ความคิดเห็นที่ 1 ทำไมถึงต้องโกหก “ตอนนี้พูดไม่ได้ค่ะ กำลังจะออกไปธุระข้างนอก” “วันนี้ใส่ชุดสวยนะคะคุณพี่” “งานปาร์ตี้สนุกมากครับ ขอบคุณที่เชิญ” คำโกหกหรือสตอเบอรี่ ที่คนเราพูดกันทุกวันนั้นส่วนใหญ่ผู้ฟังมักจับโกหกคนพูดไม่ได้ เพราะใจมักอยากให้เขาพูดดีๆกับเราแบบนั้น คงจะหยาบคายมากถ้าพูดความจริงว่า “ชั้นไม่อยากพูดกะแกอะค่ะ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน” “คุณพี่แก่เกินกว่าจะใส่ชุดกาคาบพริกเยี่ยงนี้” “อาหารในงานไม่อร่อยเลยครับ” อีกเหตุผลหนึ่งที่การโกหกเล็กๆน้อยๆนั้นสำเร็จจับไม่ได้ เพราะผู้โกหกไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญเดิมพันสูง ไม่ต้องถูกสอบสวน ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับได้ ถึงต่อมาคนฟังได้รู้ความจริงก็คิดแค่ว่าที่พูดไปนั้นเป็นแค่การประจบสอพลอไม่ได้มีผลเสียอะไร งานวิจัยบอกว่าการโกหกเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก  แต่เมื่อไหร่ที่เป็นเรื่องที่มีเดิมพันสูง เช่นอาจต้องถูกลงโทษถ้าถูกจับได้ว่าโกหก เมื่อนั้นพฤติกรรมท่าทางของผู้พูดมักทรยศคำลวงของเขาเอง “อ๋อไม่โกรธเลยซักนิด เราน้อมรับคำวิจารณ์อยู่แล้ว” รูป Dr Paul Ekman จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:43:31

ความคิดเห็นที่ 2 การโกหกเกี่ยวกับอารมณ์ที่กำลังรู้สึก ณ ขณะนั้นมักเป็นการโกหกที่ยากที่สุด  ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ กลัว รังเกียจ เหยียดหยาม ตื่นเต้น สนุก เศร้า  หรือประหลาดใจก็ตามเพราะอารมณ์ทำให้เกิดการแสดงออกอย่างอัตโนมัติ (involuntary) ทั้งในด้านสีหน้า(facial expression) เสียงพูด ท่าทาง และสายตาทั้งๆที่เขาพยายามปกปิดอยู่ การแสดงออกทางสีหน้านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากในชั่วเวลา 1/15 หรือ 1/25 วินาทีเท่านั้น (microexpression)ซึ่งผู้ที่ไม่ได้ฝึกการจับ microexpression มาจะดูไม่ทัน Microexpression คือ การแสดงออกทางใบหน้าอย่างรวดเร็วและโดยไม่ได้ตั้งใจ ในขณะที่พยายามซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงไว้  microexpression ประกอบด้วยลักษณะคล้ายคลึงอารมณ์ที่เป็นสากล 7 ประการหลัก คือ 1. รังเกียจ disgust 2. โกรธ anger 3. กลัวfear 4. เศร้าsadness 5. สุขhappiness 6.ประหลาดใจsurprise 7.ดูถูก contempt นอกจากนี้ยังมีอารมณ์ย่อยอื่นๆอีก A microexpression is a brief, involuntary facial expression shown on the face of humans according to emotions experienced. They usually occur in high-stakes situations, where people have something to lose or gain http://en.wikipedia.org/wiki/Microexpression http://www.paulekman.com/micros/ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:44:21

ความคิดเห็นที่ 3 ตัวอย่างคลิบที่แสดงให้เห็นว่า microexpression เกิดในเสี้ยววินาทีเท่านั้น Ekman แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาที่โดนคดีในศาล กำลังซ่อนอารมณ์โกรธอยู่ แต่เราสามารถเห็น microexpressionได้ว่าเขาแสดงสีหน้าscornคือ disgust+anger เกิดขึ้นเร็วมากในเสี้ยววินาที คนหลังเอาเงินไปแต่กำลังโกหกอยู่ว่าไม่อาไปก็แสดง disbelieve microexpression ให้สังเกตบริเวณปาก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:45:07

ความคิดเห็นที่ 4 การโกหกหลายครั้งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ความรู้สึกขณะนั้น แต่พยายามปกปิดสิ่งต่างๆเช่น การกระทำในอดีต วางแผนการในอนาคต ความคิด ทัศนคติ หรือค่านิยม ถ้าเรื่องนั้นๆอาจทำให้ผู้พูดถูกลงโทษได้จะทำให้ผู้พูดมีอารมณ์ขณะกำลังโกหก คือคนโกหกอาจรู้สึกเศร้า โกรธ หรือรังเกียจตนเองที่กำลังพูดโกหก และถ้าอารมณ์เหล่านี้ปกปิดไม่มิดก็จะแสดงออกมา ทรยศคำลวงนั้น http://www.paulekman.com/ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:46:58

ความคิดเห็นที่ 5 มารู้จัก Dr Paul Ekman Dr Paul Ekman( เกิดวันที่ 15/2/1934)  เขาเป็นนักจิตวิทยาผู้บุกเบิกวิชาการศึกษาเรื่องอารมณ์(emotion)และการแสดงออกทางสีหน้า (facial expression) เขาเป็นหนึ่งในนักจิตวิทยาที่โด่งดังสูงสุด 100 คน ของศตวรรษที่ยี่สิบ จบการศึกษาจาก the University of Chicago and New York University  ได้ปริญญาเอกจาก clinical psychology at Adelphi University (1958) ได้รับรางวัลยกย่องจากสถาบันต่างๆมากมาย และเป็น2009 TIME Magazines Top 100 most influential people of 2009 ในหนังซีรีย์ยอดนิยมเรื่อง Lie to me  ตัวละครพระเอกคือ คาล ไลท์แมน ผู้ซึ่งเปิดบริษัท The Lightman Group ในฐานะที่ปรึกษาของหน่วยงานรัฐบาลผู้เชี่ยวชาญเรื่องการจับโกหกและมองหาความจริงภายใต้คำโกหกทั้งมวลจากการสังเกตการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางนั้น  อ้างอิงมาจากตัวของ Dr Pual Ekman นั่นเอง โดยเขาก็มีส่วนร่วมให้คำปรึกษากับละครเรื่องนี้   ขณะนี้ Dr Paul Ekman ดำรงค์ตำแหน่ง Manager ของบริษัท the Paul Ekman Group, LLC (PEG) บริษัทที่ให้บริการฝึกอบรมเกี่ยวกับ emotional skills และกำลังทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับองค์กรความมั่นคงของชาติและการบังคับใช้กฏหมายของสหรัฐอเมริกา (คล้ายๆในหนังนั่นแหละ) คลิป trailer ของเรื่อง Lie to me จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:47:58

ความคิดเห็นที่ 6 Tim Roth ที่เล่นเป็น Ekman (หล่อมั้ย) เราว่าเขาเร้าใจมากนะ อิอิ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:49:17

ความคิดเห็นที่ 7 Facial expression analysis ศาสตร์การวิเคราะห์การแสดงออกทางสีหน้า โดย David Matsumoto and Paul Ekman (2008), Scholarpedia, 3(5):4237 http://www.scholarpedia.org/article/Facial_expression_analysis จขกท:  อันไหนยากไปก็อ่านผ่านๆก็ได้นะเออ การแสดงออกทางสีหน้า (facial expression)  เกิดมาจากการเคลื่อนไหวหดตัวของกล้ามเนื้อหน้าหลายๆมัด ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้ส่วนใหญ่มีเส้นประสาทมาสั่งการมัน คือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7(facial nerve) ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า หนังศีรษะ และหูส่วนนอก ขยับได้ แต่ยกเว้นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3(occulomotor nerve) ที่มาสั่งเปลือกตาบน เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 (facial nerve) นั้น ได้รับกระแสประสาทสั่งมาจากสมองหลายส่วน  มีความแตกต่างระหว่างการเลี้ยงของเส้นประสาทนี้ที่หน้าส่วนล่างและหน้าส่วนบน สรุปได้ว่า หน้าส่วนล่างจะ more voluntary คืออยู่ใต้การบังคับของจิตใจ มากกว่า หน้าส่วนบน การเลี้ยงของเส้นประสาทที่แตกแขนงย่อยๆ ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อแต่ละมัดยิบย่อยต่างกันไป บางเส้นจิ๋วๆทำให้มัดนั้นหดแรงกว่าอีกเส้นจ๋วนึง อะไรอย่างนี้ ไปสู่กล้ามเนื้อมากกว่า 40 มัดเลยทำให้การแสดง expression ต่างกันได้เป็นพันแบบ ต่างกันไปตามความแรงด้วย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:50:46

ความคิดเห็นที่ 8 หน้าของเราแสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง (Facial behaviors) 1.Speech illustration (ประกอบการพูด)  เช่น คนเรามักเลิกคิ้วขึ้นเวลาอยากรู้อยากเห็น และกดคิ้วต่ำลงเวลาเบาเสียงลง 2. Conversation regulation (กำหนดบทสนทนา) สามารถบอกทางสีหน้า(และทางเสียง)ได้ว่าพูดจบแล้ว 3. Emblematic Gestures (เป็นสัญลักษณ์แทนคำพูด) เช่น เวลาฉงน จะยกริมฝีปากบนขึ้นและกดริมฝีปากล่างลง 4. Cognition (ความนึกคิด) เวลาจดจ่อกับอะไรจะย่นคิ้วเป็นร่อง เวลาจะนึกอะไรจะห่อปาก 5. Talking and eating (พูดและกิน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้ในการออกเสียงคำต่างๆ 6.Emotion signaling (แสดงออกทางอารมณ์) ว่าตอนนั้นมีภาวะทางอารมณ์อย่างไร จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:51:51

ความคิดเห็นที่ 9 Emotion Signaling(การแสดงออกทางอารมณ์) เป็น Facial behaviors แขนงที่ได้รับการศึกษามากที่สุด เพื่อนๆส่วนใหญ่จะรู้จักชาลส์ ดาร์วิน ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ชีววิทยาคนสำคัญของโลก ผู้ซึ่งเดินทางสำรวจไปกับเรือหลวงบีเกิ้ลไปหลายๆประเทศทั่วโลกใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ทั้งหมด 5 ปี โดยถึงประเทศอังกฤษในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1836 และสร้างทฤษฏีวิวัฒนาการ ผ่านหนังสือ The Origin of Species http://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Darwin ดาร์วิน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:52:20

ความคิดเห็นที่ 10 ตามมาถูกหรือยัง หรือยังอ่านทู้เก่าอยู่จ๊ะ แต่ไม่ใช่แค่นั้น แต่เขายังตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกันระหว่างอารมณ์(emotion)และการแสดงออกทางสีหน้า (facial expression) เพราะขณะที่ล่องเรือเดินทาง เขาได้สังเกตผู้คนและสัตว์ต่างๆในที่ต่างๆทั่วโลก  งานของเขานั้นถือเป็นต้นแบบของการศึกษาศาสตร์ของ Emotion Signaling ต่อมาเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้ เรือหลวงบีเกิล จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:54:27

ความคิดเห็นที่ 11 ดาร์วินบอกว่าการแสดงออกทางสีหน้าเป็นส่วนหนึ่งของตอบสนองทางพฤติกรรม (behavioral responses )ซึ่งการแสดงสีหน้าจะเกิดขึ้นพร้อมๆกับการตอบสนองอย่างอื่นของร่างกายหลายระบบคือ การใช้เสียง ท่าทาง การเปลี่ยนอิริยาบท การเคลื่อนไหวแขนขา ดังนั้นเวลาโกรธเราจึงแสดงออกโดยการย่นร่องคิ้ว แยกเขี้ยว ที่แสดงอย่างนี้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมจู่โจม ถ้าเวลาเรารังเกียจจะอ้าปาก ย่นจมูก แลบลิ้น เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการอาเจียน ดาร์วินบอกว่าคนทุกคน จะแสดงทางอารมณ์ออกมาทางสีหน้าแบบเดียวกันหมด ไม่ขึ้นกับความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติหรือวัฒนธรรม เขาเขียนหนังสือชื่อ The Expression of the Emotions in Man and Animalsเพื่อมาลบล้างทฤษฎีของ Sir Charles Bell ซึ่งในขณะนั้นเป็นนักกายวิภาคศาสตร์ใบหน้า  facial anatomist ที่โด่งดัง ผู้ซึ่งเป็นครูของดาร์วินด้วย !!! คุณคนนี้เขาบอกว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาให้ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่มีลักษณะของกล้ามเนื้อใบหน้าที่สามารถแสดงสีหน้าได้ ซึ่งดาร์วินก็แอบเอาดินสอเขียนลงไปที่หน้าหนังสือของเบลล์ว่า “สงสัยครูไม่เคยเห็นลิง !”   และเนื่องจากในช่วงนั้นมีความก้าวหน้าทางด้านกายวิภาค (anatomy) และการถ่ายรูปภาพ ดาร์วินจึงสามารถศึกษาการทำงานของกล้ามเนื้อหน้าได้ละเอียด ข้อสรุปของดาร์วินก็คือ การทำงานของกล้ามเนื้อหน้าเป็นสากล (universal) และความสามารถในการแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าสามารถพบได้ในสัตว์จำพวกลิง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นด้วย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:55:51

ความคิดเห็นที่ 12 ในงานวิจัยแรกๆที่ทดสอบเรื่องที่ดาร์วินเสนอนั้นได้ผลว่าสรุปผลไม่ได้ แถมต่อมาเป็นเวลาหลายปีที่นักมานุษยวิทยาสรุปว่าการแสดงออกทางสีหน้านั้นแตกต่างกันไปทั่วโลกขึ้นกับวัฒนธรรม เหมือนๆกับภาษา เช่นการยิ้มทำให้สังคมหนึ่งโกรธ แต่ทำให้อีกสังคมหนึ่งมีความสุข เป็นต้น แต่ทฤษฎีของดาร์วินก็ได้รับการชุบชีวิตอีกครั้งโดย Tomkins และเขาได้ร่วมมือกับ Dr Paul Ekman เพื่อทำการศึกษาที่เรียกว่า  “ the original universality studies”  คือความเป็นสากลของสีหน้านั่นเอง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:56:18

ความคิดเห็นที่ 13 การศึกษานี้ประกอบขึ้นจากงานวิจัย 4 ชิ้น งานวิจัยแรก Eakman และคณะ(1961) เอารูปภาพสีหน้าหลายๆอย่างให้ผู้เข้าร่วมการทดลองดู โดยผู้เข้าร่วมการทดลองมาจากหลายๆวัฒนธรรมจากหลายประเทศ แล้วให้พวกเขาตัดสินว่าการแสดงสีหน้าในรูปนั้นๆแสดงอารมณ์อะไร มีอารมณ์ทั้ง 6 ชนิด คือ โกรธ (anger), รังเกียจ(disgust), กลัว (fear), สุขสนุกสนาน(happiness), เศร้า(sadness), และประหลาดใจ(surprise ) ผลการทดลองพบว่าแม้คนเหล่านั้นจะมาจากหลายวัฒนธรรมแต่ก็สามารถชี้ได้เหมือนๆกันว่ารูปเหล่านี้แสดงสีหน้าอะไร สรุปผลว่า การแสดงสีหน้าไม่ขึ้นกับวัฒนธรรม (not culture-specific) ข้อมูลนี้เป็นชิ้นแรกเกี่ยวกับความเป็นสากลของการแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าที่นำมาผ่านระเบียบวิธีการวิจัยที่ถูกต้อง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:56:45

ความคิดเห็นที่ 14 งานวิจัยอีกสองชิ้นถัดไปของ Ekman (1971) เกิดขึ้นเพราะว่า มีคนบอกว่าที่งานวิจัยแรกได้ผลเหมือนกันโดยไม่ขึ้นความแตกต่างทางวัฒนธรรมนั้น เป็นเพราะประเทศที่ทำการทดลองนั้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และสมัยนี้มีสื่อทางโทรทัศน์  ภาพยนตร์ นิตยสาร ทำให้ผู้คนแม้ต่างประเทศต่างวัฒนธรรมสามารถชี้ได้เหมือนๆกันว่ารูปถ่ายนั้นๆแสดงอารมณ์อะไร  Ekman จึงสะพายกล้องไปที่ประเทศนิวกีนีตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นที่ๆความเจริญยังเข้าไม่ถึงเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเรื่องการเรียนรู้ทางสื่อมวลชน คนพวกนี้เหมือนคนยุคหินเลยและไม่เคยเจอชาวตะวันตกมาก่อนในชีวิต รูปที่ Ekman ถ่ายมา จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:57:17

ความคิดเห็นที่ 15 งานวิจัยที่สองพบว่าชาวเผ่านิวกีนีสามารถชี้รูปถ่ายการแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าได้ตรงกับเนื้อเรื่องที่เล่าให้ฟังที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์นั้นๆได้อย่างถูกต้อง การศึกษานี้แสดงว่าการแสดงออกทางสีหน้านี้เป็นสากล และลบล้างข้อแย้งเรื่องการเรียนรู้จากสื่อในงานวิจัยแรกของเขาได้ เรื่องราวที่เล่าเช่น รูปแรก บอกมาสิว่าถ้าต้องต่อสู้ จะรู้สึกยังไง รูปสอง บอกมาสิ ว่าถ้าลูกตาย จะรู้สึกยังไง รูปสาม บอกมาสิ ว่าถ้าเพื่อนมาหา จะรู้สึกยังไง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:58:08

ความคิดเห็นที่ 16 ในงานวิจัยชิ้นที่สามพวกนักวิจัยได้ถ่ายวีดีโอใบหน้าของชาวเผ่าว่ารู้สึกอย่างไรถ้าตัวเองเป็นตัวละครในเรื่องราวนั้นๆแล้วเอาคลิปไปให้ชาวอเมริกันที่ไม่เคยเห็นชาวเผ่านี้ดู แล้วถามว่าชาวเผ่าในคลิปนั้นๆมีอารมณ์เป็นอย่างไร พบว่าชาวอเมริกันสามารถตอบได้ถูกต้องตามอารมณ์นั้นๆ จึงนับเป็นงานวิจัยที่แสดงความเป็นสากลได้อีกชิ้น รูปชนเผ่านิวกีนีที่เอกแมนถ่ายมา จัดแสดงที่ Exploratorium Museum จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:00:59

ความคิดเห็นที่ 17 แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังมีคนต่อต้านงานวิจัยที่ผ่านมา เพราะบอกว่าที่ผ่านมานั้นเป็นการให้คนมาดูรูปแล้วตอบ แต่ไม่ได้เอาคนที่ร่วมวิจัยเหล่านั้นมาเป็นคนแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้า ในงานวิจัยที่สี่ Ekman (1972) จึงจัดการทดลองแบ่งผู้เข้าร่วมการทดลองเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มแรกเป็นคนอเมริกัน กลุ่มที่สองเป็นคนญี่ปุ่น ทั้งสองกลุ่มให้นั่งดูภาพยนตร์ที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์แต่ละอารมณ์อย่างแรงกล้า แล้วอัดวีดีโอการแสดงออกทางสีหน้าของผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งสองกลุ่ม แล้วเอาวีดีโอนั้นมาวิเคราะห์การขยับของกล้ามเนื้อบนใบหน้า พบว่าเหมือนกันทั้งสองกลุ่มในแต่ละอารมณ์ ทำให้สรุปได้อย่างชัดเจนว่าการแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้านั้นเป็นสากลอย่างแท้จริง หลังจากนั้นก็มีงานวิจัยของคนอื่นๆตามมาผลที่ได้ไปในทิศทางเดียวกันนี้ เช่น Matsumoto, Keltner, O'Sullivan, & Frank, 2007 บอกว่าเป็นสากลในทุกชนชั้นทางสังคม(all walks of life) Ekman บอกว่าคนเราสามารถแสดงสีหน้าที่ย่อยๆต่างๆกันได้เป็นพันๆแบบ (thousands of expressions that can possibly be produced) ที่เอามาให้ดูคืออารมณ์พื้นฐาน แต่ยังมีอารมณ์ต่างๆอีกมากมาย ใครอยากรู้ต้องไปจ่ายตังค์เรียนกะท่านเอกแมน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:05:38

ความคิดเห็นที่ 18 รูปต้นแบบของ Ekman: การแสดงสีหน้าที่เป็นสากลในแต่ละอารมณ์ทั้ง 7 อารมณ์คือ มีความสุข Happy ประหลาดใจ Surprise ดูถูก contempt เศร้า sadness กลัว Fear รังเกียจ disgust โกรธ anger http://www.scholarpedia.org/article/Facial_expression_analysis จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:09:26

ความคิดเห็นที่ 19 Facial Expression Tutorial จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:12:14

ความคิดเห็นที่ 20 กะว่าไม่ให้ทัน ปาดเลยว่างั้นเถอะ ตามมาให้กำลังใจเจ้าค่าาา จากคุณ : เคลิ้มสมาคม เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:12:12

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ ว้าวๆ คุณเคลิ้มแฟนขับคนแรกของเรา มาแล้ว Facial Measurement (วิธีการวัดการแสดงสีหน้า) การบันทึกข้อมูลเรื่อง the universality of facial expressions of emotion ทำให้เกิดการศึกษาวิจัยในเรื่องการแสดงออกทางสีหน้าอย่างกว้างขวาง จึงต้องมีระเบียบวิธี( methodologies) ในการวัดพฤติกรรมของหน้า( facial behavior) ให้ถูกต้องทั้งในด้านความถูกต้องและความแม่นยำ (validly, reliably) Ekman ได้คิดค้นวิธีการวัดเรียกว่าระบบFACS , the Facial Action Coding System (FACS) (Ekman & Friesen, 1978) ซึ่งวิธีการวัดแบบนี้ถือว่าเป็นวิธีที่มีรายละเอียดครอบคลุมและตายตัว(เป็น objective)มากสุดเท่าที่มีในปัจจุบัน จขกท: ตรงนี้ยากหน่อยนะ FACS คือระบบการวัด ระบุการเคลื่อนไหวที่เป็นไปได้ทั้งหมด 44 แบบของหน่วยกล้ามเนื้อหน้า โดยจะแบ่งหน่วยกล้ามเนื้อหน้าตามการทำงานเป็น  Action Units  หรือเรียก AU  คือจะไม่แบ่งตามแต่ละมัดกล้ามเนื้อแบบทางกายวิภาคตรงๆ แต่ดูจากการทำงาน (function) ของมัน เช่น AU นี้ อาจประกอบมาจากกล้ามเนื้อเล็กๆคนละชื่อมัดโน้น นี้ นั้น แต่มันทำงานเหมือนกันก็จัดรวมเป็น AU อันเดียว รูปแสดง AU แต่ละอัน รู้สึกนายแบบจะเป็น Ekman เองนะ ไม่แน่ใจ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:17:32

ความคิดเห็นที่ 22 ตัวอย่างกล้ามเนื้อ frontalis บนหน้าผากตามกายวิภาคมันเป็นแผ่นกล้ามเนื้อเดียวเป็นปื้น แต่ตามระบบ AU จะเป็น 2 อัน เพราะมันทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน AU1: frontalis ส่วนใน AU2: frontalis ส่วนนอก ระบบนี้ให้คะแนนในเรื่อง ความแรงในการหด intensity, ซ้ายหรือขวาหดกว่า laterality, และจังหวะช่วงการหด timing ในแต่ละ AU ด้วย ในแต่ละ AU ในทั้งหมด 44 AU จะทำงานได้อย่างอิสระด้วยตัวเองไม่ขึ้นกับ AU อื่น ตัวอย่างการแสดงรหัส AU ของความกลัว จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:20:25

ความคิดเห็นที่ 23 Disgust lower lip turned down, upper lip raised, expiration, mouth open, spitting, blowing out protruding lips, clear throat sound, lower lip, tongue protruded AU 10, 16, 22, 25 or 26 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:26:04

ความคิดเห็นที่ 24 Anger nostrils raised, mouth compressed, furrowed brow, eyes wide open, AU 4, 5, 24, 38 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:29:35

ความคิดเห็นที่ 25 Fear eyes open, mouth open, lips retracted, eye brows raised AU1, 2, 5, 20 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:31:17

ความคิดเห็นที่ 26 Surprise eyebrows raised, mouth open, eyes open, lips protruded AU1, 2, 5, 25 or 26 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:33:24

ความคิดเห็นที่ 27 Contempt AU9, 10, 22, 41, 61 or 62 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:34:47

ความคิดเห็นที่ 28 Happy AU 6, 12 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:35:48

ความคิดเห็นที่ 29 Sadness corner mouth depressed, inner corner eyebrows raised AU 1, 15 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:37:50

ความคิดเห็นที่ 30 ทบทวนนะจ๊ะ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:39:16

ความคิดเห็นที่ 31 มีการแบ่งเวอร์ชั่นของระบบ FACS เช่น BabyFACS (Oster, 2004) มีข้อแตกต่างเล็กน้อยในทารกเพราะมีโครงสร้างกระดูกและความยืดหยุ่นของผิวต่างจากผู้ใหญ่ และ ChimpFACS ของลิงชิมแพนซีซึ่งคล้ายคลึงมนุษย์มาก แต่วิธีการใช้ก็เหมือนกัน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:41:22

ความคิดเห็นที่ 32 แบบฝึกหัด ต่อไปนี้คือสีหน้าอะไร เฉลย Contempt ดูถูก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:43:21

ความคิดเห็นที่ 33 นักกีฬาเบสบอล Alex Rodriguez ปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้ยากระตุ้น http://www.nytimes.com/2009/02/15/weekinreview/15marsh.html?_r=1&ref=baseball รูปกลาง แสดง contempt รูปขวา microfear จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:52:46

ความคิดเห็นที่ 34 สีหน้าอื่นๆ เช่น Shame ละอายใจ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:01:26

ความคิดเห็นที่ 35 Factors that Moderate the Production of Facial Expressions of Emotion ปัจจัยที่มีผลรบกวนการแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้า ในการเข้าสังคมของมนุษย์ ทำให้มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสีหน้าของตัวเอง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้นจะนำไปสู่ความวุ่นวายทางสังคม ดังนั้นมนุษย์ไม่สามารถแสดงอารมณ์ที่เรารู้สึกในขณะนั้นออกทางสีหน้าไปอย่างอัตโนมัติ ถ้ายังอยากอยู่ร่วมสังคมกับคนอื่นอย่างผาสุก กลไกการปรับเปลี่ยนการแสดงออกทางสีหน้าเรียกว่า display rules (กฏการแสดง) คนเราเรียนรู้ที่จะ “แสดง” display rules มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ทำให้ต้องปั้นหน้าไปตามแต่สถานการณ์ของชีวิตในสังคม ทำได้ 7 อย่างคือ 1.Expressed as is  แสดงตรงกับอารมณ์จริง 2.Deamplified, showing less than what is actually felt ปั้นหน้าให้ดูเบาลง 3.Neutralized, showing nothing ปั้นหน้าตาย ไม่ให้แสดงอะไรออกไป 4.Qualified, shown with other emotions ปั้นหน้าแสดงร่วมกับอารมณ์อื่น 5.Masked, concealed by showing other emotions altogether ใส่หน้ากาก ซ่อนอารมณ์โดยเปลี่ยนหน้าเป็นอารมณ์อื่นไปเลย 6.Amplified, shown more intensely than what is actually felt แสดงให้เว่อร์เกินกว่าอารมณ์ที่รู้สึกจริงขณะนั้น 7.Simulated, shown when not felt at all จริงๆไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่สร้างหน้าขึ้นมาว่ารู้สึก การศึกษาแรกที่บอกว่ามนุษย์มี Display rules คือของ Ekman ที่เอาคนอเมริกันกับคนญี่ปุ่นมาดูหนัง ดังที่บอกไว้ข้างต้น แต่คราวนี้ให้มีคนที่มีฐานะทางสังคมสูงกว่าผู้ชมไปนั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วให้ดูหนังที่ก่อให้เกิดอารมณ์รังเกียจ (disgust) ผลการทดลองพบว่า เมื่อมีคนอื่นที่ฐานะสูงอยู่ใกล้ๆ กลุ่มคนอเมริกันจะยังแสดงสีหน้ารังเกียจอยู่แต่ความแรงน้อยลง แต่กลุ่มชาวญี่ปุ่นจะซ่อนความรู้สึกขยะแขยงด้วยรอยยิ้มแทน ทุกวัฒนธรรมของมนุษย์จะสอนให้คนในวัฒนธรรมนั้นๆ “แสดง”อย่างไร การแสดงออกถึงอารมณ์ โกรธ ดูถูก หรือ รังเกียจ ต่อหน้าผู้ที่มีฐานะทางสังคมสูงกว่านั้นเป็นสิ่งที่อันตราย ทำให้เกิดผลกระทบต่อความสมานฉันท์ในสังคมนั้น ที่จริงแล้ว Display rule ก็เป็นสากลเช่นเดียวกัน แต่ละวัฒนธรรมจะบอกอย่างชัดเจนว่าควรจะแสดงอย่างไร ชาวอเมริกันมักเลือก deamplified แต่ฮ่องกง ญี่ปุ่น จะเลือก mask ตอนนี้การศึกษาเรื่องวัฒนธรรมต่างๆที่มีผลต่อการแสดง ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:01:58

ความคิดเห็นที่ 36 กรณีศึกษา ตัวอย่างการวิเคราะห์ facial expression  ที่สำคัญมากกับชีวิตของทหารหญิงคนหนึ่ง คำเตือน !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ต่อไปนี้มีรูปศพ 1 รูป ไม่น่ากลัว แต่ให้เตรียมใจไว้ เวปไซต์ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทมส์ May 19, 2008, 10:56 pm The Most Curious Thing http://opinionator.blogs.nytimes.com/2008/05/19/the-most-curious-thing/ นี่คือรูปที่ถ่ายในเหตุการณ์การตายปริศนาของนักโทษในคุก Abu Ghraib ในอิรัก เมื่อปี 2003 ในรูปมีทหารหญิงชื่อ ซาบรีน่า เฮอแมน โพสท่าถ่ายรูปกับศพนักโทษคนนั้น โดยยิ้มกว้าง และทำท่าชูนิ้วโป้งต่อหน้าศพนักโทษคนนั้น เมื่อประชาชนชาวอเมริกันจำนวนมากได้เห็นรูปนี้ทำให้เกิดความสะเทือนใจมาก เป็น talk of the town  คิดไปว่า “ยัยนี่เลวมาก ถ่ายรูปยิ้มร่าแบบนั้น คงมีความสุขมากที่คนอิรักคนนั้นตาย หรือไม่เธอก็ต้องมีส่วนร่วมฆ่าคนนี้แน่ๆ” แล้วคุณล่ะ รู้สึกอย่างไรกับภาพนี้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:06:57

ความคิดเห็นที่ 37 นักข่าว ERROL MORRIS จึงขอสัมภาษณ์เธอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป็นตราบาปในชีวิตเธอ เธอบอกว่าเหตุการณ์ข้างหลังภาพนั้นเริ่มตั้งแต่ วันที่ Oct. 27, 2003 มีพนักงานกาชาดชาวอิรักโดนระเบิด ต่อมาจับผู้ต้องสงสัยได้ชื่อ Manadel al-Jamadi โดยหน่วย Navy Seals แล้วเอาไปขังที่คุก Abu Ghraib ที่คุกแห่งนี้จะแบ่งนักโทษเป็นสองแบบ คือแบบคนที่มีชื่อในรายชื่อ กับพวก “ผี” คือนักโทษที่โดนจับมาอย่างลับๆ ไม่ให้รู้ชื่อ ให้ทหารในนั้นทำเสมือนว่าไม่มีคนชื่อนี้อยู่ พยานหลายคนก็เล่าแบบนั้นพอ Manadel al-Jamadi คนนี้มาที่คุกนี้ก็อยู่ในแบบผี ในคุกนี้มีหน่วยงานของสหรัฐหลายหน่วย เช่น  F.B.I., C.I.D., C.I.A., D.I.A.  เรียกหน่วยที่ไม่ใช่ทหารอย่างรวมๆว่า O.G.A. – Other Government Agencies จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:08:46

ความคิดเห็นที่ 38 วันนั้นโอจีเอก็จับนักโทษคนนี้ไปที่ห้องอาบน้ำ ให้ขึงในเหมือนตรึงกาเขน แต่ไม่ได้ใช้ตะปู แต่เป็นกุญแจมือแทน ให้ห้อยอยู่อย่างนั้น มีคนหลายคนเข้าไปสอบสวนเป็นเวลานาน วันต่อมามีคนไปพบว่าชายคนนี้ตายแล้ว มีการปกปิดว่าคนนี้ตายโดยธรรมชาติ คือล้างเลือดออก เอาถุงน้ำแข็งถุงใหญ่มาโปะ ซาบรีน่าซึ่งเป็นทหารที่คุกนั้นบอกว่าเธอได้รู้ข่าวครั้งแรกว่านักโทษคนนี้ตายแล้ว ผู้บังคับบัญชาของเธอบอกว่าเขาหัวใจวายตาย เธอก็เลยอยากจะไปดูศพบ้าง ไปกับเพื่อนอีกคน พอเข้าไปในห้องเพื่อนก็บอกว่ามาถ่ายรูปกันเถอะ เธอก็เลยทำท่านั้นไป เพราะเห็นว่าเท่ดี ลืมนึกไปว่าคนคนนี้เคยมีชีวิตมีลูกมีเมีย แต่ว่าเวลาถ่ายรูปเธอก็มักจะทำท่านี้อยู่แล้วคือยิ้มและยกหัวแม่มือขึ้น ตอนอยูที่ค่ายอื่นๆในเมืองอื่นก็ทำท่านี้ เพื่อนเธอก็สลับกันถ่ายรูป แต่พอเธอออกจากห้องมา เธอนึกขึ้นได้ว่าศพนั้นไม่เหมือนกับหัวใจวายตาย เพราะมีรอยช้ำ เธอจึงกลับไปในห้องนั้นอีกครั้งกับเพื่อน แล้วถ่ายรูปศพอย่างจริงจังอีกครั้ง คือถ่ายสภาพศพแบบนิติเวช เห็นว่าใต้ตามีผ้าก๊อซติดอยู่ เลยแกะผ้าออกมีรอยช้ำ และตามตัวก็น่วมมาก เธอก็ถ่ายรูปเก็บไว้ เหตุผลที่เธอถ่ายรูปคืออยากเปิดเผยให้สังคมรู้ว่ามีสิ่งไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นที่คุกนี้ เธอบอกว่าขณะที่มีคนนำศพออกไป เขาเอาสายน้ำเกลือมาโยงให้ศพด้วย จะได้ดูเหมือนจะไปโรงพยาบาล ถ้าไม่ทำอย่างนี้กลัวนักโทษคนอื่นก่อหวอดได้ ต่อมามีการเผยแพร่ภาพนี้ออกมา เธอกลับเป็นคนที่สังคมประณามว่าชั่ว ที่ไปถ่ายแอ๊คชั่นกับศพอย่างนั้น ตอนแรกกองทัพจะดำเนินคดีกับเธอว่าไปยุ่งกับที่เกิดเหตุให้เสียรูปคดี แต่เธอบอกว่าก็มันยุ่งอยู่ก่อนแล้วอะ มีการสืบสวนคดีนี้จากหลายหน่วยงานทั้ง NCIS และอัยการสูงสุด แต่ก็เหมือนตาบอดคลำช้าง เพราะคนนู้น บอกอย่างนึง อีกคนบอกอย่างนึง ผลชันสูตรบอกว่าตายจากการ “slow deliberate application of force,” เหมือนการถูกเอาเข่ากดอกไว้นานๆ ซาบรีน่ากลัวมากว่าจะโดนเก็บหรือเปล่า เธอเขียนจดหมายไปหาแฟนที่เป็นผู้หญิงของเธอว่ารัก และกลัวว่าจะเป็นอะไรไป นักข่าวสัมภาษณ์เสร็จก็ขอรูปถ่ายอื่นๆของเธอไว้ และเอาไปปรึกษา Dr Pual Ekman ว่าเธอยิ้มด้วยความสุขหรือไม่ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:26:54

ความคิดเห็นที่ 39 กด F5 ลุ้นอ่านจนเมื่อยมือไปหมดเลย จากคุณ : เคลิ้มสมาคม เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:30:29

ความคิดเห็นที่ 40 รูปเล็กจัง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:30:47

ความคิดเห็นที่ 41 Paul Ekman ให้สัมภาษณ์ว่า ยิ้มนั้นมีสองแบบคือ 1.Social smile ยิ้มเสแสร้ง 2.Genuine smile หรือ Duchenne smile ยิ้มจากใจ รูปที่เธอฉีกยิ้มกับศพนั้น เธอกำลังยิ้มแบบ social smile คือการยิ้มให้กล้อง ยิ้มเสแสร้ง ไม่พบสัญญาณแห่งความสุขจากรูปนั้น ไม่มีอารมณ์ทางลบ เธอกำลังทำในแบบที่ทุกคนทำเวลาโพสท่าถ่ายรูปคือยิ้มกว้าง ไม่มีลักษณะยิ้มอย่างมีความสุขจริงๆ หรือเรียกว่า Genuine smile หรือ Duchenne smile ซึ่งจะพบว่ามีการเคลื่อนไหวของบริเวณ eye cover fold คือบริเวณใต้ต่อคิ้วก่อนถึงเปลือกตา บริเวณนี้จะย่นลงถ้ายิ้มจากใจจริง จากความสนุกสนาน เมื่อเอามาเทียบกับรูปอีกรูปที่เธอทำหน้าปกติ ไม่แสดงอารมณ์อะไร พบว่ารูปนั้นบริเวณ eye cover fold เท่ากับรูปยิ้มกับศพเลย นี่คือข้อแยกที่สำคัญที่สุดระหว่างยิ้มจริง (Duchenne smile) กับยิ้มเสแสร้ง คำว่า Duchenne smile ตั้งชื่อนี้มาจากนักประสาทวิทยาชาวฝรั่งเศสผู้ค้นพบยิ้มชนิดนี้เป็นคนแรกเมื่อปี 1862 รูป หมอ Duchenne de Boulogne กำลังกระตุ้นกล้ามเนื้อคนด้วยไฟฟ้าเพื่อแสดงกลไกการแสดงออกทางสีหน้า http://en.wikipedia.org/wiki/Duchenne_de_Boulogne จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:35:36

ความคิดเห็นที่ 42 ในหนังสือ “Emotions Revealed”  ของ Ekman เขาลอกคำพูดของ Duchenne ว่า “ การแสดงอารมณ์ว่ามีความสุขจริงๆนั้น เกิดจากการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อ สองมัดคือ zygomaticus major กับ orbicularis oculi สีเขียวแสดงกล้ามเนื้อ zygomaticus major ทำงานจากการควบคุมในอำนาจจิตใจ สั่งได้ สีฟ้าแสดง orbicularis oculi (กล้ามเนื้อวงกลมรอบตา)ทำงานต่อเมื่อมีอารมณ์สุขใจ the sweet emotions of the soul เท่านั้น สั่งไม่ได้ สองสิ่งนี้ทำให้ฉีกหน้ากากของมิตรเทียมได้...” จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:37:55

ความคิดเห็นที่ 43 Ekman เสริมต่อว่า การสังเกตบริเวณ eye cover fold นั้นยากคนทั่วไปจะสังเกตไม่เห็น แต่เป็นข้อสังเกตเดียวเท่านั้นที่เชื่อถือได้ orbicularis oculi pars lateralis คือกล้ามเนื้อรอบตาส่วนนอกเป็นกล้ามเนื้อนอกอำนาจจิตใจ( involuntary muscle)จะหดตัวต่อเมื่อคนนั้นมีคสามสุขจริงๆเท่านั้น ส่วนกล้ามเนื้อ zygomaticus major เป็นกล้ามเนื้อที่ยกมุมปากขึ้นอย่างเฉียงๆ ทำให้เกิดยิ้มกว้าง อย่างในรูปนี้ซาบรีน่าใช้กล้ามเนื้อนี้อย่างเต็มที่ ปกติแล้วการยิ้มกว้างแบบนี้มีในกรณีที่ยิ้มอย่างจริงใจจากความสุข หรือโพสท่าถ่ายรูป ปกติถ้ายิ้มแบบสังคม เช่น ขอบคุณนะคะงานเลี้ยงสนุกมาก แต่เราไม่สนุก จะไม่มีใครฉีกยิ้มกว้างแบบนั้นเพราะจะไม่สุภาพในสถานการณ์แบบนั้น เมื่อนักข่าวถามว่า คุณสามารถแยกยิ้มจริงใจ จากยิ้มเสแสร้งได้แน่ๆชัวร์ๆหรือไม่ PAUL EKMAN ตอบว่า แน่นอนที่สุด กล้ามเนื้อ orbicularis oculi par lateralis มันวงรอบตา มีหน้าที่ดึงแก้มขึ้นและทำให้เกิดตีนกา แต่ที่สำคัญคือเวลาที่เรายิ้มกว้างพอแบบเสแสร้ง ก็สามาถเกิดตีนกาได้เช่นกันจาก zygomaticus ดังนั้นข้อสังเกตที่ดีที่สุดคือให้ดูเหนือดวงตาว่าย่นลง ไม่ใช่ดูตีนกา เพราะไม่มีกล้ามเนื้อใดที่สามารถดึงส่วนนี้ได้นอกจากกล้ามเนื้อ orbicularis oculi par lateralis ที่จะหดตอนมีความสุขจริงเท่านั้น คุณดูรู้ไหมว่ารูปไหนจูเลียยิ้มจริงใจ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 16:40:00 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:39:21

ความคิดเห็นที่ 44 ในหนังสือของเขา“Emotions Revealed ” มีรูปแสดงประกอบเรื่องความแตกต่างระหว่าง Duchenne smile และ social smile  (คนในรูปคือ Ekman ตอนหนุ่มๆ ) http://opinionator.blogs.nytimes.com/2008/05/19/the-most-curious-thing/ ยิ้มน้อยๆ: ดูแวบแรกอาจดูเหมือนว่าความแตกต่างระหว่างสองถาพนี้คือแค่รูป B ตาหยีกว่า แต่ถ้าสังเกตให้ดีมีข้อแตกต่างหลายอย่าง ในรูป B ซึ่งแสดงคสามสุขอย่างแท้จริงด้วย Duchenne smile นั้น แก้มจะสูงกว่า รูปร่างของแก้มก็เปลี่ยนไป และคิ้วลดลงเล็กน้อย ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากกล้ามเนื้อรอบตาส่วนนอก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:41:08

ความคิดเห็นที่ 45 ถ้ายิ้มนั้นกว้างมากๆ: มีข้อสังเกตเดียวเท่านั้นที่แยกระหว่างยิ้มเสแสร้งรูป C กับยิ้มจริงรูป Dคือ กล้ามเนื้อรอบตาส่วนนอกจะทำงานเมื่อยิ้มจริง Duchenne smile เท่านั้น (แม้ว่าสองรูปนี้จะมีลักษณะแก้มยก ตาหยี มีตีนกา เหมือนกัน) บริเวณ eye cover fold (ผิวหนังตรงระหว่างคิ้วกับเปลือกตา) ของยิ้มจริงรูป D จะเล็กลง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:43:20

ความคิดเห็นที่ 46 รูป E เป็นรูปหน้าเฉยปกติ ส่วนรูป F เป็นรูปที่ทำขึ้นมา โดยเอาปากจากรูป D มารูปหน้าเฉย E ดูแปลกๆใช่มั้ย ต้องการจะบอกว่าเมื่อคนเรายิ้มกว้างขนาดนั้น ตากับแก้มต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้ว คือแก้มยก มีตีนกา ในธรรมชาติคนเราไม่สามารถแหกแต่ปากยิ้มประหลาดๆ แบบรูป F ได้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:43:56

ความคิดเห็นที่ 47 นักข่าวบอกว่า การที่ซาบรีน่าเป็นผู้หญิงที่อยู่ในกองทัพทำให้ต้องทำท่าว่าข้าแน่ จึงโพสท่าแบบนั้นไป แต่คนที่ดูรูปนั้นไม่เห็นตัวซาบรีน่า เห็นเพียงแต่รอยยิ้มเท่านั้น เป็นเพราะอะไร Ekman ตอบว่า คนทั่วไปไม่เคยเห็นศพจริงๆมาก่อน ถ้าเคยเห็นก็เคยเห็นแต่ในโลง พอมาเห็นแบบนี้ทำให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า (horror) คำว่า horror มาจาก disgust + terror ในรูปนี้ผู้คนเห็นภาพยิ้มมีความสุข อยู่ข้างๆ horror จึงทำให้รูปนี้สะเทือนอารมณ์มาก เมื่อคนเราเห็นคนยิ้ม เรามักจะยิ้มตอบกลับไปอย่างอัตโนมัติ อย่างหักห้ามใจไม่ได้ การยิ้มก็เหมือนโรคติดต่อ ดูอย่างในโฆษณาสิ มักจะมีแต่คนยิ้มแย้ม เพราะเขาอยาดให้คนดูเชื่อมโยงสินค้ากับรอยยิ้ม แล้วไปซื้อของ ดังนั้นรูปนี้คนทั่วไปเชื่อมโยงยิ้มกับศพ จึงแปลว่า ซาบรีน่ากำลังเอนจอยกับความสยองนี้อยู่ ที่เราสะเทือนอารมณ์มาก เพราะเวลารูปยิ้มให้เรา เราต้องยิ้มตอบอัตโนมัติ พอเห็นศพเรา horror ทำให้เราต้องฝืนเก็บยิ้มกลับไป รอยยิ้มเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากเพราะเรามักติดกับต้องยิ้มกลับไป สรุปแล้วรูปของซาบรีน่าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรข้างในเลย แค่“say cheese” smile แล้วทำไมคนเราถึงไม่รู้โดยอัตโนมัติมาตั้งแต่เกิดล่ะว่ายิ้มแบบไหนจริง แบบไหนเสแสร้ง เพราะมันไม่มีประโยชน์ต่อการเข้าสังคม คนเราอยากให้คนอื่นยิ้มให้เราอยู่แล้ว เรามักต้องการจะฟังแต่ข่าวดี เป็นการปรับตัวแบบหนึ่ง ต้องใช้การฝึกฝนอย่างมากถึงจะบอกได้อย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ กลัว มีความสุข หรืออะไรก็ตาม มีคนที่มีพรสวรรค์สามารถดูอารมณ์พวกนี้ออกโดยไม่ต้องฝึกฝนเลยแค่ 0.5% เท่านั้น ซึ่งได้จากการเก็บข้อมูลคนเป็นจำนวน 10,000 คนจากทุกชนชั้นสาขาอาชีพตั้งแต่ซีไอเอถึงคนใช้แรงงาน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:45:14

ความคิดเห็นที่ 48 METT: the micro-expression training tool เป็นการฝึกฝนการจับ microexpression ในเสี้ยววินาทีได้ สามารถนำไปใช้จับโกหก หรือใช้ประกอบอาชีพได้ดีขึ้น เช่น การขายสินค้า สนใจเรื่องศาสตร์นี้ ไปอ่านเพิ่มเติมเข้าไปที่  http://www.paulekman.com/ เขาจะให้เราสมัครสมาชิกฟรี โดยใช้ อีเมลล์ของเรา แล้วไปกดยืนยันที่อีเมลล์เรา เพื่อมารับโปรแกรม demo ที่ให้มา สนุกมาก เป็นหน้าคนอยู่เฉยๆ แล้วก็มีแว๊บแสดงสีหน้ามาให้เราทายว่าเมื่อกี้เขาแสดงอารมณ์อะไรมา เราทำดูแล้ว ตอบผิดหมดเลย ฮ่าๆ เพื่อนๆลองไปทำดูจะได้รู้ว่าเรามีพรสวรรค์เป็น 0.5% นั้นหรือไม่ หรือใครสนใจจะไปเรียนกะแกก็ได้นะเออ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:45:48

ความคิดเห็นที่ 49 จบแล้ว เอา MV เพลง Poker face มาให้ดู ชีบอกว่าหลอกแฟนหนุ่ม เพราะเวลาอยู่กับผู้ชายจะจินตนาการถึงผู้หญิง bluffin with my muffin จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:48:17

ความคิดเห็นที่ 50 .. กว่าจะอ่านจบ .. ( แต่ยังไม่ไ้ด้ดูคลิปเท่านั้นแหละ เน็ทเต่าอยู่ ) กระทู้เก่าก็พัง นึกว่าจะไม่เขียนใหม่ซะแล้ว ฮาๆ ชอบมากครับ ได้ความรู้เยอะ ( บ้ามาจาก series ด้วยแหละ ) เอาไปใช้จริง ก็คงต้องฝึกดูกันยาวเลย .. อ่านบทความแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าเอาไปใช้ได้ผลนะ ลองฝึกกันดีไหม !! .. ขอบคุณมากมายเลยนะครับ ! จากคุณ : nutnarukex เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:57:48

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณสำหรับบทความครับ ^^ จากคุณ : sutja เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:09:36

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณครับได้ความรู้เยอะเลย โหวต ตัวนี้ก็ยิ้มนะ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:30:13

ความคิดเห็นที่ 53   อ่านแล้ว อาจจะไม่เชื่อใจคนรอบข้างเลยนะเนี่ยเพราะรู้ว่ายิ้มจริงไม่จริง จากคุณ : อั้ม ติ่งเหลือม เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:36:39

ความคิดเห็นที่ 54 ถ้ามีความสามารถอย่างDr Paul Ekman คงจะดีและก็ไม่ดี^^' ซีรี่ส์เรื่องนี้สนุกม๊าก ดูแล้วแบบไลท์แมนจะเถื่อนดิบไปไหนแต่เท่โคตรร บทความนี้อ่านแล้วก็สนุกมากค่ะ ขอบคุณคุณกิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตามากเลยค่ะ จากคุณ : ~*นิกายแมวเหมียว*~ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 18:38:03

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณมากครับ ชอบดู Lie to me มากเลย สงสัยอยู่เหมือนกันว่าในนั้นอ้างอิงความจริงมารึเปล่าหรือแค่เขียนบท ได้รู้อย่างนี้แล้วยิ่งดูสนุกเข้าไปใหญ่เลย ^^ จากคุณ : มาม่าไข่มะตูม เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 19:29:24

ความคิดเห็นที่ 56 สนุกดีค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : MeaoNoi เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:15:08

ความคิดเห็นที่ 57 คิดเหมือนคุณมาม่าไข่มะตูมเด๊ะ ขอบคุณที่นำความรู้มาแบ่งปันค่ะ ^^ จากคุณ : LittleBuff-studio เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:32:27

ความคิดเห็นที่ 58 ผมเคยลงเรื่องนี้แล้วครับ แต่หัวกระทู้ล่อเป้าเกิน ก็เลยไม่ค่อยมีใครอ่าน (ขอเป็นกาฝากหน่อย) http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/03/X7642732/X7642732.html เรื่องของเรื่องคือ Dr. Ekman ได้ทำวิจัยว่าอาชีพอะไร ที่อ่าน Microexpression เก่งที่สุด หลายคนคงทายว่า ตำรวจ ทหาร นักจิตวิทยา และอื่นๆ แต่ผลออกมากลับเป็นครูสอนสมาธิ (ขนาดไม่ใช่พระนะครับ) ผมเลยสันนิษฐานว่า อาเทศนาปาฏิหาริย์ หรือการหยั่งรู้จิตของคนอื่นที่ระบุไว้ในพระไตรปิฎก จริงๆ แล้วอาจจะไม่มีอะไรวิจิตรพิสดาร กว่าการที่พระผู้ชำนาญสมาธิอ่าน microexpression ได้อย่างแม่นยำกว่ามนุษย์ปกติ  จนดูเหมือนว่าอ่านใจออก ไม่เชื่อลองดู clip ตัวอย่างการอ่าน microexpression จนดูเหมือนอ่านใจได้ ปล. ผมยังไม่เชื่องานวิจัยนี้ 100% เพราะมารู้ตอนหลังว่า Dr. Ekman สนิทกับดาไลลามะ ไม่รู้ว่างานนี้ทำโดยมีอคติ หรือ conflict of interests หรือไม่ จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:32:52

ความคิดเห็นที่ 59 ดูใน lie to me สนุกมากกับการได้เห็นวิธีการดูปฎิกริยาตอบสนองของคน คงต้องดูบ่อยๆ จะได้ฉลาดขึ้น อิอิ จากคุณ : ป้าชื่อเห็ดโคน เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:33:49

ความคิดเห็นที่ 60 ได้อ่านของคุณ Geneticist ตั้งแต่ตอนจะเขียนเรื่องนี้แล้วค่ะ google เจอ เลยทำให้รู้เรื่องเกี่ยวกับดาร์วินจากกระทู้ของคุณเป็นที่แรกเลยค่ะ อิอิ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:57:13

ความคิดเห็นที่ 61 สนุกมากๆ ขอบคุณค่ะ ^ ^ แล้วเจ้าของรอยยิ้มนี้ เค้าคิดอะไรอยู่น้า.... จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 21:24:32

ความคิดเห็นที่ 62 สนุกดีครับ ชอบๆ จากคุณ : เตะฝุ่นฟุ้งกระจาย เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 21:28:53

ความคิดเห็นที่ 63 เยี่ยมเลยครับ บทความน่าสนใจมาก จากคุณ : ขุนไกรครับผม เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:19:05

ความคิดเห็นที่ 64 นึกว่ากะทู้ดด๋อยๆๆ  แล้วรูปผมหายซะอีก อิอิ กรี๊บ หมดแล้วเอานี่ไปแทน ละกันนะครับใหญ่กว่าด้วย อิอิ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 22:45:49 แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 22:35:21 จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:33:23

ความคิดเห็นที่ 65 อ๋อ ค.ห.64 นี่รูปคุณ pooktoon ตัวจริง ใช่มั้ยคะ อิอิ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:39:29

ความคิดเห็นที่ 66 . เป็นกระทู้ที่ห้ามเมียอ่านเด็ดขาด เนื้อหายอดเยี่ยมมากครับ . จากคุณ : คนธนฯ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:51:28

ความคิดเห็นที่ 67 แล้วนี่ละอะไร ตอบ Shame (ภาพจากในเรื่อง lie to me) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:54:22

ความคิดเห็นที่ 68 Scorn โกรธ ปน รังเกียจ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:59:34

ความคิดเห็นที่ 69 โอ้ยยยย โดนใจมากๆค่ะ พอดีกำลังทำthesis เรื่องการแสดงอารมณ์ในหุ่นยนต์ บทความนี้ช่วยได้เยอะมากๆๆๆๆเลยค่ะ ขอขอบคุณมากๆที่เขียนเรื่องดีๆให้เราได้อ่าน+ศึกษาคะ จากคุณ : ikat เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 23:09:11

ความคิดเห็นที่ 70 ^ ^ หุ่นยนต์ทำไมมันมีอารมณ์ด้วยเหรอคะคุณikat จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 23:22:14

ความคิดเห็นที่ 71 ชอบค่ะๆ สนุกดี เอาความรู้แนวนี้มาให้อ่านอีกนะคะ ขอบคุณมากค่า =) จากคุณ : softii-z เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 23:24:14

ความคิดเห็นที่ 72 ชอบ lie to me มากๆ  พออ่านกระทู้นี้ทำเอาอยากกลับไปดูอีกหลายๆรอบ จากคุณ : Vellyz เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 00:21:23

ความคิดเห็นที่ 73 ช่วยชี้ชัดทีครับ สีหน้าแบบนี้สื่ออะไรครับ? จากคุณ : คนกราบเมีย เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 00:56:15

ความคิดเห็นที่ 74   ขอบคุณมากครับ :) จากคุณ : โจนintania82 เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 02:26:19

ความคิดเห็นที่ 75 #73 เอ๋อ... (โดน#73เตะ) จากคุณ : sutja เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 07:17:45

ความคิดเห็นที่ 76   บางทีมันก็ใช้ได้เฉพาะ กับเวลาที่ ไม่ตั้งตัว แบบเวลาแปลกใจเผลอขมวดคิ้ว อะไรแบบนี้ แต่จะจับโกหก คนที่โกหกก่งๆคิดว่าไม่ได้ อย่างโฟคเกอเฟซ หน้าตาย นิ่งสนิท โดนบีบ ความใกล้แตกหนังตายังไม่กระตุกด้วยซ้ำ จากคุณ : เด็กหน่อย เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 08:22:41 A:124.120.62.233 X: TicketID:227827

ความคิดเห็นที่ 77 ไม่มีวิจัยหน้าแมวบ้างเหรอ บางทีผมรู้สึกว่าแมวมันงอนนะ จากคุณ : ผีฟรีคิก เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 08:57:28

ความคิดเห็นที่ 78 ขอบคุณคร้าบ สนุกดี จากคุณ : หนอนน้อยลอยลม เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 10:53:19

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณมากๆเลย ชอบมากอ่านแล้วได้ความรู้ดีๆ ไปจับผิดคนข้างๆ หุหุ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 12:15:02 จากคุณ : ~Pa Ni Ya~ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 11:40:31

ความคิดเห็นที่ 80 อ่านสนุกดีค่ะ ขอบคุณ จากคุณ : Amperage เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 12:56:12

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณบทความดี ๆ นะคะ บางทีเรายังเคยยิ้มเสแสร้ง(ตามมารยาท)ให้คนอื่นเลยอ่า แล้วเค้าจะรู้มั้ยนะ ^^" จากคุณ : ล๊อกเก๊ตรูปหัวใจ เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 15:47:25

ความคิดเห็นที่ 82 ชอบมาก เอาไว้จับผิดคนอิอิ #77 แมวงอน จากคุณ : ฉันรักเจ้าเมี้ยว เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 17:22:09

ความคิดเห็นที่ 83 ตอบ คุณกิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา คือ เราเรียนโทสายอนิเมชั่นน่ะคะ แล้วหัวข้อที่เลือกทำจบคือ การสร้างหุ่นยนต์ที่ดูมีอารมณ์และความรู้สึก ( ประมาณ wall-e กับ ซ๊อต เซอร์กิด ) ซึ่งก็ได้ผลสรุปมาส่วนหนึ่งแล้ว แต่ยังตอนศึกษาเพิ่มอีก ขอบคุณเจ้าของกระทู้และทุกๆคนที่มาส่วนเพิ่มเติมคะ จากคุณ : ikat เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 11:37:52

ความคิดเห็นที่ 84   ใน #67 ผมว่าเหมือนกับกำลังเครียดแล้วใช้ความคิดอยู่มากกว่านะ จากคุณ : ปลาวาฬพ่นน้ำ เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 14:15:49

ความคิดเห็นที่ 85   เมืองไทย ยกตัวอย่างเรื่องกรณี นาธาน เล่นหนังฮอลีวู้ดก็ได้นะ ผมฟังเค้าแล้วยังเชื่อเลยเล่าได้เป็นตุเป็นตะ วิธีพูดเค้าเหมาะกับการต้มคนไทยมากๆ มีความน่าเอ็นดูผสมลงตัว ไม่ใช่โกหกแบบฝรั่ง (คุยได้แต่เรื่องนาธานเรื่องการเมืองคุยไม่ได้เพราะมันยังไม่จบ) http://www.manytv.com/videos/10096-Play_Video.php http://video.mthai.com/player.php?id=6M1248776764M0 ------------------------------ http://news.mthai.com/general-news/61579.html นาธาน กระต่ายขาเดียว ยืนยัน ผ่าน เรื่องเด่นเย็นนี้ ไม่เคยยืมเงิน 3แสนบาท จากแม่บ้าน เล่นหนังฮอลลีวู้ด หรือไม่ ให้รอดู เมื่อ เย็นวันที่ 9 พฤศจิกายน นางพิศมัย แม่บุญธรรมของนาธาน โอร์มาน ให้สัมภาษณ์รายการ เรื่องเด่นเย็นนี้ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ชี้แจงกรณีถูกนางสมาน สุขเสริม อดีตแม่บ้านของนายนาธาน พร้อมบุตรชาย กล่าวหาว่ายืมเงิน กว่า3 แสนบาทแล้วไม่คืน และยังถูกขู่ฆ่าว่า ไม่เป็นความจริง โดยอ้างว่า หลังจากที่ลูกชายอดีตแม่บ้านเพิ่งออกจากคุกมา นาธานเป็นผู้ที่ช่วยฝากเข้ามาทำงานที่ร้านโรตีของตน ซึ่งตนก็รักเหมือนลูกคนหนึ่ง พร้อมกันนี้ นาธาน ก็ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เข้ามาในรายการ ว่า สองแม่ลูกอยู่กับเขามาแค่เพียง 2 ปีกว่า ไม่ได้นานถึง 10 ปี อย่างที่กล่าวอ้าง แถมยังมีพฤติกรรมชอบขอเงินเดือนล่วงหน้า เวลาไปทำงานตามร้านอาหาร ซึ่งทำพฤติกรรมแบบเดิมๆ มาหลายครั้งแล้ว ซึ่งตนเองก็ช่วยเหลือมาตลอด ส่วนลายมือที่อดีตแม่บ้านอ้างว่าเป็นของ นาธาน ที่เขียนให้โอนเงินให้ ก็ไม่ใช่ลายมือขอตนด้วย และเรื่องที่พาไปโอนที่ดินถึง จ.อำนาจเจริญ ยืนยันว่าเป็นเพียงแค่ไปเป็นเพื่อนอดีตแม่บ้าน ที่อ้างว่ากำลังเดือดร้อน จะนำที่ดินแม่ไปเปลี่ยนชื่อเป็นของนางสมานเอง เพราะแม่ของนางสมานกำลังป่วย และมีปัญหากับพี่สาว ทั้งนี้ การเล่นหนังฮอลลีวู้ด ไว้ติดตามเรื่องที่เป็นมหากาพย์ครั้งยิ่งใหญ่ หลังจากเสร็จแล้วกัน ได้คุยกันยาวแน่นอน แต่เมื่อถูกถามเรื่องสัญชาติก็ตัดสายทิ้งทันที นอก จากนี้ ในวันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน เวลา 14.00 น. นางพิศมัย แม่บุญธรรม ของนาธาน จะจัดแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง อีกครั้ง ที่ หมู่บ้านเสรี ถนนรามคำแหง 24 แยก 13 ^ ^ ^ วันนี้31มีค. ยอมรับหน้าศาลแล้วว่ายืมเงินจริงจะชดใช้แล้วต่อรองกับแม่บ้าน ''-_- --------------------------- จากคุณ : @VVIEWW เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 20:10:09 A:58.64.63.130 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 86   ใครดูคลิปไม่ได้ อ่านถอดเทปสัมภาษณ์ตอนได้เล่นหนังฮอลิวู้ดดูสิ http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000080324 ถ้าฟังสดจะเนียนแล้วรู้สึกดีร่วมไปด้วย ผมถือว่านาธานนี่เป็นอ.ด้านโกหกศาสตร์แห่งประเทศไทยได้เลย มั่วมาตั้งแต่ร้องเพลงRS มั่วสัญชาติโอมาน มั่วอายุ มั่วยืมเงิน มั่วสร้างภาพ เซียนที่สุดแล้ว ถ้าย้อนไปเรื่องคนไทยโกหก มันไม่มีสตอรี่ซับซ้อนเหมือนนาธาน เช่นเรื่อง สมพงษ์แท๊กซี่ เปรตกู้ พระนิกร พระยันตระ เหมือนเป็นการโกหกเพราะไม่อยากยอมรับความจริงปกปิดความผิดแค่เรื่องเดียว แต่นาธานมันโกหกสร้างเรื่องใหม่หมดชีวิตเค้าเลย อยากให้ Dr Paul Ekman มาถอดรหัสเรื่องนาธานจัง จากคุณ : @VVIEWW เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 20:16:13 A:58.64.63.130 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 87 ^ ^ ลองรีเควสไปหาเฮียแกดูสิจ๊ะ http://www.paulekman.com/ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 20:44:53

ความคิดเห็นที่ 88 #86 นั่นเค้าขั้นเทพอ่ะ จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 21:32:51

ความคิดเห็นที่ 89 ลงชื่อไว้ เดี๋ยวงานเสร็จจะมาอ่าน จากคุณ : iamjubba เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 22:52:15

ความคิดเห็นที่ 90 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 12:11:35

ความคิดเห็นที่ 91 ดูเรื่องนี้เหมือนกัน ผมว่าดูแล้วเรื่องมันเนือย ๆ นะครับ จากคุณ : totetote เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 13:57:43

ความคิดเห็นที่ 92 ชอบ Lie to me มากกกก ดูแล้วได้ความรู้ที่เอาไปใช้ได้จริง จากคุณ : donita เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 18:43:32

ความคิดเห็นที่ 93 เข้ามาบอกว่า ชอบอ่านกระทู้ของคุณ "กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา" มากๆค่ะ ^^ ไปแล้วค่ะ...เลิกงานแล้วกลับบ้านดีกว่า ... บะบาย บะบาย..^^ (^^ นี่คือหน้ายิ้มจริงใจนะคะ..จะบอกให้!!!) จากคุณ : ไปไหนมาสามวาสองศอก เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 18:58:00

ความคิดเห็นที่ 94 เวลาใครจะโกหก จะเหลือบตาไปทางขวาแวบนึงนะ...รู้ป่าววว O_o~ จากคุณ : ไปไหนมาสามวาสองศอก เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 19:01:20

ความคิดเห็นที่ 95 ขอบคุณ คุณไปไหนมาสามวาสองศอก มากค่ะ หลังจาก release กระทู้ยาวไปหน่อย พิมพ์มากเกิน ตอนนี้ข้อมือเดี้ยงอยู่ค่ะ แหะ แหะ ขอส่งใบลาป่วย ครับพ้ม อ่าน The lost symbol อยู่หนุกจัง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 19:37:55

ความคิดเห็นที่ 96 สุดยอดมากๆครับ ผมจะเอาไปใช้ในชีวิประจำวันมั้ง จากคุณ : bootsarin (bootsarin) เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 20:28:31

ความคิดเห็นที่ 97   โกหกนั้นตายตกนรก จากคุณ : กุ๊กไก่ไม่ขันมาหาฉันจะกระต๊าก เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 01:19:47 A:222.123.55.31 X: TicketID:191399

ความคิดเห็นที่ 98 5555 จากคุณ : -APEM เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 11:42:15

ความคิดเห็นที่ 99   สงกรานต์ คงชอบดูถูกคน เห็นปากเบี้ยวตลอดเวลา ในโฆษนานีเวีย จากคุณ : ห เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 12:07:09 A:210.203.191.212 X: TicketID:248569

ความคิดเห็นที่ 100 อ่านกระทู้นี้ทำให้เรายิ้มไปเองโดยไม่รู้ตัว จากคุณ : หม่อมแม่ไม่ว่าหรอก เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 16:35:21

ความคิดเห็นที่ 101 ดูไป 2 แอพพิโสด ก็สนุกดีครับ  แต่ผมว่าบางทีมันจะเวิร์คทุกครั้งเลยหหรอ จากคุณ : AVPT BOMB เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 19:54:00

ความคิดเห็นที่ 102 จะมีใครสามารถ เอาคลิปการเจรจาของทั้งสองฝ่ายมาวิเคราะห์ตามหลัก microexpression อยากรู้จังว่าใครพูดจริง ใครพูดโกหก ผมลองดูแล้ว ยอมรับเลยว่าตาไม่ดี (หรือพวกเขาจะเก็บอาการกันเก่งก็ไม่รู้) จากคุณ : ชินโนะสึเกะคุง เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 15:21:29

ความคิดเห็นที่ 103 สนุกมากเลยค่ะ ตามมาตั้งแต่กระทู้เก่า เราไปลองทำมาแล้ว ได้80% ค่ะ พอดีอยู่ญี่ปุ่นน่ะค่ะ ใครๆก็ยิ้มหมดเลย ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่เราก็พอจับได้นะว่าใครคิดยังไง ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆค่ะ จากคุณ : หม้อแกงเมืองเพชร เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 20:30:50

ความคิดเห็นที่ 104 ^ ^ โอ้โห เห็นผลแล้วด้วย ไม่แน่ว่าคุณหม้อแกงอาจเป็นคนที่มีพรสวรรค์ 0.5% นั้น จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 20:59:27

ความคิดเห็นที่ 105 อานเรื่องจริงที่คุณ จขกท เล่าเรื่องทหารหญิง สนุกว่าในหนัง Lie To me ด้วยซ้ำ ขอบคุณสำหรับกระทู้ครับ จากคุณ : รถเล็ก เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 07:14:23