Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เนื่องจากความเห็นของคุณปัจจตัง{แตกประเด็นจาก X8758206}  

ขอยกความเห็นของคุณปัจจตังจากกระทู้โน้นมาหน่อยนะครับ

ความเห็นแบบจับแพะชนแกะแบบนี้ ควรได้รับการถลกถกเถียงครับ
จะได้ไม่ไขว้เขวเข้าใจผิดตามกันไปอีก



>จิตเป็นตัวสร้างจักรวาล ไม่ใช่จักรวาลสร้างจิต เมื่อเกิดใหม่ในภพภูมิอื่น รูปขันธ์อื่น
>จะพบว่าสิ่งต่างๆในจักรวาลนี้ เช่น กาแล็กซี่  หลุมดำ  ดาวพุธ  ดาวศุกร์  ดาวเสาร์
>ก็ไม่มีอยู่จริง ที่มีอยู่ ก็เพราะจิตมนุษย์ปรารถนาจะเห็นเช่นนั้น

แนวคิดแบบนี้ เป็นแนวคิดที่มีมาแต่โบราณ กับเป็นความเชื่อของเด็กเล็กๆ เหมือนกับคำถามว่า พระจันทร์ยังมีอยู่หรือเปล่าตอนที่เราหลับ ต้นไม้ล้มในป่า มีต้นไม้จริงหรือเปล่าถ้าไม่มีใครไปเห็น
สิ่งต่างๆที่มีอยู่ ล้วนมีอยู่จริง ถึงไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีจิต จักรวาลก็มีอยู่อย่างนี้ ในทางกลับกัน จิตต่างหาก ที่ไม่มีจริง เป็นสิ่งเสมือนที่เกิดจากการทำงานของระบบประสาทของมนุษย์
จิตอาจสร้างจักรวาล สร้างเหตุการณ์ บุคคล ความเชื่อ ที่ไม่มีอยู่จริงขึ้นมาเองก็ได้ แต่ก็ได้แค่ในหัวคนนั้นเท่านั้น คนอื่นไม่รู้ไม่เห็นไปด้วย คนที่เห็นแบบนี้แสดงว่าไม่ใช่คนธรรมดา เข้าข่ายเป็น Schizophrenia ครับ ภาษาไทนเรียกว่า จิตเภท รีบปรึกษาหมอ รักษาหายได้ครับ


>จึงสร้างทวารหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่จิตต้องการเห็น  
>ภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาในระดับเหนือโลก (โลกุตตระ) ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ
>ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่องจักรวาลได้อย่างถูกต้อง ทรงรู้ความลับของแสง
>และการยืดหดของเวลา รู้เรื่องวิวัฒนาการของสัตว์โลก เรื่องพันธุกรรม ฯลฯ  
>มีสิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังตามพระพุทธองค์ไม่ทัน และพยายามค้นหาอยู่จนถึงทุกวันนี้  
>สิ่งนั้นก็คือ ความลับของแรงโน้มถ่วง  การทะลุมิติ  ซึ่งในสมัยพุทธกาล การเหาะเหินเดินอากาศ ,
>การท่องไปในภพภูมิต่างๆ เป็นเรื่องที่ทำได้จริง

พระพุทธเจ้าไม่เคยพูดเรื่อง Time dilation เรื่องแรงโน้มถ่วง เรื่องความลับของแสงเลย เป็นเรื่องของคนเขียนหนังสือจับแพะชนแกะเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาจินตนาการปนกันเอง

>       การบรรลุญาน ก็คือ การที่มีกำลังสติที่สูงกว่าปกติมาก ทำให้สามารถหยั่งรู้เข้าใจ
>ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆทั้งหลายทั้งปวง  เห็นความไม่เที่ยง  การเกิดดับ  ฯลฯ >
จนเข้าถึงความจริงแท้ของธรรมชาติ  ซึ่งความจริงทุกสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า
>จะมีใครไปค้นพบหรือไม่เท่านั้นเอง เช่น แรงดึงดูดของโลกก็มีอยู่แล้ว มันอยู่รอบๆ
>ตัวเราตลอดเวลา จนเมื่อเซอร์ไอแซค นิวตัน ไปพบความสัมพันธ์ของ F=ma หรือ F=mg
>ความลับก็ถูกเปิดเผย นิวตันไม่ได้เป็นคนสร้างความสัมพนธ์นี้ เพียงแต่เป็นผู้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับแรง  
>เช่นเดียวกับ พลังงานแฝงในอะตอมก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่  ไอสไตน์
>ไปพบความสัมพันธ์ของ E=mc2  มนุษย์ถึงสามารถเอาพลังงานนี้มาใช้  ถึงไม่มีนิวตัน ไอน์สไตน์
>กฎนี้ ความสัมพันธ์นี้ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ไม่มีการค้นพบ  การค้นพบของนักวิทยาศาสตร์
>ระดับโลกทั้งสองท่าน เกิดจากกำลังสติที่สูงกว่าปกติ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับ
>กำลังสติที่ได้จากการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ดังนั้น ยังมีความจริงแท้ที่รอการค้นพบ
>อีกมากมายในจักรวาล  แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์เองก็รู้ และเคยกล่าวไว้มีใจความว่า  
>“ ถ้าให้เทียบการห่างกันระหว่างความรู้ของคนที่เรียนน้อยที่สุดบนโลก กับคนที่เรียน
>มากที่สุดบนโลก ความห่างนั้น ก็ยังน้อยมากๆเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทั้งสองคนยังไม่รู้”

มีย่อหน้านี้ที่ผมเห็นด้วยทั้งหมดย่อหน้าเดียว

>ความจริงแท้ที่ได้จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นสุดยอดของการค้นพบ
>แต่เนื่องจากต้องใช้กำลังสติที่สูงเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้ การจะอธิบายสิ่งที่ค้นพบ
>ให้กับผู้ที่ไม่เคยฝึกสติ เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง  

>การบรรลุภาวนามยปัญญา จะทำให้เข้าใจว่า เพราะมีผัสสะ จึงมีโลก จึงมีจักรวาล  
>เพราะมีใจ จึงมีเวทนา  เพราะมีจิต จึงมีตัณหา  เพราะมีอุปาทาน จึงมีภพชาติ  
>ทางทฤษฎีควอนตัมเคยมีการอธิบายที่สอดคล้องกับเรื่องนี้ว่า  ถ้าเรานำแมวตัวหนึ่ง
>ใส่ไว้ในกล่องที่มีก๊าซพิษพร้อมที่จะรั่วออกมา   ตราบใดที่เรายังไม่ได้เปิดฝากล่อง
>ดูว่าแมวตัวนั้นตายหรือยัง  จักรวาลจะเป็นไปได้สองแบบ คือ แบบที่แมวยังไม่ตาย
>และ แบบที่แมวตายแล้ว  นั่นก็หมายความว่า จักรวาลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีผัสสะรับรู้เกิดขึ้นเท่านั้น

เรื่องแมวของนาย Schrodinger มันเป็น Though Experiment แปลเป็นไทยว่าเป็นการทดลองทางความคิด เพื่อใช้ในการถกเถียงเชิงทฤษฎีเท่านั้น มันทดลองจริงๆไม่ได้ เพราะแมวมันไปอยู่ในกล่องที่เป็นระบบปิดจริงไม่ได้ มันต้องใช้อากาศ มันต้องใช้อาหาร มันตายจะก่อนที่การทดลองจะเกิดผล

และ Copenhagen interpretation ก็ไม่ได้บอกว่าจักรวาลจะเป็นไปได้สองแบบ แต่บอกแค่ คนที่อยู่นอกกล่องไม่มีทางรู้ว่าเกิดอะไรกับแมวจนเปิดกล่อง ระหว่างนั้น สิ่งที่รู้คือ ความเป็นไปได้ของทางเลือกต่างๆ ซึ่งในกรณีนี้ โอกาสที่แมวตาย = โอกาสที่แมวไม่ตาย = 50%
ดังนั้นจึงเสมือนว่า แมวมันทั้งมีชีวิตและทั้งตายในขณะเดียวกัน
แต่ไม่ได้หมายความว่าแมวเป็นและตายพร้อมๆกัน และไม่ได้หมายความว่ามีจักรวาลได้สองแบบ

ส่วนเรื่อง Parallel universe ที่เกิดจากทฤษฎีควอนตัม ก็เป็นแค่แนวคิดที่เกิดจากคุณสมบัติประหลาดๆของทฤษฎีควอนตัม แต่มันฟังดูขลัง เลยถูกหยิบยกมากล่าวถึงกันบ่อยๆ ในระยะหลังนักฟิสิกส์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจทฤษฎีนี้กันสักเท่าไร

>ดังนั้น ถ้าจิตไม่ยึดติดกับผัสสะแห่งทวารทางกายภาพทั้งห้าเลย เบื่อหน่าย ในรูป
>รส กลิ่น เสียง สัมผัส  เมื่อเสียชีวิตไปจะขึ้นไปเกิดในสวรรค์ชั้นอรูปพรหมทันที
>สวรรค์ชั้นนี้  อธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ก็คืออีกมิติหนึ่ง  เป็นมิติที่รูปธรรมทางกายภาพหายหมด
>และแน่นอนว่า ภาพของจักรวาลที่สิ่งมีชีวิตในมิตินี้รับรู้ จะแตกต่างจากจักรวาลที่มนุษย์โลกเห็นโดยสิ้นเชิง  

มั่วมาเลย ที่บอกว่าสวรรค์อธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ว่าเป็นอีกมิติหนึ่ง อธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์โดยใช้หลักการอะไรอ่ะ

ถ้าเป็นมิติที่รูปธรรมทางกายภาพหายหมดจริงๆ ในมิตินั้นเหลืออะไรอยู่ มีแต่พลังงานบริสุทธิ์หรือ แต่ข้างบนเห็นสมการอันนึงอยู่แว๊บๆ e=mc2 มีพลังงาน ก็ต้องมีสสารสิ
หรือเหลือแต่จิต แล้วจิตคืออะไร จิตเป็นพลังงานรือเปล่า จิตอยู่ได้โดยไม่มีกา่ยภาพได้จริงหรือ มีข้อพิสูจน์อะไรไหม

>ตา ก็เหมือนกับ จอรับภาพโทรทัศน์  ถ้าเราปรับการรับไว้ที่ช่องเจ็ด  ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า
>ในเวลาเดียวกัน มีเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปพร้อมๆกันทางช่อง 3 ด้วย  จักรวาลต่างๆ
>เหมือนกับคลื่นวิทยุที่มีอยู่หลายๆสถานี  คุณจะไปรับรู้เรื่องราวในสถานีไหน
>ก็ขึ้นอยู่กับการปรับจูนคลื่นในตัวคุณ  มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับ ตาที่ถูกล็อคไว้แล้วว่า
>ให้เห็นภาพในจักรวาลนี้เท่านั้น แสงที่ทำให้เกิดภาพต้องมีความเร็ว 300,000 กิโลเมตร
>ต่อวินาทีเสมอ  การปลดล็อคนี้ได้ จะทำให้เข้าใจความเป็นจริงว่า มีจักรวาลคู่ขนาน
>ที่ความเร็วแสงและแรงโน้มถ่วงแปรเปลี่ยนไปอีกมากมาย ซึ่งประสาทสัมผัสของมนุษย์มิอาจรับรู้  
>จะหยั่งรู้ได้ก็ด้วยจิตเท่านั้น  แต่เนื่องจากจิตอยู่ในใจ และใจ  ถูกกักให้ยึดติดกับ
>ตา หู จมูก ลิ้น กาย  จิตจึงมิอาจเป็นอิสระได้ จนเห็นความจริงแท้ของจักรวาล  

หุหุ
อ่านแล้วดูเหมือนเท่ แต่คนเขียนจับประเด็นเรื่องจักรวาลคู่ขนานมั่วไปหมด
ถ้าจักรวาลคู่ขนานมีจริง แต่ละจักรวาลจะแยกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางที่จะมาเจอกัน หรือแลกเปลี่ยนสสาร/พลังงานได้ เพราะค่าคงที่ต่างๆของแต่ละจักรวาลจะไม่เท่ากัน ทำให้ไม่สามารถติดต่อกันได้
ดังนั้น มีก็เหมือนไม่มี

>ความเร็วแสงที่ไม่เท่ากัน จะทำให้เกิดการซ้อนทับของมิติ  ในจักรวาลนี้ความเร็วแสง
>ความเร็วคลื่นวิทยุ แรงโน้มถ่วง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด จะอยู่ที่ 300,000 กิโลเมตร
>(186,000 ไมล์) ต่อวินาที  นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างสองมิติซ้อนสองมิติด้วยการเล่นกับความถี่คลื่น
>เช่น สถานีโทรทัศน์ต่างๆนับร้อยช่องสามารถออกอากาศได้พร้อมๆกัน โดยใช้ความถี่ต่างกัน
>(แต่ความเร็วคลื่นต้องเท่ากัน)  เช่นเดียวกับ คลื่นโทรศัพท์มือถือที่ส่งมาจะมีความเร็วเท่ากัน
>แต่ความถี่ต่างกัน ทำให้แต่ละเครื่องรับได้เฉพาะความถี่ของตัวเอง เบอร์โทรศัพท์แต่ละเบอร์
>จะถูกล็อคไว้เฉพาะความถี่นั้น  ในระดับโลกสามมิติสามารถเล่นกับความถี่คลื่นได้เท่านั้น  
>แต่เมื่อเข้าสู่มิติที่สี่ จะพบว่า  การเล่นกับความเร็วแสง ทำให้เกิดความมหัศจรรย์
>ยิ่งกว่าเทคโนโลยีทั้งหมดที่เคยเห็นบนโลกสามมิติ  ชนิดที่เรียกว่าเทียบกันไม่ได้  
>ซึ่งในทางสมถกรรมฐาน เรียกว่า อภิญญา  แต่สำหรับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
>เมื่อสติไวถึงระดับที่พบกับความลับของแสงและมิติ จะไม่ให้ความสนใจกับสิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้น
>เพราะไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น  การหลงไปกับอภิญญา จะทำให้เกิดกิเลสเพิ่มพูน
>ขึ้นจนยากที่เข้าสู่มรรคผลนิพพาน  แต่แน่นอนว่า เมื่อมีสติไวถึงระดับนั้นจะเข้าใจในเรื่องของ
>ภพภูมิ การตายแล้วเกิด  กฏแห่งกรรม  ไตรลักษณ์  อิทัปจจยตา  ฯลฯ อย่างแจ่มแจ้ง
>จนสิ้นความสงสัยทั้งปวง

เรื่องมิติข้างบนนี่มันออกจะประหลาดๆอยู่ สองมิติคือมีคลื่นต่างความถี่  ...เอ่อ เท่มั่กๆ ไอ้ที่คลื่นต่างความถี่มันไม่กวนกัน ไม่ได้เกี่ยวกับมิติเลย มันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคลื่น แล้วการที่วิทยุหรือโทรทัศน์สามารถเลือกดูเฉพาะช่องได้ ก็อาศัยคุณสมบัติ resonant ต้องการรับคลื่นไหน ก็ปรับให้ตัวรับมี resonant กับความถี่นั้น ทำให้สัญญาณความถี่นั้นสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าในตัวรับคลื่นได้ ส่วนคลื่นความถี่ที่ไม่ต้องการ มันไม่เกิด resonant มันก็จะตีกันเองจนสัญญาณสลายไป

เรื่องมิติที่ว่าแปลกๆ
สองมิติมันคือ กว้าง/ยาว เหมือนภาพบนกระดาษแบนๆ
ในโลกสองมิติ จะไม่สามารถมีคลื่นแสงหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามันต้องการสามมิติหรือสามแกน แกน x เป็นคลื่นแม่เหล็ก แกน y เนคลื่นไฟฟ้า และแกน z เปนทิศทางที่คลื่นเคลื่อนที่ไป
ส่วนสี่มิติก็คือ x*y*z*t ตัวที่เพิ่มมาก็คือเวลา ไม่ได้ทำให้ความเร็วแสงเปลี่ยนไปได้
พูดถึงเรื่องมิติเยอะๆ ในทฤษฎี string มีการเสนอว่ามีมิติกว่า 4 มิติ บ้างก็เสนอว่ามี 11 มิติ บ้างก็เสนอว่ามี 26 มิติ และอธิบายว่ามิติที่พ้นจาก 4 มิติที่เราๆรู้จักมันม้วนตัวเล็กมากจนเราตรวจวัดไม่ได้
แต่ละมิติก็มีคุณสมบัติเหมือนๆมิติที่เรารู้จัก ความเร็วแสงก็ยังเท่าเดิม ไม่ใช่เปลี่ยนไปตามมิติต่างๆ

รักศาสนาพุทธ ก็อย่าเอาเรื่องศาสนาไปโยงมั่วๆกับวิทยาศาสตร์เลย ไม่ต้องพยายามยกตัวว่าเป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องไปเชิดชูพระพุทธเจ้าว่าเก่งกว่าไอนสไตน์ รู้เรื่องที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งรู้มาตั้งหลายพันปีแล้วมันไม่ได้ทำให้ศาสนาพุทธกลายเป็นศาสนาวิเศษขึ้นมา มีแต่จะทำให้ศาสนาพุทธมัวหมองไปเปล่าๆ  มันเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นสิ่งต่างๆอย่างที่เป็นจริง อย่าไปปรุงแต่ง
แม้คำสอนของท่าน ก็ให้พิจารณาตามจริง อย่าปรุงแต่ง

ปล. หนังสือขายดี ก็ไม่ได้ทำให้ความในหนังสือกลายเป็นจริง เป็นถูกต้องไปได้

แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 53 18:30:29

จากคุณ : alan the lamb
เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 53 18:19:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com