ความคิดเห็นที่ 1 รูปเพี้ยน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:30:53

ความคิดเห็นที่ 2 1. ความต้องการทางร่างกาย ( Physiological needs ) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ที่มีอำนาจมากที่สุดและสังเกตเห็นได้ชัดที่สุด จากความต้องการทั้งหมดเป็นความต้องการที่ช่วยการดำรงชีวิต ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้ำดื่ม ออกซิเจน การพักผ่อนนอนหลับ ความต้องการทางเพศ ความต้องการความอบอุ่น ตลอดจนความต้องการที่จะถูกกระตุ้นอวัยวะรับสัมผัส แรงขับของร่างกายเหล่านี้จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความอยู่รอดของร่างกาย ความพึงพอใจที่ได้รับ ในขั้นนี้จะกระตุ้นให้เกิดความต้องการในขั้นที่สูงกว่า และถ้าบุคคลใดประสบความล้มเหลวที่จะสนองความต้องการพื้นฐานนี้ก็จะไม่ได้รับการกระตุ้น ให้เกิดความต้องการในระดับที่สูงขึ้นอย่างไรก็ตาม ถ้าความต้องการอย่างหนึ่งยังไม่ได้รับความพึงพอใจ บุคคลก็จะอยู่ภายใต้ความต้องการนั้นตลอดไป ซึ่งทำให้ความต้องการอื่นๆ ไม่ปรากฏหรือกลายเป็นความต้องการระดับรองลงไป เช่น คนที่อดอยากหิวโหยเป็นเวลานานจะไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์ต่อโลกได้ บุคคลเช่นนี้จะหมกมุ่นอยู่กับการจัดหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้มีอาหารไว้รับประทาน Maslowอธิบายต่อไปว่าบุคคลเหล่านี้จะมีความรู้สึกเป็นสุขอย่างเต็มที่เมื่อมีอาหารเพียงพอสำหรับเขาและจะไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีก ชีวิติของเขากล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของการรับประทาน สิ่งอื่นๆ นอกจากนี้จะไม่มีความสำคัญ ตัวอย่าง การขาดแคลนอาหารมีผลต่อพฤติกรรม ได้มีการทดลองและการศึกษาชีวประวัติเพื่อแสดงว่า ความต้องการทางด้านร่างกายเป็นเรื่องสำคัญที่จะเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ และได้พบผลว่าเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงของพฤติกรรมซึ่งมีสาเหตุจากการขาดอาหารหรือน้ำติดต่อกันเป็นเวลานาน ตัวอย่างคือ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ในค่าย Nazi ซึ่งเป็นที่กักขังเชลย เชลยเหล่านั้นจะละทิ้งมาตรฐานทางศีลธรรมและค่านิยมต่างๆ ที่เขาเคยยึดถือภายใต้สภาพการณ์ปกติ เช่น ขโมยอาหารของคนอื่น หรือใช้วิธีการต่างๆ ที่จะได้รับอาหารเพิ่มขึ้น อีกตัวอย่างหนึ่งในปี ค.ศ. 1970 เครื่องบินของสายการบิน Peruvian ตกลงที่ฝั่งอ่าวอเมริกาใต้ผู้ที่รอดตายรวมทั้งพระนิกาย Catholic อาศัยการมีชีวิตอยู่รอดโดยการกินซากศพของผู้ที่ตายจากเครื่องบินตก จากปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าเมื่อมนุษย์เกิดความหิวขึ้น จะมีอิทธิพลเหนือระดับศีลธรรมจรรยา จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามนุษย์มีความต้องการทางด้านร่างกายเหนือความต้องการอื่นๆ และแรงผลักดันของความต้องการนี้ได้เกิดขึ้นกับบุคคลก่อนความต้องการอื่นๆ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:33:51

ความคิดเห็นที่ 3 -*- ขยันจริงๆเลยครับ ปาดขวาไปเลย สงสัยผมจะเป็นโรคกลัวความสูง วนเวียนอยู่กับชั้นที่ 1 นี่แหละ อิอิ Sleep sex sleep sex ... blah blah -0- แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 53 23:35:51 จากคุณ : Choco`Browny (guta_me) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:34:13

ความคิดเห็นที่ 4 2. ความต้องการความปลอดภัย(Safety needs) เมื่อความต้องการทางด้านร่างกายได้รับความพึงพอใจแล้วบุคคลก็จะพัฒนาการไปสู่ขั้นใหม่ต่อไป ซึ่งขั้นนี้เรียกว่าความต้องการความปลอดภัยหรือความรู้สึกมั่นคง Maslow กล่าวว่าความต้องการความปลอดภัยนี้จะสังเกตได้ง่ายในทารกและในเด็กเล็กๆ เนื่องจากทารกและเด็กเล็กๆ ต้องการความช่วยเหลือและต้องพึ่งพออาศัยผู้อื่น ตัวอย่าง ทารกจะรู้สึกกลัวเมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังหรือเมื่อเขาได้ยินเสียงดังๆ หรือเห็นแสงสว่างมาก ๆ แต่ประสบการณ์และการเรียนรู้จะทำให้ความรู้สึกกลัวหมดไป ความต้องการความปลอดภัยจะยังมีอิทธิพลต่อบุคคลแม้ว่าจะผ่านพ้นวัยเด็กไปแล้ว แม้ในบุคคลที่ทำงานในฐานะเป็นผู้คุ้มครอง เช่น ผู้รักษาเงิน นักบัญชี หรือทำงานเกี่ยวกับการประกันต่างๆ และผู้ที่ทำหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลเพื่อความปลอดภัยของผู้อื่น เช่น แพทย์ พยาบาล แม้กระทั่งคนชรา บุคคลทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะใฝ่หาความปลอดภัยของผู้อื่น เช่น แพทย์ พยาบาล แม้กระทั่งคนชรา บุคคลทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะใฝ่หาความปลอดภัยด้วยกันทั้งสิ้น ศาสนาและปรัชญาที่มนุษย์ยึดถือทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคง เพราะทำให้บุคคลได้จัดระบบของตัวเองให้มีเหตุผลและวิถีทางที่ทำให้บุคคลรู้สึก “ปลอดภัย” ความต้องการความปลอดภัยในเรื่องอื่นๆ จะเกี่ยวข้องกับการเผชิญกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ สงคราม อาชญากรรม น้ำท่วม แผ่นดินไหว การจลาจล ความสับสนไม่เป็นระเบียบของสังคม และเหตุการณ์อื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับสภาพเหล่านี้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:37:26

ความคิดเห็นที่ 5 อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนเน้อคุณ Choco`Browny อิอิ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:39:15

ความคิดเห็นที่ 6 3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (Belongingness and Love needs) ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของเป็นความต้องการขั้นที่ 3 ความต้องการนี้จะเกิดขึ้นเมื่อความต้องการทางด้านร่างกาย และความต้องการความปลอดภัยได้รับการตอบสนองแล้ว บุคคลต้องการได้รับความรักและความเป็นเจ้าของโดยการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหรือกับผู้อื่น สมาชิกภายในกลุ่มจะเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับบุคคล กล่าวคือ บุคคลจะรู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อถูกทอดทิ้งไม่มีใครยอมรับ หรือถูกตัดออกจากสังคม ไม่มีเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำนวนเพื่อนๆ ญาติพี่น้อง สามีหรือภรรยาหรือลูกๆ ได้ลดน้อยลงไป นักเรียนที่เข้าโรงเรียนที่ห่างไกลบ้านจะเกิดความต้องการเป็นเจ้าของอย่างยิ่ง และจะแสวงหาอย่างมากที่จะได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน สำหรับ Maslow ความรักไม่ใช่สัญลักษณ์ของเรื่องเพศ (sex) เขาอธิบายว่า ความรักที่แท้จริงจะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่ดี ความสัมพันธ์ของความรักระหว่างคน 2 คน จะรวมถึงความรู้สึกนับถือซึ่งกันและกัน การยกย่องและความไว้วางใจแก่กัน นอกจากนี้ Maslow ยังย้ำว่าความต้องการความรักของคนจะเป็นความรักที่เป็นไปในลักษณะทั้งการรู้จักให้ความรักต่อผู้อื่นและรู้จักที่จะรับความรักจากผู้อื่น การได้รับความรักและได้รับการยอมรับจากผู้อื่นเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า บุคคลที่ขาดความรักก็จะรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่ามีความรู้สึกอ้างว้างและเคียดแค้น กล่าวโดยสรุป Maslow มีความเห็นว่าบุคคลต้องการความรักและความรู้สึกเป็นเจ้าของ และการขาดสิ่งนี้มักจะเป็นสาเหตุให้เกิดความข้องคับใจและทำให้เกิดปัญหาการปรับตัวไม่ได้ และความยินดีในพฤติกรรมหรือความเจ็บป่วยทางด้านจิตใจในลักษณะต่างๆ สิ่งที่ควรสังเกตประการหนึ่ง ก็คือมีบุคคลจำนวนมากที่มีความลำบากใจที่จะเปิดเผยตัวเองเมื่อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับเพศตรงข้ามเนื่องจากกลัวว่าจะถูกปฏิเสธความรู้สึกเช่นนี้ Maslow กล่าวว่าสืบเนื่องมาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก การได้รับความรักหรือการขาดความรักในวัยเด็ก ย่อมมีผลกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะและการมีทัศนคติในเรื่องของความรัก Maslow เปรียบเทียบว่าความต้องการความรักก็เป็นเช่นเดียวกับรถยนต์ที่สร้างขึ้นมาโดยต้องการก๊าซหรือน้ำมันนั่นเอง (Maslow 1970 p. 170) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:41:22

ความคิดเห็นที่ 7 4. ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ( Self-Esteem needs) เมื่อความต้องการได้รับความรักและการให้ความรักแก่ผู้อื่นเป็นไปอย่างมีเหตุผลและทำให้บุคคล เกิดความพึงพอใจแล้ว พลังผลักดันในขั้นที่ 3 ก็จะลดลงและมีความต้องการในขั้นต่อไปมาแทนที่ กล่าวคือมนุษย์ต้องการที่จะได้รับความนับถือยกย่องออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 4.1 ความต้องการนับถือตนเอง (self-respect) คือ ความต้องการมีอำนาจ มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความแข็งแรง มีความสามารถในตนเอง มีผลสัมฤทธิ์ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น และมีความเป็นอิสระ ทุกคนต้องการที่จะรู้สึกว่าเขามีคุณค่าและมีความสามารถที่จะประสบความสำเร็จในงานภาระกิจต่างๆ และมีชีวิตที่เด่นดัง 4.2 ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น (esteem from others) คือ ความต้องการมีเกียรติยศ การได้รับยกย่อง ได้รับการยอมรับ ได้รับความสนใจ มีสถานภาพ มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขาน และเป็นที่ชื่นชมยินดี มีความต้องการที่จะได้รับความยกย่องชมเชยในสิ่งที่เขากระทำซึ่งทำให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าว่าความสามารถของเขาได้รับการยอมรับจากผู้อื่น ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ก็เป็นเช่นเดียวกับธรรมชาติของลำดับชั้นในเรื่องความต้องการด้านแรงจูงใจตามทัศนะของ Maslow ในเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตนั่นคือ บุคคลจะแสวงหาความต้องการได้รับการยกย่องก็เมื่อภายหลังจาก ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของได้รับการตอบสนองความพึงพอใจของเขาแล้ว Maslow กล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ที่บุคคลจะย้อนกลับจากระดับขั้นความต้องการในขั้นที่ 4 กลับไปสู่ระดับขั้นที่ 3 อีกถ้าความต้องการระดับขั้นที่ 3 ซึ่งบุคคลได้รับไว้แล้วนั้นถูกกระทบกระเทือนหรือสูญสลายไปทันทีทันใด ดังตัวอย่างที่ Maslow นำมาอ้างคือหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเธอคิดว่าการตอบสนองความต้องการความรักของเธอได้ดำเนินไปด้วยดี แล้วเธอจึงทุ่มเทและเอาใจใส่ในธุรกิจของเธอ และได้ประสบความสำเร็จเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและอย่างไม่คาดฝันสามีได้ผละจากเธอไป ในเหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏว่าเธอวางมือจากธุรกิจต่างๆ ในการที่จะส่งเสริมให้เธอได้รับความยกย่องนับถือ และหันมาใช้ความพยายามที่จะเรียกร้องสามีให้กลับคืนมา ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของเธอเป็นตัวอย่างของความต้องการความรักซึ่งครั้งหนึ่งเธอได้รับแล้ว และถ้าเธอได้รับความพึงพอในความรักโดยสามีหวนกลับคืนมาเธอก็จะกลับไปเกี่ยวข้องในโลกธุรกิจอีกครั้งหนึ่ง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:43:46

ความคิดเห็นที่ 8 ชอบประโยคนี้จังเลยครับ อ่านแล้วคิดถึงคุณแฟนมากมาย "...สำหรับ Maslow ความรักไม่ใช่สัญลักษณ์ของเรื่องเพศ (sex) เขาอธิบายว่า ความรักที่แท้จริงจะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่ดี ความสัมพันธ์ของความรักระหว่างคน 2 คน จะรวมถึงความรู้สึกนับถือซึ่งกันและกัน การยกย่องและความไว้วางใจแก่กัน นอก จากนี้ Maslow ยังย้ำว่าความต้องการความรักของคนจะเป็นความรักที่เป็นไปในลักษณะทั้งการ รู้จักให้ความรักต่อผู้อื่นและรู้จักที่จะรับความรักจากผู้อื่น การได้รับความรักและได้รับการยอมรับจากผู้อื่นเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลเกิด ความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า บุคคลที่ขาดความรักก็จะรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่ามีความรู้สึกอ้างว้างและเคียด แค้น..." จากคุณ : Choco`Browny (guta_me) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:46:55

ความคิดเห็นที่ 9 5. ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization needs) การเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงเป็นความต้องการอย่างหนึ่งของบุคคลที่จะบรรลุถึงจุดสูงสุดของศักยภาพ เช่น “นักดนตรีก็ต้องใช้ความสามารถทางด้านดนตรี ศิลปินก็จะต้องวาดรูป กวีจะต้องเขียนโคลงกลอน ถ้าบุคคลเหล่านี้ได้บรรลุถึงเป้าหมายที่ตนตั้งไว้ก็เชื่อได้ว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนที่รู้จักตนเองอย่างแท้จริง” ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงจะดำเนินไปอย่างง่ายหรือเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยความเป็นจริงแล้ว Maslow เชื่อว่าคนเรามักจะกลัวตัวเองในสิ่งเหล่านี้ “ด้านที่ดีที่สุดของเรา ความสามารถพิเศษของเรา สิ่งที่ดีงามที่สุดของเรา พลังความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์” ความต้องการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงมิได้มีแต่เฉพาะในศิลปินเท่านั้น คนทั่วๆ ไป เช่น นักกีฬา นักเรียน หรือแม้แต่กรรมกรก็สามารถจะมีความเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงได้ถ้าทุกคนสามารถทำในสิ่งที่ตนต้องการให้ดีที่สุด รูปแบบเฉพาะของการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงจะมีความแตกต่างอย่างกว้างขวางจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง กล่าวได้ว่ามันคือระดับความต้องการที่แสดงความแตกต่างระหว่างบุคคลอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด ทำไมทุกๆ คนจึงไม่สัมฤทธิผลในการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง (Why Can’t All People Achieve Self-Actualization) ตามความคิดของ Maslow ส่วนมากมนุษย์แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้องการแสวงหาเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ภายในตน จากงานวิจัยของเขาทำให้ Maslow สรุปว่าการรู้ถึงศักยภาพของตนนั้นมาจากพลังตามธรรมชาติและจากความจำเป็นบังคับ ส่วนบุคคลที่มีพรสวรรค์มีจำนวนน้อยมากเพียง 1% ของประชากรที่ Maslow ประมาณ Maslow เชื่อว่าการนำศักยภาพของตนออกมาใช้เป็นสิ่งที่ยากมาก บุคคลมักไม่รู้ว่า ตนเองมีความสามารถและไม่ทราบว่าศักยภาพนั้นจะได้รับการส่งเสริมได้อย่างไร มนุษย์ส่วนใหญ่ยังคงไม่มั่นใจในตัวเองหรือไม่มั่นใจในความสามารถของตนจึงทำให้หมดโอกาสเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง และยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่มาบดบังพัฒนาการทางด้านความต้องการของบุคคลดังนี้ อิทธิพลของวัฒนธรรม ตัวอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของสังคมมีต่อการเข้าใจตนเอง คือแบบพิมพ์ของวัฒนธรรม (cultural stereotype) ซึ่งกำหนดว่าลักษณะเช่นไรที่แสดงความเป็นชาย (masculine) และลักษณะใดที่ไม่ใช่ความเป็นชาย เช่นจัดพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความเมตตากรุณา ความสุภาพและความอ่อนโยน สิ่งเหล่านี้วัฒนธรรมมีแนวโน้มที่จะพิจารณาว่า “ไม่ใช่ลักษณะของความเป็นชาย” (unmasculine) หรือความเชื่อถือของวัฒนธรรมด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่มีคุณค่า เช่น ยึดถือว่าบทบาทของผู้หญิงขึ้นอยู่กับจิตวิทยาพัฒนาการของผู้หญิง เป็นต้น การพิจารณาจากเกณฑ์ต่างๆ ดังกล่าวนี้เป็นเพียงการเข้าใจ “สภาพการณ์ที่ดี” มากกว่าเป็นเกณฑ์ของการเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ประการสุดท้าย Maslow ได้สรุปว่าการไม่เข้าใจตนเองอย่างแท้จริงเกิดจากความพยายามที่ไม่ถูกต้องของการแสวงหาความมั่นคงปลอดภัย เช่น การที่บุคคลสร้างความรู้สึกให้ผู้อื่นเกิดความพึงพอใจตนโดยพยายามหลีกเลี่ยงหรือขจัดข้อผิดพลาดต่างๆ ของตน บุคคลเช่นนี้จึงมีแนวโน้มที่จะพิทักษ์ความมั่นคงปลอดภัยของตน โดยแสดงพฤติกรรมในอดีตที่เคยประสบผลสำเร็จ แสวงหาความอบอุ่น และสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งลักษณะเช่นนี้ย่อมขัดขวางวิถีทางที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง http://www.kmitnbxmie8.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5354814&Ntype=3 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:47:24

ความคิดเห็นที่ 10 จขกท - คุณอยู่ในขั้นใดของปิรามิดจ้าาาา จบแล้ว จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:50:12

ความคิดเห็นที่ 11 รูปนี้ก็น่ารักเข้าใจง่าย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 53 23:58:06

ความคิดเห็นที่ 12 1972: Survivors found 10 weeks after plane crash ตัวอย่าง กลุ่มนักรักบี้วัยรุ่นเดินทางจะไปแข่ง แต่เครื่องบินตก ท่ามกลางหิมะอยู่ 10 อาทิตย์ ต้องกินเนื้อศพเพื่อน เพราะเป็นความต้องการพื้นฐานสุด ไม่สนใจเรื่องอื่นๆ เช่นศีลธรรม เคยดูหนังเรื่องนี้ด้วย ใครเล่นน้า อีธาน ฮอก รึเปล่า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 00:07:16

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่องนี้ผมก็ประทับใจเหมือนกันครับ เพราะว่า สมัยเรียนผมเคยยกตัวอย่างเปรียบเทียบแบบง่ายๆประกอบการอธิบายในวิชา Managerial Psychology ในขณะที่คนอื่นไม่ยกตัวอย่าง พอคะแนนออกมา ปรากฎว่าผมได้ 4.5 จาก 5 ในขณะที่คนอื่นได้ 2 - 3.5 ไม่รู้ว่าผมเก่งเรื่องจิตวิทยา หรือ อาจารย์เห็นใจที่ผมทำพรีเซนท์คนเดียว จากคุณ : FrostAvenger เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 00:10:32

ความคิดเห็นที่ 14   โอ่ เรื่องนี้เพิ่งสอบไปเทอมที่แล้วเองครับ T_T จากคุณ : สามสิบแปดบวกหนึ่ง เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 00:14:19

ความคิดเห็นที่ 15 ผมว่าวิชาจิตวิทยาน่าสนใจเพราะมันหาจุดตายตัวยาก และเกี่ยวข้องกับเราโดยตรงครับ แต่บางทีก็ขอผ่านๆบ้างก็ดี เพราะคิดมากไปก็ปวดหัว ยิ่งเจอพวก Post Modern เข้าไป -*- จากคุณ : Choco`Browny (guta_me) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 00:15:12

ความคิดเห็นที่ 16 โอโห คุณกี้ฟไปเอาพลังมาจากไหนเนี่ย มาลงชื่อรออ่านพรุ่งนี้ครับ ไม่ไหวแล้วง่วง จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 00:32:48

ความคิดเห็นที่ 17 บอกตามตรง มันใช้ยาก เพราะมันยาก ว่า เมื่อเวลานั้น คนเราต้องการอะไร ความรัก เงินทอง หรือความปลอดภัยในการใช้ชีวิต คนที่อยุ่ในสถานะเดียวกัน ความต้องการอาจไม่เหมือนกันเลยซักนิด เช่นผม กับ พ้องเพื่อน จากคุณ : lyonheartz เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 00:45:10

ความคิดเห็นที่ 18 นึกถึงตอนสอบเลยครับ พึ่งท่องไปสอบหยกๆ จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 01:13:28

ความคิดเห็นที่ 19   ผมลืมไปเกือบหมดแล้วนะเนี่ยโอ้วว ได้ทบทวน เรียนมาคืนอาจารย์ไปหมดอิอิ จากคุณ : tunnie555 เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 01:35:01

ความคิดเห็นที่ 20 ในความคิดของผมนะครับ Maslow's Hierarchy of needs theory เป็นทฤษฎีพื้นฐานที่ใช้ได้ดีมากๆในการ Motivate ลูกน้อง ยิ่งถ้าใช้ประยุกต์ใช้กับ Herzberg's two factor theory และ Contemporary theory อย่าง Reinforcement กับ Equity นี่ ยิ่งฉลุยเลยครับ  งานนี้ลูกน้องทุ่มสุดตัวเพื่อเจ้านายเลย แต่ถ้าเอา Maslow's Hierarchy of needs theory เดี่ยวๆมาเทียบกับคนทั่วๆไปในสังคมแล้ว หลายๆกรณี ก็ไม่สามารถใช้ทฤษฎีนี้ได้ มันมีข้อขัดแย้งมากเกินไปครับ ยกตัวอย่างเช่น พวกฤๅษีฝึกตน ปลีกวิเวก ไปอยู่คนเดียวเดี่ยวๆ ใช้ชีวิตแบบสันโดษ บุคคลเหล่านี้ Basic need ยังเติมไม่เต็มเลยครับ แต่พวกเขาได้ขึ้นไปถึง Self Actualization แล้ว พวกเขาพอใจ และ มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอยู่แบบนั้น บางคนอดอาหารจนตาย แต่ก็มีความสุข บางคนปลีกวิเวกเข้าป่าไป ระหว่างที่นั่งสมาธิอยู่ โดนเสือย่องมางับ เขาก็ยังมีความสุข(หรือเปล่า) คนเหล่านี้เขาไม่ต้องการ Security , Social , หรือ Esteem เลย หรือว่าจะเป็น  พวกอกหัก คิดสั้น ฆ่าตัวตาย พวกนี้ก็เอา Maslow's Hierarchy of needs theory มาใช้ไม่ได้เช่นกัน ปล. ในโลกนี้ มีไม่กี่คนครับที่ขึ้นไปถึง Self actualization ได้  หนึ่งในนั้นก็คือ พระพุทธเจ้าของเรานี่เอง แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 53 01:55:09 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 53 01:52:36 จากคุณ : FrostAvenger เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 01:50:55

ความคิดเห็นที่ 21 #17 เพราะ คนเราแต่ละคนมีความต้องการไม่เท่ากัน ต้องการอาหารไม่เท่ากัน ต้องการความรักไม่เท่ากัน ละมั้ง จากคุณ : chidkido เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 02:02:08

ความคิดเห็นที่ 22 20 ทฤษฎีนี้มีไว้อธิบายคนทั่วไปครับ ไม่ได้อธิบายคนที่มีปัญหาทางจิต เสริมอีกอย่างคือทฤษฎีนี้ค่อนข้างเป็นปรัชญาดังนั้นจะมาวัดอะไรเป๊ะๆแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้นะครับ จะเอามาอธิบายอะไรต้องยืดหยุ่นและคิดให้รอบด้านด้วย จากคุณ : donutpla2 เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 02:11:48

ความคิดเห็นที่ 23 อ่ะ คห. 22 ครับ ผมเองก็ไม่ได้เอาคนมีปัญหาทางจิตมาประกอบเลยนะครับ ผมเห็นด้วยที่คุณบอกว่า "เสริมอีกอย่างคือทฤษฎีนี้ค่อนข้างเป็นปรัชญาดังนั้น จะมาวัดอะไรเป๊ะๆแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้นะครับ จะเอามาอธิบายอะไรต้องยืดหยุ่นและคิดให้รอบด้านด้วย" แต่ผมว่า Maslow พลาดจุดหนึ่ง ที่เขาบอกว่า "การจะที่จะไต่ขึ้นไปขั้นต่อไปนั้น  ขั้นที่เราอยู่ในปัจจุบันต้องได้รับการเติมเต็มก่อน" แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันสามารถข้ามชั้นได้  หรือ  สามารถควบชั้นได้ ถ้าอิงตามแบบ Maslow เป๊ะๆ แบบไม่ยืดหยุ่น ป่านนี้พวกเราไม่ต้องทำอะไรแล้วครับ จากคุณ : FrostAvenger เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 02:36:34

ความคิดเห็นที่ 24 ขอเสริมอีกซักเล็กน้อย จริงๆแล้วมันยังมีอีกขั้นหนึ่งครับ มาสโลว ได้อัพเดททฤษฎีนี้ของตัวเองในภาคหลัง หลังจากที่เขาได้มาพบกับนักบวชรูปหนึ่ง(ไม่แน่ใจว่าศาสนาไหน) ซึ่งนักบวชรูปนั้น เรียกได้ว่าละแล้วซึ่งทางโลก และไม่สามารถจัดอยู่ในขึ้นไหนในรูปพิระมิดนี้ได้เลย มาสโลวได้เพิ่มลำดับขั้นในพิระมิดขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง คือขั้น Transcendence ในไทยใช้คำแปลว่า "บรรลุวิปัสสนากรรมฐานชั้นสูง" ซึ่งมาสโลวได้จัดลำดับขั้นนี้อยู่เหนือกว่า Self-Actualization ซะอีก (แต่บางตำราก็จัดไว้เป็นซับเซตของ Self-Actualization) จากคุณ : เกียงอุยศิษย์มังกรหลับ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 02:47:32

ความคิดเห็นที่ 25 เพิ่งลงเรียนไปเทอมที่แล้วเอง ^.^ 24# จริงรึปล่าวครับขออ้างอิงหน่อย ในwikiไม่เห็นมี จากคุณ : kenjiwinness เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 05:12:25

ความคิดเห็นที่ 26   แหมคิดถึงตอนดีเฟนงานวิจัยเลยทีเดียว.... ตอนนั้นผมตีความไปด้วยว่า กลุ่มบุคคลที่มิได้ออกมาต่อต้านการปฎิวัติ ยอมรับการยึดอำนาจ หรือคนที่เฉย ๆ ก็คือกลุ่มที่อยู่ใน 1-3 คือกลุ่มที่ไม่ต้องการการยอมรับจากสังคม ยอมใช้ชีวิตเป็นดั่งสัตว์ในกลุ่มปศุสัตว์ เขาใครจะมาเป็นจ่าฝูงก็ยอมรับได้ เพราะมันไม่กระทบ ข้อ 1-3 ของเขา จากคุณ : devil amature2 เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 08:59:32

ความคิดเห็นที่ 27 ไฟแดง.. จากคุณ : -APEM เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 09:01:37

ความคิดเห็นที่ 28 #26 ผมเห็นกลับกันว่าคนในสังคมส่วนใหญ่อยู่ในสามลำดับแรกรึเปล่า? ส่วนคนจะดิ้นรนเป็นจ่้าฝูงเพราะต้องการ Self Esteem ต้องการให้มีคนมายกย่อง? จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 09:25:15

ความคิดเห็นที่ 29 55 ทฤษฎีโปรดผม (มาสโลว์คือฮีโร่ในใจผมเลย) มีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมดังนี้ - จริงๆมาสโลว์แบ่งไว้ 7 ขั้นครับ แต่ลูกศิษย์แกวิเคราะห์แล้วว่า 6 กับ 7 มันเป็นซับเซทของ 5 เลยเอาไปรวมกับ 5 ซะเลย แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงชื่ออะไรเพื่อเป็นเกียรติแก่อาจารย์ - เวลามองทฤษฎีนี้คนจะมองในระดับมหาภาค แต่จริงๆแล้วถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายพฤติกรรมระดับจุลภาค (เพราะมีคนเอาไปประยุกต์เกี่ยวกับการจูงใจคน เลยมองข้ามแบบจุลภาคไป) เช่น ถ้าคุณปวดอึจนมันจะราดอยู่แล้ว(ขั้น1) ปะทะแฟนโทรมาพอดี(ขั้น 3) คุณจะอึก่อน โทรศัพท์เดี๋ยวค่อยโทรกลับก็ได้เป็นต้น - จากข้างบนจะพบว่าถ้าตราบใดที่ขั้นต่ำกว่ายังไม่แล้วเสร็จขั้นสูงกว่าจะสำเร็จก่อนไม่ได้ - แต่ทฤษฎีนี้มี "ข้อยกเว้น" อยู่ ซึ่งเค้าก็เขียนเป็นเรื่องเป็นราวไว้เลย เพียงแต่เวลาคนพูดถึงจะไม่เอามาพูดด้วย เลยทำให้มีคนบ่นว่าทฤษฎีนี้มั่วหรือเปล่า "ข้อยกเว้น" นั้นก็คือ ความต้องการขั้นใดที่มันแรงกล้ามากๆสามารถข้ามขั้นอื่นมาได้เลย เช่น ไม่ยอมทานอะไรเลย เพื่อลดน้ำหนักไปจีบหนุ่มที่รักมากมายอะไรแบบนี้ - การตอบสนองไม่จำเป็นต้องเติมไปเต็มหลอดถึงจะสำเร็จก็ได้ เติมเท่าที่ร่างกายรู้สึกว่าพอมันก็พอ อย่างหิวมาก(ขั้น1)แต่ต้องเตรียมพรีเซ้นงานรอบบ่ายบอสใหญ่เข้าฟังด้วย(ขั้น4)ไม่มีเวลาลงไปทานข้าว มีเวลาแค่ทานเวเฟอร์ได้แค่แท่งเดียว ไม่อิ่มแต่ก็พอให้ร่างกายทำงานต่อไปได้ก็โอเค - ขั้น 5 ไม่จำเป็นต้องบรรลุขั้นเทพขนาดนั้น ขั้น 5 จริงๆ คือ "ความต้องการส่วนเกิน" อะไรก็ได้ที่คุณต้องการโดยไม่จำเป็นกับชีวิตคุณ จัดเป็นขั้น 5 หมด เช่น อยู่ดีๆอยากฟังเพลงพี่เป้าสายัญขึ้นมา เลยเดินไปซื้อมาฟัง นั่นก็ขั้น 5 ขั้นนี้คนชอบเข้าใจผิดเยอะมาก เอะอะก็บรรลุ ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่เลย "ทำตามใจที่อยากทำ" นั่นแหละขั้น5 - ทฤษฎีทางจิตวิทยาใดๆก็ตามที่ใช้อธิบายคนในภาวะปกติ จะไม่สามารถอ้างอิงคนที่อยู่ในภาวะพิเศษ(เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตประสาท คนเมาสารเคมีใดๆ)ได้ เพราะว่าทฤษฎีทางจิตวิทยาต่างๆเก็บข้อมูลและแปลผลจากสถิติจากผู้ที่มีภาวะปกติ ถ้าอยากจะหาคำอธิบายเกี่ยวกับผู้ที่มีอาการพิเศษต้องดูทฤษฎีเฉพาะจากการเก็บข้อมูลจากอาการนั้นๆครับ ใช้ร่วมกันไม่ได้ เห็นข้างบนกดไฟแดง เลยอยากจะบอกว่าเค้าพูดถูกแล้ว(แต่น้ำเสียงไม่ค่อยน่าฟังเท่าไร) ปล. จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรมคนในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ มีการแบ่งออกเป็นสาขาต่างๆมากมาย ถ้าดูกว้างๆจะมีสองสายคือ จิตวิทยาสังคมคือศึกษาพฤติกรรมที่เป็นปกติของมนุษย์ กับจิตวิทยาคลีนิคที่ศึกษาพฤติกรรมที่ไม่ปกติของมนุษย์ จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 09:47:04

ความคิดเห็นที่ 30 โห ได้ความรู้เพิ่มมากมายจากเพื่อนๆ ชอบของคุณ Disorder ที่พูดเรื่องไปซื้อเทปพี่เป้าอ่ะ ฮ่าๆ ชอบพี่เป้าละสิ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 10:19:40

ความคิดเห็นที่ 31 เพิ่ม - ขั้น 4 แก่นของมันคือ การยอมรับนับถือ"จากตนเอง" เท่านั้น ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ"จากผู้อื่น"ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่คนโดยส่วนใหญ่จะภูมิใจในตัวเองเมื่อผู้อื่นชื่นชมยกย่องในตัวเค้า (พวกนักสร้างแรงจูงใจเลยสวมรอยเอาการยกย่องจากผู้อื่นสวมรอยเข้าเป็นสาระสำคัญไปซะเลย เอาง่ายเข้าว่า) ดังนั้นถ้าคุณทำอะไรลงไป แล้วคุณรู้สึกว่ามันเจ๋ง แม้คนจะด่าทั้งโลกก็ตาม คุณก็ผ่านขั้น 4 ในทางกลับกัน ถึงคนทั้งโลกจะชมคุณ แต่คุณไม่พอใจในผลลัพธ์นั้นๆ คุณก็จะยังติดอยู่ในขั้น 4 อยู่ดี - พฤติกรรมหนึ่งๆ แม้ว่ามันจะทำเหมือนกัน แต่อาจมาจากความต้องการต่างขั้นก็ได้เช่น ถ้าคุณเอามือเดินแทนเท้า เนื่องจาก... * ทำเพื่อโชว์หาเงินมากินข้าว เพราะหิวมากและไม่มีเงิน ขั้น 1 * ทำเพราะมีโจรเอาปืนมาขู่ว่าถ้าไม่ทำจะยิง ขั้น 2 * ทำเพราะเพื่อนทำได้หมด เลยกลัวว่าเพื่อนไม่คบ ขั้น 3 * ทำเพราะดีใจเวลาคนมอง ขั้น 4 * ทำเพราะอยากทำ ขั้น 5 จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 10:46:01

ความคิดเห็นที่ 32 กะจะเข้ามาเสริมตามคุณ Disorder ซักหน่อย แต่คงไม่ต้องแล้วล่ะ จากคุณ : Matriarchal Miaw เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 11:12:33

ความคิดเห็นที่ 33 คห. 22   ผมว่า คุณ คห. 20 เขายกตัวอย่างมา ก็เป็นคนปกติทั่วไปในสังคมครับ ถ้าคุณยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคุลได้จากใจจริง ๆ คุณจะเจอคนพวกนี้มากมายคับ ถ้าคุณไม่เข้าใจ ผมว่าคุณ คห. 22 เองอาจเป็นคนมีปัญหาทางจิตคับ จากคุณ : น้องบอย (hydehalf) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 11:18:11

ความคิดเห็นที่ 34 X + Y จากคุณ : อะไรเฟี๊ยว เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 11:48:02

ความคิดเห็นที่ 35 ทฤษฎีดังกล่าวยังไม่ถึงกับเป็นหลักความจริงแท้แน่นอนหรือเป็นวิทยาศาสตร์ครับ  เพราะระบุพฤติกรรมจิตใจมนุษย์อย่างตายตัวเกินไป  หากเป็นความจริงที่วิทยาศาสตร์ยอมรับเชื่อถือควรเป็นทฤษฎีที่ยืดหยุ่นและครอบคลุมความจริงอย่างปฏิเสธไม่ได้ เช่นถ้าบอกว่ามนุษย์ต่างบุคคลก็นานาจิตตัง หรือมนุษย์เกิดมาสามารถมีพฤติกรรมตามความต้องการต่างๆได้ อย่างนี้วิทยาศาสตร์ย่อมยอมรับเพราะพิสูจน์ได้ว่าล้วนเป็นพฤติกรรมที่หลากหลายตามความต้องการที่แตกต่างของมนุษย์ แต่ถ้าระบุอย่างตายตัวว่ามนุษย์จะต้องมีพฤติกรรมตามความต้องการเช่นนั้น และจะเป็นลำดับขั้นเช่นนี้ แม้จะมีส่วนตรงตามพฤติกรรมหลายๆคน ณ กาลเวลาสถานที่นั้นๆ แต่ยังไม่อาจเป็นหลักที่จริงแท้แน่นอนเหมือนวิทยาศาสตร์ครับ   หรือบางตัวอย่างเช่นถ้าบอกว่ามมนุษย์เกิดมาย่อมตายลงในวันข้างหน้า ย่อมเป็นหลักใหญ่อันครอบคลุมที่วิทยาศาสตร์ยอมรับ  แต่ถ้าระบุตายตัวว่ามนุษย์คนนั้นคนนี้จะตายเมื่ออายุเท่านั้นเท่านี้ ย่อมกลายเป็นโหราศาสตร์ที่สนองความอยากรู้ความยึดถือของชาวบ้านไป จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 12:25:59

ความคิดเห็นที่ 36 คุณ FrostAvenger คห. 20 คับ Need Hierarchy ของ Maslow แทบจะหาผลงานวิจัยยืนยันไม่ได้เลยคับว่า Motivate ลูกน้องได้ นอกจากมาสโลวแล้ว ยังมีผู้ที่ทำทฤษฎี needs-based ให้ง่ายขึ้นอีก 2คนคือ ทฤษฎี ERG (Existent, Relatedness and Growth) ของ Alderfer โดยซิมพลิฟาย 1.physiological กับ safety need รวมเป็น Existent 2.social กับ esteem need เป็น Relatedness และ 3. Self Actualization เป็น Growth และอีกทฤษฏีคือ Motivation-Hygiene Theory ของ Hertzberg โดยลดเหลือแค่ 2 ขั้นคือ Hygiene และ Motivation ทฤษฎี needs-based ของ Hertzberg ได้รับการยอมรับมากที่สุดในทฤษฎีกลุ่มนี้ด้านการนำไปใช้ในองค์กรคับ จากคุณ : WiseChocolate เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 15:00:34

ความคิดเห็นที่ 37 ขอถามนิดนึงครับ พอดีตอนเรียนตรี ต้องเรียนเรื่องนี้หลายวิชามาก แต่ละวิชาก็พูดไม่ตรงกันเลย มีอาจารย์คนนึงบอกว่า เมื่อถึง ขั้นสุดท้ายแล้ว Self Actualization คนยังมีโอกาสเกิด Self Actualization  ในแง่มุมอื่นได้อีก เช่นSelf Actualization เดิมทีอยากเป็นนายก ซึ่งภายหลังจากได้เป็นนายก พบว่า ขั้น Self Actualization มันหายไปแล้ว ก็เกิดขึ้นในเรื่องใหม่ เช่นอยากเป็นโปรกอล์ฟ พอได้เป็นโปรกอล์ฟ ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อยากถามว่าข้อความข้างบนจริงเท็จแค่ไหน แล้วมีโอกาสไหมที่คนจะเสียSelf Actualization ในชีวิตไป พอดีตอนนี้เรียนโท ก็ไฟท์กับอาจารย์เรื่องนี้อยู่เหมือนกันครับ จากคุณ : กระดาษในโหลแก้ว เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 16:08:01

ความคิดเห็นที่ 38 #37 Self Actualization เป็นความต้องการส่วนเกิน ที่ไม่เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของคน เป็นความต้องการที่ไม่ทำก็ได้ไม่เดือดร้อน ไม่เหมือน 4 ขั้นต้น เช่น เดินอยู่ร้านชำแล้วเกิดอยากกินไอติมขึ้นมาซะดื้อๆ ไม่ได้หิว ไม่มีใครบังคับให้กิน แต่อยากกินเองก็เป็น Self Actualization แล้ว ซึ่งขั้น 5 มันเกิดขึ้นทุกวันวันละหลายๆครั้ง เกิดได้กับทุกคน ไม่ใช้ขั้นวิเศษวิโสเทวดาสัมผัสได้เท่านั้นแต่อย่างใด กล่าวอีกครั้งหนึ่ง ทฤษฎีนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออธิบายการเกิดพฤติกรรมที่เกิดจากแรงจูงใจในระดับจุลภาค การอธิบายในระดับมหาภาคเป็นผลพลอยได้ ------ หากมองในระดับมหาภาค อาจารย์คุณก็พูดถูก อย่างไมเคิลจอร์แดนบาสเทพบรรลุแล้วก็เลยหันไปเอาดีทางกอล์ฟ(แต่แป้ก) เรื่องการบรรลุความต้องการสูงสุดของชีวิต หากบรรลุแล้วก็หาเป้าหมายใหม่ได้เรื่อยๆ อย่างเช่นเด็กมัธยมปลายเป้าหมายสูงสุดคือเอนท์ติด เมื่อเอนท์ติดแล้วก็หาเป้าหมายใหม่ อาจจะเป็นเกียรตินิยม มีแฟน ไปเที่ยวเสม็ด อะไรก็ว่าไป --- ขอกล่าวอีกครั้ง ขั้น 5 เกิดขึ้นกับใครก็ได้ เกิดทุกวัน วันละหลายครั้ง ไม่ใช่ขั้นเทพขั้นเทวดาแต่อย่างใด จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 17:38:17

ความคิดเห็นที่ 39 อา... บรรยากาศห้องเลคเชอร์ลอยมาอีกครั้ง จิตวิทยาพื้นฐาน เราอย่าเจอกันอีกเลย จากคุณ : StreamRider เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 18:41:03

ความคิดเห็นที่ 40 อ่านเพลินดีค่ะ ^ ^ "คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนที่สุด เรื่องในชีวิตไม่ใช่เหตุไม่ใช่ผลไปทุกเรื่อง ไม่ใช่ประสบเหตุแบบนี้แล้วจะต้องได้ผลแบบนี้ไปเสียทุกคน เพราะแต่ละคนมีความแตกต่าง มีสิทธิ์เลือกทางเดิน เลือกความชอบหรือไม่ชอบของตัว และบางเรื่องบางครั้งก็ถูกกำหนดมาให้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะเราเลือกเองด้วยซ้ำ... " เก็บมาจกานิยายเรื่องไหนก็ไม่รู้ จำไม่ได้แล้วค่ะ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 19:31:44

ความคิดเห็นที่ 41 ทฤษฎีเก่าแก่มากมาย อ้างกันจนเฝือ และมีงานใหม่ๆ น่าสนใจกว่ามาเพิ่มเติม ช่วยอธิบายได้ดีกว่าเยอะครับ ความซับซ้อนมีมากและในหลายมิติ แต่ก็ต้อง ขอบคุณ จขกท ที่มาจุดประกายการถกเถียงอย่างเปิดใจกว้างครับ จากคุณ : g9h เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 20:17:14

ความคิดเห็นที่ 42 #41 เห็นด้วยว่าเอามาอ้างกันเยอะ จนเพี้ยนไปหมดแล้ว จริงๆเจ้าของทฤษฎี(มาสโลว์) เค้าเป็นบิดาจิตวิทยาสายมนุษย์นิยม สิ่งที่เค้าคาดหวังคืออยากให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่ดี เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจงดงาม แต่พวกสายพฤติกรรมนิยม(ที่เห็นแก่ได้)บางพวก หยิบยกเอาทฤษฎีของมาสโลว์มาเสริมแรงสร้างแรงจูงใจให้คนลุ่มหลงในกิเลสตัญหา มัวเมาว่าขั้น 5 ต้องรวย ต้องเที่ยวรอบโลก ต้องมีเงินกองให้พ่อให้แม่ ต้องมีบ้านใหญ้รถหรูๆ หลอกล่อคนมาเป็นทาส ถ้ามาสโลว์ยังมีชิวิตอยู่คงเสียใจแน่นอน(ปกติสายมนุษย์นิยมก็ไม่ค่อยถูกกับสายพฤติกรรมนิยมซักเท่าไรอยู่แล้ว แต่นี่เล่นหยิบเอาทฤษฎีของสายเค้าไปใช้ในทางเสื่อมยิ่งน่าโมโหใหญ่เลย) ส่วนเรื่องเก่าแล้วแอบไม่เห็นด้วยครับ ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่สวยงามและรัดกุมมาก ไม่มีช่องโหว่ใดๆเลย(ถ้าศึกษาทั้งหมด 5 ขั้น รวมข้อยกเว้น และทฤษฎีความต้องการพื้นฐานและความต้องการส่วนเกิน รวม 3 ประเด็น) เพียงแต่มันเน่าเพราะคนนำไปใช้มันชั่วและมั่วครับ จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 20:49:45

ความคิดเห็นที่ 43   เป็นทฤษฎีที่ผมคิดว่าใช้ได้เฉพาะสังคมอุตสาหกรรมเท่านั้นครับ การข้ามขั้นนั้น พบเห็นได้บ่อยๆในสังคมของนักบวชในศาสนาต่างๆ หรือในกรณีตามประวัติศาสตร์ ที่ชนชาติเดนส์และไวกิ้งที่แสวงหาการสู้รบเพื่อการได้รับเกียรติในฐานะนักรบ-ขั้น5 แต่ข้ามขั้นต้นเรื่องความปลอดภัยขั้นพื้นฐานไป หรือหลายๆครั้งที่เราเห็นคนไม่มั่นใจในตัวเองจนกลายเป็นคนต่อต้านสังคมก็มี จะมีใครอธิบายขั้นความต้องการที่เรียกว่า"พอเพียง" โดยอิงทฤษฎีฝรั่งไหมเนี่ย จากคุณ : นะ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 20:54:31 A:112.142.105.63 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 44   เอ๋ สายมนุษยนิยมต่างกับสายพฤติกรรมนิยมอย่างไรครับ จากคุณ : นะ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 20:57:53 A:112.142.105.63 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 45   ผมเคยคิดเล่นๆนะว่า จะเอาทฤษฎีนี้มาอธิบายคำว่า "ทางสายกลาง"ได้อย่างไร ทฤษฎีนี้ไม่ควรจะเป็นปีระมิดครับ ควรจะเป็น radar chart และพยายามดุลทุกๆสายพลังความต้องการให้บาลานซ์ และมีพื้นที่น้อยที่สุด คิดเล่นๆน่ะครับ จากคุณ : นะ เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 21:12:51 A:112.142.105.63 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 46 มนุษย์นิยมจะมองว่ามนุษย์เป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงาม มนุษย์ต่างจากสัตว์ และมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ประเภทหนึ่ง(ในความเห็นที 0 บอกว่ามาสโลว์มองว่ามนุษย์เป็น“สัตว์ที่มีความต้องการ” (wanting animal) จึงไม่น่าใช่คำพูดของมาสโลว์ แต่มั่วๆกันมาจนเพี้ยนมากกว่า) สายนี้จึงแอนตี้การทดลองในสัตว์แล้วมาสรุปเปรียบเทียบกับคน รวมถึงการทดลองในมนุษย์ด้วยวิธีต่างๆ การหาความรู้ของสายนี้จึงเกิดจากการ พูดคุย สังเกต ทำความเข้าใจจากการใช้เวลาอยู่ร่วมกัน พินิจพิเคราะห์ด้วยตรรกะอันแยบยล จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ การทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่ดีและงดงาม ตัวพ่อคือมาสโลว์ --------------------- ส่วนสายพฤติกรรมนิยม จะเป็นสายที่มองว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หากเราให้สิ่งเร้าที่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา จะสามารถควบคุมคนให้แสดงพฤติกรรมออกมาได้ อย่างใจ สายนี้จะบ้าทดลองมาก ทดลองกับสัตว์แล้วมาอธิบายคน หรือจับคนมาทดลองมันซะเลยก็มี ตัวพ่อคือวัตสัน ผลงานสำคัญคือจับเด็กทารก มาเล่นกับหนูขาวแล้วทำเสียงดัง ให้เด็กกลัว ต่อมาเด็กแผ่ขยายสิ่งเร้าไปกลัววัตถุสีขาวอื่นๆ ทำให้ทฤษฎีการเรียนรู้แบบคลาสสิคของพาฟลอฟได้ข้อมูลเพิ่มในส่วนของการแผ่ขยายสิ่งเร้า แล้วก็แก้ความกลัวโดยให้แม่อุ้มเด็กแล้วให้เล่นกับหนูแล้วปลอบ เรียกว่าอยากปั้นให้คนเป็นอย่างไร บอกมาพี่แกทำได้หมด จนแกบอกว่าอยากให้ลูกคุณเป็นยังไงบอกเค้าได้เดี๋ยวจัดให้ (หลังจากที่แกแสดงผลการทดลองก็โดนสังคมสวดยับ) สายนี้จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความคิดความรู้สึกของคนซักเท่าไร แค่รู้ว่าคนแสดงพฤติกรรมออกมาตามที่ต้องการก็พอ ----------- เพราะงั้น มนุษย์นิยมเลยไม่ค่อยชอบพฤติกรรมนิยมเท่าไร แต่พฤติกรรมนิยมเฉยๆกับมนุษย์นิยมนะ คือพวกพฤติกรรมนิยมไม่ค่อยแคร์อะไรขอคนมีพฤติกรรมตามที่ต้องการได้เป็นพอ อะไรหยิบมาใช้ได้พี่หยิบมาหมด เลยเป็นตลกร้ายที่ มนุษย์นิยมไม่ค่อยมีพลังจะเคลื่อนไหวโลกได้ซักเท่าไร (เพราะพี่แกอุดมคติไปหน่อย) ส่วนจิตวิทยาสายที่ทรงพลังที่สุดคือพฤติกรรมนิยมเพราะเค้าไม่แคร์ว่าคนจะคิดยังไง ทฤษฎีใช้งานได้เป็นพอ จิตวิทยามนุษย์นิยมพบมากในสาย จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาพฤติกรรมนิยมพบมากในสาย จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กร จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 21:45:35

ความคิดเห็นที่ 47 ชีพรอด ปลอดภัย ได้ความรัก พรรคนิยม สมหวังในชีวิตนี่เอง^^^ จากคุณ : marvolo เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 21:53:59

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ Disorder นี่ของจริงอะ.....แต้ๆเลย.. จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 22:22:37

ความคิดเห็นที่ 49 #36 ทฤษฎีของ Maslow ไม่สามารถใช้ Motivate ลูกน้องได้โดยตรงครับ แต่ ทฤษฎีนี้จะบอกว่า  เพื่อให้ลูกน้องเราสามารถทำงานได้ เราควรจะมีอะไร มันเป็นทฤษฎีพื้นฐานสุดๆ  ที่พูดถึงปัจจัยพื้นฐานที่มนุษย์ทั่วไปต้องการ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นลูกน้องของเราครับ หากต้องการ Motivate ลูกน้อง เราสามารถนำทฤษฎีสมัยใหม่เฉพาะทางอย่าง Herzberg's two factor theory และ Contemporary theory มาใช้ประกอบร่วมกับ Maslow ได้ เกือบทั้งหมดคุณ Disorder ได้กล่าวไปแล้ว แต่ผมไม่เห็นด้วยที่ว่า ทฤษฎี ของ Maslow รัดกุมจนไม่มีช่องว่างเลย ต้องเข้าใจนะครับว่าบางทีการมีข้อยกเว้นมากเกินไปก็ถือว่าเป็นจุดอ่อนได้ โดยเฉพาะที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดอย่าง การข้ามขั้น  หรือ  การควบชั้น แต่ทฤษฎีนี้ดูสวยงาม น่าศึกษา อันนี้เห็นด้วยครับ จากคุณ : FrostAvenger เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 53 23:00:56

ความคิดเห็นที่ 50   อืมมม มนุษยนิยม มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงาม มนุษย์ต่างจากสัตว์ มีความงาม สามารถเรียนรู้ได้ มีความศิวิไลซ์ได้ จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ การทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่ดีและงดงาม พฤติกรรมนิยม จะเป็นสายที่มองว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หากเราให้สิ่งเร้าที่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา จะสามารถควบคุมคนให้แสดงพฤติกรรมออกมาได้ อย่างใจ ============================================ ๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ) ============================================ อ่านแล้วแอบคิดแว่บขึ้นมาในหัวน่ะครับ คือสายมนุษยนิยมเห็นมนุษย์เหมือนบัวสามเหล่าบน สามารถสอนได้ แต่สายมนุษยนิยมเห็นพฤติกรรมนิยมเห็นมนุษย์เหมือนบัวเหล่าสุดท้าย มีความดิบ ไม่ต่างจากสัตว์ ตั้งหน้าตั้งตาจะควบคุมและกระตุ้นเร้าอย่างเดียว ไม่รู้จะเข้าใจถูกหรือเปล่านะครับ แต่สนุกดี จากคุณ : นะ เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 00:36:13 A:112.142.105.63 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 51   อ้าวว มาไม่ครบนะครับ เอาเป็นว่าผมคิดดูว่าฝ่ายมนุษยนิยมเห็นมมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงาม มนุษย์ต่างจากสัตว์ มีความงาม สามารถเรียนรู้ได้ มีความศิวิไลซ์ได้ จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ การทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่ดีและงดงาม พฤติกรรมนิยม จะเป็นสายที่มองว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการ คือการเห็นมนุษย์ตามบัวสามเหล่าแรก ที่ยังมีโอกาสเจริญได้ ส่วนพฤติกรรมนิยมเห็นว่ามนุษย์มีความดิบเถื่อนตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเร้าไม่ต่างจากสัตว์ คือการเห็นมนุษย์เป็นดั่งบัวเหล่าที่สี่ที่สอนไม่ได้แล้ว แค่ลองเปรียบเทียบดูน่ะครับ จากคุณ : นะ เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 01:10:57 A:112.142.105.63 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 52   ชอบความเห็นของคุณ Disorder มากเลยครับ แต่ยังสงสัยอยู่ว่า ทฤษฏีของมาสโลว์ นำไปใช้ประโยชน์ทางด้านใดได้บ้าง หรือเป็นแค่อธิบายความเป็นไปของ กลไกความต้องการของมนุษย์เท่านั้น สามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างครับ **สงสัยผมคงเป็นสายพฤติกรรมนิยม อิอิ จากคุณ : นกฮูกผจญภัย เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 04:21:22

ความคิดเห็นที่ 53   ขอบคุณคุณ Disorder ความเห็นที่ 46 มาก เราเรียนมาสี่ปี เพิ่งจะเข้าใจว่าต่างกันเพราะอะไร จำแนกอย่างไร ตอนเรียนจำแต่ชื่อกลุ่ม แต่ไม่เข้าใจเหตุผล เชื่อว่าเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันหลายคนในห้องก็ไม่เข้าใจ เค้าน่าจะได้มาอ่านเหตุผลตรงนี้ คุณดิสออร์เดอร์สรุปได้ดี ทำให้เราจำได้แม่นเลยนับแต่นี้ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ จากคุณ : Sweet เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 04:31:53 A:172.16.2.11 X:202.29.83.66 TicketID:256658

ความคิดเห็นที่ 54 ทฤษฎีของมาสโลว์ ประยุกต์ใช้ได้หลากหลายครับ 1. วางเป้าหมายในชีวิตให้กับตนเองหรือผู้อื่น/ทำอะไรก่อนหลังดี * ตอนนี้เรามีปัจจัยพื้นฐานชีวิตพอหรือยัง(มีการงานทำหรือยัง) * ตอนนี้เรามั่นคงปลอดภัยหรือยัง - การงานมั่นคงหรือไม่ บ้านช่องอยู่ในชุมชนที่ปลอดภัยหรือไม่ต้องย้ายถิ่นฐานไหม * หากตัวเองมั่นคงแล้วก็มาคิดถึงเรื่องการมีครอบครัวแต่งงาน * พิชิตจุดสูงสุดของสายอาชีพ * อยากทำอะไรก็ทำ 2. การจัดสรรบรรยากาศภายในองค์กร * ขั้น 1 องค์กรต้องมีการตอบสนองพื้นฐานชีวิตแก่ลูกจ้างที่ดี (มีเงิน มีเวลาพัก มีน้ำมีข้าว ห้องน้ำห้องท่า อะไรก็ว่าไป) * ขั้น 2 องค์กรต้องตอบสนองความมั่นคงในชีวิตแก่บุคลากรได้ เงินเดือนตั้งไม่แกว่ง ออกตรงเวลา สัญญาจ้างมีความมั่นคง มีสวัสดิการ หากเสี่ยงภัยต้องมีประกันชีวิต * ขั้น 3 องค์กรต้องตอบสนองในด้านความสัมพันธ์แก่บุคลากร เช่น มีเวปบอร์ดขององค์กร การไม่เข้มงวดจนเกินไปในการพูดคุยสื่อสารของพนักงาน มีการจัดกิจกรรมที่ทำให้บุคลากรได้พบปะสังสรรค์กันได้ * ขั้น 4 องค์กรต้องตอบสนองต่อความก้าวหน้าในอาชีพของพนักงาน มีการเลื่อตำแหน่งอย่างเป็นธรรม กิจกรรมพนักงานดีเด่น การให้รางวัลสนับสนุนพฤติกรรมที่ดีของเจ้าหน้าที่ * ขั้น 5 องค์กรต้องเปิดโอกาสให้พนักงานออกแบบรูปแบบการทำงานและรูปแบบในการดำเนินชีวิตในองค์กรได้ในระดับที่ไม่ส่งผลเสียต่องาน การควบคุมบริบททุกอย่างจนเกินพอดี  จะทำให้พนักงานรู้สึกอึดอัดและไม่เป็นตัวของตัวเอง 3. ฯลฯ จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 08:41:52

ความคิดเห็นที่ 55 เป็นทฤษฏีที่ใช้กันกว้างขวางจริงๆ โดยเฉพาะในวงการตลาด ^^ จากคุณ : Yippie เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 10:53:25

ความคิดเห็นที่ 56 ป๋มเป็นโพโม ^__^ จากคุณ : แดริดา (Derrida29) เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 15:12:32

ความคิดเห็นที่ 57 คห 22 ครับ ที่ คห 20 เขียนมาก็เข้าใจได้นะครับ ไม่เห็นว่าต้องมีปัญหาทางจิตเลย จากคุณ : คุณฉงน เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 15:44:25

ความคิดเห็นที่ 58   เสียดายให้กิ๊ฟไม่ได้ ขอบคุณคุณ Disorder ที่ตอบครับ จากคุณ : นกฮูกผจญภัย เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 16:42:50

ความคิดเห็นที่ 59   ผมขั้น5 แล้วนี่เอง อิอิ จากคุณ : โอเอซิสแมน เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 18:56:41

ความคิดเห็นที่ 60 พวกขายตรงต่าง ๆ ก็ใช้ทฤษฏีนี้จูงใจผู้คน เช่น ทำยอดได้มาก ๆ ได้ลงหนังสือ จูงใจให้คนอย่างได้รับ การยกย่องนับถือ ซึ่งมักจะได้ผลซะด้วย  คนหลายคน ซื้อของด้วยเงินตัวเองกักตุนไว้ เพื่อจะได้รักษายอดขาย จะได้เลื่อนลำดับ ขนาดมีกฎหว่า บริษัทเราห้ามกักตุนสินค้า (เคยมีใครไปตรวจมั้ย) คนก็ยังพยายามรักษายอดกันด้วย เงินของตัวเอง จากคุณ : อินทรีย์ผยอง เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 19:44:31

ความคิดเห็นที่ 61 มาสโลว์เนี่ย บุคคลหากินของหนูเลยค่ะ แบบว่า ตอบข้อสอบมหาวิทยาลัย ก็เอาไปอ้างอิง ตอนทำ Senior project ก็อ้างอิง พอไปสอบเข้า ป.โท ก็เขาคนนี้อีกนั่นแหละค่า จนตอนนี้สัมภาษณ์เข้าทำงาน ก็คงจะต้องเป็นท่านผู้นี้อีก ^^" ชอบจริงๆทฤษฎีของคุณคนนี้ never die จริงๆ ^o^ จากคุณ : ying_aui เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 53 22:39:08

ความคิดเห็นที่ 62   คำถามเกี่ยวกับMaslow จากคุณ : Dictionary เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 00:12:35

ความคิดเห็นที่ 63 เรียนตอน ปวช ปี 1 วิชาการขาย จากคุณ : ElMinZeed เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 00:54:52

ความคิดเห็นที่ 64 บังเอิญเอาทฤษฎีนี้ไปถามในห้องราชดำเนิน คิดว่าคงไม่ได้คำตอบเชิงวิทย์ เลยมาถามในนี้ซะหน่อย ใครเห็นว่าไม่สมควรลบได้เลยครับ อยากถามว่า กลุ่มผู้ชุมนุม(ส่วนใหญ่) มาชุมนุมกันเพื่อความต้องการขั้นไหนครับ ในใจผมว่าเป็นขั้นที่3 Love and Belonging แต่ว่าบางส่วนในส่วนใหญ่นั้นยังไม่อาจผ่านขั้นที่1 จะถือว่าทฤษฎีของมาสโลว์มีข้อยกเว้นได้มั้ยครับ? จากคุณ : BonaPart เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 02:10:46

ความคิดเห็นที่ 65 #64 ผมไม่พูดถึงม๊อบไหน เอาเป็นว่าม๊อบใดๆในโลกละกัน ถ้ามาเพราะหาอะไรกิน ขั้น1 ถ้ามาเพราะมีคนขู่ว่าถ้าไม่มาจะฆ่า ขั้น2 ถ้ามาเพราะกลัวว่าถ้าไม่มาจะไม่มีใครคบ หรือไปหาเพื่อนหาแฟน ขั้น3 ถ้ามาเพราะอยากเท่ เอาไปโม้ไปอวด ขั้น4 ถ้ามาเพราะอยากมา มาเพราะอุดมการณ์ที่แท้จริง ขั้น5 จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 08:34:58

ความคิดเห็นที่ 66   Disorder คือ มาสโลว์ ปลอมตัวมา    อิอิ จากคุณ : นกฮูกผจญภัย เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 10:36:13

ความคิดเห็นที่ 67   จิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมคนนั่นแหละ วิธีการเอาไปใช้มีหลากหลายอย่างกับเวทมนตร์ คือมันใช้ได้กว้างมาก แต่ก็อาจเรียกได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์ การสังเกต การเอาใจใส่... จากคุณ : Duckkie เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 11:47:59 A:125.26.183.158 X: TicketID:252015

ความคิดเห็นที่ 68 ค.ห. 65 ของคุณ Disorder นี่เข้าใจง่าย get เลย สงสัยปลอมตัวมาจริงๆด้วย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 13:47:24

ความคิดเห็นที่ 69 หรือจริงๆ Maslow คือคุณ Disorder ปลอมตัวไป ^^" ปล. เรียนมาตั้งนาน เข้าใจเพราะคุณ disorder นี่แหละครับ จากคุณ : Joe-Iceberg เขียนเมื่อ : 25 มี.ค. 53 23:21:31

ความคิดเห็นที่ 70 มาคารวะ คุณ Disorder ..  ร่าง avatar ของ maslow ครับ (^/\^) จากคุณ : tazarn เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 10:01:31

ความคิดเห็นที่ 71 มาลงชื่อค่ะ เดี๋ยวมาอ่าน ชอบเรื่องนี้มาก ๆ จากคุณ : wippygal25 เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 10:45:29

ความคิดเห็นที่ 73 ^ ^ ^ ขายประกันนี่มันเกี่ยวกับทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการมั้ยเนี่ย - -'' ผมดูการเอาทฤษฎีเข้าจับพฤติกรรมต่างๆ ของคุณ Disorder แล้วมีความเห็นว่า การกระทำเกือบทุกอย่างสามารถอธิบายให้เป็นลำดับไหนก็ได้หากมีการอ้างเหตุผลที่น่าเชื่อถือพอ จากคุณ : Iron-Spider เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 14:32:11

ความคิดเห็นที่ 74   อาจารย์ผมสอนว่า จริงๆแล้วมันต้องเป็นขั้นบันไดครับ ไม่ใช่ปิรามิด จากคุณ : Pize เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 18:41:29 A:183.89.228.45 X: TicketID:247822

ความคิดเห็นที่ 75 พระเจ้าจอร์จ วันนี้พึ่งสอบเรื่องนี้ไป แต่ไม่ได้อ่านเรื่องนี้ไปสอบ เจอคำถามปุ๊ป งงแต๊ก ปล่อยว่างปั๊ป รู้งี้เมื่อวานเเว่บมาเปิดห้องนี้ก็ดีหรอก เฮ้อ... จากคุณ : saltakra เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 19:02:07

ความคิดเห็นที่ 76 อืม เคยเีรียนในวิชาบูราณาการณ์ ตัวไหนหว่า ลืมแล้ว - -" แมนโซเซป่าวหว่า จากคุณ : Alovera เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 20:32:53

ความคิดเห็นที่ 77 มีฐานะแล้วชื่อเสียง จึงเริ่มทำงานเพื่อสังคม มีฐานะแล้ว จึงทำงานเพื่อชื่อเสียง มั่นคงแล้วจึงแต่งงาน หาบ้าน เรือนหอ หารถ ทำงานหาเลี้ยงชีพ เอาให้มีกิน เห็นได้ทั่วไปในสังคมปกติ จากคุณ : tgih เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 20:48:11

ความคิดเห็นที่ 78 อืม....ผู้ชายหลายคน คงเคยใช้ขั้นที่5 ช่วยให้ผู้อื่นบรรลุขั้นที่1 เช่น เที่ยวผู้หญิงบริการ  อิ อิ จากคุณ : ArchChiLL เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 53 22:06:09

ความคิดเห็นที่ 79 อ้ะ.. ถ้างั้น sex ต้องถูกตอบสนองก่อนความรักเน้ออ..  แล้วคนรักกันแล้วแต่งงานเรียกว่าย้อนขั้นทฤษฎีรึป่าว? จากคุณ : joy (joy_j) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 10:37:19

ความคิดเห็นที่ 80 `ทฤษฎีนี้คิดขึ้นโดยชาวตะวันตก เคยมีผู้ทดสอบทฤษฎีนี้ในสังคมตะวันออก ปรากฎว่าไม่ได้เรียงลำดับแบบนี้นะคะ`ความต้องการขั้นแรกน่ะใช่ แต่ขั้นที่ สอง สาม สี่นี้จะสลับกัน จำไม่ได้ว่าอันใดก่อน ยังไงจะค้นๆดูอีกที ถ้าเจอจะนำมาเสนอค่ะ จากคุณ : แม่นาย (แม่นาย) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 20:33:43

ความคิดเห็นที่ 81 #79 ตอบตรงๆสั้นง่ายๆนะครับ มนุษย์"ช่วยตัวเอง"เพื่อผ่านความต้องการตรงนี้ได้ครับ #80 ในใจผม ผมว่าเป็นไปไม่ได้ครับ ถ้าโจรกำลังปีนเข้ามาในบ้าน คุณคงจะไม่โทรไปหาเพื่อนหรือแฟนเพื่อคุยเล่นแน่ๆครับ จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 21:48:28

ความคิดเห็นที่ 82 เคยเรียนเหมือนกัน เลยคิดว่าคนที่รวยแล้วจะไม่โกง ก็ใช่ไม่ได้อ่ะเด่ะ จากคุณ : Judy Abbott เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 23:59:02