ความคิดเห็นที่ 1   ตอนนี้ แก้ปัญหา มหา อาลัย ตอนนี้ก่อนดีกว่า ตัวอย่าง เห็นชัดๆ   วิทยาศาสตร์บัณฑิตเสื้อเขียว จบมาเป็นพัน ๆ เป็นหมื่น เป็นมีอยู่สองสามคนเท่านั้น ที่รู้ว่า GT200 ลวงโลก ไทยมีบุคลากรคุณภาพเยอะครับ  ไม่ได้ขาดแคลนเลย แต่ติดระบบเส้นสาย และทุจริต  คนเก่งๆ ไม่ได้ทำงานเต็มที่ จากคุณ : Professor เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 53 22:11:18

ความคิดเห็นที่ 2   ผมว่า ปัจจุบันประเทศไทย มีมหาวิทยาลัยมากพอความต้องการแล้วครับ ตอนนี้ที่ควรจะทำคือ พัฒนา"คุณภาพ" ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโยลีทั้งหลาย เช่น ราชมงคลอะไรก็ว่าไป เพราะถ้าเราสร้างขึ้นมาใหม่ จำนวนจะเพิ่มขึ้น แต่กลายเป็นว่า ที่มีอยู่มันไม่ดีซักที ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างขึ้นมาอีกทำไม สิ้นเปลืองงบประมาณ ps. ความคิดเห็นส่วนตัวครับ อาจช่วยไรไม่ได้มาก -___- จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 53 22:16:06

ความคิดเห็นที่ 4   แล้วสักพัก จะมีหนังสือ "การเรียนในเปลือกนัท" ออกมาขายแข่งกัง "จีกรวาลในเปลือกนัท" จากคุณ : wsteven เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 53 22:51:47

ความคิดเห็นที่ 5   คิดว่าจะถ้าสร้างมหาวิทยาลัยแห่งชาติในไทยคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ติดตรงที่ว่าอาจารย์ที่จะมาสอนนี่แหละค่ะ  ขาดแคลนพอสมควร โดยเฉพาะคณะทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์  วิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิทยาศาสตร์การแพทย์  ยังขาดอาจารย์เป็นจำนวนมาก บางมหาวิทยาลัยมีการยืมตัวอาจารย์ไปช่วยสอน เช่น มหาวิทยาลัย ธ  ยืม อาจารย์จาก มหาวิทยาลัย ม ไปสอนคณะสาธารณสุข  เนื่องจากเพิ่งเปิดเป็นคณะใหม่   หรือ มหาวิทยาลัย ศ  ยืมอาจารย์จากมหาวิทยาลัย จ และ ม  ไปช่วยสอน คณะเภสัช  เนื่องจากอาจารย์ไม่พอ ปัญหาแบบนี้ยังคงมีอยู่  เนื่องจากบุคลากรเราขาด  บางมหาวิทยาลัยแก้ปัญหาโดยการเชิญอาจารย์ที่เกษียนอายุราชการ  มาช่วยสอน หรือให้ทุนนักศึกษาบัณฑิตศึกษาไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วกลับมาเป็นอาจารย์ ส่วนที่ว่าจะพัฒนามหาวิทยาลัยใดเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาตินั้น  น่าจะยากกว่า เนื่องจากมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเกณฑ์ส่วนใหญ่เปิดมานาน มีวัฒนธรรม มีประวัติของตนเอง  หากจะเปลี่ยนหน้าไปเลยคงยาก ลองคิดเล่นๆ ดูก็ได้  เลือกเอา มอ ที่่เปิดมานาน มหาวิทยาลัยสีชมพู  มีคณะหลากหลาย  แต่ติดตรงที่อยู่กลางกรุง  ขยายไปไหนไม่ได้แล้ว  นอกจากเปิดวิทยาเขต มหาวิทยาลัยสีน้ำเงิน  มีฐานมาจากการแพทย์และสาธารณสุข  ตัวมหาวิทยาลัยหลักอยู่นอกเมือง  แต่เพิ่งเปิดคณะทางสายศิลป์  มาได้ไม่นาน มหาวิทยาลัยสีเหลืองแดง  มีฐานมาจากกฎหมายและรัฐศาสตร์  ตัวมหาวิทยาลัยหลักอยู่นอกเมืองเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยสีน้ำเงิน  แต่เพิ่งเปิดคณะทางการแพทย์และสาธารณสุขมาได้ไม่นาน มหาวิทยาลัยสีเขียว 1  ตัวมอหลักอยู่ในเมืองเช่นกัน  แม้ว่าจะเปิดวิทยาเขตขยายไปนอกเมืองแต่คณะหลักๆ ยังอยู่ในกรุงเทพ  การขยายมอจะลำบากเหมือน มอสีชมพู มหาวิทยาลัยสีเขียว 2  ตัวมอหลัก ขยายออกนอกเมืองเหมือน มอสีน้ำเงิน  รากฐานมาจากศิลปะ  ติดปัญหาตรงที่คณะทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไม่เยอะ เหมือนมอชมพูและมอน้ำเงิน จากคุณ : bailie เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 53 23:12:11

ความคิดเห็นที่ 6   ผมไม่รู้แฮะ รู้สึกว่ามหาวิทยาลัยพยายามจะเปิดคณะให้มากที่สุดแทนที่จะ พัฒนาคณะตัวเองที่มีอยู่ให้ดีที่สุด ทั้งที่มีแผนที่จะขึ้นอันดับมหาวิทยาลัยโลกแต่กลับถ่วงตัวเองให้พัฒนาช้าลง มหาวิทยาลัยทางสายศิลป์ก็เพิ่มสายวิทย์ ในขณะมหาวิทยาลัยที่เน้นมาทางวิทย์ก็เพิ่มสายศิลป์ที่ตัวเองไม่ถนัด คงยากที่จะพัฒนาสู้กับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกได้ เพราะมีภาระที่ตัวเองไม่ถนัดเยอะ จากคุณ : yabeer เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 00:33:23

ความคิดเห็นที่ 7   ^ ^ คห. แก้ง่ายๆ (แต่ยากชิบบบ) ก็ให้เงินเดือนนักวิจัยเท่ากับ ที่ไปทำงานบริหารกับเอกชนสิครับ ... แล้วก็หาคนมาลงทุนงานวิจัยเพื่อเอาไปพัฒนาใช้งานทางธุรกิจต่อ ... แล้วก็เก็บรายได้ส่วนนึงเข้ามาเพื่อป้อนวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ สิครับ อยากหางานวิจัยที่รายได้ดี ควรจะเน้นไปทางการทหาร จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 00:50:10 A:124.122.164.191 X: TicketID:250855

ความคิดเห็นที่ 8   ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดนะครับ แต่ไม่อยากให้เป็น NUT เพราะว่า NUT แปลว่า คนบ้า ก็ได้ด้วยครับ จากคุณ : jesus_god เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 01:18:04

ความคิดเห็นที่ 9   ตรรกะของการเปิดมหาวิทยาลัย ให้ครบทั้งวิทย์ทั้งศิลป์ อยู่ที่ หลักเกณฑ์ในการ ranking ลำดับของมหาวิทยาลัยครับ เกณฑ์หนึ่งที่ใช้ในการจัดลำดับทั่วโลกคือ มหาวิทยาลัยนั้น จะต้องมีการสอนคลอบคลุมทุกด้าน หรือ เรียกว่า comprehensive university ครับ จากคุณ : Isccy (tatatube) เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 03:35:26

ความคิดเห็นที่ 10   อย่าเติม s แล้วกัน - -* จากคุณ : Wolf_eel เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 07:40:05

ความคิดเห็นที่ 11   แก้ไขเมื่อ 16 มี.ค. 53 09:23:14 จากคุณ : วาหนิติ์นิกร เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 09:23:03

ความคิดเห็นที่ 12   Nut =ถั่ว บ้า เพี้ยน ถ้าจะมี ควรมีชือใหม่นะ จากคุณ : ภูริ เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 09:33:55 A:115.67.194.19 X: TicketID:215661

ความคิดเห็นที่ 13   จริงๆผมว่า น่าจะพัฒนามหาวิทยาลัยหนึ่งๆให้ถนัดในสาขาหนึ่งๆ อย่าเช่น มหาวิทยาลัยทางการแพทย์และสาธารณสุข ทางการเกษตร ทางวิศวกรรม ทางศิลปกรรม ทางดนตรี ทางปรัชญาและศาสนา ฯลฯ ต่างคนต่างเชี่ยวชาญครับ แต่ก็อาจจะเปิดคณะอื่นๆ เพื่อให้เป็น comprehensive university ตาม คห.9 ถ้าไปประกาศว่า "มหาวิทยาลัย น้ำเงิน/ชมพู/เขียว บล้าๆๆๆ (เอาแบบคห 5) เป็น NUT" เด็กไทยก็จะเลือก Admission แต่มหาวิทยาลัยนั้น เพราะเด็กไทยบ้าเห่ออะไรที่เป็นที่ 1 ประมาณว่าคณะอะไรก็ได้ขอให้ได้อยู่ใน NUT ก็พอ ---------------------------------------------------------------------------- กรณีตัวอย่าง เพื่อนที่ผมรู้จักคนหนึ่ง เขาอยากเข้าวิศวะ ม.C ติดรับตรงวิศวะทุกที่ที่อยู่ในกทม. (ที่เปิดรับตรง) ยกเว้น รับตรงวิศวะม.C แต่เนื่องจากมีความปรารถนาแรงกล้าที่ติดเข้่่า ม.C จึง admission แต่ ม.C 4 อันดับเลือก คณะวิศวะ และคณะอื่นๆในม.Cหมด (ตอนนี้รอ ad กลางเมษานี้) ซึ่งผมคิดว่า ถ้าอยากเข้าวิศวะจริงๆ วิศวะหลายที่ก็ดัง ไม่จำเป็นต้องCอย่างเดียว สรุป ยึดติดที่ ม.C มากกว่าความอยากเป็น วิศวกร สรุปคือ เด็กไทยยึดติดในสถาบัน ในชื่อของสถาบัน จบกรณีตัวอย่าง ---------------------------------------------------------------------------- เพราะฉะนั้น ควรแก้ปัญหาเรื่องค่านิยมของเด็กไทยก่อนเป็นประการแรก ค่านิยมในวิชาชีพ มากกว่าค่านิยมในสถาบัน ต่อไป ควรเน้นพัฒนามหาวิทยาลัยต่างๆให้ชำนาญในด้านต่างๆของตน ไม่ใช้จะเอาแบบดีทุกอย่างทุกด้าน มันเป็นอุดมคติเกินไป สรุปในความเห็นผม ผมว่า NUT ไม่ควรทำ แต่ควรทำให้มหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ ในสาขาของตน จากคุณ : ไม่ใช่ผู้วิเศษ เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 10:21:55 A:192.168.0.240 X:118.174.38.193 TicketID:117878

ความคิดเห็นที่ 14   -.- ชื่อผมมมม จากคุณ : Phantomassasin เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 13:04:56

ความคิดเห็นที่ 15   มหาวิทยาลัยแห่งชาติในความคิดของคุณจะมีบทบาท หรือหน้าที่หลักอย่างไร ที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ในปัจจุบันครับ จากคุณ : Capo เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 13:07:41

ความคิดเห็นที่ 16   ทำไมจึงต้องจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติอีกละ่ครับ  เพราะปัจจุบันเราก็มีมหาวิทยาลัยที่ชาติให้งบประมาณจากภาษีสนับสนุนเป็นรายหัวอยู่แล้ว... มหาวิทยาลัยของรัฐยังไงครับ.... แถมเรายังมีหลายแห่งเสียด้วย.... ส่วนเรื่องการขาดแคลนบุคลากรนั้น  ผมว่าในปัจจุบันมหาวิทยาลัยผลิตได้มากอยู่แล้วครับ  เว้นแต่บางสาขาที่ขาดแคลน  เ่ช่นแพทย์   แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ  การขาดแคลนเป็นเพราะการไหลไปทำงานที่อื่นของบัณฑิตในสาขานั้นๆ เสียมากกว่าครับ... ดังนั้นก็คงต้องเป็นเรื่องนโยบายของรัฐ  ไปเน้นสนับสนุนการผลิตบัณฑิตในสาขาที่ขาดแคลน  ซึ่งในปัจจุบันก็มีการเน้นกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ... จากคุณ : ปัจจุบันคนหลังเขา (อดีต...) (คนไทยในลอนดอน) เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 13:59:35

ความคิดเห็นที่ 17   1. มหาวิทยาลัยในบ้านเรามีเกินพอไปแล้ว มันมากเกินไปแล้ว ควรจะยุบไปด้วยซ้ำ ไม่ใช่มาเปิดใหม่ 2. พัฒนาอาชีวะและสายอาชีพ นี่จึงเป็นฟันเฟืองที่แท้จริงของประเทศ 3. ชื่อมหาวิทยาลัยควรจะเป็น TNU (Thai National University) ครับ ไม่ใช่ NUT เหตุผลก็ตามที่ข้างบนว่ามา จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 15:24:45

ความคิดเห็นที่ 18   Thai National University จากคุณ : Master Chief เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 15:32:40

ความคิดเห็นที่ 19   เสาหลักของแผ่นดินเอย ศาสตร์แห่งแผ่นดินเอย แต่ละที่ก็พยายามเป็นกันอยู่นี่นา จากคุณ : แสงเรืองรองของฟ้าหลังฝน เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 15:41:26

ความคิดเห็นที่ 20   ถึงมีมหาวิทยาลัยแห่งชาติ แต่ผู้คนก็ยังคงปลื้มมหาวิทยาลัยชั้นนำของต่างชาติมากกว่าอยู่ดี  กระดูกสันหลังของชาติกำลังเปลี่ยนจากชาวนามาเป็นลูกจ้างแรงงาน โดยมีอาชีวะศึกษาเป็นกล้ามเนื้อใหญ่ จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 18:12:09

ความคิดเห็นที่ 21   ทำไมไม่พัฒนามหาลัยต่างๆ ให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านไปเลยละคะ เช่น.. ถ้าจะเรียนสาธารณสุข.. ควรจะไปเรียนที่ มหาวิทยาลัย.... ถ้าจะเรียนวิศวกรรมศาสตร์.. ควรจะไปเรียนที่ มหาวิทยาลัย.... ฯลฯ เราว่าบ้านเรามีสถาบันอุดมศึกษามากพอแล้ว แต่น่าจะพัฒนาให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากกว่า จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 16 มี.ค. 53 23:58:14

ความคิดเห็นที่ 22   ดิฉันแอนตี้มากๆที่มหาลัยตัวเองเปิดสายวิทย์ ภาพก็ไม่ชัด ชื่อเสียงก็ไมประจักษ์ คุณภาพเป็นยังไงก็ไม่กระจ่าง แถมมาดึงให้ภาพรวมของมหาลัยตกต่ำอีกด้วย  ทั้งๆที่เมือก่อนภาพรวมในสายศิลป์ของหลายคณะแทบจะเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ (ลบดีกว่า ด่าแรงไป เด๋วพวกเด็กสายวิทย์มาอ่านแล้วรับไม่ได้) แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 53 04:38:58 แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 53 04:37:01 แก้ไขเมื่อ 17 มี.ค. 53 04:34:07 จากคุณ : สวย ส่ายสุดๆ เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 53 04:30:53

ความคิดเห็นที่ 23   มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับครั้งหนึ่งประเทศไทยเกือบจะมีมหาวิทยาลัยแห่งชาติ แต่เดิมมหาวิทยาลัยในประเทศไทยจะแบ่งศาสตร์การสอนอย่างชัดเจน เห็นได้จากก่อนหน้านี้ จอมพล ป. พิบูลย์สงครามได้อนุมัติจัดตั้ง 3 มหาวิทยาลัย พร้อมกันราวๆปี พ.ศ.2486 คือ มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากนั้นด้วยเหตุผลอะใรก็แล้วแต่ มีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้ลงมติกันเพื่อจะขอพระราชทานเปลี่ยนชื่อเป็น "มหาวิทยาลัยภูมิพล" ตามมหาวิทยาลัยมหิดลที่เปลี่ยนไปก่อนหน้านั้น เพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้สอนเฉพาะทางเหมือนวัตถุประสงค์เดิมอีกแล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยดังกล่าวที่จบมาจากสถาบันอีกแห่งซึ่งเก่าแก่กว่าไม่เห็นด้วย เลยลงมติคว่ำความคิดนี้เสีย โดยให้เหตุผลว่ามหาวิทยาลัยจะใช้ชื่อพระมหากษัตริย์เหมือนมหาวิทยาลัยที่อาจารย์เหล่านั้นจบมาไม่ได้ (แล้วม.นเรศวร,รามคำแหง,สุโขทัยธรรมาธิราช(ร.7) ล่ะ ^^) ท้ายที่สุดก็เลยต้องโหวตชื่อกันใหม่ ไม่รู้ว่าประชดอาจารย์สายนั้นหรือเปล่า ชื่อที่ได้ใหม่นี้คือ "มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (University of Thailand)"  ด้วยเหตุผลที่ว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้สอนในวิชาที่เปรียบเป็นเสมือนกระดูกาสันหลังของประเทศ และยังมีวิทยาเขตทั้งที่จัดตั้งและรอจัดตั้งอยู่ทั่วประเทศ แต่เหมือนรู้ว่าถูกประชด อาจารย์สายนั้นเลยคว่ำโหวตอีก โดยให้เหตุผลว่ามหาวิทยาลัยที่อาจารย์เหล่านั้นจบมาเก่าแก่กว่า และต้องยิ่งใหญ่กว่า มหาวิทยาลัยที่สอนอยู่นี่จะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติได้อย่างใร หลังจากนั้นก็มีการโต้เถียงกันแบบสนุกสนาน จนสุดท้ายมหาวิทยาลัยแห่งนั้นก็ไมได้เปลี่ยนชื่อ จนถึงปัจจุบัน แม้มหาวิทยาลัยแห่งนั้นจะสอบแทบทุกศาสตร์แล้ว แต่ก็ยังใช้ชื่อเฉพาะทางเหมือนเดิม และคงจะไม่เปลี่ยนไปอีกตลอดกาล ปล. ทั้งหมดเป็นเรื่องเล่าจากอาจารย์ผู้ที่เสนอให้ใช้ชื่อมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย โดยข้าพเจ้านำมาเล่าต่อ หากไปพาดพิงสถาบันใดก็ต้องขออภัยมาที่นี้ด้วยนะครับ ^^ จากคุณ : dial-up เขียนเมื่อ : 17 มี.ค. 53 05:43:49

ความคิดเห็นที่ 24   ทำไมต้องเลียนแบบ หรือ copy Singapore ด้วยครับ ที่มีอยู่ก็ดีอยู่แล้ว จากคุณ : 2 . เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 15:12:36 A:203.126.225.129 X: TicketID:185131