ความคิดเห็นที่ 1 คำว่าเครื่องสำอาง “cosmetics” มาจากคำภาษากรีก “ kosmetikos” แปลว่า “skilled in adornment” หรือทักษะการตกแต่ง มีวิวัฒนาการของเทคโนโลยีเครื่องสำอางมานาน วิธีการแต่งและเหตุผลในการแต่งหน้าก็เปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป เครื่องสำอางนั้นเกี่ยวเนื่องกับทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความงามทางศิลปะ เพลาตุส นักปราชญ์ของโรมันกล่าวไว้ว่า“A women without paint is like food with out salt.”หญิงที่ไม่แต่งหน้าก็เหมือนอาหารจืดชืดไม่ใส่เกลือ http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_cosmetics http://www.exampleessays.com/viewpaper/44771.html เพลาตุส แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 01:00:11 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:09:03

ความคิดเห็นที่ 2 ฮ่าๆ หน้าตาไมเป็นงี้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:11:38

ความคิดเห็นที่ 3 Cosmetics in Ancient Egypt ประวัติศาสตร์ของเครื่องสำอางย้อนไปได้ถึงเมื่อ 6000ปีก่อน หลักฐานที่เกาแก่ที่สุดของเครื่องสำอางค์ถูกค้นพบพร้อมกับซากของเมืองโบราณนามว่า ‘เออร์ (Ur)’ ซึ่งเป็นเมืองโบราณในอารยธรรมเมโสโปเตเมียนับอายุถอยหลังลงไปถึงประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นนครที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มนุษย์ใน ปัจจุบันจะค้นพบหลักฐาน ซากของเมืองนี้แสดงให้เห็นถึงความศิวไลซ์ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย และที่สำคัญ มีการค้นพบตลับโลหะ ภายในบรรจุสารสีแดงเข้ม ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเป็นเครื่องสำอางค์ประเภทลิปสติกหรืออาย แชโดว์ http://www.hiclasssociety.com/hiclass/detail_page.php?sub_id=222 http://archaeology.about.com/od/mesopotamiaarchaeology/ss/royal_cemetery_at_ur_8.htm แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 01:00:32 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:13:37

ความคิดเห็นที่ 4 ชาวอียิปต์โบราณโดยเฉพาะสตรีชนชั้นสูงนิยมใช้เครื่องสำอางกันมาก ด้วยเหตุผลเรื่องความสวยความงาม ศาสนา และการรักษาโรค สีที่นิยมใช้ ได้แก่ สีขาว สีเขียว และสีดำ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สนใจเรื่องเครื่องสำอางที่ชาวอียิปต์โบราณใช้มาก โดยคิดจะใช้เทคนิควิทยาศาสตร์วิเคราะห์ส่วนประกอบของเครื่องสำอางเหล่านี้ เพื่อให้รู้ว่าคนอียิปต์สังเคราะห์เครื่องสำอางอย่างไร และด้วยอะไร เมื่อนึกถึงภาพราชินีเนเฟอตีติ Queen Nefertiti หรือคลีโอพัตรา Cleopatra  ภาพที่เห็นในใจก็คือดวงตาคมเข้มดึงดูดใจด้วยอายไลน์เนอร์ แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 01:01:30 แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 01:01:04 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:15:27

ความคิดเห็นที่ 5   กางมุ้งรอฟัง จากคุณ : tunnie555 เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:15:47

ความคิดเห็นที่ 6 Eye liner เครื่องสำอางใช้เขียนขอบตาเพื่อให้ดวงตาแลดูโดดเด่นหรือ “อายไลเนอร์ (eye liner)” นั้นปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่บรรดาสาวรักสวยรักงามเท่านั้นที่ใช้ แต่ทว่าได้แพร่กระจายไปสู่ชายหนุ่มอีกด้วย (นึกเหรอว่าชั้นดูไม่ออก)ว่ากันว่าเครื่องสำอางชนิดนี้เริ่มใช้ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ (Acient Egypt) และเมโสโปเตเมีย ( Mesopotamia) โดยจะทาบริเวณรอบดวงตาให้มีสีดำเข้มเพราะชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเทพเจ้าจะคุ้มครองผู้ที่ทาขอบตาสีดำไม่ให้เจ็บป่วยจะเห็นได้ว่ารูปภาพฟาโรห์และนักบวชจากอียิปต์สมัยโบราณ ล้วนแล้วแต่ทาขอบตาเป็นสีดำกันทั้งนั้น จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:20:19

ความคิดเห็นที่ 7 เย้ๆ มีคนปาดแล้ว ต่อมาฟีลีปป์ วาลแตร์ (Philippe Walter) นักเคมีแห่งพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในกรุงปารีส และคณะได้วิเคราะห์เครื่องสำอางที่ชาวอียิปต์โบราณใช้ โดยนำหุ่นรูปปั้นต่างๆ ที่ได้รับการตกแต่งใบหน้ามาวิเคราะห์เมคอัพที่ใช้ทาขอบตา จำนวนทั้งสิ้น 52 ตัวอย่าง พวกเขาพบว่ามันประกอบไปด้วยสารที่มีสีดำเข้มมันวาวคือ กาลีนา (galena, PbS) ซึ่งตามปรกติมีสีดำ เพราะประกอบด้วยตะกั่วซัลไฟต์ที่ขุดได้จากเหมืองใกล้ทะเลแดง และสารสีขาว 3 ชนิด ได้แก่   เซรัสไซต์ (cerussite, PbCO3)   ฟอสจีไนต์ (phosgenite, Pb2Cl2CO3)   และลอริโอไนต์ (laurionite, Pb(OH)Cl) แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 01:01:52 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:24:00

ความคิดเห็นที่ 8 กาลีนา (galena, PbS) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:25:56

ความคิดเห็นที่ 9 cerussite, PbCO3 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:26:48

ความคิดเห็นที่ 10 ฟอสจีไนต์ (phosgenite, Pb2Cl2CO3) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:29:20

ความคิดเห็นที่ 11 laurionite, Pb(OH)Cl จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:30:00

ความคิดเห็นที่ 12 โดยกาลีนาและเซรัสไซต์เป็นสินแร่ที่พบในธรรมชาติ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือ การพบฟอสจีไนต์ และลอริโอไนต์ซึ่งเป็นสารตะกั่วคลอไรด์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในอียิปต์รวมถึงบริเวณใกล้เคียง ตำราโบราณของชาวโรมันในยุคต้นคริสต์ศักราชบ่งชี้ว่าสารทั้ง 2 ชนิดนี้ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาอย่างตั้งใจเพื่อจุดประสงค์ในทางการแพทย์ เช่น ใช้ทาตาเพื่อป้องกันโรคตาอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่แม่น้ำไนล์เอ่อท่วม รักษาแผลเน่าเปื่อย ดูแลผิวพรรณจากรอยเหี่ยวย่นและจุดด่างดำ เป็นต้น วิธีการสังเคราะห์สารทั้ง 2 ชนิดนี้ ผิวเผินดูเหมือนว่าทำได้ง่าย แต่ทว่าในกระบวนการสังเคราะห์จริงนั้นค่อนข้างยุ่งยากมาก เพราะจะต้องควบคุมสภาวะการเกิดปฏิกิริยาในขั้นตอนการนำผงตะกั่วออกไซด์หรือลิทาร์จ (litharge, PbO) มาคนผสมรวมกับเกลือหิน (NaCl) หรือบางครั้งรวมกับเนทรอน (natron, Na2CO3 และ NaHCO3) ในน้ำอุ่นให้เหมาะสม (สมการที่ 1 และ 2) PbO+H2O+NaCl  -----------------> Pb(OH)Cl+NaOH  (1)               PbO+H2O+NaCl+1/2Na2CO3  -------------------> 1/2Pb2Cl2CO3+2NaOH                (2) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:31:04

ความคิดเห็นที่ 13 แม้ว่าการใช้สารประกอบของตะกั่วเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางจะได้รับการยอมรับจากชาวอียิปต์โบราณว่ามีสรรพคุณที่มหัศจรรย์นัก แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ต่างไม่มั่นใจว่าจะเป็นจริง เพราะพวกเขาต่างรู้จักพิษสงของตะกั่วดี อย่างไรก็ดี ผลงานวิจัยของฟีลีปป์ วาลแตร์ และคณะที่ตีพิมพ์ในวารสาร Analytical Chemistry ฉบับที่ 8 เล่มที่ 2 วันที่ 15 มกราคม 2010 นอกจากจะศึกษาองค์ประกอบทางเคมีดังที่กล่าวไปแล้ว พวกเขายังเติมสารประกอบของตะกั่วลงในเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ (keratinocyte) ที่เพาะเลี้ยงในห้องทดลอง โดยตั้งสมมุติฐานไว้ว่าตะกั่วจะกระตุ้นเซลล์ให้ผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ไนตริกออกไซด์ และสารประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองของภูมิคุ้มกันของร่างกาย และก็เป็นไปตามสมมุติฐานจริงๆ เพราะเซลล์ที่สัมผัสกับตะกั่วจะผลิตไนตริกออกไซด์ได้มากถึงร้อยละ 240 ซึ่งบทบาทของมันคือ การเร่งให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อโรค โดยส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เรียกว่ามาโครเฟจ (macrophage) ไปยังบริเวณที่ติดเชื้อและจัดการกับเชื้อโรคนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี เจนนิเฟอร์ วูฟ (Jennifer Weuve) นักระบาดวิทยาแห่งศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยรัช ( Rush University Medical Center) เตือนถึงกรณีที่เติมสารตะกั่วในอายไลเนอร์ว่า มนุษย์ในปัจจุบันมีอายุที่ยืนยาวกว่าชาวอียิปต์โบราณที่มักมีช่วงอายุเพียงแค่ 30 ปีเท่านั้น ดังนั้นหากชาวอียิปต์โบราณมีอายุที่ยาวนานกว่านี้ พวกเขาอาจได้รับอันตรายที่เกิดจากการสัมผัสสารตะกั่วเป็นเวลานานก็ได้ และผลของมันก็คือโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดต้อที่ดวงตาเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง http://www.scientificamerican.com/podcast/episode.cfm?id=cleopatras-eyeliner-peeper-health-k-10-01-22 http://www.mtec.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=1182&Itemid=176 http://board.palungjit.com/f2/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B0-36500.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:32:38

ความคิดเห็นที่ 14 เนเฟอร์ติติ (1370 - 1330 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นราชินีของฟาโรห์อาเมนโฮเทป ที่ 4 แห่งอียิปต์ และพระมารดาสะใภ้ของฟาโรห์ตุตันคามุน กล่าวกันว่าเนเฟอร์ติติอาจเคยขึ้นครองบัลลังก์อียิปต์เป็นช่วงเวลาสั้นๆหลังจากพระสวามีสิ้นพระชนม์ และก่อนที่ฟาโรห์ตุตันคามุนจะเถลิงศิริราชสมบัติ ชื่อของพระนางอาจแปลได้โดยสังเขปว่า โฉมงามผู้มาสู่ และยังพ้องกับคำเรียกเครื่องประดับชนิดหนึ่งที่เป็นลูกปัดทองคำรูปยาวรี ดังที่เราเห็นรูปปั้นของเธอสวมใส่อยู่เสมอ ลูกปัดชนิดนี้เรียกว่า ลูกปัด"เนเฟอร์" การมีพระสิริโฉมงดงาม เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ต้องกรีดอายลายเนอร์คมกริ๊บด้วย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:34:13

ความคิดเห็นที่ 15 รูปปั้นครึ่งตัวของเนเฟอร์ติติ จากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ แห่งกรุงเบอร์ลินรูปปั้นดังกล่าวเป็นรูปที่ถูกทำเลียนแบบซ้ำมากที่สุดในบรรดาศิลปวัตถุของไอยคุปต์ ทุกปีจะมีคนนับล้านหลั่งไหลไปชมประติมากรรมเอกของช่างปั้นชื่อ ทัตโมส (Thutmose) นี้ และทุกคนก็จะเห็นพระพักตร์ที่มีพระสรวลเล็กน้อย พระโอษฐ์ของพระนางดูเหมือนจะตรัสทักทาย พระขนงและขอบพระเนตรมีสีดำเทา รูปปั้นนี้มีพระเนตรข้างเดียว ส่วนอีกข้างหนึ่งนั้นว่างเปล่า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:36:31

ความคิดเห็นที่ 16 ในปี 1400 BC มีการฝังศพหญิงในราชสำนักของ Tuthmosis III พร้อมกับเครื่องสำอาง และมีเหยือกสองเหยื่อกที่บรรจุครีมที่ทำจากมะนาวและน้ำมัน เพื่อเป็น body scrub http://www.levity.com/alchemy/islam23.html แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 53 15:16:42 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:38:53

ความคิดเห็นที่ 17  EYE SHADOW หินมาลาไคต์ (malachite) Cu2CO3(OH)2 แร่สีเขียวสดซึ่งเป็นเกลือของทองแดง เป็นหินอัญมณี นำมาบดทำเป็นครีม ใช้เป็นอายแชโดว์ (ทาเปลือกตา)สีเขียว หรือทาขอบตาล่างก็ได้ มาลาไคต์ถูกนำเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำไนล์จากภูเขาในซีนาย หรือไม่ก็นำเข้าจากอาหรับหรือเอเชีย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:40:09

ความคิดเห็นที่ 18 หินลิปิสลาซูลี (lapis lazuli)เป็นหินมีค่าสีฟ้าที่หาได้ยากประกอบด้วยแร่ธาตุ  alumino-silicate mineral lazurite (Na,Ca)8(AlSiO4)6(S,SO4,Cl)1-2  ได้มาจาก Badakhshan ดินแดนในAfghanistan สีฟ้านั้นแสดงถึงพลังอำนาจแห่งชีวิต อย่างที่บรรยายถึงเทพฮอรัสว่า ลำตัวเป็นหินสีฟ้า  ผงสีฟ้าสดมาบดทำอายแชโดว์ หรือไว้ทาที่รูปปั้น หรือใช้เป็นเครื่องประดับลูกปัด http://en.wikipedia.org/wiki/Lapis_lazuli http://www.webexhibits.org/pigments/intro/blues2.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:41:04

ความคิดเห็นที่ 19 King Ramses III. (1170 B.C.)  ทาสีฟ้า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:42:51

ความคิดเห็นที่ 20 ปาด เขียด กบ อิอิอ จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:43:05

ความคิดเห็นที่ 21 กะทู้ดี มีคุณภาพ อีกแล้วครับท่าน ฮ่าๆๆๆ 6666 อุอุอุ จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:45:37

ความคิดเห็นที่ 22 ให้กิ๊ฟไว้ก่อน เดี๊ยวค่อยมาอ่านนะ ไปงีบ zZz zz จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:47:05

ความคิดเห็นที่ 23 หวัดดีจ้า pooktoon หินลิปิสลาซูลี นำมาทำเป็นเครื่องประดับด้วย คาดว่าคงประมาณนี้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:52:38

ความคิดเห็นที่ 24 อ้าว okaunkung หนีไปนอนแล้ว แต่ไม่ว่าจะใช้สีใดทาตา สาวอิยิปต์โบราณพบว่าสิ่งที่ทำให้ตาสดใสเป็นประกายมากที่สุดคือความรัก 'Like eyepaint is my desire. When I see you, it makes my eyes sparkle', says a girl in a love poem. จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:55:16

ความคิดเห็นที่ 25 60 BC พบบันทึกถึงลิปสติกของพระนางคลีโอพัตราที่ 12 แห่งราชวงศ์ปโตเลมี ซึ่งเราเทิดทูนกันว่าทรงเป็นราชินีที่งามเย้ายวนมากที่สุดพระองค์หนึ่งของโลก บันทึกนี้กล่าวว่าลิปสติกที่ทรงใช้อยู่เป็นประจำทำจากแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่งคือ carmine beetles ซึ่งคัดเฉพาะปีกสีแดงเข้มของมันมาบดให้ละเอียด ผสมกับไข่มดก่อนทาลงบนริมฝีปาก เพื่อความเงางามและสีสันติดทนนาน นอกจากนี้สาวอิยิปต์ยังนำสาหร่ายสีน้ำตาล มาผสมกับโบรไมด์และไอโอดีน fucus--algin, 0.01% iodine, and some bromine mannite มาทำลิปสติกสีม่วงแดงแต่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย จึงทำให้เกิดประโยคว่า kiss of death http://en.wikipedia.org/wiki/Lipstick http://cabicanary.com/?m=2009&w=43 แมงปีกแข็ง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:56:33

ความคิดเห็นที่ 26 มาสคาร่า (ที่ทาขนตา) ตั้งแต่ 3400 B.C. ชาวอิยิปต์ใช้กระดูกและงาช้างเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับทามาสคาร่าให้ขนตาดูหนาและดำ โดยใช้ผงดำKohlที่ไว้ทาขอบตาไปผสมกับมูลจระเข้ น้ำและน้ำผึ้ง เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายเหมือนกับการทาขอบตา http://cabicanary.com/?m=2009&w=43 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:57:39

ความคิดเห็นที่ 27 เฮนนาเป็นสารย้อมสีน้ำตาลอมแดงทำจากต้นเฮนนา Lawsonia inermis ซึ่งเป็นไม้พุ่มที่ขึ้นอยู่ในประเทศอียิปต์ ถึงแม้ใบจะเป็นสีเขียวแต่สีย้อมที่ได้จะเป็นสีต่างๆตั้งแต่สีส้มถึงสีน้ำตาลอิฐ หญิงชาวอียิปต์ยังใช้เฮนนาเป็นส่วนผสมสำหรับสีทาเล็บด้วย นอกจากนี้ผู้ชายชาวอียิปต์โบราณก็ใช้ผงเฮนนาย้อมผม และเครา พระนางคลีโอพัตราใช้สารจากต้นเฮนนาทาฝ่าพระหัตถ์เพื่อให้เป็นสีชมพูให้ดูเยาว์วัย มีการค้นพบว่ามัมมี่ฟาโรห์ที่ขุดเจอมีเฮนน่าทาทีเล็บด้วย http://www.everykid.com/worldnews2/hismakeup/index.html ต้นเฮนน่า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 22:58:41

ความคิดเห็นที่ 28 A lady wiping her face. Relief of unknown provenance; 11th Dynasty (British Museum, 1658) รูปผู้หญิงกำลังเช็ดเครื่องสำอาง http://www.levity.com/alchemy/islam23.html แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 01:03:25 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:01:11

ความคิดเห็นที่ 29 ความสะอาดและความงามของหน้าตานั้นถือเป็นสิ่งสำคัญมากในยุคนั้น นักบวชจะต้องอาบน้ำหลายรอบในแต่ละวัน และต้องโกนขนทั้งตัว เพื่อไม่ให้มีเห็บเหาซึ่งพบได้ในตัวมัมมี่ในเวลาต่อมา มีหลักฐานเล็กน้อยว่าชาวอิยิปต์โบราณใช้สบู่และผงขัดฟัน เรื่องกลิ่นตัวนั้นมีการใช้คารอบ carob ซึ่งเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งมาทาตัว หรือใช้กำยานขนาดเล็กเหน็บไว้ที่รักแร้ขาหนีบ carob จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:05:35

ความคิดเห็นที่ 30 ขยันเขียนจังเลยครับ อาทิตย์หน้าลงพื้นที่ หาดแม่รำพึง เพื่อรณรงค์ ความปลอดภัยหน้าหาดแล้วล่ะครับ ช่วงสงกรานต์พอดี  คนคงเยอะน่าดู  สู้ๆๆๆ ครับ ลานหินขาว ทางด้านขวาของรูป ด้านนี้เกิดเหตุบ่อย ทางด้านซ้าย น้อยครับ น้อยมาก ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากด้านนี้ครับ คาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่าด้านขวา อ้าวมิใช่กะทู้เรา ขออภัย อิอิ จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:05:53

ความคิดเห็นที่ 31 เหมือนกับทุกวัฒนธรรม ความงามของทรงผมนั้นสำคัญมากกับการดึงดูดเพศตรงข้าม ผู้หญิงและผู้ชายอิยิปต์จะใส่วิกผมปลอมที่ทำจากผมคนจริงในโอกาสเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญๆ แต่ก็พยายามดูแลรักษาสุขภาพผมให้ดีอยู่เสมอ มีการค้นพบกระปุกใส่ขี้ผึ้งที่ใช้จัดแต่งทรงผม สำหรับการปิดผมขาวนั้นใช้เลือดวัวหรือลูกแกะต้มในน้ำมันให้เป็นสีดำ หรือใช้เขาละมั่งที่มีสีดำมาใช้เป็นยาทาปิดผมหงอก ละมั่ง ; ช่วยผมด้วยครับ ผมกลายเป็นออด๊าซซะแล้ว จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:10:09

ความคิดเห็นที่ 32 มานั่งรออ่าน - ปาดด้วยข้อข้องใจของสุภาพบุรุษหลายๆท่าน ปุจฉา : เวลาผู้หญิงปัดมาสคาร่าที่ขนตา ใยหล่อนต้องอ้าปาก? วิสัจฉนา : มันลุ้นค่ะคุณ...Lol จากคุณ : เซร่า (CandyBee) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:10:53

ความคิดเห็นที่ 33 แหม Pooktoon เนียนเชียวนะ อิอิ เพื่อจะดับกลิ่นปาก ชาวอิยิปต์โบราณจะเคี้ยวสมุนไพร หรือกลั้วคอด้วยน้ำนม หรืออาจเคี้ยวกำยานที่มีกลิ่นหอม เครื่องใช้ในห้องน้ำของทุกบ้านจะมีมีดโกนเพื่อโกนขน มีการใช้ครีมทำจากกระดูกนกบด ผสมมูลแมลงวัน น้ำมัน น้ำมะเดื่อ ยางไม้ แตงกวา นำสารเหล่านี้มาทำให้ร้อนแล้วทาไปที่ขน พอเย็นแล้วดึงออกขนติดมาด้วย กำยาน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:14:26

ความคิดเห็นที่ 34 ต่อครับๆๆๆ จากคุณ : NotEnter เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:15:41

ความคิดเห็นที่ 35 แถมด้วยเรื่องร้าวฉานหน่อย เผยผลตรวจดีเอ็นเอ "ตุตันคาเมน" ไม่ใช่โอรสแห่งราชินีเนเฟอร์ติตี นักอียิปต์วิทยาเผยข้อมูลใหม่แห่งราชวงศ์ไอยุปต์ ผลดีเอ็นเอชี้ "ฟาโรห์ตุตันคาเมน" สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมาลาเรียตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และไม่ใช่พระโอรสของพระนางเนเฟอร์ติตีผู้โด่งดัง แต่เป็นพระขนิษฐาของฟาโรห์ผู้เป็นพระบิดา             มีข้อค้นพบใหม่ๆ เกี่ยวกับฟาโรห์ "ตุตันคาเมน" (Tutankhamun) มาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอ และการทำซีทีสแกนพระศพบ่งชี้ว่า ยุวกษัตริย์แห่งอียิปต์พระองค์นี้สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมาลาเรีย ไม่ใช่ถูกปลงพระชนม์อย่างที่เคยเชื่อกันมาก่อนหน้านี้             อีกทั้งยังพบว่า ตุตันคาเมนมีอาการเท้าแปข้างหนึ่งด้วย ซึ่งซาไฮ ฮาวาสส์ (Zahi Hawass) นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญด้านอียิปต์วิทยา แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา ณ พิพิธภัณฑ์อียิปต์ (Egyptian museum) ในกรุงไคโร             ฮาวาสส์เปิดเผยว่า พบร่องรอยการบาดเจ็บบริเวณด้านหลังของกะโหลกศีรษะของฟาโรห์หนุ่ม ซึ่งเป็นหลักฐานให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ แต่ที่จริงแล้วร่องรอยดังกล่าวเกิดขึ้นจากการแต่งพระศพ             "เราพบหลักฐานจากดีเอ็นเอที่พิสูจน์ว่า พระองค์ได้รับเชื้อโรคมาลาเรียอย่างรุนแรง พระองค์ประชวร พระวรกายไม่แข็งแรง และต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดิน เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 19 พรรษา และได้รับเชื้อมาลาเรีย พระองค์ทรงลื่นล้ม ซึ่งเราอาจไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแน่ บางทีอาจลื่นล้มในห้องน้ำก็เป็นได้" ฮาวาสส์เผย             "เมื่อพระองค์ทรงลื่นล้ม และพระวรกายที่อ่อนแอเนื่องจากโรคมาลาเรีย จึงเป็นเหตุให้พระองค์สิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควร" ฮาวาสส์ กล่าว ซึ่งนักอียิปต์วิทยาสันนิษฐานว่าฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์ในขณะมีพระชนมายุได้เพียง 19 พรรษา หลังจากปกครองอียิปต์ได้เพียง 10 ปี ตั้งแต่ช่วง 1333-1324 ปีก่อนคริสต์ศักราช และในเวลานั้นพระองค์อาจกำลังมีรัชทายาท เนื่องจากผลการพิสูจน์ศพของทารก 2 ศพ ที่พบในสุสานของพระองค์พบว่ามีเชื้อสายของฟาโรห์ตุตันคาเมน และน่าจะเกิดจากพระชายาอัคเซนปาอามุน (Ankhsenpaamon)             ทีมนักวิจัยยังได้นำผลการตรวจดีเอ็นเอของฟาโรห์ตุตันคาเมนและมัมมีอื่นๆ รวม 11 ศพ ที่พบในสุสาน มาร่างเป็นแผนภูมิลำดับเครือญาติ ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าพระบิดาของตุตันคาเมนคือฟาโรห์อาเคนาเตน (Akhenaten) ที่ปกครองอียิปต์ในช่วง 1351-1334 ปีก่อนคริสต์ศักราชอย่างแน่นอน             นอกจากนั้น มัมมี่ที่เคยพบในหลุมศพที่ 55 ของหุบผากษัตริย์ (Valley of Kings) ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นร่างของบุคคลใด แต่ล่าสุดทีมวิจัยสามารถระบุได้แล้วว่าร่างดังกล่าวคือพระศพของราชินีตียี (Queen Tiye)             ส่วนมัมมีอีกร่างหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ระบุไม่ได้เช่นกัน แต่รู้จักกันในนาม "หญิงสาวผู้อ่อนเยาว์" (Younger lady) ซึ่งถูกค้นพบในหุบผากษัตริย์เมื่อปี 1898 โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส บัดนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าคือร่างของพระมารดาที่แท้จริงของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งล้มล้างทฤษฎีเดิมที่ว่าตุตันคาเมนเป็นพระโอรสของพระนางเนเฟอร์ติตี (Queen Nefertiti) ทว่ายังไม่มีผู้ใดทราบพระนามของพระนาง             "พระนางเป็นพระธิดาในฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 (Amenhotep III) และราชินีตียี ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นพระนางเนเฟอร์ติตี" ฮาวาสส์ กล่าว ฉะนั้นพระมารดาของฟาโรห์ตุตันคาเมนก็คือพระขนิษฐาของฟาโรห์อเคนาเตน ซึ่งก็คือพระบิดาของตุตันคาเมนนั่นเอง ซึ่งการแต่งงานระหว่างพี่กับน้องไม่ใช่เรื่องผิดปกติของราชวงศ์แห่งไอยคุปต์             "ข้อมูลนี้ทำให้เราได้ข้อมูลด้านใหม่ของราชวงศ์แห่งไอยคุปต์ หลังจากที่ไม่สามารถมีพระโอรสกับพระนางเนเฟอร์ติตี มเหสีเอก และเจ้าหญิงกียา (Kiya) พระชายาอีกพระองค์ได้ ฟาโรห์อเคนาเตนก็ทรงได้พระขนิษฐาของพระองค์เป็นพระชายาอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งให้กำเนิดพระโอรสในเวลาต่อมา" มาร์ค กาบอร์ด(Marc Gabord) นักอียิปต์วิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้เชี่ยวชาญด้านฟาโรห์ตุตันคาเมน กล่าวในเอเอฟพี http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000023990 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:21:44

ความคิดเห็นที่ 36   โอ๊ว ๆๆ  ถูกใจมาก มาให้กำลังใจคนเขียน จากคุณ : Black-White&Gray เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:23:24

ความคิดเห็นที่ 37 พระพักตร์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน (เอเอฟพี) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:23:56

ความคิดเห็นที่ 38 พระศพของพระมารดาของฟาโรห์ตะตันคาเมน ซึ่งยังไม่มีใครทราบพระนามที่แท้จริงของพระองค์ แต่รู้จักกันดีในนาม "The Younger Lady" (เอเอฟพี) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:25:13

ความคิดเห็นที่ 39 จบแล้วอย่างห้วนๆ ตอนแรกว่าจะทำถึงยุคปัจจุบันแต่ว่าช่วงนี้มือเดี้ยงอยู่ ครับพ้ม ต่อเรื่องกรีกวันหลังละกัน อิอิ อยากรู้มั้ยว่า จขกท.ใช้เครื่องสำอางอะไร  ฮ่าๆ จะเอาตัวอะไรมาบี้ดี ขอบคุณที่ติดตาม แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 01:04:04 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:28:55

ความคิดเห็นที่ 40 ดูภาพหญิงสาวสวยๆอยู่ดีๆ   ไหงเอาศพมาให้ดูซะแล้ว...เห่อ  เห่อ.. หญิงไม่แต่งหน้าเหมือนอาหารไม่ใส่เกลือหรือคะ......แง  แง..... ไงก็ขอบคุณเจ้าของกระทู้ค่ะ   หาเรื่องดีๆมาให้อ่านค่ะ.... จากคุณ : usbankusa เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:36:06

ความคิดเห็นที่ 41 พอดีเปิดกะทู้บน Task bar ติดกันเลยสับสนน่ะครับ ขออภัย ถือโอกาสประชาสัมพันธ์ซะเลย  ฮ่าๆๆ เอ่อ แล้วเอาเขาละมั่งมาทายังงัย หัวไม่ถลอกรึนั่น ยิ่งถ้าเหม่งๆ ด้วยแล้ว จึ๋ยยยย  ไม่อยากจะนึกภาพ  สยองงงงง จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:41:33

ความคิดเห็นที่ 42 เห็นรูป Elizabeth taylor แล้วรู้สึกว่าใช่เลย ประกอบกับ eye liner เข้มๆแล้วสวยมาก ดูมีอำนาจแผ่ออกมาเลย ขอบคุณ คุุณกิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา นะคะ จากคุณ : rosella เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 23:55:21

ความคิดเห็นที่ 43 Egyptian cosmetics box http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_cosmetics จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:12:38

ความคิดเห็นที่ 44 เอ้า ต่อนิดนุง ในสมัยกรีกโบราณกว่า 2,000 ปีมาแล้ว  ถือว่าใบหน้าที่ขาวโพลนงามกว่าแก้มที่มีสีแดงหญิงชาวกรีกจึงทาหน้าให้ขาวโพลนด้วย "เซอรูส" (ceruse) คือผงตะกั่วขาวผสมขี้ผึ้ง ไขสัตว์ น้ำมัน และไข่ขาว แต่สารตะกั่วเป็นอันตรายต่อร่างกาย ถ้าซึมผ่านผิวหนังจะทำให้เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน มึนงงหายใจขัด แขนขาชา ปวดศีรษะ และบางครั้งถึงขั้นตาบอด และเสียชีวิต จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:17:13

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่ไหวแล้ว ง่วง นอนดีกว่า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:21:49

ความคิดเห็นที่ 46 #43 นั่น ใช่ห่านมั้ยครับคุณกิ๊ฟ จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:27:26

ความคิดเห็นที่ 47 .. จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:34:33

ความคิดเห็นที่ 48 บร๊ะเจ้าแล้ว!!! มีมูลจรเข้กับมูลแมลงวันด้วยนั่น  -_-" ปล. แต่งหน้าให้จ๋อยากจัง จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:35:15

ความคิดเห็นที่ 49 ^ ^ ชายในรูปนี่คุณลาบเหรอ แหมดัดผมซะด้วย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:36:44

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณค่ะ ขยันจริงๆเลย... ติงเรื่องเดียว เครื่องสำอางค์ ที่ถูกต้องเป็น "เครื่องสำอาง" นะคะ พูดถึงคลีโอพรัตรา ส่วนใหญ่เราจะนึกถึงหน้าคมๆเข้มๆแบบที่ Elizabeth Taylor แสดงไว้จนติดตา แต่รูปเหมือนจริงๆแบบ 3D ที่ผู้เชี่ยวชาญเขาวิเคราะห์มาเป็นแบบนี้ค่ะ http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1095043/Sorry-Liz-THIS-real-face-Cleopatra.html แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 14:09:21 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:45:53

ความคิดเห็นที่ 51 ^ เป็นคนถ่ายเองกับมือเชียวนะครับ ... แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 00:52:40 จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:48:35

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณคุณ หมูเหมียว ค่ะ ความรู้ภาษาไทยคืนครูไปหมดแล้ว แหะ แหะ เดี๋ยวแก้ใหม่จ้า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:58:50

ความคิดเห็นที่ 53 คุณกิ๊ฟนอนดึกเด๋วพรุ่งนี้เป็นหมีแพนด้านะ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 01:05:32

ความคิดเห็นที่ 54 ^ ^ ว้ายๆๆๆๆๆ น่ารักที่สุด ดีใจได้เป็นหลินกิ๊ฟ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 01:06:54

ความคิดเห็นที่ 55 ใหนบอกง่วง คุณกิ๊ฟ ตาสว่าง     #47 นี่มันเป็ด คอห่านชัดๆๆ นี่นา  ฮ่าๆๆ แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 01:42:24 จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 01:41:46

ความคิดเห็นที่ 56   เข้ามาสวยอย่างเดียวค่ะ ?? รูป เจ้าของความเห็นสะบัดบ๊อบ จากคุณ : กุ๊กไก่ไม่ขันมาหาฉันจะกระต๊าก เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 03:23:13 A:112.142.14.186 X: TicketID:191399

ความคิดเห็นที่ 57 มาให้กำลังใจในช่วงเช้าแทนนะจ๊ะ ว่าแต่#43 มันคือส้วมโบราณใช่ไหมจ๊ะ จากคุณ : เคลิ้มสมาคม เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 08:45:36

ความคิดเห็นที่ 58 แล้วแฟชั่นก็ย้อนยุค เดี๋ยวนี้หลาย ๆ คนก็เริ่มมาใช้ MMU (Mineral Make Up) กันเยอะขึ้น แต่เอาส่วนประกอบที่อันตรายออกไป ไม่มีตะกั่วเหมือนเครื่องสำอางสมัยก่อน เราก็ใช้ พอได้อ่านแล้วจินตนาการตัวเอง เป็นหญิง(ไม่)สาว ยุคโบราณเลยเวลาใช้อ่ะค่ะ ขอบคุณมากสำหรับเรื่องราวที่สนุกพร้อมสาระค่ะ จากคุณ : รัตติกัลยา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 09:34:25

ความคิดเห็นที่ 59   เวลาเห็นแฟนจะแต่งหน้าตอนเช้า  ผมบอกให้ปลุกด้วยนะ  ประจำ แต่งหน้าแต่ละที เกินครึ่งชั่วโมงประจำ แต่ก็นะเดี๊ยวไม่สวย จากคุณ : นกฮูกผจญภัย เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 09:56:23

ความคิดเห็นที่ 60   ขอเช่าพื้นที่หน่อยครับ ฮาๆๆๆๆ จากคุณ : อยู่ไปก็ไร้ความหมาย เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 10:50:58

ความคิดเห็นที่ 61 คุณหมูเหมียว คงเข้าใจผิดแล้วครับ  ถ้าเป็นราชินีองค์อื่น ๆ อาจจะเป็นแบบภาพที่ทางคุณเอามาให้ดู         แต่ถ้าเป็นคลีโอพัตรากับซีซ่าร์แล้วละก็ ต้องเป็นฝรั่งครับ เพราะว่าพระนางเป็นราชินีของราชวงศ์ปโตเลมี       ซึ่งเคยเป็นขุนศึกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช แยกตัวไปปกครองประเทศอียิปต์ครับ ไม่ใช่พวกพื้นเมือง   หนึ่งในเรื่องที่คนเขายกย่องคลีโอพัตรา เพราะสามารถพูดภาษาพื้นเมืองของอียิปต์ได้ครับ     เพราะฉะนั้นเขาเป็นฝรั่งนะถูกต้องแล้วครับ เพราะเป็นพวกโรมัน จากคุณ : ZOFFY เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 10:57:32

ความคิดเห็นที่ 62 เคยอึ้งกิมกี่ ตอนน้องบอกไปเอาของส่งไปให้ที่ต่างจังหวัดหน่อย ... อยู่บนห้อง ... เอา eyeliner เอา eye shadow เอามาสคาร่า ที่เขียนคิ้วเขียนตา ที่ปัดแก้ม ... เอานู่นเอานี่ไปให้หน่อย .... เดินขึ้นไปเอาในห้องมัน ... ชะงักไป 5 นาที ยืนนิ่งๆแล้วมองรอบๆตัว .... มันเป็นไงวะ ... หน้าตามันเป็นไงวะเนี่ยย เปิดไปดูในห้องน้ำ ...โอ้ว พระเจ้าเจ้าจอร์จ อะไรกันเนี่ย เต็มไปหมด บอกเอาไปให้หมดง่ายกว่ามั้ย! 5555 ใช้เวลาค้นอยู่ 10 นาที ... เจอ Eyeliner อย่างเดียว เพราะมันเขียนไว้ นอกนั้น ... เอาไปหมดเสียเลย 555 pooktoon อาทิตย์หน้าเจอกันครับ ... Pmm villa ที่พักประจำช่วงหน้าร้อนครอบครัวผม เหอะๆ จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 12:10:35

ความคิดเห็นที่ 63 หวัดดี mOOgrOb'pm' จะหนีไปเที่ยวกะ Pooktoon ซะแล้ว ต่ออีกหน่อยเรื่องน้ำหอม โลกของอิยิปต์โบราณก็มีชื่อเสียงในด้านศาสตร์การใชกลิ่นหอมและน้ำหอม เนื่องจากการใช้แอลกอฮอล์ในการกลั่นนั้นเพิ่งมีตอน 400 BC ก่อนหน้านั้นจึงสกัดน้ำหอมโดยใช้การแช่พืช ดอกไม้ หรือไม้หอมในน้ำมันเพื่อให้ได้เป็น essential oil แล้วใส่ไขมันอื่นๆไปเพิ่มเติม แล้วเอาวัตถุดิบนี้ไปใส่ในผืนผ้าได้แล้วบิดผ้าเอาน้ำหอมหยดออกมาทุกหยด หรือไม่ก็เอาวัตถุดิบไปต้มกับน้ำและน้ำมัน แล้วให้น้ำมันแยกชั้นออกมา แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 12:30:33 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 12:30:10

ความคิดเห็นที่ 64 น้ำมันที่ใช้มีหลายชนิด เช่น น้ำมันมะรุม (moringa) น้ำมันBalanos ที่ได้จากต้นไม้ Balanites aegyptiaca  น้ำมันละหุ่ง น้ำมันงา น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันอัลมอนด์ น้ำมันมะกอก ต้นมะรุม จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 12:32:04

ความคิดเห็นที่ 65 ต้นบาลาไน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 12:32:53

ความคิดเห็นที่ 66 ลิซ่าไปด้วยกันมั้ย ^_^ ไปรับ ^_^ จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 12:35:27

ความคิดเห็นที่ 67 อ้างอิงจาก Theophrastus นักปราชญ์ชาวกรีก ผู้ซึ่งศึกษาเรื่องน้ำหอม บอกว่าน้ำมันบาลานอสมีความหนืดน้อยสุดและเหมาะสมที่สุด รองลงมาคือน้ำมันมะกอกและอัลมอนด์ หนึ่งในน้ำหอมชื่อดังและดีที่สุดของอิยิปต์ทำในเมือง Mendes ซึ่งมีการส่งไปขายที่โรมด้วย มีส่วนประกอบเป็นน้ำมันบาลานอส ยางไม้หอมเมอร์ ยางไม้ resin ลำดับการใส่ส่วนประกอบลงไปในน้ำมันก็สำคัญ โดยส่วนประกอบสุดท้ายที่ใส่ไปต้องเป็นอันที่กลิ่นฉุนที่สุด ผู้สกัดน้ำหอมจะรู้ว่าเวลาไหนควรใส่ส่วนประกอบอะไร ในอุณหภูมิเท่าไร บางทีถ้าเก็บไว้นานในร้านก็ยิ่งหอมกว่าน้ำหอมทำเสร็จใหม่ๆ Theophrastus พูดว่า “ผู้หญิงต้องการน้ำหอมที่ติดทนนาน” แต่ถ้าน้ำหอมฉุนมากไปก็สามารถเอาไปเจือจางโดยใช้ไวน์ได้ Perfume balls sit atop the head http://www.levity.com/alchemy/islam24.html http://www.egyptmonth.com/mag08012000/mag4.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 12:35:35

ความคิดเห็นที่ 68 ม่ายไปหรอก mOOgrOb'pm' ไม่อยากเป็น กขค. ฮ่าๆๆ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 12:37:00

ความคิดเห็นที่ 69 ราชรถผุๆมาเกยแล้วนา ลิซ่า 555 ^_^ จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 12:50:45

ความคิดเห็นที่ 70 ได้ข่าวว่าไปราชดำเนินมาเหรอ เดี๋ยวไปแอบดูดีก่า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 13:26:00

ความคิดเห็นที่ 71 ตามอ่านอย่างสนุกสนาน จากคุณ : pongpei เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 13:30:21

ความคิดเห็นที่ 72 ไปแล้วจะ เหวง เอานา จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 14:03:51

ความคิดเห็นที่ 73 #61 ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนี้หรอกค่ะ ...แค่นำข้อมูลที่ได้จากเวปที่อ้างไว้มาลง แต่ก็มานึกจริงๆแล้วคลีโอพัตราก็เป็นชาวกรีก หน้าตาน่าจะเหมือนฝรั่งจริงๆเหมือนคุณ ZOFFY ว่า  ^ ^ จริงๆในข่าวบอกว่า"เหมือนลูกผสมหลายเชื้อชาติ" ค่ะ งั้นก็ขอแก้ไขข้อมูลตรงนี้ด้วย ขอบคุณมากค่ะ Realism: The result is a strikingly beautiful young woman of mixed ethnicity 'She probably wasn't just completely European. You've got to remember that her family had actually lived in Egypt for 300 years by the time she came to power.' "นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีถกเถียงกันเรื่องหน้าตาของคลีโอพัตรากันมานานแล้ว และมีมุมมองเรื่องหน้าตาของพระองค์หลายมุมมอง เช่น ผู้ที่ดูหนังที่เทย์เลอร์และลอว์เรนแสดงก็จะมองว่า คลีโอพัตราสวยงามและมีผิวขาวเหมือนชาวตะวันตก รูปปั้นพระองค์ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษเคยนำออกแสดงเมื่อพ.ศ. 2544 จะเห็นว่า พระองค์มีหน้าตาไม่โดดเด่น ตัวเล็ก สูงไม่เกิน 5 ฟุต รูปร่างท้วม บนเหรียญเงินโบราณพบว่า พระองค์หน้าผากสั้น มีคางยื่น ริมฝีปากบาง จมูกงุ้ม" รูปที่ลิซแสดง ปี 1961 แล้วนะเนี่ย เก่าจริงๆ แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 14:10:13 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 14:08:35

ความคิดเห็นที่ 74 คนสมัยก่อนชอบผู้หญิงเจ้าเนื้อหน่อยนี่คะ ท้วมมีสเน่ห์ก็ไม่แปลก อ่า... ได้ยินมาอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ (จากสารคดีเมื่อนานมาแล้ว) จากคุณ : pongpei เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 14:31:28

ความคิดเห็นที่ 75 ลืมโหวต ^_^ จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 14:42:55

ความคิดเห็นที่ 76 อย่างน้อย ภาพวาด เทียบกับใบหน้าพระศพแล้ว ก็ไม่ต่างกันมากนะ หน้าเรียว จมูกสวยดี 55+ นี่ถ้ายุคนั้น เหมือนภาพที่วาดไว้จริงๆ คงไม่ต่างจากนางแบบบนแคทวอร์ก คิดถึงMVนี้ขึ้นมาเลย แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 53 15:40:50 จากคุณ : มินเอง เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 15:40:02

ความคิดเห็นที่ 77 ^ ^ ว้ายๆๆๆ คุณมินเอง ขอบคุณมากที่ช่วยแปะ เป็นเพลงที่รักมากมายตั้งแต่เด็กๆเลย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 15:46:47

ความคิดเห็นที่ 78 แปะไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านชอบประวัติศาสตาร์ที่สุด จากคุณ : ThePetOnG เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 01:55:39

ความคิดเห็นที่ 79 เป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆค่ะ สงสัยเหมือนกันว่าชาวอียิปต์โบราณสังเคราะห์เครื่องสำอางค์ได้ยังไง จากคุณ : puy_naka63 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 02:14:37

ความคิดเห็นที่ 80 กระทู้มีคุณภาพอีกแล้ว ขอบคุณครับ^^ ขอแทรกนิดเดียวนะ เครื่องสำอางไม่ต้องมี "ค์" นะครับ จากคุณ : donutpla2 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 10:01:13

ความคิดเห็นที่ 81 รูปร่างสาวงามในอุดมคติแบบกรีก ท้วมแต่ยังมีทรวดทรงองค์เอว ไม่ถึงกับม๊าก จากคุณ : Pride เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 11:13:41

ความคิดเห็นที่ 82 แต่สำหรับชาวอียิปต์ สมัยก่อนยุคปโตเลมีและก่อนได้รับอิทธิพลกรีก-โรมัน ก็ยังนิยมสาวเอวบางร่างน้อยแบบสมัยนี้ จากคุณ : Pride เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 11:20:31

ความคิดเห็นที่ 83 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 11:22:14

ความคิดเห็นที่ 84 ฮือฮา รูปปั้นอียิปต์โบราณที่พิพิธภัณฑ์ชิคาโก http://gorightly.wordpress.com/2009/06/28/ancient-egyptian-michael-jackson/ จากคุณ : Pride เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 11:28:16

ความคิดเห็นที่ 85 ขอบคุณมากค่ะ อ่านเพลินเลย ใครห้ามลบหรือย้ายกระทู้อีกนะ โกรธจริง ๆ ด้วย จากคุณ : nowan เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 15:00:23

ความคิดเห็นที่ 86   ยอดเยี่ยมมากครับ..ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลย จากคุณ : RUN_01 เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 16:34:08 A:202.28.62.245 X: TicketID:170846

ความคิดเห็นที่ 87 รูปที่  84 เหมือน MJ มาก จากคุณ : Miracles in my life เขียนเมื่อ : 4 เม.ย. 53 17:08:40

ความคิดเห็นที่ 88 ขอบคุณเจ้าของกระทู้ค่ะ ชอบกระทุ้นี้มาก ๆ จากคุณ : wippygal25 เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 00:11:45

ความคิดเห็นที่ 89 อิอิ  งั่มๆๆๆ  อิ่มเอมกับความรู้ จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 04:08:01

ความคิดเห็นที่ 90 เจ้ามูลแมลงวันนี่มันหาได้จากไหนเหรอครับ แล้วต้องเอามากี่ตัวถึงจะเอามาทำเครื่องสำอางได้ตลับนึงหว่า จากคุณ : Yippie เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 53 09:58:47

ความคิดเห็นที่ 91 คิดเหมือนคห. 90 เป๊ะๆ จากคุณ : คนช่างคุย เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 53 00:24:19