ความคิดเห็นที่ 1 ยอมรับตามข้อสามครับ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากคุณ : mello man เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 03:19:54

ความคิดเห็นที่ 2 ผมโหวตข้อ1ก่อน ณ ตอนนี้ แต่ก็ศึกษาแนวคิดไปพร้อมๆกัน ทั้งคริสต์ ทั้งพุทธ และทั้งวิทย์เป็นหลัก...... หลังจากที่ช่วงนี้มีกระทู้ศาสนาเข้ามาตั้งในหว้ากอเยอะเหลือเกิน.. พบว่า บางแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ก็รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของศาสนาคริสต์ด้วย เช่น แนวคิดที่ว่า พระเจ้าอยู่ในมิติที่ซับซ้อนกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้.. ซึ่งมิติที่ว่า อาจเป็น นรก สวรรค์ หรือที่อยู่ของพระเจ้าก็ได้... แนวคิดของพุทธที่ว่ามีภพภูมิ ทั้ง31ภพภูมิ ก็สอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า จักรวาลมีมิติที่ซับซ้อนซ่อนอยู่อีกมาก...นอกจาก 4 มิติที่ทราบกัน อีกทั้ง สสารมากกว่า 90%ในจักรวาล คือสสารมืดและพลังงานมืด ซึ่งวิทยาศาสตร์ก็ยังเข้าใจไม่มากนัก......... จากคุณ : O-DED เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 05:13:11

ความคิดเห็นที่ 3 ผมเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดครับ แต่ผมไม่ได้หลงงมงายนะ ..คือเชื่อว่าเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าใครไม่เชื่อ ผมก็เคารพในความคิดครับ เพราะมันก็ยังคงเป็นแค่ความเชื่อ เราอาจเชื่อต่างกันได้ และผมก็เชื่อว่าในจักรวาลนี้มันยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่อีก คงจะมีดวงดาวอีกหลายดวงที่มันมีสภาวะเหมือนโลกเรา สิ่งมีชีวิตนั้นอาจจะหน้าตาไม่เหมือนเราซะทีเดียว แต่ผมเชื่อว่าน่าจะมีอยู่ครับ ..แต่อาจจะอยู่ไกลจากเรามาก ลองว่าโลกเรามีเทคโนโลยีที่สามารถไปสำรวจดาวดวงอื่นที่ไกลมาก อาจจะไกลออกไปหลายแสน หลายล้านปีแสง ที่นั่นแหละครับ ..เราอาจจะได้เจอสิ่งมีชีวิตอื่น แต่ตอนนี้เรายังไม่ก้าวไกลขนาดนั้น ..ก็เลยอาจจะยังไม่เจอ เพราะจักรวาลเราก็ไม่ใช่ว่าเล็กๆ ..มันต้องมีบ้างล่ะน่ะ แต่เรื่องนรก สวรรค์ ผมไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงครับ ผมเชื่อว่าคนเราจะรับผลของการกระทำในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ อ้อ ..อีกอย่างที่ผมเชื่อว่ามีอยู่จริงคือ "มิติทับซ้อน" ผมไม่เชื่อเรื่องผีนะ แต่ผมเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ผมเชื่อว่าหลังจากเราตาย จิตเราจะยังอยู่ต่อไปอีก แต่ถ้าเราเรียกสิ่งนั้นว่าผี เค้าก็คงเป็นผีนั่นแหละ แล้วก็เหมือนเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด คือมันเป็นแค่ความเชื่อของผมคนเดียวที่อาจจะเชื่อแบบนี้ ใครเห็นต่างจากนี้ ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคนครับ ปล.แต่ผมไม่กลัวผีนะ ^^.. จากคุณ : เด็กส่งแก๊ส เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 05:37:52

ความคิดเห็นที่ 4   ผมเชื่อในปฎิจจะสมุปปะบาท เพราะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถใช้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างในจักวาล-อนันตรจักรวาลได้แบบวิทยาศาสตร์ แบบที่ไม่มีศาสนาใดจะสามารถอธิบายได้แบบนี้อีกแล้ว (แปลว่าศาสนาอื่นมีแต่ความเชื่อ แต่ไม่มีคำอธิบาย) จากคุณ : ขอไม่เป็นแล้ว (กัปตันสมหมาย) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 07:03:15

ความคิดเห็นที่ 5   อาศัย ความพอใจ จึงเกิด ความอยาก    อาศัย ความอยาก จึงเกิด การแสวงหา    อาศัย การแสวงหา จึงเกิด ลาภ    อาศัย ลาภ จึงเกิด การตกลงใจ    อาศัย การตกลงใจ จึงเกิด ความรักใคร่ผูกพัน    อาศัย ความรักใคร่ผูกพัน จึงเกิด การพะวง    อาศัย การพะวง จึงเกิด การยึดถือ    อาศัย การยึดถือ จึงเกิด ความตระหนี่    อาศัย ความตระหนี่ จึงเกิด การป้องกัน    อาศัย การป้องกัน จึงเกิด อกุศลธรรม จากคุณ : อิ่มบุญครับ (กัปตันสมหมาย) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 07:10:29

ความคิดเห็นที่ 6   สาเหตุของการเกิดปฏิจจสมุปบาทเพราะว่า    อวิชชา เป็นปัจจัยจึงมี สังขาร    สังขาร เป็นปัจจัยจึงมี วิญญาณ    วิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมี นามรูป    นามรูป เป็นปัจจัยจึงมี สฬายตนะ    สฬายตนะ เป็นปัจจัยจึงมี ผัสสะ    ผัสสะ เป็นปัจจัยจึงมี เวทนา    เวทนา เป็นปัจจัยจึงมี ตัณหา    ตัณหา เป็นปัจจัยจึงมี อุปาทาน    อุปาทาน เป็นปัจจัยจึงมี ภพ    ภพ เป็นปัจจัยจึงมี ชาติ    ชาติ เป็นปัจจัยจึงมี ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาส    ความเกิดของกองทุกข์ทั้งหมดนี้เรียกว่า " ปฏิจจสมุปบาท "    ปฏิจจสมุปบาทจะดับได้เพราะ    อวิชชา ดับ สังขาร จึงดับ    สังขาร ดับ วิญญาณ จึงดับ    วิญญาณ ดับ นามรูป จึงดับ    นามรูป ดับ สฬายตนะ จึงดับ    สฬายตนะ ดับ ผัสสะ จึงดับ    ผัสสะ ดับ เวทนา จึงดับ    เวทนา ดับ ตัณหา จึงดับ    ตัณหา ดับ อุปาทาน จึงดับ    อุปาทาน ดับ ภพ จึงดับ    ภพ ดับ ชาติ จึงดับ    ชาติ ดับ ชรา มรณะ โสกะปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส จึงดับ ความดับของกองทุกข์ทั้งมวลนี้ คือ การเดินออกจากบ่วงของปฏิจจสมุปบาท จากคุณ : อิ่มบุญครับ (กัปตันสมหมาย) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 07:13:44

ความคิดเห็นที่ 7 ผมเชื่อว่าไม่ควรเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจน่ะครับ ต่อให้มีจริง ชาติหน้าเราก็จำอะไรไม่ได้อยู่ดี จะมาระลึกแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา รู้ไปก็หาประโยชน์จากมันได้ยากอะนะ ทุกวันนี้ผมดำรงชีวิตแบบตายแล้วสูญ คนเราหากซอยย่อยให้ถึงอะตอม ออกมาก็เป็นอนินทรีย์วัตถุทั้งสิ้น การที่เราเคยเป็นก้อนธาตุต่างๆ ได้มารับรู้ถึงคำว่า"ชีวิต"ที่เหล่าสิ่งมีชีวิตใช้กัน ก็เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าดี แต่วันหนึ่งเราก็ต้องกลับไปเป็นธาตุในธรรมชาติเช่นเดิม จากคุณ : powerconduit เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 07:40:41

ความคิดเห็นที่ 8 เชื่อเรื่อง    "เวียนว่ายตายเกิด" (ชาตินี้ - ชาติหน้า) ไม่เชื่อเรื่อง   "นรก สวรรค์"   (ในเชิงสถานที่) เชื่อเรื่อง     "นรก สวรรค์"   ( ในจิตใจ และสำนึกรับรู้) จากคุณ : labor_pu เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 07:46:21

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่เชื่อ ทั้งเรื่องชาตินี้ชาติหน้า นรก สวรรค์ แต่เชื่อว่าการทำความดี เป็นสิ่งจำเป็น โหวต 1 จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 08:30:32

ความคิดเห็นที่ 10   องค์ประกอบของปฏิจจสมุปบาท อาศัยเวทนาจึงมีตัณหา อาศัยตัณหาจึงมีปริเยสนา (การแสวงหา) อาศัยปริเยสนาจึงมีลาภะ (การได้) อาศัยลาภะจึงมีวินิจฉัย (การกะกำหนด) อาศัยวินิจฉัยจึงมีฉันทราคะ (ความชอบชิดติดพัน) อาศัยฉันทราคะจึงมีอัชโฌสาน (ความหมกมุ่นฝังใจ) อาศัยอัชโฌสานจึงมีปริคคหะ (การยึดถือครอบครอง) อาศัยปริคคหะจึงมีมัจฉริยะ (ความตระหนี่) อาศัยมัจฉริยะจึงมีอารักขะ (ความหวงกั้น) อาศัยอารักขะสืบเนื่องจากอารักขะ จึงมีการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาท การด่าว่า การส่อเสียด มุสาวาท บาปอกุศลธรรม (สิ่งชั่วร้าย) ทั้งหลาย เป็นอเนก ย่อมเกิดมีพรั่งพร้อมด้วยการอย่างนี้...” ปฏิจจสมุปบาทแนวนี้ แสดงกระบวนธรรมที่เชื่อมต่อระหว่างความเป็นไปภายในจิตของบุคคล กับความเป็นไปภายนอกที่เป็นสิ่งเร้า เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ชี้ให้เห็นที่มาแห่งปัญหา ความทุกข์ หรือความชั่วร้ายต่างๆในสังคม ที่เกิดจากกิเลสของคน และนี่จึงเป็นกระบวนธรรม(ธรรมดา-ธรรมชาติ)พื้นฐาน.... จากคุณ : อิ่มบุญครับ (กัปตันสมหมาย) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 08:31:23

ความคิดเห็นที่ 11 กระทู้อ่านเสริมบทเรียน "แนวคิดผิดๆของชาวไทยต่อพระพุืทธศาสนา" http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8750607/Y8750607.html จากคุณ : atheist เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 08:47:58

ความคิดเห็นที่ 12 เคยถามมี อ. ท่านหนึ่งถามว่า... "เธอเชื่อไหม เรื่องนรก สวรรค์ ชาตินี้ชาติหน้า และการเวียนว่ายตายเกิด" หลายคนรวมทั้งเราด้วยตอบว่า... "ไม่เชื่อค่ะ" อ. ท่านนั้นตอบว่า.."อืมมม... แล้วทำไมคนเราเกิดมาไม่เท่ากันหล่ะ " น่าคิดเหมือนกันนะคะ... แต่ก็ยังโหวต ข้อ 1 ค่ะ... จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 09:06:33

ความคิดเห็นที่ 13 เชื่อว่า ถ้าบนโลกนี้ คนทุกคนเป็นคนดี ตำรวจ ทหาร คงไม่ต้องมี บ้างพื้นที่ทำไมคนแถวนั้นจึงเป็นคนดีกันหมด มีแต่ความสงบสุข บ้างพื้นที่ทำไมคนแถวนั้นจึงมีคนดีและไม่ดีปะปนกันไป เชื่อว่า ถ้าวันข้างหน้ามีต่อไป อีกสัก 3,000 - 5,000 อารยธรรมเก่าๆ จะหายไปตามกาลเวลา และกลายเป็นการคิดแบบมีสาเหตุและมีผลที่พิสูจน์ได้ เท่านั้น ... .. . จากคุณ : แง่มๆ น้องหมา 2 ปี เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 09:26:16

ความคิดเห็นที่ 14 ผมสงสัยว่า ถ้า เวียน ว่าย ตาย เกิด มีอยู่จริง นั่นก็หมายถึง ปริมาณ วิญญาณ ที่หมุนเวียน ก็ต้องมีปริมาณคงที่ แล้วมนุดมีแต่เพิ่มๆๆๆ แล้ว ปริมาณวิญญาณ ที่เพิ่ม มาจากไหน แล้วถ้าบอกว่า ก็จากที่สัตว์ต่างๆตายลง แล้วมากลายเป็นมนุษย์ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องทำดี ก็สามารถเกิดมาเป็นมนุษย์ได้หรอ เพราะสัตว์มันคงจะไม่รู้จัก ผิด ชอบ ชั่ว ดี ได้มากถึงขนาดนี้ จากคุณ : chekub เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 09:36:02

ความคิดเห็นที่ 15   ^ ^ ^ "จิต" ที่จะไปปฎิสนธิเพื่อชดใช้กรรมที่ตนเป็นทายาทอยู่นั้น จะมองแค่กรอบและปริมลฑลของโลกใบนี้ใบเดียวไม่ได้  หรือจะมองแค่สิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์สิ่งเดียว โดยไม่มองภาพรวมของสิ่งมีชีวิตอื่นๆเช่นหมู หมา กา ไก่ อื่นๆ ในโลกนี้ และ โลกอื่นๆด้วย ยิ่งไม่ได้เลย แต่ต้องมองเป็นภาพรวมของจักรวาล-อนันตรจักรวาล กรรมที่ตนเป็นทายาทอยู่นั้น จะเป็นตัว จัดสรรค์ที่ๆเหมาะที่สุดเพื่อให้"จิต" ได้ไปชดใช้กรรมเก่า-เริ่มก่อกรรม(ใหม่) ภายใต้วัตตะสังสารที่ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีจุดสิ้นสุด ...     จะมีก็แต่เพียงที่ๆเหมาะสมที่สุดแก่กรรมนั้นๆ ที่มีตนเป็นทายาท จากคุณ : อิ่มบุญครับ (กัปตันสมหมาย) เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 10:01:03

ความคิดเห็นที่ 16 ผมเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ผมไม่เชื่อเรื่องนรกกับสวรรค์ง่ะ จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 10:23:16

ความคิดเห็นที่ 17   การตายแล้วเกิดใหม่นี้ ผมไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ น่ะ ผมเคยได้ยินว่า กว่าที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้มันอยากน่ะ แต่ มนุษย์เมื่อตายแล้ว เป็นสัตว์เดรฉาน มันง่ายมาก เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์เดรฉานเกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องทำไงผมไม่รู้ คงต้องทำหลายๆ ชาติแน่ เช่น เกิดเป็นสัตว์ นู้น สัตว์ นี้ (แล้วต้องไม่เกิดเป็นสัตว์กินเนื้อน่ะ) เพราะ ว่า การทำลายชีวิตเป้นบาป แต่มนุษย์ทำบาปง่าย เลยเกิดเป็นสัตว์ เดรฉานได้ง่ายกว่า แต่ก้อมีคำถามว่าทำไมมนุษย์เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนก้อแสดงว่ามีการทำดีมากกว่าทำบาปไง สัตว์ก็เลยลดลงไปมาก แต่ก้อไม่ได้สูญพันธุ์ สังเกตดูสัตว์กินพืชสูญพันธุ์ก่อน ผมก็มั่วไปงั้นเอง เป็นอีกแนวคิดหนึ่งอ่ะ ส่วนตัวก็ยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซนต์หรอก จากคุณ : matsawat เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 10:31:32 A:61.7.175.84 X:

ความคิดเห็นที่ 18 - เรื่อง "การเวียนว่ายตายเกิด" และ "นรก สวรรค์" นี้ ไม่ได้เชื่อว่ามีครับ แต่เจอกับตัวเองมาว่ามีอยู่ แต่จะเป็นลักษณะภูมิประเทศเหมือนอย่างหนังสือ "ไตรภูมิพระร่วง" หรือไม่ อันนั้นไม่รู้ครับ.. (ตรงนี้พิสูจน์ได้ไม่ยาก คนทั่วไปที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็ให้พิสูจน์ที่ "ผี" ว่ามีจริงหรือไม่ หากเจอผีได้ ย่อมหมายถึงชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง เมื่อชีวิตหลังความตายมีอยู่จริงนั่นแหละเป็นเครื่องยืนยันว่าเทียบเคียงว่ามีนรก หรือสวรรค์ในเบื้องต้นได้แล้ว) - เรื่อง "โลกมนุษย์อื่นๆ" อันนี้ เชื่อว่ามีครับ เพราะจักรวาลมีดวงดาวล้านๆๆ จนนับไม่ได้ ดาวโลกนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตได้ นับประสาอะไรที่จะมีในสิ่งมีชีวิตในดาวดวงอื่นไม่ได้ จะมีโลกนี้เท่านั้นทีเดียวหรือที่มีสิ่งมีชีวิต จากคุณ : ศิรัสพล เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 10:37:52

ความคิดเห็นที่ 19 งั้นถ้าผมสร้างเครื่องมือที่จะดับชีวิตทุกชีวิตไปพร้อมๆกันหมด ไม่เหลือไว้ขยายพันธ์เลย จะตัดวงจรเวียนว่ายตายเกิดได้ไหมหนอ จากคุณ : powerconduit เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 14:02:54

ความคิดเห็นที่ 20 หลักฐานเท่านั้นที่ผมต้องการ จากคุณ : รักคนที่ชอบแมว เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 14:12:26

ความคิดเห็นที่ 21 อ้างอิง : งั้นถ้าผมสร้างเครื่องมือที่จะดับชีวิตทุกชีวิตไปพร้อมๆกันหมด ไม่เหลือไว้ขยายพันธ์เลย จะตัดวงจรเวียนว่ายตายเกิดได้ไหมหนอ? ข้อเสนอแนะ : เครื่องมือนั้นสร้างได้ก็ดีซิครับ แต่ผมว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ เหมือนคนต้องการให้หายคันแผล ด้วยการไปเกา วิธีการไม่เหมาะสมน่ะครับ มันต้องมีเหตุที่เหมาะสม มันจึงมีผลที่เหมาะสมน่ะครับ จากคุณ : ศิรัสพล เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 15:17:36

ความคิดเห็นที่ 23 อ้างอิง : หลักฐานเท่านั้นที่ผมต้องการ ข้อเสนอแนะ : เรื่องบางเรื่องหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีจริงน่ะครับ หลักฐานมันมีอยู่ วิธีพิสูจน์ก็มีอยู่แต่อาจไม่ใช่วิธีทางวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อได้ลองพิสูจน์แล้วบางเรื่องมันปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ามัีนมีอยู่จริง แม้จะยังพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ก็ตาม หากยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยวิธีการที่เหมาะสม ก็อย่าเพิ่งเชื่อมั่นหรือปฏิเสธครับ เพราะบางครั้ง บางเรื่องสิ่งที่เราเชื่อว่าไม่จริงโดยส่วนเดียว เป็นจริงก็มี เรื่องที่เราเชื่อว่าจริงโดยส่วนเดียว ไม่เป็นจริงก็มีครับ จากคุณ : ศิรัสพล เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 15:22:46

ความคิดเห็นที่ 24 #19 ขึ้นอยู่กับว่าคุณสร้างเครื่องมือที่ดับชีวิตในภพภูมิอื่นไปพร้อมกันได้ด้วยหรือเปล่า ขอออกความเห็นตามแนวคิดเต๋าบ้างนะครับ คัมภีร์เต๋ากล่าวไว้ว่า "การเกิดไม่ใช่จุดเริ่มต้น ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด" ซึ่งข้อความนี้หมายความว่าตายแล้วไม่สูญ แต่จะเป็นการเวียนว่ายตายเกิดแบบพุทธหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คัมภีร์เต๋าไม่เคยมีการพูดถึงการทำความดีเพื่อให้ส่งผลไปถึงชาติหน้าหรือชีวิตหลังความตายเลยครับ เพราะตามทัศนคติของเต๋าแล้วชีวิตปัจจุบันสำคัญที่สุด การบรรลุธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญในชาติปัจจุบันเท่านั้น ไม่เคยมีการคาดหวังให้ได้รับผลบุญในชาติถัดไปหรือรอศาสดามาโปรดในอนาคตอันไกลโพ้นแต่อย่างใด สรุปคือ ตาม #7 จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 15:41:59

ความคิดเห็นที่ 25 #12 เพราะรหัสพันธุกรรมไม่เหมือนกันครับ แล้วทำไมถ้าไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดแล้วทุกคนต้องเกิดมาเท่ากันด้วยล่ะ? จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 15:43:11

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อเรื่องนรก/สวรรค์ ตีความปฏิจจสมุปบาทว่า เป็นวงจรที่เกิดขึ้นกับจิต ทำให้เกิดสภาวะจิตต่างๆขึ้น ซึ่งเริ่มต้นที่อวิชชา ดังนั้นหากดับอวิชชาได้ ก็จะหลุดพ้นจากวงจรนี้ได้ จะดับอวิชชา ก็อาศัยอริยสัจสี่ ไม่เชื่อว่าการ "รู้แจ้ง" คือรู้ทุกสิ่ง ทุกเรื่องในจักรวาล เชื่อว่าการ "รู้แจ้ง" เป็นการรู้แจ้งในเหตุแห่งทุกข์ เนื่องจากพระพุทธเจ้าออกผนวชเพื่อหาทางหลุดพ้นทุกข์ ไม่ได้ต้องการไขปริศนาของจักรวาล ดังนั้นสิ่งที่รู้แจ้ง และเป็นที่พอใจของพระพุทธเจ้าว่า "พบแล้ว" ย่อมเป็นการพบทางพ้นทุกข์ ปล. ชอยส์ของจขกท. อ่านแล้วงงชะมัด เลยไม่ได้โหวด จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 15:45:35

ความคิดเห็นที่ 27 #19 ไอเดียดีครับ ถ้าสิ่งมีชีวิตตายกันหมด ก็ไม่สามารถมีการให้กำเนิดได้ ก็จะตัดวงจรได้ น่าสนใจนะ จากคุณ : หมีรถไฟ เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 18:24:50

ความคิดเห็นที่ 28 #27 มันขึ้นอยู่กับว่าคุณสร้างเครื่องมือที่ดับชีวิตในภพภูมิอื่นไปพร้อมกันได้ด้วยหรือเปล่านะครับ ในทางพุทธภพภูมิต่างๆ มันไม่ได้มีแค่มนุสสภูมิที่เดียวนะครับ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 18:38:13

ความคิดเห็นที่ 29   เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด กฎแห่งกรรม แต่ไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ค่ะ กวีไทยชอบจินตนการเว่อ จากคุณ : ศกุนตลา เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:00:07

ความคิดเห็นที่ 30 เชื่อและศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 19:10:19

ความคิดเห็นที่ 31   ศาสนา วิทยาศาสตร์ หรือไสยศาสตร์ ถ้าเทียบกับความรู้ทางคอมพิวเตอร์ น่าจะหมายถึงภาษาที่ใช้อธิบายความเชื่อต่างๆ เปรียบเทียบตามความรู้สึกของผม ศาสนาพุทธ คือ .ยืดหยุ่นมาก.. รู้สึกจะแทนได้ทุกภาษาเลย ขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติ ภาษา Visual Basic 2005+ น่าจะเทียบเท่ากับ วิทยาศาสตร์ คือสามารถปรับความเข้าใจได้ง่ายและโครงสร้าง แต่โครงสร้างของภาษาไม่สามารถปรับให้ยืดหยุดได้มากนัก เพราะจะทำอะไรไปนอกกรอบได้ยากเพราะต้องเข้ากฏเกณฑ์ ทำให้ดูยุ่งยากในหลายๆครั้ง ไสยศาสตร์ รู้สึกเหมือน เขียนโปรแกรมแล้วเกิด error ที่ไม่คาดคิด ^ ^ เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ ด้วย.... หลายๆ สิ่งที่มี แต่ทบทวนสิ่งที่เชื่อก่อนหน้านั้นเสมอว่ายังคงเชื่อถือได้หรือไม่ ด้วยสิ่งทีมี ที่เพิ่มขึ้นมา จากคุณ : Aoitori เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 23:49:19

ความคิดเห็นที่ 32 สรุปผลจากที่ได้ตั้งกระทู้ไว้ทั้งวัน ไม่เชื่อ                   20 เชื่อ                       18 เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง      9 บัตรเสีย                   - ฉีกบัตร                    - ถือว่าเป็นโพลล์เล็กๆอันหนึ่งที่ผลฟันการธงในใจออกมาใกล้เคียงกัน และมีเป็นบางเส่วนที่ยังไม่เชื่อไปทางใด ส่วนถ้าเป็นภาพใหญ่ในสังคมจะเป็นผลแนวๆนี้หรือเปล่า ก็น่าคิดครับ กลุ่มเยาชน (ไม่ทราบ แต่เป็นกลุ่มที่น่าศึกษาที่สุด)   กลุ่มบุคคลวัยทำงานทั่วไปซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่และชี้ขาดผลโพลล์ (เสียดายที่ไม่ทราบ)    กลุ่มผู้สูงอายุ (น่าจะเชื่ออยู่ไม่น้อย เพราะสภาพบังคับในชีวิตจึงต้องพยายามยึดเหนี่ยวเพื่อคลายทุกข์ต่างๆ ผู้สูงอายุในสังคมไทยยังเป็นภาพหลักของการยึดเหนี่ยวความเชื่อทางศาสนา) จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 00:43:16

ความคิดเห็นที่ 33   มรึงจำชาติที่แล้วไม่ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปรู้อยากรู้ชาติที่แล้ว หรือชาติหน้า ถ้ามันมีจริง ก็เหมือนมรึงมีชาติเดียวนี่แหละ ถ้าปี 2012 โลกแตกแล้วมรึงจะไปเกิดที่ดาวห่าเหวที่ไหนกัน จากคุณ : ง่ะ เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 01:48:33 A:119.31.93.166 X: TicketID:209656

ความคิดเห็นที่ 34   ผมเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด นรกและสวรรค์ครับ ถ้าไม่มีภพชาติแล้วอยากจะพ้นทุกข์กินยาตายก็จบแล้วครับ ทำไมผมถึงเชื่อเรื่องการเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ก็เพราะคนพิการทั้งกายและใจต่างๆแทำไมเขาถึงเกิดมาเป็นเป็นเช่นนี้ ครั้นจะตอบว่าดีเอ็นเอและสภาวะขอแม่ตอนอุ้มท้องให้มา มันก็ใช่อะกิ๊ฟ แต่มันจะเป็นการสุ่มไปหน่อยมั้ง "ไม่ตกอยู่ในตัวเลขที่สุ่มก็แล้วไป" ใช่ว่าคนที่เกิดมาพิการเลว เพราะตั้งแต่ที่เขาเกิดมาเขาก็ใช้กรรมส่วนนั้นไปแล้วครับ เขาจะเป็นอย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องที่เขาจะกำหนดเองแล้ว พูดง่ายๆผมเชื่อในศักยภาพของพวกเขา เชื่อในสิ่งที่พวกเขาทำว่าจะไม่สูญค่าแน่นอน นรก-สวรรค์อันนี้ผมไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแค่โลกเราก็ยังสำรวจไม่หมดเลยครับ แต่โลกคนเรานั้นทำให้เป็นสวรรค์ก็ได้ หรือจะเป็นนรกก็มีให้เห็นกันอยู่ การตาย-เกิดเป็นแค่การเปลี่ยนภพชาติ คนตายก็กลายเป็นผี ผีตายกลายเป็นอะไรก็แล้วแต่กรรม จากคุณ : จอมมันตรัย เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 02:12:53 A:125.26.214.63 X: TicketID:228782

ความคิดเห็นที่ 35 #31 VB เนี่ยนะครับยากเพราะต้องให้เข้ากฎเกณฑ์ เคยลองเขียนภาษาอะไรมาแล้วบ้างครับ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 08:09:44

ความคิดเห็นที่ 36 ถ้าคนทำไม่ดีแล้วต้องใช้กรรมที่นรกหลายชาติ ซึ่งในปัจจุบันคนทำชั่วเพิ่มขึ้นมากจากอดีตที่นานแสนนาน แต่ประชากรบนโลกกลับเพิ่มขึ้น ถ้าตามหลักนรกสวรรค์แล้วจะต้องมีคนน้อยมากๆที่ได้ไปสวรรค์ และคนจำนวนมากต้องใช้กรรมที่นรก ดังนั้นคนบนโลกน่าจะลดลงตามหลักนรกสวรรค์และเวียนว่ายตายเกิด จากคุณ : Cigarette Smoking Man เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 08:11:16

ความคิดเห็นที่ 37 #35 คุณลืมมองสิ่งมีชีวิตในภพภูมิอื่นที่สามารถมาเกิดในภพภูมินี้ไป เทวดา ยักษ์ เปรต ต่างๆ นานาตามความเชื่อพุทธก็มาเกิดเป็นคนได้นะครับ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 08:18:46

ความคิดเห็นที่ 38   จิต แค่เปลี่ยน สถานะ และ ร่างกายที่ ยึดฝัง เมื่อ ตายก็ ล่องลอยจากร่าง และ รอ การไปจุติใหม่ ยังร่างใหม่ หาก ยังมีเวรมีกรรมต้อง ชดใช้ ก็ต้อง เกิดมาใช้กรรม เว้น แต่ จะ สะสม ความดี มากๆ ขณะ ยังไม่ตาย ความดี ติดตัวไปมากๆ ก็จะได้เกิด ที่ดีๆ เพราะ จะได้ รับสิ่งดีๆ จาก ที่เคยได้ ทำ คนอื่น ที่เกิดและ พบ เจอ ก็ จะตามไป ทำ สิ่ง ดีๆ ตอบแทน เช่นกันหากชาติ นี้ กลับทำชั่วกับคนอื่น ชาติหน้าก็ จะโดนคนอื่นั้น เอาคืน และหาก ทำอะไรไม่ดี ไว้ในชาติก่อน ชาติ นี้ จิตเจ้ากรรมนายเวร ในร่างอื่นที่ มาเกิดในชาติเดียวกับเราก็จะมาทำกับเราคืน ยกเว้นแต่ เรา จะมีการ อโหสิ กรรมให้แก่กัน ก็ จะมี มีการ เอาคืนกัน อีก จบเป็น กรรมๆ ไป สังเกตไหม การที่เรา ต้องโคจร ไปพบ เจอ กับใคร ไม่ ว่าที่ไหนในโลก นั้น ทั้งๆที่ มีคน มากมาย นับ พันล้าน แต่ เราก็พบ ก็เจอ คน ที่ เกี่ยวข้องสัมพันธ์มีผลกับ ชีวิต เราแค่ส่วนหนึ่ง และ กมากมายก็แค่ผ่านไป ผ่านมาเหมือน ถนน คน ละ ชั้นที่ไม่ สามารถ เข้าไป ร่วมทางเส้นเดียวกันได้ หรือการ พบ เจอใคร บางคน แล้ว ก้จากกันไป ก็เหมือน ถนน ที่ ตัดกัน ไม่ได้ คู่ขนาน หรือ วิ่งมา เป็น 3 แยก แล้ว วิ่ง ร่วมกันไปในทางเดียวกัน หรือ วิ่งมาทางเดียวกัน สัก พัก ก็แต่ แยก ออกจากกันเอง หรือ มี แยก อื่น เข้ามา ตัดกับ เส้นทาง ของ คน 2 คนที่ เดินมาร่วมกัน ผม พยายามเทียบ เรื่อง เส้นทางเดิน ของ ชีวิต ว่าเหมือนเป็น ถนน ที่ ตัดกันไปมา 1 คน ก็มี 1 เส้น สั้น ยาว ตัดกับใคร ร่วมทางกับใคร ก็แล้ว แต่กรรม เวรที่เคยได้ทำไว้ทั้งนั้น จากคุณ : think4223 เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 09:07:05

ความคิดเห็นที่ 39 อาจจะมีคล้าย Matrix ก็ได้ ศาสดาก็คือ Neo จากคุณ : Boay เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 14:42:53

ความคิดเห็นที่ 40 http://cid-1e20ddfa4699ff97.skydrive.live.com/browse.aspx/mp3%20%e0%b8%8a%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%8d%e0%b8%8a%e0%b8%a3%20%e0%b8%a8%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%99%e0%b8%b2 http://sites.google.com/site/reincarnationthailand/phu-ca-xdit-chati-di-ra-yxun-ni-prathesthiy จากคุณ : น้ำเค็ม เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 20:56:15

ความคิดเห็นที่ 41   ...ที่อ่านดูก็มีทั้งคนเชื่อ กับ คนไม่เชื่อนะ สำหรับหรับผมนั้น เชื่อครับ ทั้งการเวียนว่ายตายเกิด ชาตินี้ ชาติหน้า นรกสวรรค์ และการพ้นทุกข์(นิพพาน)   เพราะผมเชือว่าพระพุทธเจ้ามีจริง  ผมศรัทธาพระธรรม คำสอนของท่าน ซึ่งสิ่งที่หลายๆคนบอกว่าเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง  หากลองไปเปิดอ่าน ในพระไตรปิฎก ก็จะพบว่าได้กล่าวถึงไว้มากมาย   สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ก็แล้วแต่ครับ นานาจิตตัง....แต่เปรียบไปก็เหมือน กำลังบอกว่า 1+1=5 โดยที่ยังไม่ได้เรียน วิชาคณิตศาสตร์นั่นแหล่ะ   ถ้ายังไม่เคยปฏิบัติ วิปัสนากรรมฐาน จนถึงขั้นแล้วละก็ อย่าเพิ่งสรุป ดีกว่าครับ ว่าไม่มี เพราะคุณอาจจะประมาทในการใช้ชีวิต   ก็เมื่อไม่เชื่อว่านรก สวรรค์ มีจริง ก็อาจจะไม่เกรงกลัวกับการทำบาป หรือไม่กระตือรือร้นกับการทำบุญสั่งสมบารมี   เฮ้อ..มาถกเถียงกันตามประสาคนกิเลสหนาอย่างเราๆ ก็อย่างว่าแหละครับ   ผิดๆถูกๆ ปนเปไป  ถ้าอยากรู้อย่างถูกต้อง ก็ต้องศึกษาแหล่ะครับ พระสงฆ์ ที่ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบที่จะสอนวิปปัสนากรรมฐานให้ ก็มีมากมายครับ เพียงแต่เราต้องพาตัวเองไปก่อนครับ จากคุณ : ต้นโอเลี้ยง (ต้นโอเลี้ยง) เขียนเมื่อ : 14 ม.ค. 53 21:30:19

ความคิดเห็นที่ 42 ตอบข้อ 2 ครับ เพราะอย่างนี้ครับ องค์ประกอบของชีวิตหลัก ๆ มีพื้นฐานมาจากคาร์บอนและโปรตีน (เวลาเราตายและถูกเผาจะหลงเหลือเป็นขี้เถ้า ซึ่งก็คือคาร์บอนแปรรูปนั่นเอง) แต่การรวมตัวแค่คาร์บอนและโปรตีน ไม่มีทางจะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นเด็ดขาด เพราะขาดองค์ประกอบสำคัญที่เรียกว่า "วิญญาณ" หรือจะเรียกว่าจิตใจ ความรู้สึกนึกคิด ฯลฯ ก็คือความหมายในทิศทางเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นตัวอสุจิ ซึ่งก้มีพื้นฐานมาจากโปรตีน สามารถขยับตัวได้ แต่เราก็ไม่ถือเป็นสิ่งมีชีวิต เพราะยังมิได้เข้าไปผสมกับไข่จนเกิดการปฏิสนธิ พูดให้ดูขลังหน่อยก็คือยังไม่มีวิญญาณนั่นเอง กลับมาเรื่องของเราต่อ เมื่อถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต (ผ่านลมหายใจสุดท้ายไปแล้ว) สิ่งที่คงเหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ยานพาหนะ (ร่างกาย) ที่บกพร่องชำรุดทรุดโทรมลงเท่านั้น สิ่งที่เป็นอิสระก็คือคนขับ (วิญญาณ) ซึ่งทอดทิ้งซากยานหาพนะที่ผุพังไว้เบื้องหลัง ปัญหาคือเมื่อวิญญาณทิ้งร่างแล้ว มันจะไปที่ไหน ? ผมเชื่อว่าเมื่อวิญญาณทิ้งร่างแล้ว มันจะไม่สามารถเดินทางอย่างสะเปะสะปะได้ ทุกอย่างย่อมมีกฏเกณฑ์ของมัน เมื่อมีเข็มทิศที่ดี (กุศลกรรม) วิญญาณย่อมสามารถไปสู่สภาพที่น่าพึงพอใจได้ เราเรียกสิ่งนี้ว่าสวรรค์ แต่ถ้าเค้ามีเข็มทิศโปเก (อกุศลกรรม) ชี้โบ๊ชี้เบ๊ วิญญาณย่อมเดินหลงทางไปสู่สภาพที่ไม่น่าพึงพอใจและทุกข์ทรมาน เราเรียกสิ่งนี้ว่านรก เมื่อเราได้ชดใช้กรรม (ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม) หมดแล้ว สิ่งที่เราต้องเผชิญคือการวนเวียนอยู่ในจักรวาล (มหายานจะเรียกว่าโลกภูมิ) ถ้ามาปฏิสนธิอีกครั้ง ก็เหมือนคนขับคนเดิมไปซื้อรถใหม่มาขับ วนเวียนเป็นวัฏจักร ไม่มีจบสิ้นต่อไป จากคุณ : หลงไท่หยัง เขียนเมื่อ : 11 ก.พ. 53 22:39:23