 |
ความคิดเห็นที่ 72 |
ศาสนาพุทธเน้นที่อาการ อาการทางกาย (กายา) อาการทางใจ (เวทนา) อาการทางจิต (จิตตา ) และอาการทางธรรม (ธรรมา)
เซอร์ ไอแซ๊ค นิวตัน ก็ค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วง จาก "อาการ" ตกของลูกแอ๊ปเปิ้ล ซึ่งก่อนหน้านั้นคนอื่นๆไปมองที่รูปของลูกแอปเปิล จึงไม่เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่
ก่อนยุคนิวตัน เราเดินทางโดยใช้เรือและม้า ซึ่งเป็นการวิ่งไปในระนาบสองมิติ จนเมื่อนิวตันเกิดปัญญาหยั่งรู้มองไปที่ความไม่เที่ยงของความเร็ว จากปรากฎการณ์ลูกแอ๊ปเปิ้ลตก จนค้นพบความลับของแรงและความเร่ง ซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังความไม่เที่ยงของความเร็วนั้น เป็นการค้นพบนามธรรมซ้อนนามธรรมคนแรกของโลก (ความเร่งซ้อนอยู่ในความเร็ว) ในขณะที่คนไทยเคยเห็นลูกมะพร้าวตกจากต้นเป็นล้านๆคน ทั้งๆที่ต้นมะพร้าวสูงกว่าต้นแอปเปิ้ลเกือบสิบเท่า แต่ไปมองที่รูปธรรมจึงไม่ค้นพบอะไร กฎของนิวตันทำให้มนุษย์ทะลุเข้าสู่มิติที่ 3
หลังจากนิวตันเสียชีวิตไปกว่าสองร้อยปี อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นมนุษย์คนแรกที่หยั่งรู้มองไปที่ความไม่เที่ยงของความเร่ง จนค้นพบความลับของแสงและเวลาที่ซ่อนอยู่ในความเร่ง เป็นการค้นพบนามซ้อนนามถึงสามชั้น ( เวลาซ้อนความเร่ง ความเร่งซ้อนความเร็ว )
จวบจนปัจจุบัน หลังไอน์สไตน์เสียชีวิต ก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะคนใด ที่เฉลียวใจมองไปที่ความไม่เที่ยงของเวลา และค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในความไม่เที่ยงของเวลา ซึ่งถ้าพบ จะเป็นการเปิดโลกเข้าสู่มิติที่ 5 เห็นนามซ้อนนามถึงสี่ชั้น (ความเร็ว ความเร่ง เวลา และ ??? ) ทำให้การเคลื่อนที่ทะลุมิติที่ 4 กลายเป็นเรื่องธรรมดา
ในทางวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาที่นามธรรม แต่เป็นนามธรรมภายนอกร่างกายมนุษย์ เช่น น้ำหนัก แรง ความเร็ว ความเร่ง โมเมนตัม พื้นที่ ปริมาตร ความหนาแน่น พลังแม่เหล็กไฟฟ้า ฯลฯ และที่นักวิทยาศาสตร์สามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆขึ้นมาได้ ก็เพราะการค้นพบความลับของนามธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่รูปธรรม เช่น การค้นพบความดันอากาศ ทำให้มีเครื่องบิน รูปร่างของเครื่องบินเป็นสิ่งที่มีมาทีหลังตามกรอบของนามคือความดันอากาศ หรือ ถ้าเราจะพูดว่า นามเป็นต้นกำเนิดของรูป ก็ไม่ผิด
แต่พระพุทธองค์ทรงศึกษานามธรรมภายในร่างกายมนุษย์ จนเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่เราเกิดมามีหน้าตาแบบนี้ ผิวพรรณแบบนี้ ก็มีต้นกำเนิดมาจากส่วนของนาม ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบแล้ว การเกิดของเรามีเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
นามเป็นต้นกำเนิดของรูป และจิตก็เป็นต้นกำเนิดของนาม ถ้าไม่มีจิต นามทั้งหลายเช่น ความสวย ความหอม ความดัน ความเร่ง หรือแม้แต่เวลา ก็ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงวางทางสายเอกแห่งมรรคตรงเผงไปที่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตเพียงอย่างเดียว เพราะจะเหมือนกุญแจดอกสำคัญ ( Master key ) ที่สามารถไขความลับทุกสิ่งในจักรวาล ( สัพพัญุตญาน )
ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่ต่างกันก็แต่ พระพุทธองค์ไม่รู้ภาษาทางคณิตศาสตร์ ไม่รู้ภาษาอังกฤษ พระพุทธองค์ ทรงเคยตรัสถึง เอนโทรปี มาก่อนเพียงแต่คนละภาษา เท่านั้นเอง
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ไม่ว่ารูปหรือนาม จะสามารถนำมาแปลงเป็นตัวเลขและสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้ทั้งหมด ทำให้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์สามารถสื่อถึงกันได้ด้วยภาษาทางคณิตศาสตร์ แม้ว่าจะเป็นนามธรรมชั้นสูง เช่นการยืดหดของเวลา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ก็สามารถนำมาอธิบายให้คนอื่นๆรับรู้ได้ ด้วยภาษาทางคณิตศาสตร์ พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงการยืดหดของเวลามาก่อนกว่าสองพันปี แต่ไม่มีใครเข้าใจ จนไอน์สไตน์สามารถใช้คณิตศาสตร์มาช่วยอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้ง วิทยาศาสตร์ ก็คือการอธิบายธรรมชาติ โดยอาศัยภาษาคณิตศาสตร์ เพราะคณิตศาสตร์เป็นภาษาสากลที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกใช้และเข้าใจ
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเป็นการค้นพบทางธรรมชาติฝ่ายรูป มีต้นกำเนิดของการค้นพบมาจากจิตมนุษย์ซึ่งเป็นธรรมชาติฝ่ายนาม แล้วเหตุไฉนเล่า เราจึงไม่อธิบายโดยใช้ธรรมชาติ มาช่วยอธิบายธรรมชาติ เพราะจิตมนุษย์ทุกคนมีความเข้าใจในธรรมชาติเหล่านี้อยู่แล้ว มนุษย์รู้ว่าโลกมีแรงดึงดูดก่อนนิวตันเสียอีก มนุษย์รู้จักธนู ก่อนพบค่ามอดุลัสของยัง รู้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่ขอให้อธิบายโดยเชื่อมโยงการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มายังความเข้าใจภายในจิต เมื่อนั้น จะเกิดปัญญาที่หยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่ง
จิตเป็นตัวสร้างจักรวาล ไม่ใช่จักรวาลสร้างจิต เมื่อเกิดใหม่ในภพภูมิอื่น รูปขันธ์อื่น จะพบว่าสิ่งต่างๆในจักรวาลนี้ เช่น กาแล็กซี่ หลุมดำ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ก็ไม่มีอยู่จริง ที่มีอยู่ ก็เพราะจิตมนุษย์ปรารถนาจะเห็นเช่นนั้น จึงสร้างทวารหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่จิตต้องการเห็น ภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาในระดับเหนือโลก (โลกุตตระ) ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่องจักรวาลได้อย่างถูกต้อง ทรงรู้ความลับของแสง และการยืดหดของเวลา รู้เรื่องวิวัฒนาการของสัตว์โลก เรื่องพันธุกรรม ฯลฯ มีสิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังตามพระพุทธองค์ไม่ทัน และพยายามค้นหาอยู่จนถึงทุกวันนี้ สิ่งนั้นก็คือ ความลับของแรงโน้มถ่วง การทะลุมิติ ซึ่งในสมัยพุทธกาล การเหาะเหินเดินอากาศ , การท่องไปในภพภูมิต่างๆ เป็นเรื่องที่ทำได้จริง
การบรรลุญาน ก็คือ การที่มีกำลังสติที่สูงกว่าปกติมาก ทำให้สามารถหยั่งรู้เข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆทั้งหลายทั้งปวง เห็นความไม่เที่ยง การเกิดดับ ฯลฯ จนเข้าถึงความจริงแท้ของธรรมชาติ ซึ่งความจริงทุกสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะมีใครไปค้นพบหรือไม่เท่านั้นเอง เช่น แรงดึงดูดของโลกก็มีอยู่แล้ว มันอยู่รอบๆตัวเราตลอดเวลา จนเมื่อเซอร์ไอแซค นิวตัน ไปพบความสัมพันธ์ของ F=ma หรือ F=mg ความลับก็ถูกเปิดเผย นิวตันไม่ได้เป็นคนสร้างความสัมพนธ์นี้ เพียงแต่เป็นผู้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับแรง เช่นเดียวกับ พลังงานแฝงในอะตอมก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ ไอสไตน์ ไปพบความสัมพันธ์ของ E=mc2 มนุษย์ถึงสามารถเอาพลังงานนี้มาใช้ ถึงไม่มีนิวตัน ไอน์สไตน์ กฎนี้ ความสัมพันธ์นี้ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ไม่มีการค้นพบ การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกทั้งสองท่าน เกิดจากกำลังสติที่สูงกว่าปกติ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับ กำลังสติที่ได้จากการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ดังนั้น ยังมีความจริงแท้ที่รอการค้นพบอีกมากมายในจักรวาล แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์เองก็รู้ และเคยกล่าวไว้มีใจความว่า ถ้าให้เทียบการห่างกันระหว่างความรู้ของคนที่เรียนน้อยที่สุดบนโลก กับคนที่เรียนมากที่สุดบนโลก ความห่างนั้น ก็ยังน้อยมากๆเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทั้งสองคนยังไม่รู้
ความจริงแท้ที่ได้จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นสุดยอดของการค้นพบ แต่เนื่องจากต้องใช้กำลังสติที่สูงเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้ การจะอธิบายสิ่งที่ค้นพบให้กับผู้ที่ไม่เคยฝึกสติ เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
การบรรลุภาวนามยปัญญา จะทำให้เข้าใจว่า เพราะมีผัสสะ จึงมีโลก จึงมีจักรวาล เพราะมีใจ จึงมีเวทนา เพราะมีจิต จึงมีตัณหา เพราะมีอุปาทาน จึงมีภพชาติ ทางทฤษฎีควอนตัมเคยมีการอธิบายที่สอดคล้องกับเรื่องนี้ว่า ถ้าเรานำแมวตัวหนึ่งใส่ไว้ในกล่องที่มีก๊าซพิษพร้อมที่จะรั่วออกมา ตราบใดที่เรายังไม่ได้เปิดฝากล่องดูว่าแมวตัวนั้นตายหรือยัง จักรวาลจะเป็นไปได้สองแบบ คือ แบบที่แมวยังไม่ตาย และ แบบที่แมวตายแล้ว นั่นก็หมายความว่า จักรวาลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีผัสสะรับรู้เกิดขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น ถ้าจิตไม่ยึดติดกับผัสสะแห่งทวารทางกายภาพทั้งห้าเลย เบื่อหน่าย ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เมื่อเสียชีวิตไปจะขึ้นไปเกิดในสวรรค์ชั้นอรูปพรหมทันที สวรรค์ชั้นนี้ อธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ก็คืออีกมิติหนึ่ง เป็นมิติที่รูปธรรมทางกายภาพหายหมด และแน่นอนว่า ภาพของจักรวาลที่สิ่งมีชีวิตในมิตินี้รับรู้ จะแตกต่างจากจักรวาลที่มนุษย์โลกเห็นโดยสิ้นเชิง
ตา ก็เหมือนกับ จอรับภาพโทรทัศน์ ถ้าเราปรับการรับไว้ที่ช่องเจ็ด ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า ในเวลาเดียวกัน มีเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปพร้อมๆกันทางช่อง 3 ด้วย จักรวาลต่างๆเหมือนกับคลื่นวิทยุที่มีอยู่หลายๆสถานี คุณจะไปรับรู้เรื่องราวในสถานีไหน ก็ขึ้นอยู่กับการปรับจูนคลื่นในตัวคุณ มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับ ตาที่ถูกล็อคไว้แล้วว่า ให้เห็นภาพในจักรวาลนี้เท่านั้น แสงที่ทำให้เกิดภาพต้องมีความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาทีเสมอ การปลดล็อคนี้ได้ จะทำให้เข้าใจความเป็นจริงว่า มีจักรวาลคู่ขนานที่ความเร็วแสงและแรงโน้มถ่วงแปรเปลี่ยนไปอีกมากมาย ซึ่งประสาทสัมผัสของมนุษย์มิอาจรับรู้ จะหยั่งรู้ได้ก็ด้วยจิตเท่านั้น แต่เนื่องจากจิตอยู่ในใจ และใจ ถูกกักให้ยึดติดกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตจึงมิอาจเป็นอิสระได้ จนเห็นความจริงแท้ของจักรวาล
ความเร็วแสงที่ไม่เท่ากัน จะทำให้เกิดการซ้อนทับของมิติ ในจักรวาลนี้ความเร็วแสง ความเร็วคลื่นวิทยุ แรงโน้มถ่วง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด จะอยู่ที่ 300,000 กิโลเมตร (186,000 ไมล์) ต่อวินาที นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างสองมิติซ้อนสองมิติด้วยการเล่นกับความถี่คลื่น เช่น สถานีโทรทัศน์ต่างๆนับร้อยช่องสามารถออกอากาศได้พร้อมๆกัน โดยใช้ความถี่ต่างกัน (แต่ความเร็วคลื่นต้องเท่ากัน) เช่นเดียวกับ คลื่นโทรศัพท์มือถือที่ส่งมาจะมีความเร็วเท่ากันแต่ความถี่ต่างกัน ทำให้แต่ละเครื่องรับได้เฉพาะความถี่ของตัวเอง เบอร์โทรศัพท์แต่ละเบอร์จะถูกล็อคไว้เฉพาะความถี่นั้น ในระดับโลกสามมิติสามารถเล่นกับความถี่คลื่นได้เท่านั้น แต่เมื่อเข้าสู่มิติที่สี่ จะพบว่า การเล่นกับความเร็วแสง ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเทคโนโลยีทั้งหมดที่เคยเห็นบนโลกสามมิติ ชนิดที่เรียกว่าเทียบกันไม่ได้ ซึ่งในทางสมถกรรมฐาน เรียกว่า อภิญญา แต่สำหรับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อสติไวถึงระดับที่พบกับความลับของแสงและมิติ จะไม่ให้ความสนใจกับสิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้น เพราะไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น การหลงไปกับอภิญญา จะทำให้เกิดกิเลสเพิ่มพูนขึ้นจนยากที่เข้าสู่มรรคผลนิพพาน แต่แน่นอนว่า เมื่อมีสติไวถึงระดับนั้นจะเข้าใจในเรื่องของ ภพภูมิ การตายแล้วเกิด กฏแห่งกรรม ไตรลักษณ์ อิทัปจจยตา ฯลฯ อย่างแจ่มแจ้ง จนสิ้นความสงสัยทั้งปวง
จากคุณ |
:
ปัจจตัง
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ม.ค. 53 23:24:15
|
|
|
|
 |