ(และอธิบายใหม่) ถูกไหม ? เพื่อให้ ค่าคงที่ (ความเร็วแสง C) คงที่ ถ้า E มาก -> m จะมากขึ้นด้วย (เพราะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้) E/m = C2 ส่วนทำไม C ต้องกำลังสอง ก็เพราะ พลังงาน = โมเมนตัมของแสง x ความเร็ว โดย โมเมนตัม (สภาพการทำงานในแง่การเคลื่อนที๋) = m v พลังงาน = m v v ? ? ? จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 13:46:19

ความคิดเห็นที่ 15 อ่านแล้ว รู้สึก ความเห็นหลากหลายดีครับ สมการเดียว ตีความกันได้มากมายหลายแง่มุม ผมขอลองตอบ ท่าน เจ้าของกระทู้ ดูบ้าง สมการ E = mc2 มาจาก แนวคิดของเบื้องต้น ว่า มีความไม่สอดคล้องกันของ หลักสัมพัทธภาพในกลศาสตร์ของนิวตัน ที่ว่า ความเร็วเป็นสิ่งสัมพัทธ์และ ทฤษฏีการแผ่กระจายของคลื่นแสง ที่ว่า ความเร็วแสงมีค่าคงที่ทุกกรอบอ้างอิง เมื่อ ไอน์สไตน์ เห็นความไม่สอดคล้องนี้ จึงใช้กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ชื่อ การแปลงของลอเรนซ์ (Lorentz Transformation) โดยกำหนดให้ ความเร็วแสง ในทุกกรอบอ้างอิงคงที่ (= c) แต่ยอมให้ ขนาด และ เวลา "ยึด หรือ หด" ได้ ขึ้นกับความเร็วของวัตถุขณะนั้น และ จากการแปลงนี้ เมื่อพิจารณา พลังงานของวัตถุที่วิ่งด้วยความเร็ว v สิ่งที่ได้คือ E = mc2/sqrt(1-v2/c2)                                ....... (1) และ เมื่อเขียนในรูปอนุกรมอนันต์ แล้ว จะได้ (1) เป็น E = mc2 + (1/2)mv2 +  ... นั่นคือ เมื่อวัตถุหยุดนิ่ง (v = 0) จะได้ว่า ความสัมพันธ์ของพลังงาน E กับมวล m คือ E = mc2 สิ่งที่ ไอน์สไตน์ นำเสนอนี้ ตีพิมพ์ ในหนังสือ Relativity: The Special and General Theory โดยตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1920 เป็นภาษาเยอรมัน สำหรับ ทฤษฎีควอนตัม ที่อธิบาย โครงสร้างระดับอะตอม ถูกพัฒนา จนสมบูรณ์ และ ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 1925 (หลังจาก ไอน์สไตน์ตีพิมพ์ 5 ปี) ดังนั้น เชื่อได้ว่า ทฤษฏีนี้ มิได้พิจารณาถึง โครงสร้างอะตอม และ ไม่มีค่าคงที่ อะตอมใด ๆ (เช่น ค่าคงตัวของพลังค์) มาเกี่ยวข้อง แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 53 18:14:27 จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 19:54:10

ความคิดเห็นที่ 16 ขอเพิ่มเติมความเห็น ในแง่ประวัติศาสตร์ อีกเล็กน้อย ก่อนที่ ไอน์สไตน์ จะนำเสนอทฤษฎีนี้ มีการทดลองต่าง ๆ ที่สนับสนุน หลักสัมพัทธภาพในกลศาสตร์ของนิวตัน และ ทฤษฏีการแผ่กระจายของคลื่นแสง คือ ในหลักสัมพัทธภาพในกลศาสตร์ของนิวตัน ที่ว่า ความเร็วเป็นสิ่งสัมพัทธ์ หากเราวัดความเร็วของลูกบอลที่ขว้างออกไปด้วยความเร็ว v บนรถไฟที่กำลัง วิ่งด้วยความเร็ว u  ผู้สังเกตที่อยู่นิ่งบนผิวโลก จะเห็นบอลวิ่งด้วยความเร็ว u+v (โดย u และ v น้อยกว่า ความเร็วแสงมาก ๆ) และ สำหรับ ทฤษฏีการแผ่กระจายของคลื่นแสง ที่ว่า ความเร็วแสงมีค่าคงที่ใน ทุกกรอบอ้างอิง ก็มีการทดลองเช่น การวัดความเร็วแสงที่วิ่งในท่อที่มีของเหลว โปร่งใสที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ (นำเสนอครั้งแรกโดย H. Fizeau ปี 1851) ดังนั้น สิ่งที่ไอน์สไตน์คิดนี้ มิได้มาจากจินตนาการเพียงอย่างเดียว (อย่างที่ บางคนเข้าใจ) แต่ มาจาก การพิจารณาสิ่งที่พบในการทดลองอย่างละเอียดลึกซึ้ง สำหรับ การทดลองที่ยึนยันความถูกต้องของทฤษฏีสัมพัทธภาพของเขา ก็มีให้เห็นในวิทยาศาสตร์หลายสาขา แต่ที่พูดถึงกันมาก ก็คือ การวัดพลังงาน ที่ได้จากมวลที่หายไป ในปฏิกริยานิวเคลียร์แบบฟิชชั่น แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 53 18:16:22 จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 20:19:27

ความคิดเห็นที่ 17 http://www.phys.unsw.edu.au/einsteinlight/jw/module5_equations.htm#relativistic ทฤษฎีสัมพัทธ์ ทำให้ได้สูตรว่า พลังงานทั้งหมด = พลังงานจลย์ + พลังงานศักย์ total energy = kinetic energy + rest energy Gmc^2 = KE + mc^2   เมื่อ G = 1/sqr(1-(v/c)^2) , m = m0 rest mass Where does E = mc^2 come from? http://www.phys.unsw.edu.au/einsteinlight/jw/module5_equations.htm#where ไอน์สไตน์ให้ mc^2 เป็นพลังงานจากมวล ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ถ้ามีความเร็วมาเกี่ยว เป็นมวลสัมพัทธ์ Einstein's insight was to see that mc2 was the proper energy of mass m, the energy associated with mass m, independent of its motion. When it had relative speed, its energy was increased from γ(0)mc2 to γ(v)mc2, the difference between them being its kinetic energy. แก้ไขสูตร relativistic total energy สลับพจน์กับ relativistic kinetic energy แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 53 11:29:12 จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 20:51:13

ความคิดเห็นที่ 18 คห.4 เกียรตินำ ครับ การที่วัตถุไม่สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงได้มาจากสัจพจน์ของไอน์สไตน์ครับ พลังงานจลน์สามารถเพิ่มขึ้นได้ไม่มีขีดจำกัด ครับโดยความเร็วของวัตถุไม่เกินความเร็วแสง ถ้าความเร็วของวัตถุเท่ากับความเร็วแสงพลังงานจลน์จะเป็น อนันต์ครับ ดูสมการที่ 1 มวลไม่เพิ่มนะครับเพราะถ้ามวลเพิ่มจะเป็นปัญหาเพราะถ้ามวลเพิ่มตามสมการที่ 2 มันจะสามารถเพิ่มได่อย่างไม่มีลิมิตครับ เพราะฉะนั้นตามหลักสมมูลของไอน์สไตน์ แรงโน้มถ่วงมันจะมากขึ้นด้วย และเมื่อถึงค่าหนึ่งมันจะกลายเป็นหลุมดำครับ คห5 คุณชินโซ :ผมว่าจนกว่าจะเจอหลักพื้นฐานที่สุดครับ คือหลักที่ เป็นจริงของมันโดยไม่ต้องพิสูจน์ เช่น เราสามาถระบายสีแผนที่โดยใช้แค่4สี งี้ถ้าถามว่าทำไม คงไม่มีใครตอบได้ ถ้ามีคนถามก็แค่ให้ลองระบายสีแผนที่โดยใช้สีน้อยกว่านั้นดู ผมว่าหลักอย่างนี้แหละหลักพื้นฐานมันอาจจะเป็นที่มาว่าทำไมถึงมี4แรงด้วยนะ อันนี้ผมมั่ว ความคิดเห็นที่ 8 อันนี้ผมว่า คห.7 ไม่ผิดนะครับ จากสมการถ้าเคลื่นที่ด้วยความเร็วเท่าแสง เวลาจะไม่เคลื่อนที่ แต่คห7ก็ผิดตรงทีง"เราเดินทางรอบโลกด้วยความเร็วที่เร็วกว่าแสง 3 ปี และกลับลงมา"เคลื่อนที่ไปทางไหนก็ได้ครับไม่ต้องรอบโลกหรอก แต่อย่างว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะ พลังงานเป็น อนันต์ แสดงว่าทฤษฎีมีจุดบกพร่อง   คห.6 ครับคำตอบที่สวยงามลงตัวอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 21:12:41

ความคิดเห็นที่ 19 คห17 เยี่ยมมาก จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 21:14:49

ความคิดเห็นที่ 20 ขอลองตอบ คุณ Prof.Sirius (คห 14) ตามความเข้าใจของผมนะครับ คือผม คิดว่า คำอธิบายในคห 14 นั้น ไม่ถูกต้องอยู่ คือ ในสมการ   E/m = c2 m นี้คือ ไอน์สไตน์นิยามว่าเป็นมวลนิ่งครับ (มวลสัมพัทธ์ ถูกนิยามขึ้นภายหลัง) ส่วนสูตร พลังงาน = โมเมนตัมของแสง x ความเร็ว นั้นก็ไม่ถูกต้อง เพราะ พลังงานที่ว่านี้ คือสูตร E = mc2 นี้พลังงาน E คือ พลังงานภายในวัตถุที่หยุดนิ่ง (v=0) ครับ สำหรับสูตรพลังงานที่เกี่ยวข้องกับความเร็วของวัตถุคือ พลังงานจลน์ เท่ากับ (1/2)mv2 หากผมตอบผิดพลาดอย่างไร ขออภัยด้วยครับ (เรื่องนี้เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว อาจหลงลืมหรือเข้าใจผิด) จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 21:19:22

ความคิดเห็นที่ 21 20 ใช่ครับ e=mc2 คือตอนหยุดนิ่งครับ สำหรับสูตรพลังงานที่เกี่ยวข้องกับความเร็วของวัตถุคือ ดูสมการ (1) ในคห 18 ครับ จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 21:25:04

ความคิดเห็นที่ 22 อันนี้พอใช้ได้หรือเปล่า จากคุณ : ผู้สังเกตการณ์ เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 53 23:29:36

ความคิดเห็นที่ 23 ได้ความรู้มากมาย ยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณทุกท่านครับ จากคุณ : แมวเทา เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 53 00:07:03

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามาเก็บเกี่ยว จากคุณ : จั๊กกะจี๋ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 53 03:47:42

ความคิดเห็นที่ 25 เริ่มเห็นทางสว่าง...ขอบคุณครับ จากคุณ : ลุงบุญคำ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 53 09:14:51

ความคิดเห็นที่ 26 textbook มันไม่ได้มีเล่มเดียวครับ หลังปี2005 มีเล่มไหนเขียนแนวนี้บ้าง จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 53 19:31:46

ความคิดเห็นที่ 27 คห22 ครับเล่มดังกล่าว ปัจจุบันไม่เขียนอย่างงั้นแล้ว จากคุณ : Aloner เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 20:18:21

ความคิดเห็นที่ 28 ข้อมูลในความเห็นที่ 27 เป็นข้อมูลที่ดีมาก ๆ เลย อยากได้แหล่งอ้างอิงจัง (^ ^) ความในใจอยากหาต้นฉบับที่เป็นที่มาของสูตร E=mc2 เลยว่าในขณะนั้นเขาคิดกันหรือมีที่มากันอย่างไร ก็เลยต้องหาหนังสือที่ปีที่พิมพ์ใกล้เคียงกับจุดเริ่มต้นที่สุด ก็พอหาเจอหนังสือนี้ เพราะคำถามของเจ้าของกระทู้อาจถามอิงประวัติศาสตร์ก็เป็นได้ (ส่วนที่พิมพ์ในระยะหลัง ๆ อาจจะมีการปรับแต่งหรือเรียบเรียงใหม่ให้สอดคล้องกับข้อมูลในปัจจุบัน หรืออาจจะตัดออก ละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วก็ได้) คงจะคล้าย ๆ กับที่ในทางศาสนา มีการถกเถียงกันว่าคำสอนในพระไตรปิฎกที่ปรากฏในปัจจุบัน แตกต่างจากพระไตรปิฎกสมัยสังคายนาครั้งที่ 3 มากน้อยเพียงใด หรือแตกต่างจากสมัยที่ยังไม่มีพระไตรปิฎกอย่างไร อะไรทำนองนี้ อะไรทำนองนี้ จากคุณ : ผู้สังเกตการณ์ เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 20:59:07

ความคิดเห็นที่ 29 สำหรับ ผู้สนใจอยากอ่านหนังสือของ ไอน์สไตน์ (ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว) สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี (โดยมิได้ละเมิดลิขสิทธิ์) ได้ที่ http://www.relativitybook.com/resources/relativity_pdf.html จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 01:50:12