ความคิดเห็นที่ 1   ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันคือสงครามยุโรป ไม่ใช่สงครามโลก ไม่รู้เกี่ยวรึป่าว แต่ถ้าพูดถึงสงครามโลกครั้งที่1ผมนึกถึงการล้มราชวงศ์อ่ะเยอะมากมาย จากคุณ : ลูกชายคนที่7ของลูกชายคนที่7 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 02:31:10

ความคิดเห็นที่ 2 สมัยนั้นฮิตไว้หนวดทรงนั้นเหรอ ตลกง่า - - จากคุณ : Can't smile without you เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 02:35:15

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่าที่เห็นแต่ WWII เพราะ ฮอลิวู๊ด ด้วยครับ เพราะคัร้งหลังนี่ พี่กันแกเป็นพระเอก จากคุณ : UVPhenix เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 02:42:28

ความคิดเห็นที่ 4   ฮิตเลอร์คือทหารไว้หนวดโค้งคนซ้ายสุดในรูปครับ "เจไดหนุ่ม"ยืนยันแน่นอนเพราะเคยเห็นรูปฮิตเลอร์สมัยยังเป็นนายสิบมาเยอะแล้วครับเลยพอจำได้ ^_^ ส่วนเรื่องสงครามโลกครั้งที่1ในสื่อบันเทิงนั้นความจริงมันมีภาพยนตร์อยู่เรื่องหนึ่งซึ่งกลายมาเป็นตำนานเลยครับนั่นคือ "All quiet in the Western Front" (สถาณการณ์แนวรบด้านตะวันตกไม่เปลี่ยนแปลง) ซึ่งเป็นหนังของพวกมะริกันที่สร้างตั้งแต่สมัยก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่2ครับ โดยถึงแม้หนังจะเก่าแลดูตกยุคแต่ถ้าใครได้ลองรับชมจะรู้เลยครับว่าตัวหนังนั้นไม่ได้แย่ตามอายุอานามของมันเลย เนื้อเรื่องของหนังจะเล่าเรื่องถึงชีวิตของชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งซึ่งสมัครไปเป็นทหารของกองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่1ครับว่า ความจริงแล้วทหารทุกชาติเขาก็ต้องการสันติแลความสงบสุขเหมือนกับประชาชนทั่วๆไปนั่นแหละ (ถ้าใครทนกับภาพขาวดำไม่ไหวผมแนะนำให้ดูเป็นเวอร์ชั่นของยุค70ที่มีคนนำมาสร้างใหม่ครับ ซึ่งมันจะเป็นภาพสีแลเนื้อเรื่องบทพูดอะไรต่างๆดูทันสมัยขึ้น แต่ผมคิดว่าเวอร์ชั่นเก่ายังๆไงๆก็ดูคลาสสิคกว่าครับโดยเฉพาะฉากจับผีเสื้อของพระเอกตอนท้ายเรื่อง) (..รูปโอบีวันยืนเก๊กอยู่..) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 02:45:32 A:192.168.0.240 X:124.121.222.171 TicketID:259236

ความคิดเห็นที่ 5 และนี่ชุดทหารฝรั่งเศสสมัยนั้นครับ ฟ้าจ๋าเชียว ส่งสัยยังไม่มีชุดลายพราง จากคุณ : papikasoda เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 02:49:06

ความคิดเห็นที่ 6 มันคือนรกดีๆนี่เอง ทหารแนวหน้าอยู่ในสนามเพลาะ เบื้องล่างคือศพเพื่อนๆ เอาทหารราบ ชน ทหารราบ เอาปืนใหญ่ยิงใส่สนามเพลาะอีกฝ่าย ยันกันไปยันกันมา ตามที่ จขกทเข้าใจนั่นแหละครับ เลยไม่ค่อยมีจุดเด่นๆที่เอามาทำเป็นหนังได้มากนัก เพราะทำมาพระเอกเป็นทหารแนวหน้า มันก็ขุดๆ ยิงๆ หลบๆ หลอนๆ แล้วรอดกลับมาเป็นคนตกงาน แล้วตายด้วยไข้อะไรซักอย่างที่ระบาดอย่างรุนแรงหลังจบสงครามโลกครั้งที่1 หนังคงขายไม่ออก - - จากคุณ : อ่านะ (Mikegelo) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 02:51:09

ความคิดเห็นที่ 7   ภาพนี้ถ้า "เจไดหนุ่ม" จำไม่ผิดจะเป็นรูปที่ฮิตเลอร์ถ่ายคู่กับเพื่อนๆในหน่วยทหารของเขาครับ โดยสุนัขในรูปนั้นน่าจะเป็นตัวเดียวกับที่เคยช่วยชีวิตฮิตเลอร์ไว้ด้วย ซึ่งเหตุการณ์นั้นเกิดตอนที่ฮิตเลอร์กับเพื่อนทหารกำลังนั่งกินอาหารกันอยู่ในบริเวณสนามเพลาะ แล้วสุนัขตัวนั้นจู่ๆมันก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งพรวดเผ่นออกไปจากพื้นที่ดังกล่าวทันทีเลย ฮิตเลอร์นั้นรักสุนัขตัวนี้มากจึงรีบลุกขึ้นไปตามเพื่อจะจับกลับมา แต่พอก้าวขาพ้นบริเวณดังกล่าวไปได้ไม่เท่าไหร่ลูกปืนใหญ่หล่นตู้ม~ลงมาตรงที่เขาเคยนั่งกินอาหารกับเพื่อนๆพอดี ผลก็คือเพื่อนๆของเขาที่นั่งอยู่ด้วยกันเมื่อครู่ต่างเสียชีวิตหมด แต่ฮิตเลอร์ดันรอดเพราะวิ่งออกไปไล่จับเจ้าสุนัขตัวดังกล่าวครับ (..รูปโอบีวันยืนเก๊กอยู่..) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 02:52:44 A:192.168.0.240 X:124.121.222.171 TicketID:259236

ความคิดเห็นที่ 8 ผมว่าการทำลายล้างยังไม่เท่าสงครามโลกครั้งที่2มั๊งครับ แถมมีฮิตเลอร์เป็นตัวชูโรงอีก ครั้งที่1 แค่ท่านบิสมาร์ค นั่นในรูปใช่ฮิตเลอร์กำลังกินอูด้งอยู่ใช่ไหมครับ เห็นชามอยู่ข้างหน้า แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 53 03:25:55 จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 03:25:12

ความคิดเห็นที่ 9 ลึกๆของสงครามที่คนที่มองเผินๆมักมองข้าม ก็คือเรื่องของการเหยียดหยามของชนชั้น การดูถูกดูแคลนซึ่งกันและกัน การที่รับรู้แต่ข่าวสารด้านเดียว การเลือกแต่ที่จะรับข่าวสารที่ถูกใจ การมองเท่าที่ตัวเองมองเห็นแล้วตัดสินเรื่องราวนั้นๆโดยที่ไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน   ดีไม่ดี สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อาจจะดูซับซ้อน เกินกว่าที่จะถูกกล่าวเพราะหลายๆเรื่องก็เพราะเหตุของการขาดความชอบธรรมที่เป็นมูลเหตุมาสู่สงครามโลกครั้งที่สองด้วยซ้ำ   ใครจะขุดคุ๊ยเรื่องราวห่ามๆของตัวเองมานำเสนอบ่อยๆล่ะ  สู้ภาค 2 ที่สร้างให้ดูผู้ร้ายชัดเจน พระเอกชัดเจน ดูง่ายๆไม่ซับซ้อนดี ไม่ดีกว่าหรือ กล่อมง่ายดี แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 53 03:38:07 จากคุณ : himajin006 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 03:36:23

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องFlyboyก็สงครามโลกครั้งที่หนึ่งนิครับ จากคุณ : หนุ่มเสื้อบอล เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 03:37:46

ความคิดเห็นที่ 11   *ถูกต้องครับคุณhimajin006* สงครามโลกครั้งที่1นั้นไม่มีฝ่ายดี-ฝ่ายเลวชัดเจน เพราะในยุโรปเวลานั้นประเทศต่างๆได้หันมาใช้ระบบสนธิสัญญากันอย่างมากมาย ยกตัวอย่างง่ายๆของสนธิสัญญาพิลึกๆในสมัยนั้นก็เช่น ถ้าประเทศ A โดนโจมตีประเทศ B ซึ่งทำสนธิสัญญาไว้ก็จะต้องเข้าช่วย หรือถ้าประเทศCโจมตีประเทศDก็จะเป็นศัตรูกับประเทศAทันทีโดยอัตโนมัติอะไรทำนองนี้ครับ ทำให้พอออสเตรียประกาศสงครามปุ๊ปเยอรมันก็โดนดึงเข้าสู่สงครามด้วยเพราะดันไปทำสัญญาไว้ด้วยกัน ส่วนจักรวรรดิออตโตมานหรือตุรกีตอนนั้นไม่ได้มีความขัดแย้งกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยครับความจริงอยู่เฉยๆก็ดีอยู่แล้ว แต่สุลต่านหลายท่านในจักรวรรดิอยากจะแสวงหาความมั่นคั่งจากผลของสงครามจึงเลือกเข้าข้างเยอรมัน-ออสเตรีย และดันซวยหนักที่คู่ต่อสู้นั้นเป็นการประสานพลังไตรภาคีระหว่างมหาอำนาจของโลกคือ "อังกฤษและเครือกจักรภพ" - "ฝรั่งเศส" - "รัสเซีย" งานนี้ท่านสุลต่านจึงตึงมือปวดขมัยเอามากๆแม้ที่สุดแล้วรัสเซียจะถอนทัพกลับบ้านก่อนคนอื่นก็เถอะ และเรื่องวุ่นอีกอย่างในตอนนั้นมันอยู่ที่ว่าจู่ๆ "อังกฤษ" กับ "ฝรั่งเศส" ซึ่งไม่ถูกขี้หน้ากันมาตั้งหลายร้อยปีดันหันมาร่วมมือเป็นพันธมิตรกันซะงั้น เหตุผลหนึ่งนั่นก็เพราะมีศัตรูหน้าใหม่ปรากฏโฉมขึ้นมาในแวดวงแห่งอำนาจของยุโรปนั่นก็คือพวกปรัสเซียหรือเยอรมันนั่นเอง โดยจุดเริ่มต้นแห่งความรุ่งโรจน์ของชาวเยอรมันนั้นเราต้องย้อนกลับไปดูตั้งแต่สมัยนโปเลียนกันเลยทีเดียวครับ โดยในสมัยที่ยอดขุนศึกร่างเล็ก "นโปเลียน โบนาปาร์ต" ทำสงครามแผ่ขยายอำนาจของจักรวรรดิฝรั่งเศสไปทั่วยุโรปนั้น "จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์" หรือเยอรมันเองก็พลอยถูกดึงเข้าร่วมสงครามด้วยแลกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ครับ ทว่านโปเลียนแลที่ปรึกษาได้เล็งเห็นว่าการจะปกครองดินแดนนี้ให้อยู่หมัดมันค่อนข้างจะวุ่นวายจึงได้วางแผนการร้อยเล่ห์กระเท่ห์แสนกลต่างๆนาๆ ในที่สุดชาวเมืองน้ำหอมจึงค้นพบว่าชนชาติที่อาศัยในบริเวณนี้นั้นล้วนมีอยู่มากมายหลายหลากครับ(แค่ภาษาพูดก็แตกต่างกันจนนับไม่ถ้วนแล้ว) ดังนั้นนโปเลียนจึงคว้ามีดมาฟันฉับๆๆ~แล้วตัดแบ่งดินแดนตรงนี้เป็นส่วนๆ ก่อนจะให้แต่ละแว่นแคว้นที่โดนแบ่งนั้นมีโอกาสปกครองตัวเอง ทั้งนี้เพื่อให้ยากแก่การที่ชาวเมืองในจักรวรรดิโรมันฯเดิมจะมารวมตัวกันต่อต้านกองทัพฝรั่งเศสได้ครับ กระทั่งนโปเลียนพ่ายแพ้สงครามที่ "วอเตอร์ลู" จนโดนอังกฤษเตะกระเด็นร่วงจากบัลลังค์ทำให้ฝรั่งเศสหมดอำนาจในยุโรปแลหันไปหาอาณานิคมนอกภาคพื้นทวีปมากขึ้นเหมือนดั่งอังกฤษ นี่จึงเริ่มเข้าสู่ยุคของการล่าอาณานิคมอย่างแท้จริง โดยในช่วงปลายคริสศตวรรษที่19 "ออตโต วอน บิสมาร์ค" ซึ่งเป็นผู้นำของแคว้นปรัสเซีย(หนึ่งในแคว้นของจักรวรรดิโรมันฯเดิมที่แตกกระจายเป็นส่วนๆซึ่งมีความเข้มแข็งที่สุด) แลบิสมาร์คยังเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญซึ่งช่วยให้ "กษัตริย์วิลเลี่ยมที่1" ของปรัสเซียกลับมาครองบัลลังค์ได้ทำการปฏิรูปดินแดนปรัสเซียใหม่หมดครับ โดยบิสมาร์คนั้นได้ดำเนินนโยบายทางการเมืองเพื่อรวบรวมแว่นแคว้นเล็กน้อยให้ผนวกเข้าด้วยกันกับปรัสเซียพร้อมปฏิรูประบบกองทัพของทุกแคว้นใหม่ทั้งหมด โดยให้ทหารจากทุกแว่นแคว้นมีระบบการฝึกแบบเดียวกันหมดแลจัดหาอาวุธที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นมาใช้งาน ที่สุดแล้วบิสมาร์คจึงได้สถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน(Germany Empire)ขึ้นมา ก่อนจะทำสงครามกับฝรั่งเศสในปี1870 (Franco-Prussian war) แลได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเมื่อทัพปรัสเซียสามารถบุกตะลุยมาล้อมกรุงปารีสแลเผาทำลายอาคารบ้านเรือนจนย่อยยับกระทั่ง "กษัตริย์นโปเลียนที่3" ผู้ไร้ความสามารถเองก็ทรงถูกจับตัว ฝรั่งเศสในการนำของคณะรัฐบาลชั่วคราวตอนนั้นจึงถูกบีบให้ยอมจำนนครับ นี่จึงนับเป็นการสิ้นสุดระบบกษัตริย์ในฝรั่งเศสลงอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่นั้นมา แลเรื่องตลกร้ายอีกอย่างก็คือบิสมาร์คนั้นคิดจะข่มขู่ฝรั่งเศสให้กลายเป็นเบี้ยล่างด้วยการบังคับให้ฝรั่งเศสต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนมหาศาล แต่ฝรั่งเศสกลับสามารถรวบรวมเงินจำนวนดังกล่าวได้ภายในไม่กี่เดือนครับ โดยมีเรื่องเล่ากันว่าชาวฝรั่งเศสทั้งประเทศถึงกับรวมใจบริจาคทรัพย์สินเท่าที่พอมีให้ทางการนำไปชดใช้เป็นค่าปฏิกรรมสงครามแก่เยอรมันทีเดียวครับ คิดดูว่าขนาดชาวบ้านชาวนาที่ไม่มีเงินทองยังอุตส่าห์สละแหวนแต่งงานแลทรัพย์สินมีค่าเท่าที่พอหาได้ให้กับทางการ ซึ่งนี่อาจจะนับว่าเป็นการบริจาคที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว จึงทำให้เวลาผ่านไปไม่ถึงปีฝรั่งเศสก็สามารถชดใช้ค่าเสียหายให้แก่เยอรมันจนหมด กระทั่งบิสมาร์คเองก็ยังต้องตกตะลึงพร้อมยอมรับในเงื่อนไขแลถอนทหารออกไปครับ โดยความจริงแล้วตอนแรกบิสมาร์คแกตั้งแง่ไว้ครับว่าถ้าฝรั่งเศสจ่ายเงินไม่ครบ ทหารเยอรมันก็จะคงกำลังไว้ในปารีสแลเมืองอื่นๆต่อไป เพราะเฮียมาร์คแกคิดว่าเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ฝรั่งเศสซึ่งกำลังบอบช้ำจากการแพ้สงครามคงใช้เวลาเป็นสิบปีกว่าจะชำระหมด แลเวลานั้นเขาจะหาโอกาสยึดครองฝรั่งเศสขั้นเด็ดขาดซะเลย แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าฝรั่งเศสสามารถจ่ายเงินคืนมาหมดในเวลาไม่ถึงปี ดังนั้นทหารเยอรมันจึงต้องถอนทัพกลับบ้านตามสนธิสัญญานั่นเอง (สมัยนั้นการสงครามยังมีความเป็นปัจเจกชนแลสุภาพบุรุษอยู่ครับคือถ้าแพ้ก็แพ้ถ้าชนะก็ชนะแลใช้สนธิสัญญามาทำการตัดสิน แต่ถ้าเป็นช่วงนาซีครองเมืองนี่ต่อให้ขูดรีดเงินจากฝรั่งเศสจนเกลี้ยงเยอรมันก็ไม่มีวันทางถอนทัพกลับแน่ โดยเพื่อนๆเคยได้ยินเรื่องตลกๆเกี่ยวกับการพักรบในวันขอบคุณพระเจ้าตอนสงครามโลกครั้งที่1มั๊ยครับ ที่ทหารทั้งสองฝ่ายในสนามเพลาะทิ้งปืนแล้วมาร่วมกันจัดงานฉลองแลกเหล้าแลกอาหารกันกินอย่างสนุกสนานครื้นเครง แต่วันต่อมาทั้งสองฝ่ายก็หันมาจับปืนยิงใส่กันตูมๆเหมือนเดิม-_-") (..รูปโอบีวันยืนเก๊กอยู่..) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 04:16:42 A:124.121.222.171 X: TicketID:259236

ความคิดเห็นที่ 12 มาอ่านค่ะ จากคุณ : CherryBlossom669 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 06:49:27

ความคิดเห็นที่ 13 ขออนุญาตแสดงความเห็นบ้างนะครับ คือตามความเห็นของผม สงครามโลกครั้งที่1 มีระยะเวลาผ่านมาก็นานมากครับ รวมถึงการทำลายล้าง ระดับของสงครามก็ไม่ได้พุ่งสูงขนาดรบกันทั่วโลกได้ รวมถึงเทคโนโลยีตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่1 ก็ไม่ได้พัฒนาไปแบบก้าวประโดดเหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่2ครับ เลยทำให้สมัยนี้จึงไม่ค่อยมีการพูดถึงกันก็ได้ แต่สงครามโลกครั้งที่1 ก็มีหลายเหตุการณ์ที่ผมสนใจครับหนึ่งในนั้นคือ ความขัดแย้งของชาติต่างๆในคาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งเป็นชนวนหนึ่งในการเกิดสงครามโลกครั้งที่1ได้ครับ ผมจึงขอแลกเปลี่ยนข้อมูลตามที่ทราบกับทุกๆท่านดังนี้ครับ ความไม่มั่นคงทางการเมืองในคาบมุทรบอลข่าน(ฺBalkan)อาจกล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุแรกๆก็ได้ของการสร้างความขัดแย้งของประเทศในยุโรป ระหว่างเซอร์เบีย-กับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี คาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป มีปัญหาทางด้านการเมืองจนกลายเป็นสาเหตุหนึ่งให้เกิดสงครามโลกตามมา สาเหตุหนึ่งก็เพราะ ประชากรที่หลายเชื้อชาติในคาบสมุทรบอลข่านครับ ทั้ง กรีก(Greeks) เตอร์ก(Tusks) ชาวสลาฟ(Slavs) คนพวกนี้เกิดความรู้สึกตื่นตัวต่อพลังชาตินิยม จึงมีการรวมตัวชนชาติเดียวกันเพื่อหวังจัดตั้งประเทศใหม่ของคนให้ได้ โดยจะมีอุปสรรค์อื่นๆในการจัดตั้ง เพราะกว่าจะรวมตัวจัดตั้งได้ก็ใช้เวลานานเนื่องจาก ความแตกต่างในด้านการนับือศาสนา รวมถึงอีกอย่างคือ การเทศใหญ่ที่ติดอยู่ในคาบสมุทรบอลข่าน ไม่ต้องการให้ชนกลุ่มน้อยพวกนี้ก็ตั้งประเทศใหม่ในบริเวณเขตนี้ เพราะต้องการสร้างอิทธิพลของตนเอาไว้ พูดง่ายๆก็คือต้องการรักษาผลประโยชน์ระยะยาวของตนไว้นั่นเองครับ ัดังนั้นแล้วในกรณีของชาวเซอร์เบีย ซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆที่เป็นผู้นำชนชาติสลาฟ ก็มีความเป็นชาตินิยมเหมือนกันครับ ก็ต้องการตั้งประเทศใหม่ของพวกตนเหมือนกัน ดดยต้องการรวบรวมชนชาวสลาฟทั้งหมดในดินแดนจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี่   รัฐบาลออสเตรียฮังการี่จึงไม่พอใจอย่างมาก รวมถึงการที่รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการี่ล่วงรู้มาว่าประเทศที่สนับสนุนในตอนนั้นคือรัสเซีย(ช่างนั้นยังไม่เป็นโซเวียตครับเพราะใช้ระบบกษัตริย์อยู่) กรณีนี้มันเลยเกิดความระเวงกันของชนชาติต่างๆ โดยที่สาเหตุจริงๆ มันคือ ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ ความเป็นชาตินิยมที่รุนแรง และความแตกต่างด้านเชื้อชาติครับ หลังจากกรณีนั้นเซอร์เบีย เมื่อตั้งประเทศได้แล้วก็มีความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องกับออสเตรีย-ฮังการี่อยู่ครับ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์  นั้นเอง ทำให้ต่อมาเซอร์เบียต้องไปผูกมิตรกับรัสเซีย เพื่อไว้ใช้ดุลอำนาจกับออสเตรีย-ฮังการี่ ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นมหาอำนาจประเศหนึ่งอยู่ครับ ในขณะที่ออสเตรีย-ฮังการี่สูญเสียผลประโยชน์ของตน จึงต้องไปผูกมิตรกับเยอรมัน ซึ่งมีผู้นำตอนนั้นคือ พระเจ้าไกเซอร์วิลเลี่ยมที่2 เพื่อหวังรักษาดุลแำนาจกับอีกฝ่ายเหมือนกัน มันเลยทำให้เกิดสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกันขึ้น ระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี่ เยอรมัน และ รัสเซีย-เซอร์เบีย เป็นแกนหลัก จากคุณ : Hacker-MI6 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 07:38:42

ความคิดเห็นที่ 14   WW1 รู้ข้อมูลน้อยมากจริงๆ ใครรบกับใครหรือทำไมรบกันก็ยังไม่ค่อยรู้กันเลย แต่จากข้อมูลข้างบนคงรบกันในยุโรป ไม่รู้อเมริการตอนนั้นเป็นยังไง ถ้าอเมริกาไม่มีเอี่ยว พวกหนัึงที่เกี่ยวกับWWIคงน้อย ยุโรปก็คงไม่อยากทำเดี๋ยวจะไปกระทบกัน จากคุณ : gure เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 07:43:57 A:192.168.0.240 X:125.27.223.80 TicketID:111025

ความคิดเห็นที่ 15 ต่อมาเมื่อมีการลอบสังหาร รัชทายาทออสเตรีย-ฮังการี่ โดยผู้ก่อการร้ายเซอร์เบีย และรัฐบาลเซอร์เบียไม่รับผิดชอบ จึงเป็นผลให้ออสเตรีย-ฮังการี่ที่ต้องการเข้าสู่สงครามเพื่อยึดดินแดนพวกนี้คืนอยู่แล้ว จึงได้ข้ออ้างประกาศสงครามเลยครับ รวมถึงจักรวรรดิเยอรมันในขณะนั้นจึงต้องเข้าร่วมสงครามด้วยตามความตกลงในสนธิสัญญา (Triple Alliances) ในขณะที่เซอร์เบีย เข้าสงคราม รัสเซีย จึงต้องเข้าร่วมสงครามด้วยตามความตกลงในสนธิสัญญา(Triple Alliances) ครับ หลังจากนั้นประเทศอื่นๆ จึงต้องสู่สงครามตามมาด้วย ทำให้สงครามขยายตัวทั่วยุโรป แต่ไม่ใช่ทั่วโลกแบบสงครามโลกครั้งที่2ครับ พอมาช่วงหนึ่งเมื่อเยอรมันต้องการยกพลบุกฝรั่งเศสก็เคลื่อนกำลังบุกผ่านเบลเยี่ยม ทำให้อังกฤษซึ่งเคยมีความตกลงจะปกป้องอธิปไตยของเบลเยี่ยมอยู่แล้ว ไม่ประกาศตนเป็นกลางอีกต่อไป โดยประกาศทำสงครามต่อประเทศกลุ่มมหาอำนาจกลางเสียเลย จริงแล้วสงครามตอนนั้น เป็นสงครามที่ยังมีเรื่องของระบบกษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอยู่ครับ เพราะ หลายๆประเทศในตอนนั้น ยังใช้การปกครองระบบกษตริย์อยู่ และกษัตริย์ก็มีบทบาทในด้านการทหารด้วย แตกต่างจากWW2 ที่คนที่มีอิทธิพลจะเป็นพวกนายทหารหรือนักการเมือง และหลายๆประเทศยังมีฐานะเป็นจักรวรรดิอยู่ เช่น ออสเตรีย-ฮังการี่ จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออตโตมัน(ตุรกี) ภายหลังสงครามจักรวรรดิพวกนี้ ต้องล้มสลาย กลายเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยครับ โดยผมสรุปคห.ส่วนตัวตามกระทู้กว่า สงครามโลกครั้งที่1 เป็นสงครามที่เกิดนานมาแล้ว รวมถึงผลของสงคราม ความก้าวหน้าทางการทหารในสมัยนั้นยังไม่ก้าวกระโดด และสงครามจำกัดอยู่หลักๆแค่ในยุโรปเท่านั้น ต่างจากสงครามโลครั้งที่2 ที่สงครามขยายตัวไปเกือบทั่วโลก จำนวนคนตายมากกว่าสงครามโลครั้งที่1หลายเท่า ทำให้ผมคิดว่าขณะที่ทหารเก่าๆที่เขาไปรบในสมัยสงครามโลกครั้งที่2มายังมีชีวิตอยู่ มันจึงทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 มีข้อมูล รวมถึงความน่าสนใจกว่าสงครามโลกครั้งที่1 ครับ อย่างที่คุณคห.3 ได้กล่าวไว้ด้วยครับว่าสื่อสมัยใหม่ก็มีผลครับ เพราะถ้าสมัยนี้ สร้างหนังสงครามโลกครั้งที่1 ขึ้นมา อาจจะไม่มีคนดูครับ จึงไม่สร้า่งขึ้นมาครับ แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 53 08:10:48 จากคุณ : Hacker-MI6 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 07:44:25

ความคิดเห็นที่ 16 เกร็ดเล็กๆครับ คือสงครามสมัยนั้น ยังมีรูปแบบการรบคล้ายๆกับสมัยศตวรรษที่19 คือ ถือปืนเดินประจันหน้ากัน ขุดหลุมเพลาะเป็นหลัก  ปืนใหญ่สมัยนั้นสำคัญมากๆต่อแนวหน้าครับ พอมาสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ที่เยอรมัน มีการปฎิวัติในกิจการทหาร เลยมีหลักนิยมการรบ ด้วยวิธีรุกแบบใหม่  รถถังจึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญต่อแนวหน้าแทน อีกอย่าหนึ่งนอกจากสนามเพลาะแล้ว ยังมีเรื่องของการใช้แก็สพิษมาใช้ในสงครามหลักๆด้วยครับ แต่จะสังเกตได้ว่าสงครามโลกครั้งที่2 ในยุโรปจะไม่ค่อยมีการใช้แก็สพิษครับ ทหารสมัยนั้นจึงต้องมีหน้ากากกันแก๊สพิษติดตัวตลอด นี่คือรูปทหารที่ไปรบในแนวหน้าของสนามเพลาะครับ จะเต่งตัวกันเเบบนี้ แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 53 07:56:48 จากคุณ : Hacker-MI6 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 07:51:51

ความคิดเห็นที่ 17 ความเห็นส่วนตัวนะครับ อาจเป็นเพราะในสงครามโลกครั้ง 1 สหรัฐอเมริกาไม่ค่อยได้มีส่วนร่วม ไม่เหมือนสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามอื่นๆหลังจากนั้นที่สหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญมาตลอด การสร้างภาพยนต์หรือสารคดีต่างๆ จาก HollyWood เค้าต้องเน้นสมรภูมิที่อเมริกันชนเป็นพระเอก ไม่งั้นขายไม่ออก รึเปล่าครับ จากคุณ : HiComrade เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 08:03:05

ความคิดเห็นที่ 18 จะว่าไป แล้วม้าล่ะครับ เคยอ่านเห็นบอกว่าใช้ม้ากันพรึ่บ จากคุณ : Munch เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 08:03:16

ความคิดเห็นที่ 19 WW I การรบกันไม่ซับซ้อน ถ้าสร้างเป็นหนัง คงจะเป็นหนังการเมืองซะมากกว่า หลังจากรัชทายาทถูกลอบสังหาร เซอร์เบียหนาวขี้ครับ ขอยอมเจรจากับออสเตรีย-ฮังการี เกือบทุกเงื่อนไขเพื่อเลี่ยงสงคราม แต่ฝ่ายหลังฉวยโอกาสบังคับให้เซอร์เบียทำตามเงื่อนไขที่เซอร์เบียไม่สามารถยอมรับได้ จำไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกัน จำได้แต่ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตย และละเมิดเกียรติค่อนข้างแรง ก็เลยต้องประกาศสงครามกัน เป็นจุดเริ่มต้นของระเบิดเวลา หลังสงคราม อาณาจักรออตโตมันเจ๊งโบ๊งไม่เป็นท่า เพราะเลือกข้างผิด อังกฤษปลดปล่อยอาหรับจากอาณาจักรฯ(แต่ทุกวันนี้ อาหรับต่อต้านอังกฤษ) จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 08:04:10

ความคิดเห็นที่ 20 #16 ขอโทษที่นอกเรื่อง แต่ไอ้กระเป๋าใส่หน้ากากแก๊สมันแพงเหลือหลาย จากคุณ : สายน้ำตะวันออก เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 08:35:02

ความคิดเห็นที่ 21   **ถึงคุณความคิดเห็นที่18** สมัยสงครามโลกครั้งที่1นั้นยังมีการใช้ม้าในกองทัพอยู่เป็นจำนวนมากครับ ส่วนยานยนต์ต่างๆก็เริ่มมีการเอามาใช้บ้างแต่ว่ายังไม่ใช่ยุทโธปกรณ์หลัก นอกจากไว้ขนส่งทหารราบแลคิดตั้งปืนกลเพื่อไว้คุ้มกันกำลังทหาร โดยกองทหารขนาดใหญ่ๆในยุคนั้นมักจะเดินทางไปยังพื้นที่สู้รบด้วยรถไฟแล้วไปต่อด้วยการเดินเท้าอีกทีครับ นั่นจึงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายเยอรมันวางเอาไว้แต่แรกๆครับ โดยเมื่อสงครามระเบิดขึ้นนั้นสถาณการณ์คร่าวๆจะเป็นดังนี้ครับ - เยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี เป็นพันธมิตรกัน - ฝรั่งเศส รัสเซีย เป็นพันธมิตรกัน (ประเทศอื่นนั้นจะมาร่วมเอาทีหลังครับ) - เสนาธิการของเยอรมันวางแผนว่าจะทุ่มกำลังเข้าตีทางตะวันตกเพื่อบดขยี้ฝรั่งเศสให้ราบคาบเสียก่อน เพราะเยอรมันคาดว่ากว่าที่กองทัพรัสเซียทางตะวันออกจะระดมพลแลเดินทางเข้ามายังยุโรปได้ต้องใช้เวลา - เช่นนั้นกองทัพเยอรมันและพันธมิตรจึงเดินทัพเข้าตีฝรั่งเศสแต่ทว่าเส้นทางที่เร็วที่สุดนั้นต้องผ่านประเทศเบลเยี่ยม และบังเอิ๊ญ~บังเอิญว่าเบลเยี่ยมมีสนธิสัญญาอยู่กับอังกฤษพอดี จึงทำให้อังกฤษแลประเทศในเครือจักรภพกระโจนเข้าสู่สงครามครับ - เมื่ออังกฤษเข้าสู่สงครามจึงทำให้เกิดการรบเพื่อไล่ล่ากองเรือเยอรมันไปทั่วและบังเอิญว่ามีเรือรบเยอรมันสองลำหนีการตามล่าของอังกฤษไปหลบที่ท่าเรือของพวกออตโตมาน ซึ่งภายหลังเรือลำนี้ได้เข้าไปร่วมกับกองทัพเรือออตโตมานแล้วย้อนกลับไปโจมตีท่าเรือของพวกรัสเซีย จึงทำให้ในที่สุดแล้วจักรวรรดิออตโตมานซึ่งความจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีสนธิสัญญาอะไรกับเขาด้วยเลยตัดสินใจเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายเยอรมันครับ (สาเหตุสำคัญอีกอย่างคือในห้วงเวลานั้นอังกฤษกำลังเป็นเจ้าอาณานิคมแลมีดินแดนปกครองในตะวันออกกลางอยู่มากโดยเฉพาะอียิปต์ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญ ซึ่งออตโตมานนั้นไม่ได้อยากจะไปรบที่ยุโรปแต่กำลังจะหาเหตุเพื่อเข้ายึดดินแดนของอังกฤษในตะวันออกกลางครับ) (..รูปโอบีวันยืนเก๊กอยู่..) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 09:00:15 A:124.121.222.171 X: TicketID:259236

ความคิดเห็นที่ 22 #20 ที่มันแพงเพราะ มันเป็น costume ของ Indiana Jones ครับ จากคุณ : Peradino เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 09:11:00

ความคิดเห็นที่ 23   19. ถ้าจำไม่ปิดที่สุดแล้วเซอร์เบียจะยอมทำตามทุกเงื่อนไขครับ แต่ไม่สามารถตอบทันช่วงเวลาเส้นตาย (สรุปสั้นๆว่าเค้าจะเชือดเซอร์เบียครับ แค่หาข้ออ้างเท่านั้น) ผมคิดว่าปัจจัยนึงคือเทคโนโลยี (ดังที่ คห.ต้นๆ ได้กล่าวไป) เนื่องจากช่วงหลังสงครามโลก 1 มายัง 2 ได้มีการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์ดังๆ ส่วนใหญ่ก็อยู่ในช่วงนี้ (ไอไสตน์ , ฮาเบอร์) ฮิตเลอร์เองก็เร่งพัฒนาเครื่องจักสงคราม ทำให้เกิดความแตกต่างทางเทคโนโลยีพอที่ เยอร์มันจะสามารถเอาชนะหลายๆประเทศได้ ... เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ส่วนเรื่องอื่น อาจจะเป็นช่วงที่ ระบอบการปกครองแบบใหม่ๆ กำลังสุกงอม .. เดิมที่ประเทศส่วนใหญ่ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เปลี่ยนอำนาจมาอยู่ในมือ ทหาร ... ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมที่รุนแรงมากขึ้น จากคุณ : ฟหกด เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 09:26:25 A:124.122.99.74 X: TicketID:250855

ความคิดเห็นที่ 24   หนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่เคยดูมีแค่สามเรื่องเอง 1.all quiet on the western front 2.the blue max 3.flyboy มันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจสำหรับคนที่ไม่ชอบ ทำมาคงขาดทุน จากคุณ : a3xx เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 09:27:08 A:125.24.12.214 X: TicketID:211532

ความคิดเห็นที่ 25 กระเป๋านั้น 2000 ไม่เกิน 2500 เองครับ แต่สายสะพายมันจะเปื่อย ๆ ก็เปลี่ยนเป็นหนัง เส้นละ 7-800 รวม ๆ ก็ไม่ถึง 3 พันอยู่ดี ไม่แพงมากนะครับ ในแง่ของกระเป๋าราคาในปัจจุบัน เช่น คอนเวิร์ส อะไรแบบนี้ ถ้าแบบนี้แพง คุณลองดูกระเป๋าก๊อปปี้ของผู้หญิง (เน้นว่า ก๊อปปี้ หรือปลอมเกรดดี ๆ หน่อย) ราคาก็เป็นพัน ๆ ครับ ไม่มีอะไรเลย แต่ผู้หญิงเขาจะดูสวย แล้วถ้าใจรักจริง ๆ กระเป๋าราคา2-3000 ไม่แพงไปหรอกครับ ราคามันราคาห้างทั่ว ๆ ไป จากคุณ : {M}-มดนะจ๊ะ เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 09:36:44

ความคิดเห็นที่ 26 เรื่องม้าในสมัยนั้น ไม่นิยมนำม้าพุ่งเข้ารบแบบขี่หลังแล้วยิงนะครับ เพราะว่าสงครามโลกครั้งที่1 แนวการรบเป็นแบบหลุมเพลาะล่ะครับ คือทหารไม่เข้าไปโจมตีซึ่งๆหน้ากันโดยตรงแต่จะขุดหลุมลึกและยาวเพื่อซ่อนตัว และอาศัยการยิงระดมจากปืนใหญ่ตามแนวเขตแดนเพื่อยันกองทัพศัตรูไว้ แต่จะไม่บุกเข้าไปตรงๆถ้าไม่มีโอกาส ประวัติศาสตร์เลยบันทึกว่า ทหารฝ่ายไหนรบได้นาน ทนอยู่ในสนามเพลาะได้นานที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะโดยหลักอาศัยปืนใหญ่ยิงทำลายเป็นหลักครับ รวมถึงการวางแนวทุ่นระเบิดไว้จำนวนมากรอบๆสนามเพลาะ ทหารทั้งสองฝ่ายจึงไม่กล้าบุกเข้ามาครับ  เลยเป็นที่มาของคำว่า สงครามสนามเพลาะแนวรบไม่เปลี่ยนแปลง(เคยได้ยินแบบนั้นครับ ไม่แน่ใจ) แต่รูปแบบการรบมาเปลี่ยนแปลงในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เพราะไม่ได้ใช้ปืนใหญ่ในการรบแล้ว แต่ใช้รถถังเป็นหอกหลักแทน ส่วนแนวการรบแบบสนามเพลาะก็มาปรากฎอีกทีตอนสงครามเวียดนาม(ซึ่งผมก็แปลกใจเพราะวิธีการขุดหลุมเพลาะนี้ใช้ได้ดีกับทหารอเมริกันเสียด้วย) เรื่องม้านั้นจะไม่ใช้เป็นหอกหลักทำการรบครับ แต่จะใช้คนย้ายเสบียง และใช้ขนส่งคนเป็นหลักครับ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ก็มีการใช้ม้าอยู่ครับ แต่อย่างว่าคือไม่ได้เป็นนำมาเป็นหอกหลักการรบเหมือนเดิม ในรูปคือการประยุกต์ม้ามาใช้เพื่อลากเลื่อนอาวุธกับสัมภาระเป็นหลัก แต่จะไม่ตั้งกองทหารม้า(เนื้อ) สำหรับจู่โจมแบบเดิม เพราะแนวสนามเพลาะเป็นอุปสรรค์ต่อมา้ครับ แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 53 09:48:49 จากคุณ : Hacker-MI6 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 09:43:04

ความคิดเห็นที่ 27 ม้านอกจากจะใช้ขนส่งคน สัมภาระแล้ว ยังมีการดัดแปลงมาทำ "รถพยาบาล" ในสมัยก่อนอีก จากรูปคือรถพยาบาลรุ่นแรกๆที่ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่1 ของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยการนำม้ามา1-2ตัวสำหรับลากจูง แล้วทำที่คล้ายๆเกวียนสำหรับบรรทุกคนบาดเจ็บผูกติดไว้ด้านหลังๆ รุ่นแรกๆจะมีคนที่คอยนั่งควบคุมม้าประมาณ 2 คนครับ บรรทุกคนเจ็บได้ถึงประมาณ 6-8 คนแล้วแต่รุ่นครับ ุรุ่น MK-5 แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 53 10:05:12 จากคุณ : Hacker-MI6 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 10:04:43

ความคิดเห็นที่ 28 เคยดูสารคดี มีการขุดอุโมงค์โดยใช้คนงานเหมือง เพื่อไปวางระเบิดไต้หลุมเพลาะของเยอรมันด้วย กดระเบิดทีตายเป็นหมื่น จากคุณ : bradpitt.สุดหล่อแมน เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 10:27:16

ความคิดเห็นที่ 29 ตอนนี้ มี VCD สารคดีเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ของค่าย grammy วางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวม 6 แผ่น หากผู้ใดสนใจ ไปหาซื้อมาดูได้ตามอัธยาศัยครับ จากคุณ : owl2 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 10:37:12

ความคิดเห็นที่ 30 สงครามโลกครั้งที่ ๑ สงครามหลุมเพลาะที่ยาวที่สุดในโลก ยาวหลายพันกิโลเมตรแหละเออ จากคุณ : Ice-man เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 10:42:07

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าเกมที่ใช้ Location WW1 มีอยู่บ้างครับ อย่างที่ยังพอหาได้ในท้องตลาดบ้านเราก็มี Necrovision ครับ จากคุณ : Doralords เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 10:47:25

ความคิดเห็นที่ 32 Iron Strom จากคุณ : Doralords เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 10:49:30

ความคิดเห็นที่ 33 มีคนนิยามว่า นี่คือสงครามที่รบกันแบบผู้ดี เป็นการรบระหว่างราชวงศ์ในยุโรปไงครับ จากคุณ : Ploeauer เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 10:54:11

ความคิดเห็นที่ 34 ถ้าหนังแล้วนอกเหนือจากที่หลายๆท่านกล่าวมาข้องต้นแล้ว ยังมีอีก 1 เรื่องครับ คือ เรื่อง "The Lost Battalion" ครับ   เป็นกองพันทหารอเมริกันทั้งกองพันที่ดันหลุดล้ำเข้ทไปอยู่ในแนวของทหารเยอรมัน  เลยตามมาด้วยการพยายามค้นหาและถอนกองพันนั้นกลับมาให้ได้ครับ เรื่องราวสมัย WW I นั้นก็อย่างที่หลายๆท่านคุยกันครับ อาจเป็นเพราะเทคโนโลยีไม่โดดเด่น รูปแบบการยุทธ์ที่ไม่ซับซ้อน  รวมถึงสัญลักษณ์เชิง "พระเอก" "ผู้ร้าย"  เลยทำให้ไม่มีใครสร้างกัน แต่ WW I เองนั้นถ้าในด้านเทคโนโลยีนั้น แล้วส่วนตัวคิดว่าจากบทเรียนการรบใน WW I มันเป็นรากฐานในการนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพชัดเจนในช่วง WW II ครับ   เปิดฉาก WW I ด้วยยุทธวิธีการรบและยุทโธปกรณ์เท่าที่มีในขณะนั้น รูปแบบการเข้าดำเนินกลยุทธ์เลยไม่ดูฉูดฉาด   เปิดฉากด้วยการถล่มของอาวุธยิงสนับสนุนซึ่งแน่นอนในสมัยนั้นคงหนีไม่พ้น ฮาร์ดแวร์ ประเภท ปืนใหญ่   ถล่มเสร็จก็ตามด้วยการดาหน้าเข้าติดดาบตะลุมบอลของทหารราบ     ตอนคลื่นมนุษย์ดาหน้าชาร์จเข้าโรมรันพันตูนั้น มีอาวุธอยู่ชนิดหนึ่งในสมัยนั้นที่แสดงฤทธิ์เดชในการคำรามเสียงแสดงตนเป็นเครื่องมือสับเนื้อและปลิดชีพมนุษย์ นั่นคือ  อาวุธอัตโนมัติ   "ปืนกล" ครับ "ปืนกล" ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี ด้วยคุณลักษณะสามารถยิงได้อัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง สามารถส่งห่าตระกั่วเคลือบทั้งหลายให้ปลิวว่อนเข้าใส่คลื่นทหารของฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งชาร์จเข้าหา     ปืนกล ยุคนั้นส่วนมากนิยม แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ  ลำกล้องจะมีส่วนของหม้อน้ำหุ้มเพื่อใช้หล่อเย็น  อุปกรณ์ส่วนควบก็มีมากตามทำให้ปืนทั้งระบบมีน้ำหนักมาก   ปืนกล แบบ 3 คนอลเวงในยุคนั้น เลยมีข้อจำกัดหากจะนำพามันไปในลักษณะ "ทำการยิงประกอบการเคลื่อนที่"  ในการเข้าตี          แต่ถ้าหากเป็นการตั้งรับ ซึ่งทำการยิงอยู่กับที่แล้ว มันจะแสดงประสิทธิภาพได้ชัดเจน     ดังนั้นฝ่ายเข้าตีในยุคนั้นจะเสียเปรียบเรื่องอำนาจการยิงตรงจุดนี้ครับ    ปืนกลดังๆยุคนั้นก็เช่น ปืนกล แม็กซิม(คนละแบบกับที่ไปซับเหงื่อทหารที่ทหาร ร.11 นะครับ  แม็กซิม นี้ซับเลือดแทน) ของ เจอรี่ ครับ (ปืนกล ในยุค WW II  ถูกพัฒนาขึ้น จาก 3 คนอลเวง เป็นสามารถนำพาและใช้งานได้ด้วยคนเพียงคนเดียวโดยฝ่าย เจอรี่ นำมาใช้ก่อน คือเจ้า MG 34 รุ่นพี่อันโด่งดัง ก่อนจะเปิดตัวด้วยรุ่นน้อง MG 42 ในช่วงสงคราม) ด้วยเหตุดังกล่าว ทั้งอำนาจการยิงจาก ปืนใหญ่   ปืนกล 3 คนอลเวง  ทำให้การพัฒนาเรื่อง การเอาตัวรอดของทหาร  ปรับเปลี่ยนเป็นการทำ "ป้อมสนาม" เพื่อหลบให้พ้นจากอำนาจการยิงดังกล่าว และทั้งสองฝ่ายก็ขยายแนว "ป้อมสนาม" ของตน จนกลายเป็น "สงครามสนามเพลาะ" ที่มีแนวประจันหน้ากันยาวเฟื้อย  และกลายไปสู่ "สงครามชงักงัน"ในที่สุด แต่ผลของ "สงครามชงักงัน" ที่แนวไม่ขยับ หรือขยับน้อยมาก รวมถึงการสูญเสียกำลังพลอย่างมหาศาล กว่าแนวจะขยับสักเมตรหนึ่ง    ยังผลให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มพยายามหาวิธีการและเครื่องมือในการเข้าตีแนวสนามเพลาะของฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้แนวรบขยับตัว    และให้สูญเสียกำลังพลน้อยลง      วิธีการความพยายามก็มีหลากหลาย ทั้ง การใช้ แก๊สพิษ เข้ารมควันแนวฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควรเพราะการพัฒนาเรื่องหน้ากากป้องกันแก๊สก็ตามทันรวมถึงความไม่แน่นอนในการใช้ เพราะถ้าสภาพลมเปลี่ยนทิศทางมันจะส่งผลกับฝ่ายเข้าตี    ทหารที่ติดดาบรุกเข้าชาร์จก็ยังตกเป็นเหยื่อของห่ากระสุนจาก ปืนกล 3 คนอลเวงอยู่ดี จนต่อมาความพยายามในการฝ่าแนวที่เป็นหลุมเป็นบ่อ(จากการยิงของปืนใหญ่) ภายใต้เกราะกำบัง(จากห่ากระสุนของเจ้า 3 คนอลเวง)   ฝ่ายอังกฤษตรางู ได้นำรถแทร็กเตอร์ทางการเกษตรมาดัดแปลงจนเกิด ฮาร์ดแวร์สงครามชิ้นใหม่ นั่นคือ  "รถถัง"      ในการเข้าตีของรถถังครั้งแรก(จำไม่ได้แล้วว่ายุทธภูมิไหน  ซอม หรือเปล่าหว่า) สร้างความตกตะลึงให้กับฝ่าย เจอรี่ เป็นอย่างมาก ต่อการปรากฏตัวของอสูรกายสงครามแบบใหม่    แต่ด้วย ฮาร์ดแวร์ ดังกล่าวพึ่งเริ่มพัฒนา  ข้อจำกัดยังมีอยู่มาก เช่น ระบบช่วงล่าง ส่งถ่ายกำลังของรถ  ทำให้มันยังมีความเร็วต่ำมากๆ(ช้ากว่าคนเดินเสียอีก)  ส่วนมากรถถังในยุคนั้น ตกเป็นเหยื่อของสภาพภูมิประเทศที่เป็นหลุมเป็นบ่อ(จากการยิงของปืนใหญ่ทุกเมื่อเชื่อวัน) มากกว่าโดนฝ่ายตรงข้ามน็อคเอาท์ด้วยอาวุธต่อสู้รถถัง(ซึ่งก็เริ่มพัฒนาเช่นเดียวกัน)            ทำให้การใช้ฮาร์ดแวร์สงครามชิ้นใหม่นี้นั้นยังอยู่ในขอบเขตจำกัด และยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแนวรบในภาพรวมทั้งหมดได้ ฮาร์ดแวร์สงครามอีกชิ้นที่เริ่มนำมาใช้ใน WW I ก็คือ "อากาศยาน"       อากาศยานเป็นฮาร์ดแวร์สงครามตัวใหม่ที่เปิด มิติ ของสนามรบให้เพิ่มขึ้น     ช่วงแรกๆ อากาศยาน ยังคงถูกใช้งานในบทบาทของ การสนับสนุนในเรื่องการตรวจการณ์และการยิงปืนใหญ่    แต่มันก็เริ่มถูกพัฒนาเป็น การใช้งานโดยตรง  ทั้ง อากาศ-สู่-อากาศ  และ อากาศ-สู่-พื้น       เรียกได้ว่าเป็นการเข้าตีโอบแบบใหม่ คือ การเข้าตีโอบจากด้านบน ฮาร์ดแวร์หลักๆ ขั้นต้นคือ รถถัง และ อากาศยานนั้น ในยุค WW I ด้วยเทคโนโลยีที่มีและความใหม่ในการพัฒนาทำให้ทั้งสองอย่างดูไม่โดดเด่นในยุคดังกล่าวมากนัก แต่มันคือจุดเริ่มต้นของความน่าสพรึงกลัวของสงครามยุคใหม่ในอีก 20 ปีถัดไป คือ WW II    ซึ่งฝ่ายเจอรี่ ผู้เขี่ยบอลเปิดเกมส์สงครามนั้นได้แสดงให้เห็นถึงหลักการรบยุคใหม่ที่เป็น "สงครามเคลื่อนที่"   และเพิ่มมิติมากขึ้นจากแต่ก่อน    การยุทธ์ "ฟ้า ประสาน ดิน"  ด้วยการใช้กำลังทางอากาศเข้าถล่มตีโอบจากด้านบน และกำลังภาคพื้นที่เป็นหน่วยยานเกราะทั้งหลายได้ใช้ขีดความสามารถ  อำนาจการยิงภายใต้เกราะกำบัง การเคลื่อนที่  เข้าทำการตีเจาะแนวฝ่ายตรงข้าม และแปรสภาพเป็นปากคีมบีบล้อมในที่สุด(เป็นยุทธวิธีพื้นฐานที่เจอรี่ ใช้ได้ผลมากๆ)     จากรูปแบบการยุทธ์แบบ "สายฟ้าฟาด Blitzkrieg"ดังกล่าว ทำให้ฝ่ายเจอรี่ สามารถเพิ่มความลึกในการเข้าตีได้อย่างรวดเร็ว   แนวรบเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อซึ่งส่วนหนึ่งก็สืบเนื่องมาจากความพยายามในการเอาชนะ "สงครามชงักงัน"ใน WW I นั่นเอง จากคุณ : FW190 (FW190) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 11:08:32

ความคิดเห็นที่ 35   ** "เจไดหนุ่ม"ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลจากความเห็นของเพื่อนสมาชิกในความคิดเห็นที่34ครับ ** "ยุทธวิธีการรบแบบสายฟ้าแลบ" หรือ "Blitzkerg" นั้นเป็นรูปแบบการรบที่น่ากลัวและได้ผลเป็นอย่างมากเมื่อต้องปะทะกับข้าศึกที่ทำการศึกในแบบแผนปรกติ ซึ่งหลักของสงครามดังกล่าวนั้นยังถูกนำมาใช้จนถึงปัจจุบัน โดย "เยอรมนี" นับเป็นประเทศแรกๆที่นำเอายุทธวิธีการรบดังกล่าวมาใช้แลประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม และรูปแบบของยุทธวิธีสายฟ้าแลบที่เยอรมันใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2นั้นจะมีคร่าวๆดังนี้ครับ - กองทัพซึ่งเข้าตีจะทำการสนธิกำลังขึ้นจากทหารราบ ยานเกราะ แลอากาศยาน (เครื่องบินชนิดต่างๆ) - เครื่องบินจะทำการทิ้งระเบิดแลเข้าโจมตีเป้าหมายสำคัญๆก่อน เพื่อบั่นทอนขวัญแลกำลังใจของข้าศึก - ทหารราบซึ่งบรรทุกด้วยยานยนต์อาทิรถสายพานหุ้มเกราะ รถบรรทุก มอเตอร์ไซค์ จะบุกฝ่าแนวของข้าศึกอย่างรวดเร็วด้วยการสนับสนุนของรถถังซึ่งนับเป็นหัวหอก - กองทหารซึ่งประกอบด้วยรถถัง ยานเกราะ แลทหารราบ จะเข้าโจมตีข้าศึกด้วยความรวดเร็ว แล้วจัดการโอบล้อมเพื่อแบ่งข้าศึกให้แตกออกเป็นกลุ่มก้อน ซึ่งปฏิบัติการทั้งหมดนี้จะต้องมีกำลังทางอากาศสนับสนุนด้วย - กำลังยานเกราะแลทหารราบซึ่งรุกเข้าตีจะสามารถติดต่อสื่อสารผ่านกันทางวิทยุสื่อสารได้ ทำให้กำลังพลสามารถประสานการโจมตีแลแจ้งข่าวต่างๆให้แก่กันได้อย่างแม่นยำรวดเร็ว - เมื่อกำลังทหารได้ปิดล้อมแลตัดแบ่งข้าศึกเป็นกลุ่มก้อนแล้วก็จะทำให้สายการบังคับบัญชาของข้าศึกเสียกระบวน เพราะกองทัพส่วนหนึ่งไม่สามารถส่งกำลังไปช่วยเหลือทัพอีกส่วนได้เนื่องจากโดนล้อมอยู่ จากนั้นทหารเยอรมันจะเริ่มบีบวงล้อมให้แน่นขึ้นเพื่อกดดันข้าศึกในแต่ละวงที่ล้อมเอาไว้ ก่อนจะใช้อำนาจการยิงทั้งหมดที่มีเข้าทำลายข้าศึกในวงจนราบเรียบเป็นการปิดฉากปฏิบัติการโดยสมบูรณ์ ซึ่งการจะกระทำตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องอาศัยความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ของกองกำลังที่เข้าตี อีกทั้งกำลังพลยังต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี กองกำลังยานเกราะประเภทต่างๆต้องเคลื่อนที่สอดประสานกันอย่างเป็นระบบไม่ใช่วิ่งซี้ซั้วไปทางโน้นคันทางนี้คัน ยุทธปัจจัยสนับสนุนกองทัพเช่นกระสุน เชื่อเพลิง เสบียงอาหารต้องพร้อมสรรพ แลที่ขาดไม่ได้คือกำลังทางอากาศที่คอยกดดันข้าศึกจากบนฟากฟ้า โดยสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งจะขาดไม่ได้เลยสำหรับยุทธวิธีการรบแบบนี้ก็คือการสื่อสารครับ ซึ่งเยอรมนีนั้นนับเป็นประเทศแรกๆที่มีการนำวิทยุสื่อสารมาติดตั้งไว้ในยานเกราะหนักทุกคัน ทำให้ผ.บ.ของยานเกราะแลรถถังสามารถสื่อสารแลประสานงานกับผ.บ.ในหน่วยอื่นๆได้ แลเมื่อทุกหน่วยสามารถสื่อสารติดต่อถึงกันก็สามารถประสานการโจมตีเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบกระทั่งนำไปสู่ชัยชนะในที่สุดครับ ป.ล. แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าตอนช่วงท้ายๆของสงครามเยอรมนีได้ขาดแคลนยุทธภัณฑ์ชนิดต่างๆอย่างขนานหนัก จนเปลี่ยนจากฝ่ายรุกมาเป็นรับทำให้ไม่สามารถปฏิบัติการรบอย่างสายฟ้าแลบได้เต็มที่เหมือนช่วงต้นของสงครามครับ (..รูปโอบีวันยืนเก๊กอยู่..) (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 11:53:08 A:124.121.222.171 X: TicketID:259236

ความคิดเห็นที่ 36 ตอนเราเรียน ม.4 อาจารย์เค้าก็สอนตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เลย แถมเทกซ์บุ้คยังยากมากๆอีกต่างหาก แต่ยังไม่ซับซ้อนเท่า WWII อันนั้นมันมีหลายพรรคหลายพวก แถมทะเลาะกันเองก็เยอะ มีต้นกำเนิดจากการลอบสังหาร Franz Ferdinand เป็นรัชทายาทของออสเตรีย ฮังการี โดย Black Hand Society รู้สึกว่ามันจะชื่อพรินซิบ เป็นนักศึกษาเองค่ะ อะไรทำนองนี้ เขียนไงหว่า จำไม่ได้ เค้าเป็นชาวสลาฟ ต้องการจะปลดแอกปรเทศ เป็นการจุดชนวนเมื่อออสเตรียจะแก้แค้น แล้วออสเตรียเค้าอยู่ใน Triple Alliance คือ เยอรมัน และ อิตาลี เมื่อก่อนเป็นรัสเซีย แต่ทะเลาะกัน เลยลาออกแล้วก็มีอิตาลีมาเสียบแทน เพราะมันเป็นยังงี้ สงครามมันถึงลามไปเรื่อยๆ เพราะประเทศนุ้นก็มีพันธมิตร ประเทศนี้ก็มี เลยยกพวกตีกัน หลังจากนั้นฮังการีก็ประกาศสงครามกับพวกเซอร์เบีย โดยมีอังกฤษ ฝรั่งเศสเข้าข้าง เยอรมันก็ร่วมกับฮังการี ตอนนั้นทั้งอังกฤษและเยอรมันก็ยิ่งใหญ่มากๆ มีอาวุธเยอะ แต่เยอรมันต้องเผชิญหน้ากับการปิดกั้นทางทะเล แล้วก็การสู้ศึกสองด้านด้วย ก็เลยทำให้แพ้ มีการขุดสนามเพลาะตลอดชายแดนเลยยาวมากๆ ทหารแนวหน้านี่ขุดๆ จิ้มๆ ยิงๆ กันอย่างเดียว รู้สึกว่าแค่วันแรกของการรบที่แม่น้ำซอมก็เสียคนเป็นหมื่นๆในชั่วโมงเดียว หมายถึงทหารอังกฤษน่ะค่ะ ที่ตายไป เยอรมันนีก็เก่งมากๆรบเร็วตีเร็ว ตีกรุงวอร์ซอแตก ทำให้รัสเซียก็ถอยๆไปเรื่อยๆ จริงๆอิตาลีก็มีทหารเยอะ แต่มันมีเส้นทางที่ทรหด เลยไม่ค่อยมีบท รู้สึกว่าเค้าจะถอนตัวออกจากสงครามในตอนหลัง เพราะรัสเซียก็ขัดแย้งกันเอง เพราะคิงมัวแต่ไปรบๆๆๆ พระราชินีอเล็กซานดร้าก็ต้องคุมคนเดียว แถมเหงาด้วย(อันนี้เป็นข่าวลือ) แล้วอเล็กซิสรัชทายาทยังเป็นฮีโมฟีเลีย(โรคนี่ใช่มั้ย ที่เลือดไหลไม่หยุดน่ะ) เลยมีรัสปูตินมาช่วยทำลายล้าง เอ้ยย แก้ปัญหา เลยยิ่งล่มจมไปกันใหญ่ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 นี่แหละค่ะ ที่เริ่มมีการใช้รถถังแล้วก็การใช้ก๊าซคลอรีน(ของเยอรมัน) แต่รถถังมีทั้งสองฝ่าย เรื่องรถถังนี่ไม่ค่อยแน่ใจนะคะ เพราะว่าในหนังสือแต่ล่ะเล่มมันเขียนไว้ไม่เหมือนกัน ในที่เราเรียนบอกว่า เป็นยุทธการที่สำคัญมาก เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เยอรมันแพ้เลย แต่อีกที่ก็บอกว่า ไม่ใช่ มันสำคัญเท่าไหร่ เลยงงๆ แล้วอะไรอีกน่อออ...อ๋อ ช่วงท้ายสงคราม ก็มีสหรัฐเข้ามาแจมๆ แล้วก็เซ็นสัญญาแวร์ซายกันตอนจบเมื่อเยอรมันแพ้ เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเท่าไหร่ในสายตาคนเยอรมัน เป็นหนึ่งในสาเหตุของ WWII ด้วยค่ะ จากคุณ : marina_rain เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 12:42:40

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาบุ๊คมาร์ค และโหวต จากคุณ : อิฐมอญ เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 12:42:39

ความคิดเห็นที่ 38 เป็นกระทู้ที่อ่านสนุกได้สาระมากค่ะ ชอบๆ จากคุณ : primaverapeace เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 13:36:17

ความคิดเห็นที่ 39 เป็นสงครามครั้งแรกที่ไอ้กันเริ่มใช้ปืนพก M1911 จากคุณ : Mr.Warut เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 13:47:21

ความคิดเห็นที่ 40 อื่มมมมม.....ต่อๆนะ จากเหตุชะงักงันของสงครามสนามเพลาะในฝรั่งเศส ดังนั้นเยอรมันจึงจัดตั้งกองทหารพิเศษขึ้นมา หน่วยนั้นเรียกว่า StormTroop  ซึ่งคัดทหารที่มีฝีมือดีที่สุดในแต่ละหมู่ แต่ละกอง มารวมกัน...... หลักคิดก็คือทหารพิเศษพวกนี้จะทำหน้าที่เป็นหัวหอก บุกตะลุยเพื่อยึดสนามเพลาะของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว แล้วฉับไว อาวุธจะต้องยิงต่อเนื่องได้ แทนที่จะเป็นแบบปืนลูกเลื่อน ซึ่งช้าไม่ทันกิน ก็จะปรับเปลี่ยนเป็นปืนกลมือซึ่งสามารถยิงต่อเนื่องได้ทันที อีกทั้งในด้านอื่นๆเช่นอาหารการกินก็ได้จะไดัรับการปันส่วนที่ดีกว่าทหารราบทั่วไป เครื่องแบบก็เป็นแบบคล่องตัว แล้วหมวกทหารจากที่เป็นแบบยอดแหลม ก็เป็นแบบใหม่ที่ป้องกันด้านหลังต้นคอได้เป็นอย่างดี...... จากการใช้ทหารพิเศษ ทำให้กองทัพเยอรมันสามรถตีโต้ฝรั่งเศสไปจึงถึงแม่น้ำซอมม์ได้อีกครั้งหนึ่งในเวลาอันรวดเร็ว......(รู้งี้ใช้แต่ต้นสงครามก็ชนะไปแล้ว) แต่ก็สู้ักับมะกันที่มีมหาศาลไม่ใหว จนพ่ายแพ้ในเวลาต่อมา..... สรุปนะ StormTroop คือต้นแบบของทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง.... รูป StromTroop ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1918 ในภาพจะถือปืนกลมือ MP-18 แมกกาซีนแบบตลับ ซึ่งให้อำนาจการยิงอย่างต่อเนื่อง..... Credit : จากความทรงจำอันเลือนลางในหนังสือสงครามโลกครั้งที่ 1-2 และสงครามเกาหลี ของ ศาสตราจารย์พลอากาศเอก ปรีชา ศรีวาลัย (หนังสือเพื่อนยืมไปยังไม่คืนเลย แง้ๆๆๆๆ) จากคุณ : Sakurachan (Tomoeda) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 14:37:59

ความคิดเห็นที่ 41 หลังฝ่ายพันธมิตร นำรถถังมาใช้ครั้งแรกใน WW I  ส่งผลให้เจอรี่เริ่มพัฒนารถถังของตนเองบ้าง รถถังของอังกฤษในซีรี่ มาร์ค (Mk) ต่างๆนั้น  อังกฤษตรางู ยังแบ่งย่อยอีกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามเพศของมนุษย์ คือ แบบ "Male"  และ แบบ "Female"   แบบ Male จะติดปืนใหญ่รถถังเป็นหลัก  ในขณะแบบ Female จะติดปืนกล แทน การหยุดรถถังในยุค WW I นั้นในช่วงแรกๆ(หลังรถถังโผล่ออกมา) ใช้ยุทธวิธี และทุกสิ่งเท่าที่มี เช่น เครื่องฉีดไฟ  ทุ่นระเบิด ฯลฯ   หลังจากนั้นจึงเริ่มพัฒนาและนำอาวุธเฉพาะทางมาใช้  เช่น  เยอรมันนำ ปืนเล็กยาวต่อสู้รถถัง แบบ เมาเซอร์ โมเดล 1918 มาใช้ ช่วง WW II วิวัฒนาการของรถถังไปเร็วมาก  ฝ่ายเจอรี่พัฒนาทั้งเรื่อง ระบบช่วงล่าง ระบบส่งกำลังของรถ  ทำให้รถถังทำความเร็วได้ดีขึ้นในการวิ่งในภูมิประเทศ(ระบบ ล้อกดสายพานแบบอิสระต่อกันก็เริ่มในช่วงนี้)  แต่สิ่งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาสำหรับบรรดาเหล่าม้าเหล็กสายพันธุ์ต่างๆของเจอรี่ คือ เรื่องของความร้อนของเครื่องยนต์ ซึ่ง โอเวอร์ฮีต เครื่องพังบ่อย     นอกเหนือจากระบบการขับเคลื่อนของรถแล้ว   ระบบของปืนใหญ่รถถังและกระสุนก็พัฒนาด้วย ทั้งหลักนิยมการใช้และแบบของอุปกรณ์     ใหญ่กว่ายาวกว่าแทง(ทะลุ)ได้ลึกกว่า        ในด้านการป้องกันตัวของรถถังนั้น  บรรดาม้าศึกของเจอรี่  ต่างมีลูกเล่นมากมายในเรื่องดังกล่าว  เช่น แผ่นเกราะเสริมทับ   การติดตั้งเกราะแบบเว้นช่องว่างระหว่างเกราะหลักและเกราะเสริม    เกราะแบบซิมเมอริท     รวมถึง  การนำอุปกรณ์ประจำรถมาใช้ประโยชน์ เช่น นำสายพานและล้อกดสายพานอะไหล่มาติดตรงส่วนสำคัญๆเช่น ด้านหน้ารถ หลักการยุทธ์แบบรวดเร็ว รุนแรง ปานสายฟ้าฟาดนั้น  มีข้อเสียคือ  ยิ่งเจาะลึกเท่าไหร่ ระยะทางการส่งกำลังยิ่งยาวเป็นเงาตามตัวรวมถึงจุดอ่อนทางด้านปีก ซึ่งเราจะเรียกว่า "ปีกเปิด"    หากหลังเข้าตีเจาะและขยายผลได้แล้วหากบรรดาม้าศึกควบบังเหียนอย่างลืมตัวจนถล่ำลึกเกินไป และหากฝ่ายตรงข้ามเข้าตีตัดละก็จะโดนตัดขาดทันที จากล้อมเขาจะกลายเป็นโดนล้อมแทน ยุทธวิธี ตีเจาะสองทางเป็นปากคีมแล้วปิดปากคีมเพื่อปิดล้อมนั้นเป็นวิธีที่เจอรี่ใช้บ่อยและก็ได้ผลบ่อย   โดยเฉพาะยุทธการบาบารอสซ่าในช่วงต้นๆ     แต่สุดท้ายเจอรี่ก็โดนของตัวเองเล่นตัวเอง     ขณะที่ กองทัพที่ 6 ของ  เพารุซ กำลังโหมหักเมืองสตาลินกราดตามคำสั่งอย่างเมามันส์นั้น     สหายอีวานได้เปิดฉากเข้าตีเจาะทางปีกทั้งสองของฝ่ายเจอรี่    ความจริงหากกองทัพที่ 6 ของเพารุซ ถอนตัวออกมาก่อนที่จะสายก็จะไม่สูญเสียกองทัพทั้งกองทัพ แต่ด้วยคำสั่งและความมั่นใจของ เกอริง ในเรื่องการส่งกำลังทางอากาศหากโดนล้อม   เลยทำให้กองทัพที่ 6 ไม่ได้รับการอนุมัติให้ถอนตัว     สุดท้ายปากคีมสหายอีวานปิดสนิด  เกอริง เริ่มส่งฝูงบินลำเลียงที่มี จุงเกอร์ Ju 52 เป็นหัวหอกบินส่งกำลังตามคำที่บอกไว้ทันที  แต่ผลออกมา ลุฟวัฟเฟ่อ ไม่สามารถส่งกำลังได้ตามที่กล่าวอ้าง    สุดท้ายสถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ   จนกองทัพที่ 6 ของเพารุซ ต้องยอมจำนน เอวังด้วยประการฉะนี้ จากคุณ : FW190 (FW190) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 15:00:49

ความคิดเห็นที่ 42 จขกท หมายถึง สารคดี(ภาพจริง)ใช่ไหมครับ ไม่ใช่หนังที่เอาคนมาแสดง WW1 มันยังไม่ค่อยมีกล้องถ่ายภาพไงครับ ไม่เหมือน WW2 หลังที่มีการบันทึกภาพไว้มากกว่า โดยที่ภาพที่ถ่ายๆไว้ มีการใช้เทคโนโลยีใส่สีลงไปในภาพได้ ผมว่านั่นคือสาเหตุหลัก คือ มีภาพที่ถ่ายไว้มากกว่า ก็มีการสร้างสารคดีได้เยอะกว่าไงครับ ผมว่าแค่นั้นล่ะ อีกเรื่อง คือ WW2 มันรบกันกินอาณาเขตมากกว่า WW1 เยอะ จึงมีภาพมากกว่าเยอะด้วย จากคุณ : wanchale เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 15:27:40

ความคิดเห็นที่ 43 สงครามโลกครั้งที่1 ใช้ระยะเวลา 4 ปีครับ ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่2 กินระยะเวลาประมาณ 6ปี รวมถึงเทคโนโลยีทั่วโลกตอนนั้น เริ่มพัฒนาไปมาก มันเลยทำให้มีวีดิโอบันทึกภาพเคลื่อนไหวต่างๆ อยู่เยอะกว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 เวลานักประวัติศาสตร์ ตอนที่จะศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ก็ใช้สื่อพวกนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการศึกษานะครับ พอได้ข้อมูลมากขึ้น ข้อมูลมันก็กระจายตัวออกไป มากขึ้นในยุคหลัง คนทำหนังก็ได้ข้อมูลพวกนี้ไปศึกษาจนทำหนัง สารคดีออกมาได้ง่ายครับ(ความคิดเห็นส่วนตัว) เราก็เลยทราบข้อมูลสงครามWW2 ครั้งนี้มากกว่าครั้งแรก เท่าที่ผมรู้นะครับ ส่วนใหญ่ช่วงนั้น รบกันในสนามเพลาะนี้แหละ ถ้าไม่ตายเพราะโดนยิง เหยียบระเบิด ก็ตายเพราะโรคระบาด เป็นหลักครับ คนที่ตายเยอะๆ ถ้าไม่ตายเพราะโดนยิงก็ตายเพราะเชื้อโรคระบาดครับ เพราะในหลุมเพลาะนั้นสกปรกมากๆ  เวลาฝนตกมาที โคลนตมเป็นเมตรๆเลย แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 53 15:49:51 จากคุณ : Hacker-MI6 เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 15:46:49

ความคิดเห็นที่ 44 Red Baron ไงครับ เกมที่สร้างจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จากคุณ : ชาเขียว เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 15:53:11

ความคิดเห็นที่ 45 สงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่เซ็งหรอกครับ มันคือละครเทรจีดี้โรงใหญ่ของโลกในเวลานั้นเลย และเป็นจุดเปลี่ยนโฉมหน้าของเท็กโนโลยีสงคราม เช่นรถถัง เครื่องบิน และเรือดำน้ำ ปืนใหญ่ ปืนกล รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่ยังใช้สนามรบเดียวกับม้าและดาบปลายปืน ผมแนะนำหนังสือเลยนะ World War I เขียนโดย J.H.J Andriessen รูปปลากรอบดีมาก เนื้อหาครอบคลุมทุกด้านและรูปที่ยังไม่เคยเห็นก็ได้เห็นในเล่มนี้แหละ สงครามอากาศของ von Richthofen อ่านก็คุ้มราคาหนังสือแล้ว หกร้อยหน้าหนักประมาณสามกิโล คุ้มราคาเงินราคาสามสิบปอนด์ แต่มาถึงร้านหนังสือเมื่องไทยแล้วทำไมแพงโคตรๆ เอาไว้ว่างๆจะสแกนรูปแปลกๆมาให้ดู รอกำลังใจก่อนเพราะรูปดีๆมันเยอะจนท้อใจ จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 15:58:21

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ คนธนฯ ครับ ผมรอดูอยู่ครับ จากคุณ : ปูเทียมไก่ชุบ เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 16:45:45

ความคิดเห็นที่ 47 เป็นเพราะดูฮิตเล่อร์ sub นรก บ่อย ทำให้พอเห็นหน้าฮิตเล่อร์ตัวจริงแล้วจำไม่ได้ คิคิ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 16:51:33

ความคิดเห็นที่ 48 อื่มมมมม......ดูดีๆ หมาในรูปกระทู้ มันคล้ายๆฮิตเลอร์นะ..... จากคุณ : Sakurachan (Tomoeda) เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 18:00:45

ความคิดเห็นที่ 49 ^ ^ ตอนแรกนึกว่าเอาฮา แต่ไปดูรูปแล้วเห็นด้วย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 18:07:01

ความคิดเห็นที่ 50 มารออ่าน รอฟังครับผม จากคุณ : @power เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 18:32:13

ความคิดเห็นที่ 51 ตาคนซ้ายสุดนั่นไงฮิตเลอร์ จากคุณ : ผืนแผ่นดิน เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 18:36:27

ความคิดเห็นที่ 52 คห.48 นึกว่าผมคนเดียวซะอีกที่เห็นแบบนั้น จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 18:38:41

ความคิดเห็นที่ 53 อ่อ..อ่านเจอในหนังสือ เห็นบอกตอนเยอรมันบุกฝรั่งเศส ยังเอาม้ามาสู้กับเยอรมันอยู่เลย จะเหลือเรอะ - -* จากคุณ : ผืนแผ่นดิน เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 18:48:03

ความคิดเห็นที่ 54 จริงๆ เพราะความวุ่นวายในเยอรมันเองด้วยครับ เพราะการจลาจลของพวกคอมมินิสต์ (มีคนเชื้อสายยิวเป็นผู้นำ) และการจลาจลจากคนโปแลนด์ในแคว้น Posen ทำให้เสบียงขาดการสนับสนุน ฝ่ายเยอรมันต้องพ่ายแพ้ จากคุณ : Buzz and Busy เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 20:05:59

ความคิดเห็นที่ 55 ผมมีหนังสือ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แบบ pdf ครับ สนใจหลังไมค์ 555 ความจริงแล้ว หนังสือของ ศ.พล.อ.ต. ปรีชา ศรีวาลัย ก็ดีเลยนะครับแต่เพียงว่ามันน้อยไปหน่อย หรือไม่ก็ หนังสือ ปวศ.ยุโรป ของ สนพ.โอเดียนสโตร์ ก็ดีเลยทีเดียวเพราะจะเล่าถึงปัยหา มูลเหตุต่างๆที่ นุงนังกันไปมาจนเป็น สงครามโลกครั้งที่ 1 ปล. หนังสืออีบุ๊คเป็น ปะกิดนะ จากคุณ : Lord BoBo Of Sarkhanland เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 20:20:56

ความคิดเห็นที่ 57 สงสัยว่าถ้า หมาในรูป ไม่วิ่งไป โลกยุคปัจจุบันจะเป็นยังไง จากคุณ : ชิปโป เขียนเมื่อ : 28 มี.ค. 53 20:35:38

ความคิดเห็นที่ 58   รู้แต่ว่า ฝรั่งเศสเป็นชาติที่กระจอกมาก ในเรื่องของการทำสงคราม แพ้มันตลอด จากคุณ : กระดองเต่า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 11:36:33 A:192.168.0.240 X:124.120.192.84 TicketID:256834

ความคิดเห็นที่ 59 อ่านข้อมูลของคุณ เจไดหนุ่ม แล้วอยากให้กิฟ เมื่อใดจะได้ล๊อกอินคืนเสียทีเจ้าคะ จากคุณ : เคลิ้มสมาคม เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 12:59:27

ความคิดเห็นที่ 60 รูปตอนพักรบช่วงคริตส์มาส ปี 1914 พี่แกแยกเรื่องส่วนตัวกับงานขาดกันดีเนอะ ^^ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 18:28:41 จากคุณ : EnvymasK เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 18:28:05

ความคิดเห็นที่ 61 เตะบอลเสร็จก็มารบกันใหม่ เง้อออ จากคุณ : EnvymasK เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 18:33:31

ความคิดเห็นที่ 62 นี่ผมเชื่อคุณคนธนฯนะเนี่ย ลงทุนสั่งจาก Amazon เลย ราคา 25 ปอนด์กว่าๆ แต่ตอนนี้หนังสือหมด stock มาใหม่เมื่อไหร่เค้าถึงจะส่งมาให้ จากคุณ : ประกอบ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:21:06

ความคิดเห็นที่ 63 สงสัยว่าถ้า หมาในรูป ไม่วิ่งไป โลกยุค ปัจจุบันจะเป็นยังไง ------- วิทยุ อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ เตาไมโครเวฟ เรดาห์ โซน่า โรงไฟฟ้านิวเครีย ดาวเทียม เหยียบดวงจันทร์ คงยังไม่เกิด ถ้าจะเกิดก็ดีเลย์ซักหลายปี เพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นตัวกระตุ้นเทคโนโลยีพวกนี้ จากคุณ : papikasoda เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 13:29:45

ความคิดเห็นที่ 64 รอคุณ คนธนฯ เอารูปกลับมาฝากครับ ^^ จากคุณ : TnT4 เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 14:18:01

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณ น้องหมาในรูปแรก ^ ^ จากคุณ : archdrea เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 03:07:04