ความคิดเห็นที่ 1 แก่นพุทธ คือ วิทยาศาสตร์ จากคุณ : ฮิปปี้ สิงห์มณี เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:29:58

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ใช่ จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:35:49

ความคิดเห็นที่ 3 > แต่จริงๆแล้ว  ศาสนา ก็คือ ความเชื่อ  ต่อให้คุณไม่นับถือ "ศาสนา" คุณก็ต้องมี"ความเชื่อ" อยู่ ความเชื่อมันแค่สับเซตของศาสนาเองครับ ศาสนามีจริยศาสตร์กับพิธีกรรมด้วย ผมเข้าใจว่าคนที่ไม่มีศาสนาส่วนใหญ่คือถือความเชื่อ ยึดมั่นจริยศาสตร์ แล้วก็ช่างหัวพิธีกรรมนะ องค์ประกอบไม่ครบจะเป็นศาสนาอย่างไรได้? จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:38:22

ความคิดเห็นที่ 4 ศาสนาไม่ใช่ความเชื่อครับ เชื่อแบบไม่มีสมองเขาเรียกว่าหลงครับ จากคุณ : Munch เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:44:28

ความคิดเห็นที่ 5   ไม่ใช่แน่ๆแหละคับ จากคุณ : tunnie555 เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:47:31

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ใช่ คนที่เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ ต้องเปิดใจรับทุกเรื่อง ตราบใดที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง หรือเท็จ คนที่ปิดใจ ว่าไอ้นั้นมีจริง ไอ้นั้นไม่มีจริง โดยที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือเท็จ นั่นไม่ใช่วิทยาศาสตร์หรอก จากคุณ : RadiS เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 13:53:44

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่จริงเลยค่ะ พระพุทธศาสนา มีหลักการแก้ปัญหาเหมือนกับกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ค่ะ อริยสัจ 4 ...ยังไงล่ะ จากคุณ : MaCkaTaM เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:02:39

ความคิดเห็นที่ 8 ศาสนาบางศาสนาใช้ความเชื่อ แต่ศาสนาบางศาสนาก็เน้นปฏิบัติให้เห็นผล ส่วนบางสิ่งบางอย่างที่เชื่อ ๆ กันนั้น ลองศึกษาประวัติศาสตร์ดูว่าในสมัยของศาสดานั้น มันมีคำสอนอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า หรือมันมีมาภายหลัง มีการผสมจากวัฒนธรรมและศาสนาอื่น โดย "คนอื่น" รึเปล่า จากคุณ : Gorath เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:10:21

ความคิดเห็นที่ 9   ไม่ใช่... เพราะวิทยาศาสตร์ เป็นศาสนา... วิทยาศาสตร์มีองค์ประกอบครบที่สามารถจัดว่าเป็นศาสนาหนึ่ง มีหลักธรรม : การพิสูจน์ ความเชื่อ : เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ มีขบวนการ : science method มีประเภณี : การตีพิพม์ การประชุมวิชาการ การอภิปราย มีผู้ปฏิบัติ : นักวิทยาศาสตร์ มีการให้ ยศ ศ. รศ. ดังนั้นวิทยาศาสตร์ โดยตัวจึงเป็นศาสนาของมันเอง และ ไม่จำเป็นต้องเอามาเกี่ยวข้องกับพุทธ ... (ผมมองว่า การดึงเอาสองอย่างนี้มาเกี่ยวกันก็เพื่อ การชักจูงและการทำให้เกิดความ ชอบ เท่านั้น ....เราสามารถพิจารณาสองสิ่งนี้ แยกจากกันได้ และสามารใช้ ศาสนาเปรียบเทียบได้ .. ไม่ใช่การเอามาปนกัน) จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:10:27 A:124.120.229.250 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 10 จีนกับเวียดนามต้องบอกว่าเมื่อก่อนไม่มีศาสนาในรูปแบบ recognized religion จะถูกต้องมากกว่าครับ แต่เดี๋ยวนี้เปิดรับมากขึ้นแล้วครับ พุทธ เต๋า ขงจื้อมันการเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนาธรรมจีนไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ไม่มีศาสนานั้นคงไม่ใช่ เพราะทุกคนต่างก็มีศาสนา แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีศาสนาแบบ recognized religion จากคุณ : silverspider เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:12:03

ความคิดเห็นที่ 11 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า "ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุ บัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา” วิทยาศาสตร์ต้องสามารถพิสูจน์ได้ด้วยเหตุและผล พุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน จากคุณ : โปรแตสเซียม เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:14:51

ความคิดเห็นที่ 12   เคยอ่านจากไหนไม่รู้ ว่าคนชอบโยงพุทธกับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน เพื่อให้ดูเหนือกว่าแนวคิดของศาสนาอื่น จากคุณ : yatiko เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:16:34

ความคิดเห็นที่ 13 #9 ไปเอาองค์ประกอบมาจากไหนครับ ผมเคยได้ยินแต่องค์ประกอบแบบนี้ 1. ศาสดา. 2. คัมภีร์ศาสนา. 3. นักบวช. 4. ศาสนสถาน. 5. สัญลักษณ์ ขอทราบชื่อศาสดาของศาสนาวิทยาศาสตร์หน่อยครับ ขอทราบชื่อคัมภีร์ศาสนาของศาสนาวิทยาศาสตร์หน่อยครับ นักบวชของศาสนาวิทยาศาสตร์คือใครครับ (ถ้าตอบว่านักวิทยาศาสตร์ผมจะถามต่อว่าแล้วช่างซ่อมประปาเป็นนักบวชของศาสนาท่อประปารึไงครับ) ศาสนสถานของศาสนาวิทยาศาสตร์คืออะไร อยู่ที่ไหนครับ สัญลักษณ์ของศาสนาวิทยาศาสตร์คืออะไรครับ #11 ไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดครับ ไม่เชื่อลองหาอ้างอิงดูได้ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:25:55

ความคิดเห็นที่ 14 ......ลองหาหนังสือเรื่อง The Tao of Physics ของ Fritjof Capra  มาอ่านดูซิครับ แล้วจะเข้าใจนักฟิสิกส์ดีขึ้น ผมว่า นักฟิสิกส์เข้าใจ  ศาสนาพุทธ มากกว่า นักธรรมตรี หรือ เปรียญธรรม 9 ประโยค  หรือ ผู้ทีเรียน พระอภิธรรมเจ็ด 9 ปริเฉท อีกนะครับ เคยนั่งโตเถียง  มาหลายครั้งที่วัดมหาธาตุครับ ส่วนใหญ่แล้วให้คำตอบแบบ Peremptory  หรือ Fist hit soil ครับ พอเราเถียง ก็หาว่าเราไม่เข้าใจ แต่ถ้าลองอ่าน  ของ Fritjof Capra แล้วผมว่า ผมเข้าใจศาสนาเพิ่มขึ้นมากครับ เป็นเหตุ  เป็นผลดี จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:26:06

ความคิดเห็นที่ 15   ตอบกระทู้ ไม่จำเป็นคับ ส่วนตัวผม (คนแบบ INTP ตา่มการแบ่งแบบ Myer-Briggs) ถือวิทย์เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตอ่ะคับ พอจะจัดได้เป็นศาสนาที่ไม่มีองค์กร ไม่มีบันทึกอย่างเป็นทางการ อะไรงั้นกระมัง *** #คห.13 ผมว่าตีความคำจำกัดความศาสนาแคบไปหน่อยนะ อ้างอิงจากวิกิพีเดีย ศาสนาหมายถึงกลุ่มของความเชื่อ ซึ่งความเชื่อที่ไม่มีองค์กรกำกับก็ถือเป็นศาสนาเช่นกัน จักเช่นนั้นแล้ว ศาสดาใยจำเป็นในการก่อตั้งตนเป็นศาสนาอีกเล่า? *** ผมว่าไม่น่าจับวิทยาศาสตร์เหมารวมเข้าไปในส่วนหนึ่งของศาสนาใดศาสนาหนึ่งอ่ะ อันนี้คนละประเด็นกับคห.13นะ เอาง่ายๆ คือให้วิทย์เป็นศาสนาที่ชื่อ X และมีศาสนาที่เน้นทางจิตวิญญาณที่ชื่อ Y X กับ Y ไม่ควรมาจับโยงอันนู้นอันนี้เข้าด้วยกันอ่ะ ผมว่า มันเหมือนยกยอศาสนายังไงไม่รุ วิทยาศาสตร์คือ 1.กระบวนการให้ได้มาซึ่งความรู้ 2.ความรู้ 3.สิ่งที่เราทำได้จากความรู้ การเชื่อในวิทยาศาสตร์จึงหมายถึงการเชื่อในความหมายดังกล่าวนั่นเอง เมื่อเกี่ยวกับความเชื่อ เราจะพอยกเป็นศาสนาไม่ปรากฏองค์กรได้หรือไม่? บ่นคร่ำครวญวกไปวนมา สรุปคือ วิทย์จัดเป็นศาสนาได้ และศาสนาไม่ควรผูกความเชื่ออื่นเข้ากับศาสนาตัวเอง จากคุณ : DesservirPhilosophy เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 14:58:40

ความคิดเห็นที่ 16 เราพิสูจน์และทำซ้ำหลักการ คำสั่งสอน ข้อบังคับในพระไตรปิฎกให้คนอื่นเห็นได้ไหม? เราสามารถล้มล้างพระไตรปิฎก แล้วเขียนขึ้นมาใหม่ด้วยหลักการใหม่ที่พิสูจน์แล้วได้ไหม เราสามารถตัดทิ้งสิ่งต่างๆ ในพระไตรปิฎก ที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริง ไม่สามารถทำซ้ำได้ วัดผลไม่ได้ได้ ไม่สามารถแสดงให้คนอื่นเห็นได้ไหม สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ได้ จัดเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ครับ วิทยาศาสตร์ต้องพร้อมที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่สิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน และต้องถูกเปลี่ยนแปลง ล้มล้าง สร้างใหม่ ได้ตามหลักฐานเชิงประจักษ์ที่มี โดยไม่สนเรื่องศรัทธาหรือความเชื่อ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 15:11:28

ความคิดเห็นที่ 17 แก่นของพุทธไม่ใช่วิทยาศาสตร์ครับ ในบางประเด็นเท่านั้น ที่เหมือนวิทยาศาสตร์ แต่อีกหลายส่วนอิงกับศรัทธา และความเชื่อที่พิสูจน์ให้เห็นเชิงประจักษ์ให้คนอื่นรับรู้ไม่ได้ อย่างเช่น นิพพาน เราจะพิสูจน์ได้อย่างไร ว่านิพพานมีจริง และนิพพานคืออะไร เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้เฉพาะตน ไม่ทำก็ไม่รู้ และแสดงให้คนที่ไม่รู้ให้รู้ไม่ได้เสียด้วย ต้องอาศัยศรัทธา และความเชื่อ เป็นหลัก และเส้นทาง ผู้นำทางในการเข้าถึง ไม่ใช่ใช้เหตุผล ทางตรรกะ ในทางวิทยาศาสตร์ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งนี้ก็ต้องถูกตัดออกจากพระไตรปิฎก เช่นเดียวกับแนวคิด หลักการ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าจริง ก็ต้องถือว่าไม่จริงไปก่อน จนกว่าจะมีหลักการที่พิสูจน์ได้มารองรับ ...แล้วตัดนิพพานออกจากคำภีร์หลักสูงสุดทางศาสนาเนี่ยนะ.... ถ้าใครบอกว่าพุทธ กับวิทยาศาสตร์คือสิ่งเดียวกัน แสดงว่าไม่รู้จักทั้งพุทธ และไม่รู้จักทั้งวิทย์นั่นแหละครับ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 15:20:14

ความคิดเห็นที่ 18 #15 นี่ไม่ใช่คำจำกัดความของผมครับ แต่เขามีการเรียนการสอนกันแบบนี้จริงๆ http://www.school.net.th/library/create-web/10000/religion/10000-6350.html ที่จริงผมว่าการแบ่งแบบนี้มันก็แปลกๆ แต่ถ้าเขานิยามกันมาแบบนี้ก็ต้องแบ่งแบบนี้ครับ จนกว่าจะมีคนเปลี่ยนนิยาม จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 15:20:22

ความคิดเห็นที่ 19 คนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์มากสุดโต่งไม่ใช่เป็นคนที่ไม่มีศาสนา และคุณที่เชื่อในศาสนาสุดโต่งก็ไม่ใช่คนไม่มีวิทยาศาสตร์อยู่ในหัวใจเช่นกัน จากคุณ : captainnova เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 15:25:29

ความคิดเห็นที่ 20 อืม คห.13 น่าสนใจครับ 1. ศาสดา. - วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ คือ กาลิเลโอ กาลิเลอี 2. คัมภีร์ศาสนา. - ตีพิมพ์กันอยู่เพียบเลยครับ 3. นักบวช. - นักวิทย์ทุกคน 4. ศาสนสถาน. - ห้องแลป 5. สัญลักษณ์ - แยกย่อยออกไปตามแขนงต่างๆ จากคุณ : เถ้าลอย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 15:37:46

ความคิดเห็นที่ 21 ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ ศาสนาล่อแหลมที่จะไม่ผ่านการทดสอบทางตรรกะมากๆ แต่วิทยาศาสตร์จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องทนต่อการทดสอบกับดักทางตรรกะ โดยไม่ใช้ Fallacy Logic Trap ที่พูดกันบ่อยๆ อย่างเช่น พระเจ้าจะสร้างก้อนหินที่หนักจนพระองค์ยกไม่ขึ้นได้หรือไม่ หรือตำรวจกับโจรวิ่งไล่กัน ต่างฝ่ายต่างอฐิษฐานให้พระเจ้าช่วย พระเจ้าจะช่วยใคร หรือ วิญญาณเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ หรือว่าตายแล้วสูญ คำถามพวกนี้ ถ้าเอาตรรกะมาไล่จับไปเรื่อยๆ มันจะเจอจุดที่ศาสนาจำเป็นจะต้องใช้เหตุผลวิบัติเพื่อให้พ้นจากกับดัก ศาสดาจึงให้คำตอบในการป้องกันการตกกับดักพวกนี้ไว้แล้ว และคำป้องกันนี้จะอยู่ในคำภีร์ ที่ล้มล้างไม่ได้ เวลาไล่จับด้วยตรรกะ มันจึงไปจบที่คำภีร์ศาสนาทุกที แต่วิทยาศาสตร์จำเป็นที่จะต้องทนต่อการทดสอบด้วยตัวเอง ถ้าทดสอบไม่ผ่าน สิ่งนั้นก็ต้องถูกล้มล้างไป หาหลักการอื่นที่ทนทานกว่ามาแทน การลบล้างตัวเองแบบนี้ เป็นสิ่งที่ศาสนาทำไม่ได้ แต่เป็นสิ่งจำเป็นในทางวิทยาศาสตร์ ที่ต้องล้มล้างศาสนาจารย์ (คำเปรียบเทียบ) ในแนวคิดใดๆ ได้ตลอดเวลา ล้มล้างคำสั่งสอนได้ และพร้อมที่จะรับศาสดาใหม่ คำสั่งสอนใหม่ได้ตลอดเวลา พร้อมที่จะเขี่ยกลศาตร์ของนิวตันตกกระป๋อง เมื่อมีกลศาสตร์ควอนตัม (หรือเหลือไว้ในในกรณีที่มันไม่คลาดเคลื่อนมาก) หรือโยนคำสอนไอนสไตน์ลงถังขยะ แล้วรับไอเดียของไฮเซนเบิร์กมาใช้แทนในบางเรื่อง และวิทยาศาสตร์หาแนวคิดใหม่ๆ และพยายามล้มล้างคนเก่าอยู่ตลอดเวลา มีศาสนิกคนใดคิดพยายามจะล้มล้าง หาทางโยนพระเจ้า หรือพระพุทธเจ้าทิ้งบ้างไหม? จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 15:51:51

ความคิดเห็นที่ 22   ผมไงเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่กลัวผีแบบสุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : เด็กโง่ (แท๊ปโก้) เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 15:55:39

ความคิดเห็นที่ 23 #20 1. เราไม่ได้นับถือกาลิเลโอว่าเหนือกว่ามนุษย์คนอื่น พูดถึงนักวิทยาศาสตร์ระดับเทพในสายตาคนทั่วไปชื่อของไอน์สไตน์กับสตีเฟนฮอว์กินส์จะมาก่อนด้วยซ้ำ ในแง่นี้กาลิเลโอเลยไม่ผ่านเรื่อง "Divinity" 2. คัมภีร์ศาสนานะครับ ไม่ใช่นิตยสารรายปักษ์ จะได้ออกใหม่เรื่อยๆ ถ้าเทียบกับศาสนาคริสต์แล้ว journal ต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์เปรียบได้กับพระวรสารเท่านั้นเองครับ แต่ไม่มีพระคัมภีร์ 3. นักบวชเป็นนักวิทย์ทุกคน มีกฎอะไรที่นักวิทย์ต้องทำตามหรือเปล่าครับ ผมเห็นมีแต่หลักการคิด ไม่มีวินัย ไม่มีบทลงโทษ ไม่มีอะไรเลย เคยเห็นนักบวชในศาสนาอะไรไม่โดนกำหนดวินัยมั้ยครับ 4. ศาสนสถานเป็นห้องแล็บ ถ้าข้ออื่นผ่าน ผมถือว่าเป็นศาสนสถานก็ได้แล้วกัน 5. แยกย่อยไปตามแขนงต่างๆ ถามจริงๆ ว่ามีศาสนาที่สัญลักษณ์ไม่คงที่แบบนี้ด้วยเหรอครับ ยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย อย่าพยายามจับแพะชนแกะครับ ถ้าจับแพะชนแกะแบบนี้อะไรก็เป็นศาสนาได้ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:18:41

ความคิดเห็นที่ 24 เดี๋ยวคงมีดราม่า จากคุณ : คห.ล่างผมรักคุณนะ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:23:31

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่จำเป็น จากคุณ : StreamRider เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:26:02

ความคิดเห็นที่ 26 ผมไม่มีศาสนาครับ จากคุณ : promlikit เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:27:57

ความคิดเห็นที่ 27 บางที วิทยาศาตร์มันอธิบาย เหตุผลด้านอารมณ์และนิสัยไม่ได้ ตอบข้อ 3 อิอิ จากคุณ : Chompuly เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:31:51

ความคิดเห็นที่ 28   ไม่รู้ทำไม หลายๆคนชอบพยายามทำให้พุทธศาสนามันไปเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ จากคุณ : kindraywind เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:33:00

ความคิดเห็นที่ 29   ...สงสัยจะวิบัติกันตั้งแต่คิดจะพิสูจน์ศาสนาด้วยlogicแล้วมังครับ? จากคุณ : Ter เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:37:39 A:85.154.14.86 X: TicketID:182506

ความคิดเห็นที่ 30 ที่มีหลายคนบอกว่าไม่นับถือศาสนาใดๆ ถ้าให้ผมเดานะคนเหล่านั้นเขาก็น่าจะสนใจ ศึกษา ปฏิบัติตาม และยอมรับคำสอนของศาสนาบ้างแหละ...แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง จึงยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าตนนับถือศาสนานั้น เช่นพุทธ(แบบไทยๆ) คนบางคนอาจชอบหลักกาลามสูตร หรืออริยสัจ 4 แต่ไม่ชอบเรื่องชาตินี้ ชาติหน้า กรรมเก่า หรืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาร ก็ได้ ...ที่บอกไม่ชอบนี่หมายถึงคิดว่าไม่เป็นจริงตามนั้น หรือขัดกับแนวทางที่ตนยอมรับ ครับ..... คนเหล่านี้อาจจะลำบากที่จะบอกใครว่านับถือศาสนาใด เพราะมันจะเหมือนกับเราให้ความหมายว่า ถ้าบอกว่านับถือพุทธ(แบบไทยๆ) ก็คือเชื่อในพระไตรปิฏกทั้งหมด...ซึ่งหลายคนไม่ใช่แบบนั้น ... คนจึงสะดวกที่จะบอกว่าไม่นับถือศาสนามากว่าที่จะมาบอกว่า...ผมนับถือพุทธ แบบที่เชื่อเรื่องxxx แต่ไม่เชื่อ yz ...:ซึ่งมันลำบาก ดังนั้น ถ้า จขกท. ถามว่า..คุณคิดว่า คนที่เชื่อเรื่อง วิทยาศาสตร์อย่างสุดโต้ง คือคนที่ไม่มีศาสนา ใช่หรือไม่ ผมก็คิดว่า ใช่ครับ .. คนเหล่านั้นไม่น่าจะมีศาสนา(แบบเต็มรูปแบบ) แต่อาจมีเลือกนำคำสอนในบางศาสนามายึดถือ ยอมรับได้บ้าง แต่ไม่เต็มรูปแบบเท่านั้นเอง คนที่เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ ต้องเปิดใจรับทุกเรื่อง ตราบใดที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง หรือเท็จ ....ผมเห้นด้วยกับคำนี้นะ แต่ยังไงก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักวิชาด้วยครับ...เช่น ผมบอกว่ามีช้างอยู่บนดวงอาทิตย์ คอยกำหนดชะตาชีวิตมนุษย์อยู่ ...ถึงแม้ข้อความนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือเท็จ(ด้วยการไปดูที่สถานที่จริง) แต่มันก็ไม่อยู่บนพื้นฐานของหลักวิชา หรือข้อเท็จจริง ...ข้อความนี้ก็ไม่สมควรที่จะเชื่อนะครับ แม้จะยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยการไปดูจริงๆ แต่ตามทฤษฎี มันเป็นไปไม่ได้ หรือถ้าจะยังยืนยันว่ามีจริงอยู่อีก คนที่บอกว่ามีจริงก็ควรเป็นฝ่ายที่ออกมาพิสูจน์เองด้วย ไม่ใช่โยนให้ฝ่ายที่ไม่ยอมรับไปพิสูจน์ จากคุณ : starlian เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:49:40

ความคิดเห็นที่ 31 แล้วแต่ว่านิยามคำว่าสุดโต่งไว้อย่างไร ส่วนตัวแล้วคิดว่าสุดโต่งไม่มีจริง จากคุณ : PUFF เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:53:06

ความคิดเห็นที่ 32 ........เปล่าครับ น่าจะ Fuzzy Logic มากกว่าครับ จากคุณ : สองนิ้วชี้ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 16:55:54

ความคิดเห็นที่ 33 ถูกใจคห.6 แฮะ มีสิ่งนึงที่สงสัยมากๆ ทำไมต้องเอากระบวนการของวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์พุทธศาสนา ในเมื่ออยากพิสูจน์ศาสนาก็ต้องใช้กระบวนทางศาสนาสิ เหมือนกับอยากพิสูจน์วิทยาศาสตร์แต่ใช้กระบวนทางศาสนามาพิสูจน์ ก็คงไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน จากคุณ : Alive Axis เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 17:12:50

ความคิดเห็นที่ 34 เราว่าไม่นะคะ ส่วนคห.ที่บอก มีคนพยายามอัพศาสนาพุทธให้ดูสูงกว่าศาสนาอื่นด้วยการนำวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้องเนี่ย เราว่าไม่จริงนะ หลักคำสอนของศาสนาเราเหมือนให้ยึดถือ เชื่อมั่นใจ สิ่งที่เป็นจริงและพิสูจน์ได้ เป็นการมองปัญหาให้ทะลุปรุโปร่ง ทำความเข้าใจแล้วจึงแก้ไข ในความรู้สึกส่วนตัวแล้ว วิธีการแก้ปัญหาใกล้เคียงหรือคล้ายกับการทดลองหาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นเอง พิมพ์เองก็งงเอง ไม่ได้จะลบหลู่ศาสนาใดๆนะคะ จากคุณ : ด๋อยด๋อย เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 17:50:33

ความคิดเห็นที่ 35 สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบล้วนต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 12 หรือ อายตนะ ในการรับรู้ครับ ใช้แค่ประสาททางตาทำให้เห็นอย่างเดียวมันไม่สมบูรณ์ และปัจจัยที่ยากที่สุดที่ทำให้คนเรา หลงเพลิดเพลินกับ วัฏฏสงสารก็คือ อวิชชา หรือความไม่รู้นั่นเอง  ไอ้เจ้าความไม่รู้คือปัจจัยตัวท้ายๆสุดที่ทำลายยากที่สุด หากใครทำลายความไม่รู้ หรือตัวอวิชชาได้ นั่นแหละครับ จะสัมผัส คำว่านิพพาน มันอยู่ใกล้แค่เอื้อม เพราะฉะนั้น ตรรกะ การคิดแบบผิวเผิน ที่เรียกร้อง ให้แสดงให้ประจักษ์ อย่าง่ายๆนั้น  เป็นวิธีคิดแบบนักวิทยาศาสตร์แบบเด็กๆ ที่จะพยายามทำลายอวิชชา ตัวที่ยากที่สุด ใครก็ตามที่ทำลายอวิชชาความไม่รู้ลงได้นั่นแหละครับ เรียกว่า สัพพัญญู เป้าหมายของศาสนาพุทธก็คือ เพื่อรู้ความจริงเพียงบางส่วนโดยมีเป้าหมายหลุดจากวงครโจรของวัฏฏสงสาร จึงเรียกว่า ใบไม้ในกำมือ แต่วิทยาศาสตร์คือศาสตร์ที่จะพิสูจน์ความจริงทางกายภาพทุกเรื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยอาศัยวิชาคณิตศาสตร์ชั้นสูง มาอธิบาย มาทำนายปรากฏการณ์ที่ใกล้เคียงที่สุด ในอดีตพระพุทธเจ้าบอกว่า ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น ใครอยากรู้อยากสัมผัสสิ่งที่อยากรู้ ต้องทำเอง พิสูจน์เอง ยกเว้นบางจำพวกที่จะให้พระโมคคัลลานะ แสดงฤทธิ์ (จากตำราบันทึกไว้อย่างนั้น ซึ่งคงจะหาหลักฐานพิสูจน์เหตุการณ์นั้นค่อนข้างยาก) หัวใจจริงของพุทธศาสนาไม่ต้องการสาวกมากมาย ไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อตาม ท่านค้นพบทางที่ควรเดินตาม ก็มาเผยแพร่ เพราะฉะนั้น ตรรกะมันผิดตั้งแต่ เอาความคิดแบบโลกียะ  ไปพิสูจน์แนวคิดของโลกุตตระแล้วครับ และให้พิสูจน์ด้วยตนเอง เท่านั้น คนไหนทำคนนั้นได้ ไม่มีใครสามารถเสกให้ใครพ้นความทุกข์ได้ แต่เรียนรู้แล้วนำแนวทางนั้นไปปฏิบัติตาม คนที่มีแนวคิดแบบนักวิทยาศาสตร์บางคน จึงเลือกที่จะรับเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตนพิสูจน์ได้เท่านั้น ซึ่งก็เป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่ขาดความแยบคาย แกล้งลืมว่ามีผู้อื่นที่มีความสามารถพิสูจน์คำสอน และนำทางไปไกลมากมาย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 17:53:30

ความคิดเห็นที่ 36 ส่วนตัวไม่คิดว่า ศาสนาคือ ความเชื่อค่ะ แต่ศาสนา จารีต ประเพณี เป็นส่วนที่ส่งผลต่อ superego ซึ่งเอาไว้ใช้คู่กับ ID โดยที่ EGO เป็นตัวช่วยประนีประนอมให้เกิดการแก้ปัญหาในชีวิต หรือ แก้ไขสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 18:28:25

ความคิดเห็นที่ 37 #33 เพราะมีคนบางจำพวกบอกว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ไงครับ ถ้าใช้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ก็เลิกอ้างซะทีว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ #35 เบื่อคำว่าอย่างเด็กๆ จังครับ อธิบายหน่อยสิครับว่าวิทยาศาสตร์อย่างผู้ใหญ่ต้องทำอย่างไร เชื่อในสิ่งที่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์เหรอครับ ผมยอมรับว่าพุทธศาสตร์นั้นดี แต่อย่ามาบอกว่าดาบใช้ตัดต้นไม้ไม่ได้ ห่วย (เด็กๆ) กว่าขวาน จุดประสงค์ของศาสตร์มันต่างกันครับ ไม่ใช่คนทุกคนที่อยากได้อุปกรณ์ตัดไม้ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 18:59:56

ความคิดเห็นที่ 38   เมืองไทยหานักวิทยาศาสตร์แท้ๆได้น้อย ส่วนใหญ่เป็นผู้เสพวิทย์ตามกลุ่มผู้นำเทคโนโลยีแค่นั้น ลึกๆแล้วผมเชื่อว่าศาสตร์ของศาสนาพุทธจะถูกพิสูจน์ได้แน่ๆ แค่รอฝรั่งพัฒนาการวัดค่าเกี่ยวกับสมอง+พฤติกรรมเยอะกว่านี้ เพราะผมการฝึกมันมีจริง มันต่างกันจริงระหว่างก่อนและช่วงที่ทำและหลังทำสมาธิ และวิปัสสนา กิจกรรมในสมองไม่ได้ว่างเปล่า มันต่างกัน วิทย์มีหน้าที่มาอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น ส่วนจะไปคุยเรื่องธรรมเนียม ค่านิยม ความเชื่อ เสียเวลาเปล่า คุยเรื่องการปฏิบัติและผลของการปฏิบัติดีกว่า เพราะจุดนี้มันเข้ากับวิทยาศาสตร์ จะไปมองส่วนที่ไม่เข้ากันทำไม?? นักวิทย์ มองขี้ มองฟ้า มองน้ำ มองนก ก็จะเจอความเป็นวิทย์เต็มไปหมดทั้งนั้น มีแต่พวกปิดกั้นไม่มีความเป็นวิทย์เท่านั้นที่ มองอะไรก็บอกนู้นไม่วิทย์ นี่ไม่วิทย์ นั้นไม่วิทย์ แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นนักวิทย์แต่แรก คุณแค่เสพความเชื่อจากนักวิทย์คนอื่นมาเป็นกรอบอีกที จากคุณ : @VVIEWW เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 19:38:30 A:58.64.62.169 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 39 ขอพูดเฉพาะพุทธก็แล้วกันนะ ผมคิดว่าศาสนาพุทธในปัจจุบันของไทยเรามันไม่น่าจะใช่พุทธอย่างที่พระพุทธเจ้าตั้งใจหรอกครับ ผมคิดว่าพุทธแท้ๆมันคือการฟังจากปาก  การได้รับคำสอนจากพระพุทธเจ้าโดยตรง นั่นแหละพุทธ นั่นแหละสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้เรียนรู้ด้วยตัวเองมา แต่ปัจจุบันนี่มันอะไร  บิดเบือนมาแค่ไหนกว่าจะกลายมาเป็นปัจจุบัน ผมคิดว่าเรื่องปาฏิหารย์ทั้งหลายแหล่น่ะพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนด้วยซ้ำ  เชื่อได้ว่าคนเราพูดไปเรื่อย ปากต่อปากจากอดีตกาลมากกว่า  แบบเคยเห็นมาแล้วก็พูดเกินจริง  หาตัวอย่างได้ตามตลาดทั่วไป  เรื่องทุกเรื่องที่ได้ยินมาจะเกินจริงแทบทุกเรื่อง ผมเลือกที่จะนับถือพุทธศาสนาอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตั้งใจไว้มากกว่า  เลือกนับถือทางแห่งการดับทุกข์  เลือกเชื่อในสิ่งที่ทำให้พ้นทุกข์จริงๆ  ผมไม่สนใจว่าศาสนาปัจจุบันมีอะไรยังไง  ผมสนแค่หลักธรรมที่ผมรู้ พอรู้  และคิดว่ามันเป็นประโยชน์  มันทำให้ผมใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบ ง่ายขึ้น รวดเร็ว และเป็นสุข ปัจจุบันผมพยายามไม่ไหว้พระพุทธรูปที่ไหน  มันอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำก็ได้นะ  แต่มันขัดกันถ้าจะบอกว่า  ท่านสอนคนเพราะต้องการให้พ้นทุกข์ แต่ต้องการให้คนเคารพบูชาท่าน?  ผมว่ามันแปลกๆ     การสร้างพระพุทธรูปมันมาจากบาปของคนอีกนั่นแหละ อวดรวย  แสดงถึงอำนาจ  แสดงถึงความเลื่อมใส  แล้วมันเกี่ยวกับหลักธรรมของท่านตรงไหน?    แต่ถ้าไปกับคณะคนหลายๆคนหรือเป็นหมู่ขณะอันนั้นผมก็ไหว้นะ  ไม่อยากมีปัญหาหลายๆอย่าง  แต่ถ้าปกติจะไม่ทำอะ แล้วอีกอยาง  สิ่งที่ท่านสอนเราคือหลักธรรมแห่งการพ้นทุกข์ ไม่ใช่ยึดตัวบุคคลแบบนี้ สรุปคือพยายามเลือกที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมจริงๆ  ตามวิธีพ้นทุกข์จริงๆมากกว่าครับ  ไม่เลือกที่จะเชื่อ จะนับถือเหมือนปัจจุบันนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 53 19:50:38 จากคุณ : เมื่อกี้ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 19:45:29

ความคิดเห็นที่ 40 ความคิดเห็นที่ 13 ครับ ศาสนาไม่จำเป็นต้องมีศาสดาและนักบวช จากคุณ : เสียงJap-ซับEng เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 19:49:30

ความคิดเห็นที่ 41 วิทยาศาสตร์ กับเทคโนโลยี ก็เป็นคนละเรื่องนะครับ แก่นของวิทยาศาสตร์มีแค่ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น วิทยาศาสตร์มีจุดประสงค์เพื่อใช้ทำความรู้จักกับธรรมชาติทางกายภาพ เทคโนโลยีเป็นการนำสิ่งที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ ที่เป็นผลพลอยได้ นำมาประยุกต์ใช้ ศาสนามีเพื่อความเจริญทางจิตใจ และวิญญาณ ทำความรู้จักกับตัวตนของผู้ปฏิบัติ ศาสนาไม่ได้ต้องการค้นพบสิ่งอื่นที่อยู่นอกตัวตน ต้องการพาจิตใจผู้ปฏิบัติไปสู่โลกุตระ ใช้เครื่องมือทางจิตเพื่อควบคุมพัฒนาจิตใจให้ขึ้นไปอยู่ในระดับสูง (ตามนิยามของแต่ละศาสนา) และมีเครื่องมือในการกำกับควบคุมศีลธรรม จริยธรรมในระดับโลกียะ ศาตร์แต่ละแขนงมันแตกต่างกันตั้งแต่ระดับรากฐาน จุดประสงค์ และวิธีการ อย่าพยายามลากมาปนกัน มันจะวุ่นวาย ถ้าให้วิทยาศาสตร์ใช้ระบบศรัทธา และความเชื่อ มันก็วินาศเท่านั้น ถ้าให้ศาสนาใช้ตรรกะ และหลักฐานเชิงประจักษ์ มันก็ไปไม่รอดเหมือนกัน จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 20:03:35

ความคิดเห็นที่ 42 ที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมศาสนิกระดับ Zealot/Evangalian ถึงพยายามลากศาสนาเข้ามาหาวิทยาศาสตร์อยู่เรื่อย พยายามจะใช้วิทยาศาสตร์แบบครึ่งๆ กลางๆ วิทยาศาสตร์จอมปลอม (Psudo-science) มาพิสูจน์ศาสนาให้ได้ (ทำไมใช้วิทยาศาสตร์แท้ พิสูจน์ไม่ได้ ผมบอกไปแล้วตอนต้น) ซึ่งในทางตรงกันข้าม นักวิทยาศาสตร์กลับพยายามจะดึงวิทยาศาสตร์ให้ไกลจากศาสนาที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ วิทยาศาสตร์มันไม่ได้สูงส่งกว่า ดีกว่า ถูกต้องกว่าศาสนาหรอกนะครับ มันก็แค่เครื่องมือของมนุษย์อีกชิ้นหนึ่งที่ "แตกต่าง" ไปแค่นั้นเอง อาจจะดีกว่าอย่างเดียวคือวิทยาศาสตร์กำลังอยู่ในยุครุ่งเรืองเท่านั้น แต่เราก็เห็นกันมาแล้วตลอดประวัติศาสตร์ (ศาสนาก็บอกไว้) ว่าไม่มีอะไรรุ่งเรืองไปได้ตลอดกาล ยุคนี้เราอาจจะให้ความสำคัญในการค้นหาความจริงภายนอก ยุคหน้าเราอาจจะให้ความสำคัญในการค้นหาความจริงภายใน ยังไงผมก็ว่า ต่างฝ่ายต่างอยู่ พัฒนาหลักวิชาในส่วนของตัวเองไปดีกว่า เมื่อมนุษย์ต้องการใช้เครื่องมืออื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ จะได้มีให้หยิบฉวยได้บ้าง แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 53 20:28:45 แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 53 20:21:41 จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 20:17:20

ความคิดเห็นที่ 43 #40 ผมก็ว่ามันแปลกๆ เพราะทราบว่าอิสลามไม่มีนักบวชครับ แต่ผมบอกแล้วว่าเจอแต่เกณฑ์นี้ ไม่งั้นก็อีกเกณฑ์ในวิกิพีเดีย 1. สิ่งเคารพสูงสุด 2. ศาสดา 3. คัมภีร์ 4. ผู้สืบทอด 5. ศาสนสถาน 6. สัญลักษณ์ 7. พิธีกรรม ผมหาจากแหล่งอื่นที่เขาแบ่งครับ ผมไม่ได้เป็นคนตั้งเกณฑ์ขึ้นมาเอง หาเกณฑ์ใหม่ที่มีแหล่งอ้างอิงให้ผมก็ได้ครับถ้าไม่ใช้เกณฑ์ที่ผมบอก จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 20:18:34

ความคิดเห็นที่ 44 ต้องจำเพาะลงไปว่า ศาสนาที่ถูกโยงเข้ากับวิทยาศาสตร์มากที่สุดคือ พุทธศาสนา แต่ผมอยู่ฝ่ายที่เชื่อมั่นว่าพุทธศาสนา กับวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่า ธรรม คือ ความเชื่อ แต่ คือความจริง อริยสัจสี่ หลักอนิจจัง ทุกขขัง อนัตตา วิทยาศาสตร์ ก็คือศาสตร์แห่งความจริงเช่นกัน ถ้าสมมุติ    ธรรมะคือความจริง   วิทยาศาสตร์คือความจริง สองอย่างนี้ย่อม เป็นความจริงเหมือนกัน วิทยาศาสตร์ ในอนาคตเริ่มค้นหาเข้าถึงภายในจิต(ผู้สังเกต) เชื่อมโยงกับ ปรากฎการณ์ธรรมชาติในเอกภพ (สิ่งที่ถูกสังเกต) แต่หลายคนให้ขอบเขตวิทยาศาสตร์ต่างกัน นักวิทยาศาสตร์บางคนยอมรับวิทยาศาสตร์แค่ปรากฎการณ์ที่ประจักษ์ในเชิงกายภาพ ซึ่งเท่ากับติดอยู่ในกับดักลวงของสมอง แค่เท่าที่ข้อจำกัดวิวัฒนาการสั่งให้คิด เช่นเดียวกับฝ่ายศาสนาบางคนที่คิดว่าวิทยาศาสตร์มีขอบเขตแค่นั้น  เพราะเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์มีขอบเขตแค่นั้น จึงกล่าวว่าวิทยาศาตร์นั้นต่ำชั้นกว่าศาสนา แต่จริงๆแล้ววิทยาศาสตร์ที่แท้จริงต้องค้นหาความจริงทั้งหมดของ จิตผู้สังเกตุและปรากฎการณ์ในเอกภพ แต่มีคำสอนว่าเป็นอจินไตย คือสิ่งที่ไม่มีทางหยั่งรู้ได้ด้วยการคิด หรือการใช้ตรรกะ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าอจินไตยนี้มีจริงหรือไม่ แต่ถ้ามีจริง อจินไตยนี้เอง คือสิ่งที่กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง จากคุณ : พิซซ่าหน้าปลาเค็ม เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 23:16:50

ความคิดเห็นที่ 45 #44 ผมมองว่าข้อจำกัดที่แท้จริงของวิทยาศาสตร์ไม่ได้อยู่ที่ "เชิงกายภาพ" แต่อยู่ที่ "เชิงประจักษ์" มากกว่า นั่นหมายความว่าเพียงคำว่า "รู้ได้ด้วยตน" ของพุทธศาสนาเท่านั้นทำให้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ถูกแบ่งแยกจากพุทธศาสนาทันที เพราะหากรู้ได้ด้วยตนแต่ไม่สามารถเผยแพร่เชิงประจักษ์ให้คนอื่นเห็นได้ ต่อให้เป็นเรื่องทางกายภาพเองก็ตามวิทยาศาสตร์ก็จะไม่ยืนยันว่าเป็นจริง จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 23:53:10

ความคิดเห็นที่ 46 เรา เชื่อเรื่องเวทย์มนต์บางเรื่อง เรายังไม่นับถือศาสนาได้เลย จริงๆต้องบอกว่าเชื่อทุกศาสนาอย่างละนิดอย่างละหน่อย จากคุณ : DevilDoll เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 00:06:32

ความคิดเห็นที่ 47   คห.13,20,23,40,43 อ่า งั้นขอ mapping ไปยังนิยามล่าสุดละกัน 1. สิ่งเคารพสูงสุด : สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ การค้นหาความจริง 2. ศาสดา : ถ้าให้นับต้อง Ibn al-Haytham ,Aristotle ,... http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_scientific_method http://en.wikipedia.org/wiki/Scientific_method 3. คัมภีร์ : journal นับได้มั้ย ... สูตรทฤษฏี ต่างๆ จริงๆ มันมีน่ะครับ ลองเข้าไปดูครับ ขั้นตอนในการ proof สิ่งต่างๆ มันมีวิธีการอยู่ {Abduction,Deduction,Induction} 4. ผู้สืบทอด : แถวๆนี้มีเยอะ ... มีที่ทั้งได้รับการยกย่องเป็น ศ. ,รศ., ผศ. พวกนี้แสดงถึงตำแหน่งทางวิชาการทั้งนั้น ... หรือแม้กระทั่ง คนที่"~สอน" ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ก็นับได้ว่าเป็นผู้สืบทอดแล้ว หรือแม้กระทั้ง อัศวินวิทยาศาสตร์ เช่นสมาชิกหว้ากอเป็นต้น 5. ศาสนสถาน : ห้องแลป - -"" 6. สัญลักษณ์ : สัญลักษณ์นี้ไม่แน่นอนครับ พุนเองสัญลักษณ์คืออะไร ... ธรรมจักร .. พระพุทธรูป (ไม่ได้มีในสมัยพระพุทธ)... ใครเป็นคนนิยาม .. หรือจานบิน ... ถ้าถามว่าวิทยาศาสตร์มีมั้ย ผมว่ารูป atom ล่ะ ..หรือรูปตัว integrate ล่ะ ... จริงๆ วิทยาศาตร์จะว่าไปมี symbol เยอะมากก็ได้ 7. พิธีกรรม : การ conference ไง ... เป็นพิธีกรรมที่ใช้ในการยอมรับสมาชิกใหม่ ว่ามีความรู้เพียงพอที่จะได้รับการยอมรับ ... เรามีการมอบรางวัลต่างๆ ... จริงๆ คำนีน่าจะแปลได้ว่า method เรามีพิธีกรรมอีกแบบหนึ่งที่นักวิทย์ไม่สามารถเลี่ยงได้คือ science method ซึ่งก็คือการ ตั้งสมมุติฐาน การทดลอง การพิสูจน์ การสรุปผล ... ตรงนี้ก็เป็นพิธีกรรมได้ จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 00:13:28 A:124.120.229.250 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 48 มันคือสิ่งเดียวกัน แต่คนมักจะแยกมันออกจากกัน จากคุณ : kodindy เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 00:33:18

ความคิดเห็นที่ 49   วิทยาศาสตร์ กับพุทธ ต่างกันตรง ค้นหาความจริง นี่แหละครับ วิทยาศาสตร์จะพยายามค้นไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด พุทธ หยุดตรง อจินไตย จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 00:54:15 A:124.120.229.250 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 50 วิทยาศาสตร์อาจจะเป็นศาสนา ก็ได้นะ : ) จากคุณ : SuicideJumper เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 01:12:11

ความคิดเห็นที่ 52 มองต่างมุม  สำหรับคริสเตียน  คนที่เชื่อศาสนาไม่ได้กลัววิทยาศาสตร์ แต่เห็นว่า การค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ ๆ ทำให้รู้ว่า พระเจ้า มีหนทางหรือวางกฎเกณฑ์ของวัตถุ สสาร ที่ได้ทรงสร้างให้ปรากฎมีขึ้นมาอย่างไร แบบไหน และพระคัมภีร์ให้ภาพธรรมชาิติ หรือโลกกายภาพของพระเจ้าอย่างไร แต่คนที่ไม่เชื่อพระเ้จ้ามองว่า ยิ่งเราค้นคว้าหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่าไหร่ เราก็คงวิ่งหนี พระเจ้าหรือทำให้พระเจ้าค่อยหายไปได้มากขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนว่าคนที่วิทยาศาสตร์ต่างหากที่เป็นฝ่าย วิ่งหนีศาสนา แต่ในมุมมองแบบคริสเตียนนั้น ไม่ได้ต้องวิ่งเข้าหาวิทยาศาสตร์ หรือต้องวิ่งหนีเพราะกลัวว่าจะทำให้พระเจ้าหายไป แต่รอวิทยาศาสตร์เติบโตขึ้นและนำมาสู่พระเจ้ามากกว่า   หรือไม่จำเป็นต้องกลัวการถูกพิสูจน์ หรือกลัวทฤษฎีกำเนิดจักรวาลหรือสิ่งต่าง ๆ เช่น ทฤษฏวิวัฒนาการของดาร์วิน ทฤษฏีของฮอร์กิง จากนักวิทยาศาสตร์  ทฤษฎีคือสิ่งที่คาดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นน่ะ แต่ไ่ด้ฟันธง เพราะหลายทฤษฎีก็ยังไม่ลงตัวกันหมด คือนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อการมีอยู่ของพระเจ้าจะทำอะไรก็แล้วแต่ก็คงเป็นสิทธิของเขา แต่เราถือว่าหากเขาค้นหาไปเรื่อย ๆ เขาก็จะเข้ามาหาพระเจ้าเองด้วยสิ่งที่ค้นไปเรื่อย ๆ นั้น    ปัญหาที่เกิดกันมาคือ การตีความพระคัมภีร์ในภาษาเดิมแบบผิด ๆ หรือไม่ครอบคลุมพอ ยกตัวอย่างเช่น การตีความว่าโลกแบบโดยมีสวรรค์อยู่บนและนรกอยู่ล่าง หรือเป็นครึ่งวงกลม อันเนื่องจากการที่พระคัมภีร์กล่าวว่า ฟ้าสวรรค์คือที่ประทับของพระเจ้า ดังนั้นมนุษย์มองขึ้นฟ้าก็เลยเชื่อว่าท้องฟ้าคือสวรรค์ และใต้พื้นคือนรก  ถ้าได้ศึกษาพระคัมภีร์จะเ็ห็นว่า พระคัมภีร์หลายเล่ม หลายตอนใช้การพรรณาเชิงโวหารเปรียบเทียบ เป็นกลอน หรืออุปมาอุปมัย แต่รากทรัพย์จริง ๆ นั้นที่เป็น ฮีบรู กรีก และอารมาเลข นั้นให้ภาพที่ถูกต้องแฝงอยู่ตามวิทยาศาสตร์สมัยนี้  แต่สมัยที่วิทยาศาสตร์ไม่เจริญมาก การรอคอยความจริงทางโลกกายภาพจากนัิกวิทยาศาสตร์ก็ไม่ทันการต่อความอยากจะเชื่อของผู้คนในอดีต ดังนั้นจึงเป็นการเป็นการสร้างกระบวนการความรู้ผิด ๆ ล่วงหน้าไปก่อนเป็นกรอบบังคับให้ผู้แสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยนั้นเดินตาม หรือ การที่โรมันคาทอลิกเชื่อว่าโลกคือศูนย์กลางระบบสุริยะ โดยมีดวงอาทิยต์ และดาวต่าง ๆ เคลื่อนที่รอบโลก นั่นคือความเชื่อถึงพระเจ้าว่า พระเจ้าคือจุดศูนย์กลางแห่งสรรพสิ่งที่ได้กำเนิดมา โลกทัศน์กายภาพโดยเฉพาะโลกที่มีนุษย์อยู่นี้ต้องเป็นศูนย์กลางด้วย  แต่กาลิเลโอพิสูจน์ว่าดวงอาทิตย์คือศูนย์กลางในขณะที่กาลิเลโอก็เป็นคาทอลิกด้วยเสียเอง แต่ปัญหาคือ กาลิเลโอไม่ได้มีอำนาจในมือ คือหากกาลิเลโอมีอำนาจการเมืองในมือ บางทีประวัติศาสตร์โลกอาจเป็นไปอีกแบบ  การขัดแย้งทางศาสนจักรและวงการวิทยาศาสตร์ในอดีต นั้นก็ด้วยการเมืองและขึ้นกับว่า ใครมีอำนาจกว่ากันด้วยเหมือนกัน  แต่บังเอิญว่าวงการวิทยาศาสตร์ ไม่เคยมีอำนาจในมือ เพราะนักวิทยาศาสตร์ก็อยู่ในห้องทดลองหรือรับใช้อาณาจักรการเืมืองและศาสนา  ศาสนจักรกลัวคนกล่าวหาว่าบอกให้เชื่องเรื่องโลกผิดจากกาลิเลโอแล้วจะทำให้ สูญเสียอำนาจ สูญเสียสมาชิกหรือเกิดระบบตีความอิสระแยกตัว ตรงนี้ก็สำคัญมาก นี่คือสาเหตุหนึ่ง ที่มาร์ติน ลูเธอร์ ขอแยกตัวจากนิกายโรมันคาทอลิก อันเนื่องจาก การผูกขาดสิทธิในการศึกษา ตีความพระคัมภีร์และนำนักบวชและสมาชิกส่วนหนึ่งแยกออกมาเป็น นิกายโปรแตสแตนท์ เพราะสงสัยในหลักข้อเชื่อและหลักปฏิับัติที่โรมันคาทอลิกอ้างว่าพระคัมภีร์บอกมา หรือกระบวนการศรัทธาหรือความเชื่อก็มีการ ถกเถียงและวัฒนาการในตัวเอง    ปัญหาที่คนไม่อยากเชื่อพระเจ้า (ํพระเจ้า=YAHWEH,ยาเวห์) เมื่อมองจากโลกกายภาพ เท่า ๆ ที่พอรวบรวมได้ เช่น 1. เอกภพนีช่างกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน  โลกเป็นจุดเล็ก ๆ  ดูเวิงว้าง คว้างเคว้งไร้สิ่งใด    หรือทำไมพระเจ้าสร้างเอกภพใหญ่ขนาดนี้เทียบกับโลกที่เหมือนกับขี้ฝุ่นไร้ค่า และคาดว่าก็น่าจะ มีสิ่งมีชีวิตในโลกอื่น ๆ ที่ไกลออกไปหลายปีแสง และถ้าน่าจะมีก็คาดว่าพระเจ้าไม่น่ามีจริง คือมนุษย์ ในดาวต่าง ๆ วิวัฒนาการดังเช่นดาวโลก และติดต่อกันไปมา พระเจ้าจึงไม่น่ามีบทบาทอะไรหรือไม่จำเป็นก็ได้ นัยความหมายหนึ่งคือ ไม่มีพระเจ้าเพราะเอกภพมันใหญ่เกินไป  คือบางคนคิดว่าถ้าตัวเขาเป็นพระเจ้าคงไม่สร้างเอกภพใหญ่ขนาดนี้หรอก หรือเกินความจำเป็นแห่งการทรงสร้างสำหรับมนุษย์หากพระเจ้ามีจริงและสร้างเอกภพ และระยะทางเกีี่ยวโยงกับเวลา ซึ่งตัวเวลาที่มากตามระยะทางทำให้สามารถคาดคิดถึงเรื่องวิวัฒนาการ ในหลักหลาย ๆ ล้านปีขึ้นมาได้   นี่คือโลกทัศน์รับรู้ที่คิดว่า พระเจ้าน่าจะทำให้โลกใหญ่มาก ๆ หรือทำให้เอกภพเล็กกว่านี้มาก ๆ กว่าที่ควรจะเป็นอยู่นี้  เรื่องนี้มีคนอธิบายไว้ในเชิงศาสนาบวกกับวิทยาศาสตร์เอาไว้ได้ลงตัวมาก เอาไว้จะนำมาบรรยายภายหลัง พอจะอธิบายให้ภาพประหลาดมาก เช่น หากเราดูระยะ ทางระหว่างดวงดวงและภาพดวงที่เห็นในท้องฟ้า ที่เป็นจักรราษีต่าง ๆ และสิ่งบอกเหตุต่าง ๆ ที่เป็นนัย สำคัญในท้องฟ้า เช่น ดวงดาวที่นำโหราจารย์ไปเข้าเฝ้าพระคริสต์ตอนกำเนิด  และเชื่อมโยงกับปฏิทินฮีบรูซึ่งเป็นปฏิทินจริงของพระคัมภีร์ เราก็จะพอเห็นเหตุผลได้ว่าทำไมพระเจ้าต้องสร้างและวางดวงดาวต่าง ๆ ในระยะที่เราเห็นเช่นนั้นได้ ผู้ไม่เชื่อพระเจ้าอาจบอกว่าคือเรื่องบังเอิญ แต่โครงสร้างเอกภพที่ไกลกันมากเกินกว่าจะเชื่อมโยงความบังเอิญได้นั้นก็ัขัดแย้งกับทฤษฏีความบังเอิญ ที่เราคิดขึ้นมาเีสียเอง คือคุณจะเชื่อว่ามีใครวางโครงสร้างเอกภพ และตำแหน่งดาวต่าง ๆ ไว้เสียก่อน ที่สิ่งบังเิิอิญเหล่านี้ับังเิกิดมาหรือเปล่า หรือมองในมุมพระเจ้ากล่าวว่า พระเจ้าวางดวงดาวสำคัญต่าง ๆ ในระยะทางที่มนุษย์จะเห็นและสังเกตุได้ตามหมายสำคัญทางคำพยากรณ์พระคัมภีร์  หรือไม่จำเป็นต้องไปคาดคิดว่า โลกเราคือศูนย์กลางเอกภพหรือระบบสุริยะดังเช่นสมัยโบราณ แล้วไปเที่ยวไล่ฆ่านักวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าโลกคือศูนย์กลาง แต่หากระบบการหมุนและโครงสร้างเอกภพทุกอย่างมันถูกกำหนดให้มนุษย์เพื่อเขาจะไ้ด้สังเกตุเห็นเช่นนั้น   โดยหลักการพระคัมภีร์แล้วพระเ้้จ้าเป็นอนันต์ แต่ในทางศาสนาศาสตร์ความเชื่อคริสเตียน เราได้ข้อสรุปจากพระคัมภีร์ว่า เอกภพนี่แ้ม้จะใหญ่มากสุด ๆ เหมือนไม่มีขอบเขตแต่ก็มีความจำกัด หรือมันจำกัดในขนาดหนึ่ง ๆ ที่บอกไม่ได้ และจะถูกทำลายและทรงสร้างใหม่ หลังยุคพันปีหลังจากพระเยซูกลับมาครั้งที่สองเืพื่อปกครองโลกนี้พันปี ตามการตีความพระธรรมวิวรณ์ หรือพระเจ้าใหญ่กว่าเอกภพที่เราเห็นกันอยู่นี้เสียอีก  นักวิชาการพระคัมภีร์ที่เป็นนัิกวิทยาศาสตร์ด้วย ก็กำลังศึกษาว่า เอกภพนี้มันเกิดแบบฉับพลันหรือพระเจ้าสร้างแบบฉับพลันทันทีหรือค่อย ๆ เกิดขึ้นมา ในภาษาเดิมของพระคัมภีร์ให้ภาพว่า เอกภพที่เราอาศัยอยู่นี้พระเจ้าสร้างน่าจะให้มันเกิดฉับพลัน ณ ที่จุดเริ่มต้นเวลาหนึ่ง ๆ ในอดีต คือเกิดจากศูนย์รวมหรือเกิดทุก ๆ ที่พร้อมกัน  แต่เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเดี๋ยวยาว   สรุปว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เราคาดคิดและเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า คือความคิดที่ใหญ่เช่นพระเจ้า คือเราตัวเล็กเป็นขี้ฝุ่นในจักรวาลแต่ความคิดต่อเนื่องในจิตใจมันไม่จำกัดและครอบคลุมทั้งจักรวาล ซึ่งสังเกตุได้จากความคิดของนักวิทยาศาสตร์และผู้คน  พระเจ้าให้มนุษย์อยู่ในโลกเล็ก ๆ เป็นขี้ฝุ่นในจักรวาล  และบางครั้งเรารู้สึกว่าเอกภพที่ใหญ่มหาศาลนี้ไร้ค่าสำหรับเราหากคิดในทางกลับกัน คือเราก็เหมือน อยู่ในครอบแก้วหนึ่ง ๆ ที่มีท้องฟ้าและเมฆกั้นไว้แค่นั้น พระเจ้า(ยาเวห์) สำแดงให้มนุษย์ทราบและรับรู้แท้จริงมากเพียงเท่านี้คือโลกนี้  ความเชื่อผิด ๆ ของศาสนจักรก็มาจาก สาเหตุนี้ได้คือรับรู้ว่าทุกสิ่งคือโลกนี้ หรือโลกคือศูนย์กลางเอกภพซึ่งก็ถูกแต่ไม่หมด เพราะพวกเขาปฏิเสธการรับรู้ทางวิทยาศาสตร์กายภาพ โลกคือศูนย์กลางในแง่จิตวิญญาณที่พระเจ้ากำหนดให้มนุษย์กำเนิด ส่วนฝ่ายกายภาพที่รับรู้ไม่จำเป็นที่พระเจ้าจะให้โลกกายภาพคือศูนย์กลาง ศาสนาจักรได้เข้าใจผิด และเอาโลกจิตวิญญาณกับกายภาพเป็นความหมายเดียวกัน  กาลิเลโอและนักวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ในอดีตก็กลายเ็ป็นเหยื่อนี้ (ต่อ 54#) แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 53 03:23:17 จากคุณ : 1p2m เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 03:22:10

ความคิดเห็นที่ 53 ผมว่า พระพุทธเจ้าใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์นะ เพราะท่านสังเกตเอง ตั้งสมมติฐานเอง ทดลองเอง จนได้ผลการทดลองมาบอกต่อ แต่ตัวสาวกน่ะแหละ ที่เอาแต่เชื่อๆๆๆๆๆๆ เพราะตรงที่เชื่อโดยไม่พิสูจน์นี่แหละ ทำให้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ จากคุณ : navalsamurai เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 03:22:12

ความคิดเห็นที่ 54 (ต่อ) 2. สภาพภายนอกในปัจจุบัน ที่เป็นการทรงสร้างของพระเจ้าดูไม่น่าจะมีพระเจ้าหรือผู้สร้าง   ประเด็นนี้ให้ภาพได้คล้าย ๆ กับนิยายเรื่องหนึ่ง คือท่านอาจได้เคยอ่านเรื่อง อาดัมกับเอวา แล้วรู้สึกเป็นภาพสวยสดงดงามไร้ที่ติ อาดัมคือเทพบุตรสวยงาม เอวาคือนางงาม เมื่อเทียบกับมนุษย์ปัจจุบันนี้ที่ท่านเห็น จึงคิดว่า ไม่มีพระเจ้า แต่มันคือวิวัฒนาการ  เรื่องนี้มีสาเหตุหลากหลาย ซึ่งหากท่านไม่เชื่อพระเจ้าจะลองค้นดูความลึกลับ แปลกประหลาดแล้วเอามาประเมินทางวิทยาศาสตร์ได้  กลับไปที่ประเ็ด็น อาดัมกับเอวา มนุษย์คู่แรก กับเรื่องวิวัฒนาการ นักวิวัฒนาการก็กำลังหาสิ่งที่เรียกว่า "missing link" หรือสายใยเชื่อมต่อที่หายไป ที่เชื่อว่าจะบอกว่าได้ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากไหนได้อย่างไร กับพวกโครงมนุษย์ประหลาดที่มีอยู่ และน่าจะทำให้พระเจ้าไม่มีได้อีกต่อไป เพราะมันจะบอกว่าไม่ต้องมีพระเจ้าสร้างชีวิตขึ้นมา เพราะมนุษย์มาจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รอสายต่อที่หายไปนี้ไปเืชื่อมอยู่ในวันหนึ่งข้างหน้า  กลับมาต่อเรื่อง อาดัมกับเอวา ที่ทำให้ท่านนึำกว่าภาพต้องสวยหรูเหมือนฉากหนังฮอลลีวู้ด เวลาอ่านพระัคัมภีร์ที่กระชับรวบรัด เหมือนดูหนังที่ตอนเริ่มเรื่องไปเร็วมากแล้วมาช้าตอนหลัง ๆ นั่นแหละ เพียงไม่กี่หน้าก็สรุปรวบรัดเลยว่า มีมนุษย์ตอนแรก 2 คนแล้วก็ไปเข้าเรื่อง อับราฮัม โนอาห์ โมเสส แล้วมาพระคริสต์ซึ่งจะยาวที่สุดในตอนหลัง ๆ  ที่รวบรัดตอนแรกดูไม่น่าเป็นไปได้ เพราะไร้การอธิบาย แบบลงรายละเอียดถี่ยิบในช่วงแรก ไอน์สไตน์ เองก็เคยกล่าวว่า เรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิล ไม่น่าจะเป็นจริงไปได้ โดยเหตุนี้ทำให้ไอน์สไตน์ไ่ม่ได้เป็นคริสเตียน ก็เลยทำให้หลายคนเื่ชื่อตามไอน์สไตน์ว่ามันก็เป็นไปไม่ได้จริง ๆ เพราะขนาด อัจฉริยะัอันดับหนึ่งของโลกวิเคราะห์แล้วก็คงถูก แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่ได้คิดอะไรถูกทุกเรื่อง หลายปัญหาก็ยังเถียงแพ้เพื่อนร่วมงาน  และคริสเตียนไม่ได้สนใจว่าไอน์สไตน์พูดไว้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร   ที่นี้เรามาดูกันว่า ภาพสายหรูของอาดัมกับเอวามันเป็นยังไง ในทางพระคัมภีร์เราอาจจะเห็นว่า เป็นชายและหญิงที่ดูงดงามไร้ที่ติ ภาพฝ่ายวิญญาณก็เช่นนั้น ภาพเนื้อหนังก็เช่นนั้น สวนเอเดนก็ไร้ที่ติเช่นนั้น สวนเอเดนทุกวันนี้ตรงกับเมืองแบกแดด ประเทศอิรักทุกวันนี้เอง และก็เป็นบริเวณที่มนุษย์โบราณสร้างหอบาเบลเพื่อจะขึ้นไปท้าทายพระเจ้าในยุคที่พูดภาษาเดียวกันทั้งโลก ก่อนที่พระเจ้าจะทำให้ภาษาแตกออกไปหลายภาษาทุกวันนี้ (คือถ้าไม่มีเหตุการณ์บาเบล ทุกวันนี้เราก็คงไม่ต้องมานั่งเรียนภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศอะไรกันเพื่อสื่อสารกัน) เหตุที่อิรักทุกวันนี้มีแต่สงครามและความตาย เพราะถูกสาปมานับสมัยอาดัม หรือแบกแดดในอิรักไม่มีวันสงบสุขจนวันสิ้นโลก !!  ที่นี้หากเราเปรียบภาพสวยงามไร้ที่ติดั่งเทพนิยาย กับมนุษย์ัปัจจุบัน เช่น คนผิวสีเหลืองเอเซีย และคนดำอาฟริกาแล้ว หรือในแง่ที่กลุ่มคนเหยียดผิวที่มองว่าคนดำดูไม่สวย น่ารังเกียจ ผมหยิกติดหนังหัว ดูเหมือนลิง และพวกผิวเหลืองเอเซียก็ดูไม่สวย จมูกไม่โด่ง ตัวเล็กแคระ ฯลฯ ความที่ดูไม่งดงามในสายตามนุษย์ จึงไม่แปลกที่ทำให้เรามองมนุษย์ทุกวันนี้ดูไม่น่ามาจากพระเจ้า อันเนื่องจากทัศนคติที่คาดหวังว่า พระเจ้าน่าจะทรงสร้างมนุษย์ให้เลิศเลอ วิจิตร สวยงาม จมูกโ่่ด่ง ผิวขาว แบบฝรั่ง คือในทัศคติแย้ง ใันตัวมนุษย์เองเราก็มองว่าคนขาวฝรั่งดูสวยงามเหมือนตุ๊กตา ดูเหมือนมีผู้สร้าง แต่พอเราไปดูคนดำอาฟริกา คนป่าผีตองเหลือง เราก็มองว่า พวกเขาเหมือนลิง มนุษย์น่าจะวิวัฒนาการมาไม่น่ามีคนสร้าง เพราะผู้สร้างไม่น่าสร้างคนให้เหมือนลิง นี่คือสิ่งที่เราคาดหวังและคิดเชื่อมโยงใช่หรือไม่ ? แล้วยิ่งมีกระดูกคนกับลิงคล้ายกันอีก ทำให้ความหวังที่จะหาลิงค์ที่หายไปที่ต่อมนุษย์ปัจจุบันกับมนุษย์ประหลาดโบราณที่พบที่คล้ายลิง ก็น่าจะบอกว่าคนมาจากตัวอะไรบางอย่างไม่ใชู่ถูกสร้างโดยพระเจ้า  ทั้งมวลนี้เรามองสิ่งที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ และสรุปไปว่า อาดัมกับเอวาหากมีจริงดังว่านั้นกับมนุษย์ปัจจุบันนี้ช่างห่างไกลกันมากเกินว่าจะโยงกันได้  และสัตว์ต่าง ๆ เช่น ไดโนเสาร์ สัตว์รูปร่างประหลาด ๆ อีก ผนวกกับเอกภพที่ใหญ่เกินบรรยาย กาลเวลาหลายล้านปีก็น่าจะทำให้มีวิวัฒนาการ  ทัศนคติเรื่องกาลเวลาเป็นล้าน ๆ ปีมาจากเรื่องขนาดเอกภพที่กว้างใหญ่ระยะทางห่างกันมาก ๆ เพราะเราคาดว่าถ้าเราเป็นพระเจ้าหรือพระเ้จ้ามีจริงคงไม่สร้างอะไรแบบนี้ รูปร่างเช่นนี้ขึ้นมา เพราะดูมันน่าเกลียด ความคาดหวังส่วนตัว ประกอบกับสิ่งที่เห็นด้วยตาและข้อมูลต่าง ๆ นำไปประมวลผลว่ามันคือวิวัฒนาการ แต่กับดักของวิัวัฒนาการคือเรื่องเวลา จนนักวิวัฒนาการต้องหาคำตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า มันคือการก้าวกระโดดของวิวัฒนาการโดยปัจจัยพิเศษต่าง ๆ สิ่งเร้าอะไรต่าง ๆ  ให้เปลี่ยนแปลงอย่างเร็ว เพื่อย่นเวลาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ให้เข้ากับช่วงเวลาจริงที่เห็นอยู่ เพราะเวลาจริงมันไม่มากพอ ดูแล้วไ่ม่ต่างกับที่จะคิดว่าพระเจ้าทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดเป็นรูปร่างอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ทันทีโดยการสร้างเหมือนกัน เรื่องกาลเวลาเอกภพแท้จริงอาจจะถกเถียงกันไปได้ว่ากี่หลายล้านปี คือเราวัดเวลารังสีของธาตุหนึ่ง ๆ แล้วลองคิดย้อนไปเืพื่อหาเวลาก็ได้เป็นหลายล้านปี แต่ก็ไม่ได้หมายความมันจะต้องเริ่ม ณ เวลาที่อดีตเป็นล้านปี แต่ถึงยอมรับเวลาของเอกภพที่ได้มาจากนักฟิสิกส์กับวิวัฒนาการก็ดูจะไม่พออยู่ดีถ้าไม่ย่นเวลาโดยเหตุบังเอิญแบบทันทีทันใจ   คำตอบเรื่องสายใยมนุษย์นี้เราหาเหตุเชื่อมโยงได้ เช่น ลำดับพงศ์พันธุ์ของลูกโนอาห์หลังน้ำท่วมโลก ที่เราจะพอเห็นเชื้อสายมนุษย์แยกไปเป็น คนขาว คนดำ คนเหลือง ได้และเรื่องลึกลับบางสิ่งที่เป็นเหตุแห่งการกลายพันธุ์มนุษย์ที่เป็นเหตุของฟอสซิลมนุษย์รูปร่างแปลก ๆ  ในเชิงศาสนากล่าวว่า ผลกระทบของบาปในทางจิตวิญญาณทำให้อาดัมและเอวาสูญสิ้นสภาพ อมตะและสวยงามวิจริตตระการตา อย่างที่เราคาดหวังไว้นั่นแหละเมื่อหลายพันปีก่อนมาแล้ว  ในทางศาสนาศาสตร์หรือหลักวิชาการพระคัมภีร์ใ้ช้คำพูดว่า เสื่อมจากพระสิริดั่งเดิมของพระเจ้า คืออาดัมและเอวา ก่อนทำบาปดูไร้ที่ติ พอเสื่อมจากพระเจ้าทำให้ยีนส์และสสารต่าง  ๆ ในร่างกายเปื่อยเน่าผุผัง มีขี้ตัว ทำให้เิริ่มมีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ฟันผุ หนังย่นเหี่ยว คือเริ่มแก่ชรา เจ็บป่วย แล้วตายนั่นเอง (รวมถึงสัตว์ต่าง ๆ ก็เสื่อมสภาพด้วย) พระึ่คัมภีร์บอกว่าอาดัมมีอายุเก้าร้อยกว่าปี หรือเกือบพันปีกว่าจะตาย ลองประเมินว่าอาดัมกับเอวาจะมีลูกมีหลานด้วยกันกี่พันคนในชั่วอายุของเขา  ความหลากหลายของลูกก็เป็นไปได้แม้กระทั่งหลังยุคโนอาห์ที่ลูกหลานโอหาห์ก็มีอายุหลายร้อยปี แต่มาถูกกำหนดให้ไม่เกิน 120 ปีรุ่นหลัง ๆ คือพวกเรา ดังนั้น ประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณและทางโลกของคนรุ่นเรากับรุ่นอาดัมจึงมีประสบการณ์ที่เทียบกันไม่ได้ พระคัมภีร์ไม่บอกลงรายละเอียดว่า อาดัมเขาทำอะไรบ้างหลังจากถูกไล่ออกมาจากสวนเอเดนกับเอวาและอยู่อีกหลายร้อยปีกว่าจะตาย หรือไปตายที่ไหน อย่างไร มันมีพงศ์พันธุ์ที่คาบเกี่ยวทางเวลากันอยู่ หากเราไปไล่รุ่นพงศ์พันธุ์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์  สายพันธุ์รุ่นอาดัมกับเอวารุ่นแรก ๆ สามารถแตกไปได้มากพอที่จะทำให้ยีนส์ของอาดัมและเอวาเริ่มแรกกับลูกหลานรุ่นหลัง ๆ จะต่างกันได้มาก จนทำให้ สีผิว โครงสร้างกายภาพภายนอกต่างกันอย่างมากได้ในภายหลัง คืออาจดูเป็นไปไม่ได้ที่ คนป่าผิวดำอาฟริกา ดูไม่สวยงาม จมูกบี้ ผมหยิกติดหนังหัว ดูเหมือนลิง ไม่น่าจะเป็นลูกหลานอาดัมที่น่าจะดูเหมือนคนที่สวยงามเป็นเทพบุตรในเทพนิยายได้เลย แต่จริง ๆ มนุษย์ทุกคนหลายเผ่าพันธุ์ หลายสีผิว ก็กลายพันธุ์มาจากอาดัมกับเอวานี้   พระเจ้าไม่ได้สร้างคนดำ คนขาว คนเหลือง ให้ต่างกันมาแต่ต้นก็ว่าได้ แต่สภาพความหลากหลายทางชีวภาพที่ซ่อนอยู่ในการทรงสร้าง ของพระเจ้าได้สำแดงออกมาในช่วงกระบวนการเปลี่ยนแปลงนับจากอาดัม ดังนั้นในมุมมองคริสเตียน แล้วมนุษย์ทุกสีผิว ทุกเผ่า จึงมีคุณค่าเท่ากัน เท่าเทียมกัน คนขาวไม่ได้มีศักดิ์ศรีเหนือกว่าคนดำหรือคนเหลือง ไม่ต่างกัน  สิ่งเหล่านี้อาจถูกใช้เป็นบททดสอบมนุษย์อย่างเราในภายหลังได้  อารยธรรมมนุษย์เท่าที่พอประเมินได้สูงสุดอยู่ที่ราว ๆ 10,000 ปี (เมื่อก่อนคิดว่าประมาณ 5-6 พันปี) หรืออาดัมและเอวาน่าจะถูกสร้างประมาณนี้  พวกเขาไม่ไ้ด้อยู่ห่างจากเราเป็นล้าน ๆ ปี และเปลือกโลกสมัยก่อนที่เป็นแผ่นดินเดียวกันจากการคาดการของนักวิทยาศาสตร์ การกระจายตัวมนุษย์ที่เป็นพงศ์พันธุ์ลูกหลานอาดัมกับเอวาในช่วงแรกไปทั่วโลกหรือทั่วแผ่นดินเดียวกันก็ไม่แปลก อารยธรรมจีน เมโสโปเตเีมีย มายัน อินเดีย ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นก็ได้เพราะโลกมีแผ่นดินเดียว  การขุดพบฟอสซิลมนุษย์ที่ต่าง ๆ ก็จึงไม่แปลกเพราะมนุษย์เกิดและตายในที่ต่าง ๆ ก่อนที่แผ่นดินจะแยกออกจากกันเป็นทวีปต่าง ๆ ทุกวันนี้   ที่เราแปลกใจเพราะเราคาดคิดถึงโลกอดีตโดยการเอาภาพของโลกปัจจุบันไปวางทับซึ่งทำไม่ได้ พิมพ์เขียวมันไม่เหมือนกัน ส่วนพวกมนุษย์รูปร่างประหลาด ๆ ตามฟอสซิลที่ขุดได้มีเหตุผลอื่นนอกไปจากนี้ แต่พวกเขาก็คือมนุษย์ประเภทหนึ่งที่เกิดในสมัยปฐมกาล เช่น มนุษย์ยักษ์ทีู่สู้กับดาวิด  พระคัมภีร์เขียนให้เวลาหลายพันปีอยู่ในกระดาษไ่ม่กี่หน้า นักวิชาการพระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าต้องการสำแดงเท่า ๆ ที่จำเป็นให้มนุษย์รู้ ถึงที่มาของพวกเขาผ่านบรรพบุรุษของพวกเขา คาดว่าผู้เขียนพระคัมภีร์ปฐมกาลคือโมเสส ในขณะที่เขาเดินทางนำอิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์ แต่หากอยากจะค้นหาที่มาโยงใยกันแล้วก็หาได้แต่เป็นงานหินก็ว่าได้ที่จะแกะรายละเอียดหนังสือ ปฐมกาล (Genesis) ออกมาได้นับจากอาดัมและเอวา เรื่องทั้งมวลเหล่านี้มีรายละเอียดทั้งทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ มากพอจะประมวลผลให้ทั้งหมดลงไปในหนังสือปฐมกาลได้  ทั้งหมดที่กล่าวมา ก็จะเสนอได้ว่า วิทยาศาสตร์กับความเชื่อคริสเตียน ในเรื่องที่มาของมนุษย์ นับอดีต มาจนปัจจุบันนี้ และที่จะเกิดในอนาคต ล้วนไม่ต้องมีเหตุใดที่จะมาแ้ย้งกัน  หรือถ้าจะประมวล ทุก ๆ สิ่งทั้งประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โบราณคดี ภาษาศาสตร์ ความเชื่อคริสเตียนตามพระคัมภีร์ก็ดูมีเหตุผลลงตัวและสมบูรณ์แบบทีุ่สุดสำหรับมนุษย์ อาจจะเป็นการกล่าวเข้าข้างตัวเอง แต่ทุกศรัทธาความเชื่อย่อมมีเหตุผลผลแห่งความเื่ชื่อของตน นั่นคือคำตอบว่ามนุษยชาติมาจากไหน เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ชีวิตหลังความตายมีอะไร ปลายทางคืออะไร และพระคริสต์ก็คือหนทางเดียวสำหรับมนุษยชาติ จากคุณ : 1p2m เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 03:22:38

ความคิดเห็นที่ 55 ขอถามละกัน  ใครเป็นคนสร้างพระเจ้าหรือครับ? แล้วคนสร้าง คนสร้างพระเจ้าล่ะเป็นใคร ? อย่าบอกนะ พระเจ้าสร้างตัวเองได้อ่ะ.. ขอบคุณครับ สำหรับคำถาม จขกท. ผมตอบว่า ใช่.. ประเด็นแบบนี้เคยถกในหว้ากอ.. จึงทราบข้อมูลว่า ผู้อำนวยการองค์การนาซ่าแต่ละคน   "ไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ" สิ่งนี้เห็นชัด และเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์โดยตรง แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 53 03:45:48 แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 53 03:43:45 จากคุณ : O-DED เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 03:36:10

ความคิดเห็นที่ 56 จีนและเวียดนามมีศาสนาครับ ว่างๆคุณลองไปเที่ยวทั้งสองประเทศดูก็แล้วกัน คอมนิสต์ไม่ได้ห้ามนับถือศาสนาครับ แต่เป็นเพราะช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เหมาเจอตุง เชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์มากไป และลัทธิต่างๆ มีการหลอกลวงและงมงายมากไป เลยเกิดเรื่องที่เหมือนกับห้ามนับถือศาสนาขึ้น พอพ้นช่วงท่านมประธานเหมาฯ จึนก็กลับมาฟื้นฟูศาสนาเหมือนเดิมครับ   เวียดนามมันเกิดจากบางลัทธิอาศัยศาสนา ซ่องสุมผู้คน เพื่อประโยชน์ทางการเมือง มิได้มีการห้ามนับถือศาสนาแต่ประการใดครับ จากคุณ : Darkvider เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 03:39:07

ความคิดเห็นที่ 57 สำหรับคริสเตียน ในทางศาสนา  พระเจ้า(ํYAHWEH)คือที่สุดปลาย หรือผู้เป็นอยู่ดังเช่นที่เห็นอยู่ ไม่ต้องมีใครมาก่อนหรือจะมาหลังพระเจ้า คือไม่มีใครสร้างพระเจ้า หากเราถามถึงคนมาก่อน ก็ต้องถามถึงคนที่มาก่อนอีกไปเรื่อย ๆ  คือในบรรดามนุษย์ด้วยกันคงตอบไม่ได้  คงต้องไปถามพระเจ้าเอง  แน่นอนว่าผู้เชื่อในพระเจ้าก็ยังสงสัยในสภาพดำรงอยู่ แต่ไ่ม่เป็นเหตุผล ที่ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าไม่ได้ดำรงอยู่หรือไม่มีตัวตน แต่สงสัยสภาวะที่ดำรงอยู่ พระเจ้าในมุมมองคริสเตียน ไม่ได้มองพระเ้จ้าเหมือนมองวัตถุชิ้นหนึ่งที่ให้นั่งมองแล้วคิดว่าเป็นตัวอะไร อยู่ได้อย่างไร มีใครมาก่อน  แต่สิ่งที่มีสภาวะเป็นบุคคลมีความคิดเช่นเรา หรือผู้ทำให้มนุษย์ก้อนดินมีสำนึกรับรู้ตัวตนขึ้นมา เราจึงคิดได้ว่าเรามาจากไหน แต่ไปคิดต่อว่าแล้ว คนทำให้เรามีตัวตนคือพระเจ้าเิกิดอย่างเราหรือไม่ อย่างไร สภาวะมนุษย์กับพระเ้จ้าต่างกันสิ้นเชิง สรุปคือ ไม่มีใครตอบได้    คนโบราณในที่นี้ก็โยงกับลูกหลานอับราฮัม ก็คือบิดาคนหลายชาติรวมถึงอิสราเอลด้วย ดูจะเห็นภาพที่สุดว่า มนุษย์โบราณเช่น อับราฮัม โนอาห์ เขาคิดอย่างไรกับสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า คนโบราณไ่ม่ถามการมีอยู่และการเป็นของพระเจ้า ไม่มีบทสนทนาระหว่าง โมเสสกับพระเจ้า หรืออับราฮัมกับพระเจ้า โนอาห์กับพระเจ้า ที่พูดคุยเรื่องปรัชญาหรือโมเสสถามว่าพระเจ้ามาจากไหน หรือแม้แต่อาดัมก็คงไม่คาดคิดถึงสภาวะที่พระเจ้าเป็น เขาอาจรู้ตัวว่าเขาถูกสร้างมาให้มีตัวตนจากก้อนดิน แต่เขาไม่สงสัยในตัวของพระเจ้าเช่นเรา จะมีก็รุ่นลูกหลาน หรืออาจกล่าวได้ว่าจิตวิญญาณของอาดัมและมนุษย์รุ่นลูกหลานแรก ๆ พวกเขา ไม่สงสัยเกี่ยวกับพระเ้จ้าเลยก็ว่าได้เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า  แม้แต่ในสมัยพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ พระเยซูก็กับสาวกก็ไ่ม่เคยพูดถึงสภาวะนิรันดรของพระเจ้าว่าเป็นไปได้อย่างไรโดยไม่มีจุดกำเนิดและจุดจบ คือไม่มีการพูดเรื่องนี้ให้เห็นในบทสนทนาใด ๆ  กล่าวเพียงแต่ว่า หากเราห่างจากพระเจ้าเราจะสงสัย ถึงพระเจ้าเพราะส่วนหนึ่งเราจะตายไปเพราะบาป จิตวิญญาณจึงคิดคำนึงถึงกาลเวลาที่ผ่านไปทุกวัน ๆ เพื่อเดินไปสู่ความตายนั้น แต่จิตวิญญานนิรันดร หรือที่เรียกว่าความรอดนั้นคงอยู่ในสภาะที่เ้ข้าใจ สภาวะนิรันดรไม่มีกำเนิดและสิ้นสุดของพระเจ้าได้  มนุษย์โบราณจึงอยู่ใกล้หรือเ้ข้าใกล้มากจนเขา ไม่สงสัยแม้เขาจะเป็นมนุษย์       คำว่าีชีวิตนิรันดรตามที่พระเยซูพูดจึงเป็นเหตุทำให้ิจิตวิญญาณมนุษย์อยู่ในสภาะเดียวกับพระเจ้าและ คงทำให้สภาวะจิตใจที่หวนคำนึงนึกคิดถึงกาลเวลาที่จะต้องจบสิ้นของชีวิตมนุษย์ขณะนี้หมดสิ้นไป และเมื่อนั้นเราคงเข้าใจว่าไม่ีมีกำเนิดและไม่มีสิ้นสุดของพระเจ้าเป็นเช่นไร เพราะเราอยู่ในสภาวะนั้น จากคุณ : 1p2m เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 04:10:34

ความคิดเห็นที่ 58   ผมว่านะ สองเรื่องเนี่ยมันควรเเยกกันพูด วิทยาศาสตร์ หลักความจริง ศาสนา หลักความเชื่อ มันปนกันไม่ได้หรอก เเต่คนเราสามารถมีสองอย่างนี้ได้อ่ะครับ เหมือนศึกษาวิทยาศาสตร์ ใจก็เชื่อเรื่องศาสนา จากคุณ : Iceslasher เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 04:11:12

ความคิดเห็นที่ 59 ขยายความคำว่าชีวิตนิรันดร ก็คือสื่อถึงสภาวะที่ไม่ตายหรืออมตะ เราไม่รู้อะไรมากนักในเรื่องโลกนิรันดร หลังยุคพันปีไปแล้วพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่ามีกาลเวลา หรือดูเหมือนไม่มีการเปรียบเทียบเหตุการณ์อะไรอย่างทางโลกอีกต่อไป คำว่ากาลเวลา ตัวนี้แหละที่เป็นปัญหาที่ทำให้เราถามว่า ใครสร้างพระเจ้า ก่อนหน้าพระเจ้ามีอะไร และคำว่ากาลเวลา มักใช้กับมนุษย์คือชีวิตที่ดำเนิน เป็นอยู่ และตาย คือเกิดแล้วตาย กาลเวลาไม่ถูกใช้ก่อนอาดัมหรือหลังยุคพันปีของโลกนี้   ให้ความรู้  - "ยุคพันปี" ในพระคัมภีร์ คือ ช่วงเวลา 1,000 ปีบนโลก เริ่มเมื่อพระเยซูกลับมาครั้งที่สองในเร็ว ๆ นี้ เพื่อพิพากษามนุษย์โลกในวันสิ้นโลก ปิดฉากประวัติศาสตร์โลกเก่านี้เสีย และจะปกครองโลกนี้เป็นเวลา 1,000 ปี โดยมีเมืองหลวงโลกคือเยรูซาเล็ม   ในพระคัมภีร์ให้ภาพโลกนี้ เทียบเคียงกับอิสราเอล โดย กษัตริย์ดาวิดซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ิยิ่งใหญ่ที่สุด ของอิสราเอลในอดีต  พระเยซูคือเหมือนดาวิดในช่วงพันปีที่จะมาถึง แต่เป็นกษัตริย์ของโลก ยุคพันปี คือช่วงเวลาแห่งการรื้อฟื้นและการทรงสร้างธรรมชาติโลกนี้ขึ้นมาใหม่ และจะมีประชากรชนชาติเกิดใหม่  หรือวันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาอีกลงมาจากท้องฟ้าไม่ได้กลับชาติมาเกิด ลงมาเป็นกษัตริย์มีตัวตนมาเดินในโลกนี้อีกครั้งที่เยรูซาเล็ม แต่ก่อนจะถึงวันนั้นโลกจะเข้าสู่สภาวะวิบัติหายนะอย่างรุนแรงเสียก่อน ประสบการณ์จิตวิญญาณที่สั่งสมภาพของอดีตและอนาคตที่เห็นผ่านมาแลผ่านไป ก็ตีความหรือ ประเมินออกมาเป็นเวลา ถ้าเราไม่ตายเราคงจะรู้สภาวะนั้นที่เราถามว่าแล้วใครจะสร้างพระเจ้า ยกตัวอย่างเช่น ผู้เชื่อในปัจจุบันนี้ รู้ถึงพระเจ้าโดยไ่ม่ต้องล่วงรู้เรื่องอาดัมและประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เคยผ่านมาอย่างหมดสิ้นเีสียก่อน เช่น คนทั่ว ๆ ไปที่เชื่อในเรื่องสิ่งศักดิื์สิทธิ์อยู่แล้ว เชื่อในเรื่องผี เ้จ้าป่า เจ้าที่ ต่าง ๆ เสมือนกับว่าพระเจ้าทำให้เขารู้สึกนึกคิดกับพระเจ้าเป็นปัจจุบันเสมอ  ผ่านสิ่งเหล่านี้ คนส่วนหนึ่งจำนวนมากจึงไม่ค่อยถามทางปรัชญากับพระเจ้า ในเรื่องที่ว่า กาลเวลา เพราะเขารู้โดย จิตวิญญาณอยู่แล้ว แต่หากไปบอกเขาก็จะคิดและสงสัย ซึ่งคนโบราณก็เชื่อในสิ่งเหล่านี้เช่นกัน คนโบราณส่วนหนึ่งก็คิดเช่น พวกนักปรัชญาสมัยโบราณ ในทางพุทธบอกว่าความไม่รู้ของมนุษย์ ไมรู้อะไรตรงนั้นก็เรียกตรงนั้นว่าพระเจ้า หรือพระเจ้าคือสภาวะนิพพาน  แต่คริสเตียนมองพระเจ้าเป็นชีวิต เป็นบุคคล ตามที่สำแดงในพระคัมภีร์  สิ่งไม่รู้ที่ว่าก็คือความที่ไม่รู้จักผู้นั้นที่ดำรงตนเป็นพระเจ้าอยู่นั่นเอง สำหรับผู้เชื่อในทุกยุคสมัย หรือการรับรู้เรื่องราวในอดีตเสมือนว่าเราเคยร่วมรับรู้หรืออยู่ใกล้กัน หรือผู้เชื่อในแต่ล่ะยุคจะมองพระเจ้าเป็นปัจจุบันเสมอ แล้วทำให้ความคิดจิตวิญญาณของคนเชื่อมโยงกัน เช่น ถ้าคุณเชื่อพระเจ้าคุณจะอ่านเรื่องอาดัมกับเอวาและทั้งเล่มเสมือนกับว่ามันเพิ่งเกิดมาไม่นาน นี่คือตัวอย่างในเชิงประสบกาณ์ทางศาสนา  ผู้เชื่อจะเห็นพระเจ้าเหมือนไม่มีความเปลี่ยนแปลง คนโบราณจึงพูดบอกกับลูกหลานว่า พระเจ้าคือผู้เป็นนิตย์ เป็นนิรันดร ทรงเป็นดั่งเช่นที่เป็นอยู่ ผู้ไม่สิ้นสุด  เขาก็คงไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากกว่าที่เราก็คิดกันอยู่ทุกวันนี้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ปัญหาโลกแตก อย่างเช่น ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน เพราะวันหนึ่งเราจะเข้าใจสภาวะนั้น แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 53 05:29:56 จากคุณ : 1p2m เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 04:41:26

ความคิดเห็นที่ 60 คุณ 1p2m ผมเคยตอบแล้วว่าหลักฐานทาง Molecular Biology บอกว่าไม่มี Adam กับ Eve ครับ มนุษยชาติไม่เคยมีแค่สองคน และวิวัฒนาการเกิดกับประชากร ประชากร และประชากรเท่านั้น แต่ขอบคุณนะครับที่ให้ผมได้อ่านบทความดีเท่าของคุณหมอสม สุจิราเวอร์ชั่น christian จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 08:03:38

ความคิดเห็นที่ 61 ตามคำภีร์ศาสนาเทพมังกร ระบุไว้ว่า เทพมังกรทรงสร้างพระเจ้าขึ้นมาครับ จากนั้นพระเจ้าถึงสร้างโลก และจักรวาล ส่วนทางพาสตาฟาเรียนบอกไว้ว่าไม่มีพระเจ้า แต่เป็น FSM ที่สร้างโลก และจักรวาลขึ้นมา อย่างน้อยแนวคิดสองศาสนานี้เราก็ควรต้องรับฟังนะครับ ไม่ใช่ฟังแต่ศาสนากระแสหลักที่มีคนนับถือเยอะๆ เพราะก็มีความน่าเชื่อถือไม่น้อยไปกว่าศาสนาอื่นเหมือนกัน จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 08:35:13

ความคิดเห็นที่ 62   ผมไม่ใช่คนคริสต์ .... แจ่ก็พอจะเข้าใจ คำว่าพระเจ้าที่ ท่านยกกันมา .. คล้ายๆ กับว่าทุกๆ สิ่งในโลก มี อะไรบางอย่างที่ กำหนดทุกอย่างมาก่อนล่ะ แต่.. ในหลายๆ ศาสนา ไม่ได้มีการกำหนดพระเจ้า ขึ้นมา ไม่ได้มีความพยายามที่จะเชื่อมโยง ให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนา มีอัตลัษณ์ เป็นตัวบุคคล ตรงนี้น่าจะต่างกัน จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 08:44:44 A:124.120.229.250 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 63 ดราม่ามาแล้วจ้า............... จากคุณ : สวย ส่ายสุดๆ เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 09:32:06

ความคิดเห็นที่ 64   ว่าแล้วต้องเถียงกันยาว 555 จากคุณ : Aukub เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 10:02:52

ความคิดเห็นที่ 65 ทุกอย่างล้วนต้องเริ่มต้นจากศรัทธาทั้งหมด ทั้งศาสนา และวิทยาศาสตร์ แต่ต่อจากนั้นจะเป็นขั้นตอนในการทดลอง ปฏิบัติ และประสบผล.. จากคุณ : padawan เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 13:37:48

ความคิดเห็นที่ 66 คุณ 1p2mครับ งั้นผมขอถามต่อได้ไหมว่า.. -ณ เวลานี้ พระเจ้าอยู่ตรงส่วนไหนของจักรวาล? ทำอะไรอยู่? -ถ้าจะพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มีพระเจ้า จะใช้กล้องของNASA ตรวจสอบได้ไหม? -คนที่เป็นคริสเตียน ติดต่อกับพระเจ้าได้อย่างไร? เพราะพระเจ้าน่าจะอยู่ไกลมาก คลื่นวิทยุคงต้องใช้เวลาเดินทางนานมากๆ อีกทั้ง ถ้าท่านคุยกับพระเจ้าได้จริง ท่านต้องถามคำถามที่ท่านสงสัยได้ทั้งหมด และนัดหมายกับพระเจ้าได้ว่า  "พรุ่งนี้ให้พระเจ้ารออยู่ ณ ตำแหน่งนี้ก่อนนะ" จะได้หันกล้องฮับเบิ้ลไป เพื่อตรวจสอบ..หรืออะไรทำนองนั้น.. -ถ้าพระเจ้าใหญ่มากๆ (อาจจะใหญ่กว่าจักรวาลด้วยซ้ำ) พระเจ้าท่านสร้างเศษฝุ่นนี้(โลก) และมนุษย์ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ใด ? เพื่อความบันเทิงส่วนตัว แบบว่าไม่มีอะไรจะทำ หรือว่าสร้า้งโลกนี้แล้ว มันมีความสำคัญต่อตัวท่านอย่างไร? (แรงผลักดันคือ ยศ ตำแหน่งเพิ่ม หรืออะไร ?) สุดท้ายถามว่า.. ถ้าไม่มีมนุษย์  พระเจ้าจะยังมีอยู่ อีกหรือเปล่า ? เพราะถ้าไม่มีมนุษย์ ท่านจะลิขิตใคร?(ตกงาน) หรือรับคำอธิษฐานจากใคร? พูดคุยกับใคร ? สร้างใคร ? ........9ล9 จากคุณ : O-DED เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 13:43:51

ความคิดเห็นที่ 67 วิทยาศาสตร์: มุ่งพิสูจน์และความจริงที่ของสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา หรือไกลตัวเราออกไป โดยต้องสรุปได้เป็นที่มาและที่ไป มีทั้งหลักการและเหตุผล และต้องมีการทดลองซ้ำไปซ้ำมาหลายๆ ครั้งเพื่อสังเกตุผลของสมมติฐานนั้นว่าได้ผลใกล้เคียงกันหรือไปในทางเดียวกันทุกครั้ง เมื่อไหร่ที่มีทฤษฏีใหม่ๆ มาหักล้างก็ทำให้ทฤษฏีเก่านั้นตกไป ยอมรับทฤษฏีใหม่ๆ เข้ามาแทน พุทธศาสนา: มุ่งปฏิบัติและคิดหาทางเพื่อความสงบร่มเย็นทางด้านจิตใจของผู้นับถือ โดยส่วนตัว ศาสนาพุทธก็มีหลายแง่มุมที่น่าสงสัยเช่นเรื่องปฏิหารย์ต่างๆ ในพระไตรปิฏก ซึ่งถูกชำระโดยคนรุ่นหลังมาหลายครั้งหลายครา แล้ว มีการบิดเบือนบ้างไหม? แล้วพระพุทธเจ้านั้นท่านเผยแพร่ศาสนาเพื่อสิ่งใด และจุดมุ่งหมายอันนั้นยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันหรือไม่? เบี่ยงเบนไปจากจุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าเท่าใดแล้ว? และสิ่งที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจงอย่าเชื่อเรา โดยไม่ได้พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง (จำแบบเป๊ะๆ ไม่ได้ขอโทษครับ) หากพิจารณาแนวทางการปฏิบัติทางพุทธหลายๆ อย่างจะต่างกับวิทยาศาสตร์จนไม่น่าจะเอารวมกันได้ เช่น วิทย์ฯ มุ่งเน้นพิสูจน์ความจริงไปเรื่อยๆ พิสูจน์มันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาอะไรพิสูจน์ไม่ได้ มันก็คงกลับมาทบทวนทฤษฏีเก่าหาทฤษฏีใหม่ที่ดีกว่า แต่พุทธหวังที่จะหลุดพ้นทุกข์ต่างๆ ซึ่งในความเข้าใจของผมคือให้ ปฏิบัติดี, คิดดี, พูดดี และเมื่อใจสงบ ในปัจจุบันก็จะไม่ทุกข์ สบายใจและร่มเย็นมาสู่ตัวผู้ที่ปฏิบัติ คิดว่าพุทธศาสนา ไม่ได้ตั้งใจจะให้คำอธิบายสิ่งต่างๆ รอบตัวเราหรอกครับ คิดว่าเพื่อหาทางสงบให้จิตใจเสียมากกว่า พอจิตใจสงบก็จะสบายประมาณนี้แหละครับ จากคุณ : genocideath (genocideath) เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 13:44:10

ความคิดเห็นที่ 68 #47 สิ่งเคารพสูงสุด: สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ <- สรุปว่าคืออะไรล่ะครับ มีอะไรที่เป็นเหมือน "พระเจ้า" ในวิทยาศาสตร์ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่สามารถลบหลู่ได้? ศาสดา: ทำไมมีเยอะจังครับ อิสลามยังมีคนเดียวเอง ที่เหลือเป็นผู้พยากรณ์ ที่พูดๆ มาแน่ใจหรือครับว่าเทียบได้กับศาสดา ไม่ใช่อัครสาวก คัมภีร์: journal จะนับมั้ยครับ พิสูจน์ทฤษฎีใหม่ลอยมาทีก็เขียนแก้ทีเนี่ย บอกแล้วครับว่าถ้าจะเทียบกับทางศาสนาให้ได้ก็เทียบได้กับแค่พระวรสารเอง สิ่งที่เป็นเหมือนพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แย้งไม่ได้ แก้ไม่ได้ ขัดไม่ได้ ไม่มี สัญลักษณ์: ของทางศาสนาพุทธ "สัญลักษณ์" ที่เป็นตัวแทนศาสนาจริงๆ มีแค่ตราธรรมจักรครับ เหมือนกับที่คริสต์มีไม้กางเขน เหมือนกับที่อิสลามมีจันทร์เสี้ยว ในเชิงศาสนาไม่มีสัญลักษณ์ที่ไม่แน่นอนครับ ยกตัวอย่างของคริสต์ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใดก็ต้องเป็นเครื่องหมายไม้กางเขน เพื่อให้รำลึกถึงพระเยซู แต่ถ้าคุณบอกว่าอะตอมเป็นสัญลักษณ์ของวิทยาศาสตร์ แล้ววันหนึ่งเขาพบว่าโครงสร้างอะตอมไม่ใช่แบบนี้ ถึงกับต้องเปลี่ยนสัญลักษณ์ของศาสนาเลยเหรอครับ ในเมื่อยังเป็นศาสนาเดิมอยู่ ข้อที่เหลือไม่มีข้อแย้งครับ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 15:51:32

ความคิดเห็นที่ 69   ทำไมหลายท่านจึง คิดว่า ถ้าพระเจ้ามีจริงแล้วต้องมีขอบเขตและมีพิกัดแน่นอนในจักรวาล แถมต้องอยู่นอกโลก สมมติฐานแบบนี้มาจากหนังฮอลลีวู๊ดรึเปล่า? จากคุณ : Ter เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 16:02:50 A:85.154.13.156 X: TicketID:182506

ความคิดเห็นที่ 70 ตอบ #69 ก็พระเจ้าสามารถรับรู้คำอธิษฐาน และบันดาลสิ่งที่ขอได้นี่ครับ.. (ผมจึงถามว่า ติดต่อกันผ่านคลื่นชนิดไหน?) ท่านสร้างโลก สัตว์ มนุษย์ และคอนโทรลสิ่งที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้ได้ เหตุใดตัวท่าน จึงเป็นแค่สิ่งนามธรรม จับต้องไม่ได้ detectไม่ได้ล่ะครับ? จากคุณ : O-DED เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 17:17:56

ความคิดเห็นที่ 71 ^ คุณจับอากาศ จับลมได้ไหมคะ แล้วมองเห็นไหมคะ แต่ก็รู้ใช่ไหมคะว่ามี แล้วก็มองเห็นเชื้อโรคได้ด้วยตาเปล่าหรือเปล่าคะ เมื่อตาของคนมองไม่เห็นแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีเสมอไปจริงไหมคะ พระเจ้าเองก็รู้ว่าตาคนเรามองไม่เห็นพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงบอกให้เรา วิเคราะห์สิ่งที่พระเจ้าสร้าง เพื่อจะได้รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นต้องมีผู้สร้าง  และมีผู้ทำให้ มันทำสิ่งต่างๆ ตามกฏเกณฑ์ เพื่อให้ทุกชีวิตในโลกอยู่ได้อย่างมีความสุข ซึ่งปัจจุบันก็โยนให้เป็นเรื่องของธรรมชาติไป เพราะมันง่ายดี ส่วนตัวแล้วคิดว่า การที่บอกว่าอะไรๆ ก็เป็นกฏของธรรมชาติ ในขณะที่ธรรมชาติก็คือความบังเอิญที่เกิดขึ้นเอง ประหนึ่งความสุ่มของเลขล็อตเตอรี่ ว่าถ้าไอ้นั่นไอ้นี่ไอ้โน่น มันมารวมกันด้วยความบังเอิญแล้วจะเกิดเป็นคน สัตว์ โลก ขึ้นมาได้ เราว่าคิดแบบนี้ไม่เห็นมันจะเป็นวิทยาศาสตร์ตรงไหน ฟังดูเหมือนเรื่องดวง เรื่องความฟลุ๊ค มากยิ่งกว่า การบอกว่าสิ่งต่างๆ ถูกสร้างโดยพระเจ้าซะอีก แต่อันนี้นานาจิตตัง อยากเชื่ออะไรก็เชื่อไปเถอะค่ะ ความเชื่อส่วนบุคคล แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 53 18:39:10 จากคุณ : LuNaTicCaT เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 18:31:18

ความคิดเห็นที่ 72 จริงอยู่ อากาศ ลม และเชื้อโรค ที่คุณยกตัวอย่างมานั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  ....แต่มีอยู่จริง การจะพิสูจน์ว่ามีอยู่จริงได้  นอกจากจะใช้ประสาทสัมผัสของตนเองแล้ว ยังสามารถใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่า อากาศ และลมนั้น ประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง มีสัดส่วนเท่าไหร่..มีเกิดขึ้นได้อย่างไร และเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง.. เชื้อโรคก็เหมือนกัน..สามารถพิสูจน์ว่ามีอยู่จริงได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือการใช้ยาปฎิชีวนะ เพื่อการรักษาโรค....(ฆ่าเชื้อโรค) กระบวนการพวกนี้สามารถพิสูจน์โดยใครก็ได้ ที่สงสัยการมีอยู่จริงของสิ่งที่คุณยกตัวอย่างมาข้างต้น แต่พระเจ้าอ่ะ  ที่บอกว่ามีจริง มีจริงน่ะ  ตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ พิสูจน์ได้ยังไง?  หรือมนุษย์คิดเอาเองว่ามีพระเจ้า.... คือจริงๆแล้ว พระเจ้าอยู่ในสมองมนุษย์รึเปล่า...... ผมจึงถามว่า  ถ้าไม่มีมนุษย์  พระเจ้าจะยังมีอยู่อีกไหม ? จากคุณ : O-DED เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 18:56:55

ความคิดเห็นที่ 73 ความคิดเห็นที่ 71 "ในเมื่อไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่น่าเกิดเองได้ ก็แสดงว่าพระเจ้าสร้าง" เหตุผลแบบนี้เค้าเรียก Fallacy หรือเหตุผลวิบัติครับ เป็นประเภท Argumentum ad Ignorantiam การโต้แย้งโดยอ้างความไม่รู้ ขอไม่อธิบายโดยละเอียด เพราะเรื่อง Fallacy กับ Logic มันบาดใจศาสนิกชน เกิดใครเข้าใจแจ่มแจ้ง ปรุโปร่ง ถึงขั้นนำไปใช้ได้ จะเสื่อมศรัทธาในศาสนาจัดตั้งเสียเปล่าๆ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 19:48:07

ความคิดเห็นที่ 74   #72 1) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน่ะหรือที่คุณหมายถึง ทำไมถึงคิดว่าเป็นงั้นล่ะ ไม่คิดว่ามีวิธีอื่นในการสื่อสารที่วิทยาศาตร์ปัจจุบันยังไปไม่ถึง หรือเครื่องมือวัดไม่ละเอียดพอบ้างหรือ? 2) บางทัศนะที่กล่าวพระเจ้ามีทุกหนทุกแห่ง คุณมีความเห็นว่าอย่างไร? 3) บางทัศนะที่กล่าวว่ามนุษย์มีเจตจำนงค์เสรี และพระเจ้าให้สิทธินั้นแก่มนุษย์ คุณมีความเห็นว่าอย่างไร? จากคุณ : Ter เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 20:42:57 A:85.154.15.171 X: TicketID:182506

ความคิดเห็นที่ 75 อ่าน # 71แล้วฮา เหมือนสับสนอะไรสักอย่างLogicกลับตาลปัตไปหมด สังเกตดูเอาเถิดว่า สิ่งนามธรรมเหล่านี้เวลาพยายามจะอธิบายหรือยกตัวอย่าง มันจะต้องชักแม่น้ำทั้งห้า พยายามเปรียบเทียบยกตัวอย่างกันสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้มั่วไปหมด แถไป แถมา สุดท้ายถ้าตั้งสติคิดก็จะตระหนักครับ จริงอยู่ที่ว่าใครอยากเชื่ออะไรก็เชื่อไปเถอะ ความเชื่อส่วนบุคคล แต่ ความเชื่อบางอย่าง ถึงคนที่เชื่ออยากจะให้มันเป็นความจริงแค่ไหน แต่มันก็เป็นได้แค่ "ความเชื่อ" อะไรจริงไม่จริง แยกให้ออกครับ อย่างมงาย ปล.เหมือนบางคนเชื่อว่า GT200 ตรวจระเบิดได้นั่นแหละ จากคุณ : Jitwinyan เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 21:17:16

ความคิดเห็นที่ 76 # 74 ก่อนจะเที่ยวให้ใครตอบคำถาม ผมว่าคุณลองให้คำจำกัดความสิ่งที่คุณทึกทักเอาเองว่า "พระเจ้า" ให้ได้เสียก่อนเถิด จากคุณ : Jitwinyan เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 21:22:29

ความคิดเห็นที่ 77 # 74  ตอบคุณ Ter 1) คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน่ะหรือที่คุณหมายถึง ทำไมถึงคิดว่าเป็นงั้นล่ะ ไม่คิดว่ามีวิธีอื่นในการสื่อสารที่วิทยาศาตร์ปัจจุบันยังไปไม่ถึง หรือเครื่องมือวัดไม่ละเอียดพอบ้างหรือ? ตอบ..โอเคครับ ผมยอมรับว่า..  สิ่งที่คุณใช้ติดต่อกับพระเจ้ากันอยู่ทุกวันนั้น เป็นวิธีการติดต่อสื่อสาีรที่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไปไม่ถึง..+ เครื่องมือวัดยังไม่ ละเอียดพอตามที่คุณบอก.. ดังนั้น ผมจึงต้องขอให้คุณช่วยอธิบายว่า..คุณใช้สิ่งใดติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าของคุณ? เพราะการที่คุณสามารถใช้สิ่งนั้นได้  แสดงว่าคุณต้องรู้จักสิ่งนั้น และรู้จักวิธีใช้มันด้วย.. สุดท้าย เมื่อคุณมั่นใจว่ามันมีอยู่จริง คุณจะพิสูจน์ให้คนทั่วไปรู้ได้อย่างไรว่า มันมีอยู่จริง? 2) บางทัศนะที่กล่าวพระเจ้ามีทุกหนทุกแห่ง คุณมีความเห็นว่าอย่างไร? ตอบ..อืม.."พระเจ้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง"..ผมขออนุญาตเม็มคำนี้ไว้นะครับ.. ผมว่า เอามีแห่งเดียวกันก่อนดีไหมครับ..เพราะถ้าพระเจ้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แล้วบ้านไหนที่ไม่ได้นับถือพระเจ้า ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงล่ะ พระเจ้าจะมีอยู่ที่นั่นอีกไหม..? เช่น โต๊ะทำงานของผมในตอนนี้  เป็นต้น แล้วถ้าพระเจ้ามีอยู่ทุกแห่งจริงๆ มันจะยุ่งไปกันใหญ่ในหลายๆเรื่อง เช่นเรื่องภาษา.. เพราะแต่ละแห่ง ก็พูดภาษาไม่เหมือนกัน แล้วเวลาอธิษฐานหรือขออะไรจากท่าน ท่านจะแปลออกทุกภาษาได้ยังไง ? 3) บางทัศนะที่กล่าวว่ามนุษย์มีเจตจำนงค์เสรี และพระเจ้าให้สิทธินั้นแก่มนุษย์ คุณมีความเห็นว่าอย่างไร? .... ตอบ..หมายความว่า มนุษย์ทุกคนมีอิสระที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ก็ได้ใช่ไหมครับ ? -เอาเป็นว่าคุณอธิบายผมเรื่อง พระเจ้ารับรู้คำอธิษฐานของคนทั่วโลกที่อยู่ต่างถิ่น ต่างภาษา ได้อย่างไรก่อนจะดีกว่าครับ แล้วผมจะตัดสินใจเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระเจ้า.. ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 11 ม.ค. 53 21:45:20 จากคุณ : O-DED เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 21:40:39

ความคิดเห็นที่ 78 #71 จับอากาศได้นะครับ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกจนสัมผัสทางกายไวพออาจจะคิดว่าไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย ลองไปเล่นรถไฟเหาะตีลังกาครับแล้วจะรู้ว่าจับได้ยังไง ส่วนเรื่องที่ว่าฟลุ้ัคอันที่จริงก็ไม่ได้ฟลุ้คมากมายอะไรครับ ก่อนจะมีสัตว์หลายเซลล์มันก็เคยเป็นสัตว์เซลล์เดียวมาก่อน แล้ววิวัฒนาการจนมีหลายเซลล์ทีหลัง ก่อนจะเป็นสัตว์เซลล์เดียวมันก็มาจากสารเคมีที่ตอบสนองแต่สภาพแวดล้อมหลายๆ อย่างมาก่อน สิ่งที่เห็นว่าซับซ้อนจนไม่น่าจะเป็นไปได้มันเกิดจากสิ่งง่ายๆ มาก่อนครับ #77 อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าพระเจ้าต้องมีรูปลักษณ์ในโลก 3 มิติเหมือนเราสิครับ เรื่องที่ว่าพระเจ้าอยู่ทุกหนแห่งจะมองเป็น Pantheism หรือ Panentheism ก็ได้ หรืออาจจะอยู่ในมิติที่ซับซ้อนกว่าเรา หรืออาจมีความเป็นไปได้อื่นๆ อีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้าอาจไม่จำเป็นต้องสื่อสารด้วยภาษาก็ได้นะครับ นี่ผมท้วงแบบกลางๆ ทั้งฝ่ายที่เชื่อและไม่เชื่อพระเจ้านะครับ โดยส่วนตัวผมไม่ฟันธงว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ แต่ถึงมีก็ไม่นับถือ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:01:44

ความคิดเห็นที่ 79 ถ้าพระเจ้ามีจริง พระเจ้ามีตัวตนทางกายภาพ หรือทางวิญญาณ ไม่ได้เด็ดขาดครับ เพราะจะติด Logic Trap ทันที อย่างน้อยพระเจ้าต้องอยู่ในสภาวะไร้ตัวตนให้สัมผัสได้ ต้องไม่มี Interaction กับสิ่งใดๆ ทางกายภาพ และกับมนุษย์ ไม่งั้นทดสอบทาง Logic ไม่ผ่านแน่ครับ หรือไม่งั้น Logic ที่อยู่กับมนุษย์มาตลอดช่วงวิวัฒนาการ ก็เป็นฝ่ายผิด อย่างเช่น พระเจ้าทั้งอยู่ทุกที่ และทั้งไม่อยู่ที่ไหนเลยไปพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกันได้ (อ่านแล้วลองนึกภาพตาม  ถ้าพยายามแล้วนึกไม่ออกแสดงว่า Logic ยังดีอยู่) จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 11 ม.ค. 53 23:48:45

ความคิดเห็นที่ 80 #78 ขอบคุณครับ โอเค อาจจะใช่ ที่คุณบอกว่าเพราะพระเจ้าอยู่ในมิติอื่นที่ซับซ้อนกว่า หรือท่านอาจไม่ต้องสื่อสารด้วยภาษาก็ได้..... แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า..คนธรรมดาๆที่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงนั้น ติดต่อกับพระเจ้าในมิติที่ซับซ้อนกว่าได้ง่ายๆ....ได้อย่างไร และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง..จะพิสูจน์แบบนี้ได้ไหม? โดยการให้คริสตศาสนิกชนทั้งหมดในโลกนี้ อธิษฐาน ขออะไรท่านซักอย่างที่เหมือนกัน ดูว่าผลจะเป็นอย่างไร ? แก้ไขเมื่อ 12 ม.ค. 53 00:19:06 จากคุณ : O-DED เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 53 00:16:23

ความคิดเห็นที่ 81   ขอ อย่าไปประเด็น เป็นการโจมตี ความเชื่อของศาสนาต่างๆ เลย ถ้าจะพูดก็ขอให้อยู่ในกรอบ "ศาสนาเปรียบเทียบ" กล่าวคือ พูดเฉพาะว่า ศาสนาใหนคิดยังไง เชื่อยังไง มีพิธีกรรมยังไง ไม่ใช่การมาบอกว่า สิ่งที่คุณเชื่อนั้นผิด ชันนั้นถูก .. เพราะ ประวัติศาสตร์ เห็นได้ชัดว่า การคิดแบบนี้ไม่สร้างสรรค์ รั้งแต่จะก่อความขัดแย้ง ที่สำคัญไม่ได้เป็นการ มอง เพื่อเข้าใจ เพื่อให้เกิดปัญญา ------------------------------------------------------------------------------- ในความคิดผม แนวคิดทางคริสต์ ในคำว่าพระเจ้าสามารถ co-exist กับความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ได้ เพียงแต่ต้องตีความออกเป็น นามธรรมให้มากหน่อย ส่วนทางของพุทธ ... ที่สุดแล้ว เป้าหมายเป็นคลละอย่างกับวิทยาศาสตร์ ส่วนของพุทธ .. คือความสุข(ความสงบ) ในใจ ... การปล่อยวาง แต่วิทยาศาสตร์ เป็นการเข้าใจอย่างที่สุด (ซึ่งหลายคนเชื่อว่า ไม่มีทางเป็นได้) ดังนั้น ต่างๆกัน .... มีใครจะค้านผมมั้ย???? จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 53 00:37:20 A:124.122.164.153 X: TicketID:205742

ความคิดเห็นที่ 82 #79 เท่าที่ได้สัมผัสจากการลองเข้าโบสถ์คริสเตียน และเข้าเซลล์ ของผมเอง พบว่า พระเจ้ามี  Interaction ทางกายภาพครับ ตอนเข้าเซลล์ จะมีช่วงหนึ่งให้แต่ละคนมาแชร์ประสบการณ์ ว่าอธิษฐานขอแล้ว ได้อะไร.. หรือแชร์ว่าวันนี้พระเจ้า ได้ทำสิ่งใดให้เราบ้าง(อยู่เบื้องหลัง เหตุการณ์นั้นๆ) ให้เราเชื่อในตัวท่านมากขึ้น   มีเพื่อนคนหนึ่งอธิษฐานขอมือถือ  แล้วท่านก็ให้จริงๆครับ จากคุณ : O-DED เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 53 00:39:05

ความคิดเห็นที่ 83 คนที่เขามีความเชื่อ เราพูดอย่างไร ก็คงยากครับคุณ O-DED เหนื่อยเปล่า เพราะศรัทธาเรากับเขาต่างกัน เป็นเหตุผลที่ปรกติผมไม่ค่อยตอบกระทู้แบบนี้...อ่านเอามันดีกว่า เพียงแต่อย่าพยายามเอาความเชื่อของตนเอง มายัดใส่เรื่องอื่นๆ รอบตัวเสียทุกอย่าง มันเป็นไปไม่ไม่ว่าจะไอสไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น หรือพระเจ้าสร้างโลก บิ๊กแบงและวิวัฒนาการไม่มีจริง เพราะคนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ ก็จะเชื่ออย่างนั้น คนที่เชื่อในศาสนาก็เชื่ออย่างนั้น วิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ไม่พยายามหาคำตอบให้ขัดแย้งกับศาสนาหรอกครับ หลายๆ ครั้ง พยายามพิสูจน์ความเชื่อด้วยซ้ำไป แต่เพราะนักวิทยาศาสตร์รู้ว่ามันยังอยู่นอกเหนือขอบข่ายการพิสูจน์ หรือการโต้แย้งไม่เกิดประโยชน์ เลยไม่ค่อยไปประท้วงหรือขัดแย้งกับฝ่ายศาสนา แต่ศาสนานี่ ชอบมาโยงให้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เสียจริง อย่าพยายามเลยครับ คนละกระบวนการคิด มันจะตอบโจทย์มาได้เหมือนกันได้ยังไง จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 53 01:50:19

ความคิดเห็นที่ 84 เท่าที่อ่านมาทั้งหมด เห็นด้วยกับหลายๆ ท่านครับ ชอบ 2 ประโยคนี้: ศาสนาพุทธ --> จบที่อจินไตย ศาสนาคริสต์ --> ถ้ามนุษย์ไม่มีอยู่ พระเจ้าจะมีอยู่ไหม (Quantum?) เรื่อง logic ก็สนุกตรงนี้แหล่ะ^^ จากคุณ : Circular Logic เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 53 09:14:27

ความคิดเห็นที่ 85 #81 อยากให้ gift ความคิดเห็นนี้ครับ ถ้าทุกคนคิดแบบนี้เราก็จะสามารถพูดคุยเรื่องศาสนาได้โดยไม่ต้องมีเรื่องเบาะแว้งกัน ได้เปิดโลกทรรศน์ทุกฝ่ายไปด้วยกัน #82 เรื่องแบบนี้จริงๆ ผมก็ไม่เชื่อครับ แต่ในที่นี้เราไม่มีเหตุให้ต้องพยายาม disprove ความเชื่อคนอื่น ขอให้พอแค่นี้ดีกว่าครับ ไม่งั้นจะหาเรื่องหมางใจกันเปล่าๆ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 12 ม.ค. 53 10:50:26