ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อเอ่ยชื่อ เมือง นานกิง หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยและยังไม่รู้จัก เมืองนี้ เช่นเดียวกับ ตัวผมเอง แต่เมื่อผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ เรื่อง ผู้หญิง เหยื่อในสงคราม จึงทำให้รับรู้ และ รับทราบ ถึง เมืองนานกิง ได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่ลึกซึ้ง แต่ก็พอจะเข้าใจได้ จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:14:56

ความคิดเห็นที่ 2 ย้อนหลังไปเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ญี่ปุ่น ชาติที่ ต้องการสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่น (Empire of the Sun) ขึ้นโดยการรวบรวมชาติที่อยู่ใกล้เคียงตนให้ได้เสียก่อน เคราะห์ร้ายจึงตกกับ จีน แผ่นดินใหญ่ กับ เกาหลี จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:15:25

ความคิดเห็นที่ 3 ช่วงนั้นเป็นเวลาที่จีน แตกฝ่ายเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรี กับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ จึงทำให้ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่ามาก หากเทียบกับจีน สามารถเข้าตีและทำการยึดจีนได้ไม่ยากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะจีนต้องรับศึก 2 ด้าน คือ ต้องแย่งชิงอำนาจกันเอง แล้ว ยังต้องมารบกับญี่ปุ่นอีก (เหมือนบางประเทศที่กำลังจะเป็นแบบนี้) จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:15:37

ความคิดเห็นที่ 4 หลังจากญี่ปุ่นสามารถยึดจีนได้บางส่วน ก็พยายามจะรุกคืบไปยังเมืองต่าง ๆ ในจีน เพื่อการยึดให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และ เมือง นานกิง ก็เป็นเป้าหมายของกองกำลังแดน อาทิตย์อุทัย เหล่าทหารญี่ปุ่นใช้เวลาไม่นานนัก ก็สามารถบุกยึดเมืองนานกิง ได้เป็นผลสำเร็จ จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:16:15

ความคิดเห็นที่ 5 ในการสงครามทุกสมรภูมิ ต้องมีเชลยศึก เช่นเดียวกับที่นานกิง และด้วยความที่มีเชลยศึกในเมืองนานกิง มากกว่า จำนวนทหารญี่ปุ่น จึงทำให้การควบคุมดูแล เป็นไปได้ยาก ทางกองกำลังญี่ปุ่นจึงมีนโยบาย ให้กวาดล้างเชลยศึกและประชากรในเมืองนานกิง ให้ได้มากที่สุด เพื่อลดจำนวนในการที่ต้องดูแล ทั้งการให้อาหาร ที่พัก ฯลฯ จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:17:25

ความคิดเห็นที่ 6 ปฎิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จึงเริ่มขึ้น แต่ด้วยความที่เชลยนั้นมีมาก การที่ต้องกำจัดเชลยให้ได้ทีละมาก ๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ฝ่ายทหารญี่ปุ่นได้ใช้หลาย ๆ วิธีในการกำจัดเชลย ไม่ว่าจะเป็น การยิงทิ้ง ตัดคอ ผ่าท้องเชลย ตัดแขน ตัดขา เนื่องด้วยทหารญี่ปุ่นต้องการกำจัดเชลยให้ได้ถึงวันละ 2,000 คน!!! จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:17:51

ความคิดเห็นที่ 7 ทหารญี่ปุ่นไม่มีการแยกเชลยศึก ไม่ว่าจะเป็น ทหาร หรือ ประชาชน เพราะทุกคนต้องถูก ฆ่าเหมือนกันหมด บ้างใช้เชลยศึกเป็นที่ฝึกให้เหล่าทหารใหม่ ใช้ดาบปลายปืนแทง ใช้ซ้อมยิงเป้าใช้ดาบซามูไรตัดคอ ใช้น้ำมันราดจุดไฟเผา ใช้ปืนกลกราดยิง หรือ บังคับให้ยืนเรียงแถวหน้ากระดานหน้าหลุม จากนั้นตัดคอแถวแรกแล้วให้แถวที่สองผลักลงหลุม แล้วแถวที่สองก็มายืนหน้าหลุมแทน จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:18:31

ความคิดเห็นที่ 8 บางครั้งใช้วิธีฝังทั้งเป็น บางทีบังคับให้เดินลงไปในแม่น้ำแล้วโยนระเบิดมือใส่ ส่วนเหล่าบรรดาผู้หญิง พวกทหารญี่ปุ่นก็จะทำการข่มขืนก่อนแล้วจึงลงมือฆ่า และทหารก็ไม่ได้เลือก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา หรือแม้กระทั่ง นักบวช แม่ชี ทหารญี่ปุ่นก็ไม่เว้น จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:19:00

ความคิดเห็นที่ 9 การข่มขืนผู้หญิงในนานกิง เป็นไปอย่างอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อบาปใด ๆ เลย หญิงบางรายถูกทหารรุมข่มขืน มากกว่า 20-30 คน ก่อนจะถูกฆ่าทิ้ง การข่มขืนมีตลอดเวลา ตลอดวัน ไม่ว่าจะเป็น กลางวัน กลางคืน แม้กระทั่งบนท้องถนน ก็มีการข่มขืนหญิงจีน โดยไม่สนใจใคร จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:19:47

ความคิดเห็นที่ 10 อีกหนึ่งความเลวร้ายของทหารญี่ปุ่น ก็คือ ต้องการพัฒนาอาวุธเคมี เพื่อต้องการใช้ใน การสงคราม โดยจะใช้เหล่าบรรดาเชลยศึก เป็นหนูทดลอง การทดลองต่าง ๆ ของทหารญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วโลก ว่ามีความสามานย์ในระดับหาใครทำเช่นนี้ไม่ได้ หรือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของเยอรมันกลายเป็นเรื่องเด็ก ๆ ไปได้เลย โดยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้ จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:20:15

ความคิดเห็นที่ 11 -          นักโทษจะถูกตัดแขน ตัดขา แล้วปล่อยให้เลือดไหลจนหมดตัว เพื่อดูว่าร่างกายจะเป็นเป็นอย่างไร ทนได้แค่ไหน -          ตัดแยกชิ้นส่วนอวัยวะออกมา แล้วนำไปติดในส่วนอื่น ๆ เช่น สลับแขนซ้ายกับขวา สลับมือกับเท้า -          นำเชลยมาแช่แข็ง เพื่อศึกษาเรื่องเนื้อตายจากความเย็น -          ฉีดเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย แล้วเพาะเอาเชื้อเพื่อทดลองหาวัคซีนแก้ -          นำนักโทษมาให้สัตว์ดูดเลือด เช่น เห็บ หมัด จำนวนมากกัด เพื่อดูผลจะนำไปสร้างอาวุธเชื้อโรค -          จับเชลยมาห้อยหัวจนกว่าจะตาย -          ฉีดอากาศเข้าไปในเส้นเลือดจนกว่าจะตาย -          นำปัสสาวะม้าฉีดเข้าไปในตับนักโทษ -          ฉีดเลือดสัตว์เข้าไปในร่างกายเพื่อดูผล -          จับมาหมุนและเหวี่ยงจนกว่าจะตาย จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:21:06

ความคิดเห็นที่ 12 นี้เป็นเพียงบางส่วนที่ทหารญี่ปุ่น ได้กระทำลงไป ที่ผมนำเรื่องราวของนานกิง มาเผยแพร่ไม่ได้มีความต้องการที่จะประจานการกระทำของทหารญี่ปุ่น แต่ต้องการนำความจริงที่ มนุษย์เคยทำกับมนุษย์ด้วยกัน มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์                เพราะการนำความจริงอันโหดร้ายมาเปิดเผยย่อมมีคุณค่าแก่โลก มากเสียกว่าคำโกหกหลอกลวงอันหอมหวานอย่างแน่นอน สิ่งที่ผมต้องการเพียง สันติภาพ จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:21:56

ความคิดเห็นที่ 13 สันติภาพ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย แต่หาได้ยากในโลกปัจจุบัน *************************** คำพูดของคุณเจ้าของเครดิตเว็บอ้างอิงนะครับ สั้นๆแต่มันใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยจริงๆ อันนี้ขอพูดบ้างที่บ้าน อากง และ ป๊า เกลียดญี่ปุ่นมากๆ ป๊าเคยเอาธงญี่ปุ่นมาเหยียบต่อหน้าคนญี่ปุ่นที่ไม่รู้จักกัน แกเตรียมพร้อมจริงๆ หวิดจะมีเรื่องกันด้วยนะครับ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม อยู่มาจะ30ปีแล้วพึ่งรู้และเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร แต่โดยส่วนตัว ผมว่าเรื่องนี้ประชาชนของทั้งสองประเทศไม่มีใครผิดหรอกครับ ผิดก็เป็นแค่พวกบ้าอำนาจไม่กี่ตัว ประวัติศาสตร์โลกเราเข่นฆ่ากันเพราะคนไม่กี่คนมากี่ครั้งแล้ว ผมเชื่อว่า ผมตายไป รุ่นลูก ผมก็ยังเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อีก แต่ไม่รู้จะถึงรุ่นหลานหรือเปล่า ถึงตอนนั้น เราอาจจะไม่มีโลกเหลือให้อยู่แล้วก็ได้ แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 53 22:27:49 จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:23:13

ความคิดเห็นที่ 14   เป็นเรื่องจริงครับที่ว่า ชาวจีนส่วนมากเกลียดญี่ปุ่น ต้นเหตุมาจากเรื่องสังหารหมู่และทรมานเชลยที่นานกิง ครอบครัวผม และตัวผมเองเป็นคนจีนครับ  รุ่นอากง อาม่า ของผมเกลียดญี่ปุ่นมากครับ  แต่มาถึงรุ่นผม นี่ก็เฉยๆไปแล้วครับ จากคุณ : Cabriolet เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:58:49

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้า จขกท สนใจจริงๆ มันยังมีหนังสือ หลั่งเลือดที่นานกิง อีก เป็นหนังสือแปลของมัตติชน คราวคือว่า เป็นการบรรยายสภาพเมืองจากหลายๆมุม ชาวต่างชาติ เช่ีน จอห์น ราเบ้ เป็นหัวหน้าพรรคนาซีสาขา นานกิง ช่วยเหลือชาวจีนไว้เป็นหมืนๆ โดยให้เข้ามาหลบในเหตุปลอดภัย เค้ารอดจากการทำร้าย การทิ้งระเบิดมาได้เพราะตราสวัสดิกะ และธงนาซี ปล. จอห์น ราเบ้มีเป็นหนังด้วย หนังสืออีกเล่มก็เรื่อง Doctor from hell เป็นเรื่องของการสอบสวนอาชญากรสงคราม ที่นูเริมเบิก เกี่ยวกับคดีทางการแพทย์ พอๆกับของ ญี่ปุ่นเลย ตัดแขนอีกคนมาใส่อีกคน ทดลองยาต่างๆ จากคุณ : Napoleonic เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 22:59:52

ความคิดเห็นที่ 16   เคยดูจากสารคดี แล้วก็อ่านหนังสือ กับเรื่องนี้ ผมไม่รู้จะพูดอะไร ไม่มีอะไรจะพูด นอกจาก "นี่คือบทเรียน" และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก จากคุณ : ง่วงป่าว เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 23:02:09

ความคิดเห็นที่ 17 อ๋อ มิน่าล่ะ เขาถึงตั้งชื่อว่า Rape นานกิง เพราะข่มขืนเป็นกิจจะลักษณะเลย ขอบคุณที่เอามาเล่าให้ฟังจ้า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 23:06:16

ความคิดเห็นที่ 18 หนังสือ หลั่งเลือดที่นานกิง ที่บ้านก็มีค่ะ เคยอ่านนิดเดียว ตอนนั้นใจยังไม่แข็งพอ แต่สามีก็เล่าให้ฟังเยอะแล้วหละ ก็เลยยิ่งไม่อยากเปิดอ่าน จากคุณ : ใช้ล็อคอินสามี (อรรณพ) เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 23:20:45

ความคิดเห็นที่ 19 คนจีนมีมากกว่าทหารญี่ปุ่นมาก ทำไมถึงยอมแพ้ เคยมีคนวิเคราะห์ว่าเพราะคนจีนสมัยนั้นอ่อนแอมาก คิดว่ายอมแพ้ แล้วจะรอดชีวิต คนส่วนมากคิดว่ารู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางจึงไม่มีใครลุกขึ้นสู้ ทุกคนคิดว่าใครสู้ก่อนตายก่อน สุดท้ายเลยตายกันเกือบหมด จากคุณ : Megrim เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 23:26:50

ความคิดเห็นที่ 20 ถูกใจ ให้1กิ๊ฟ! ภาพประกอบถึงลูกถึงคนดีครับ จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 23:28:10

ความคิดเห็นที่ 21   แต่เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่ ชอบญี่ปุ่น แล้วก็ไปเกลียดเกาหลีแทนแล้วครับ จากคุณ : Torpad เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 23:34:52

ความคิดเห็นที่ 22 ช่วงนั้น จีน ได้ชื่อว่าขี้โรคแห่งเอเซียหรือเปล่าครับ ถ้าจำไม่ผิด ญี่ปุ่นเลยบุกได้ง่ายๆ ผมว่าคนใจไม่สู้ด้วยล่ะครับ จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 23:37:14

ความคิดเห็นที่ 23 กำลังสงสัยพอดีเลย จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : วันมหาสงกรานต์ 53 23:56:09

ความคิดเห็นที่ 24   ตอนนั้นทางการจีนปวกเปียกและโกงกินกันมโหราฬอยู่แล้วครับ ทหารเกรณ์มาไม่มีประสบการณ์ อ่อนแอ ป่วย และไม่ีมีความพร้อมใด ๆ มีขนาดใหญ่กว่าญี่ปุ่น ขนาด 100 ต่อ 1 เลยทีเดียว แต่กลับไม่ยอบรบและยอมแพ้ง่าย  ๆ (ใหญ่แต่ตัว) ทหารญี่ปุ่นเห็นว่าพวกนี้ไร้ค่า เลยเอาไปสังหารซะเยอะ แต่การทดลองอันไร้มนุษยธรรมของญี่ปุ่นนั้นกลับกลายเป็นรากฐานของการแพทย์สมัยใหม่ในปัจจุบัน  ในความมืดมีแสงสว่าง ในแสงสว่างนั้นมีความมืด จากคุณ : devil amature2 เขียนเมื่อ : วันเนา 53 00:11:56

ความคิดเห็นที่ 25 ทุกวันนี้ ถ้าจำไม่ผิด ผู้นำญี่ปุ่น จะต้องไปคาราวะ สุสานสงครามครั้งนี้ ที่จีน อยู่ตลอดทุกปี ล่าสุด นานมาแล้ว จุนอิชิโร่ โคอิสุมิ ก็เดินทางไป ไม่รู้ว่า หลังจาก จุนอิชิโร่ ยังมีเดินไปคาราวะ อยู่หรือเปล่า ใครมีก็อัพเดต ด้วยนะครับ จากคุณ : Hokkaido_H เขียนเมื่อ : วันเนา 53 00:15:51

ความคิดเห็นที่ 26 คห 25 ครับ รู้สึกว่ามันเป็นธรรมเนียมสำหรับ นายก ญี่ปุ่นไปแล้วนะครับ จีน เกาหลี ก็ ฮึ่มๆทุกปี แต่ก็เห็นไปทุกปี ไม่แยแสอะไร ก็ตรูจะไป จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : วันเนา 53 00:19:03

ความคิดเห็นที่ 27 1 ในความเลวร้ายไม่กี่อย่างที่ผมจำไม่ลืม 1.นานกิง 2.ทุ่งสังหาร 3.ฮิโรชิม่า-นางาซากิ 4.ล้างเผ่าพันธุ์ยิว 5.คอมฟอร์ทเกิล 6.เอธิโอเปีย จากคุณ : Wolf_eel เขียนเมื่อ : วันเนา 53 00:38:02

ความคิดเห็นที่ 28 ผมว่า คห 25 เข้าใจผิดนะ ที่ผู้นำญี่ปุ่นไปคารวะ นั่นคือ "สุสานยาสุคุนิ" (Yasukuni Shrine) ที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่สุสานทหารผ่านศึกของญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงทหารที่ตายในสงครามโลกครั้งที่สองด้วย ซึ่งการที่ผู้นำญี่ปุ่นไปเยี่ยมสุสานดังกล่าว ทำให้ผู้นำของจีน ไม่พอใจมาก ตาม คห.26 เพราะเท่ากับเป็นการตอกย้ำว่า ผู้เสียชีวิต เป็นวีรบุรษสงคราม ขณะที่จีนเองมองว่า ทหารที่ตายในสงครามครั้งนั้น คือ อาชญากรที่เข่นฆ่าชาวจีนจำนวนมาก จากคุณ : Bornny119 เขียนเมื่อ : วันเนา 53 00:40:32

ความคิดเห็นที่ 29 เนื่องจากคนจีนมีจำนวนมาก ญี่ปุ่นจึงต้องใช้ความโหดเหี้ยม และใช้อาวุธบุกโจมตีอย่างเฉียบพลัน เพื่อเป็นฝ่ายกุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นชาวจีนจะรวมตัวกันต่อต้านได้ (นึกภาพชาวนากับทหาร) มีเรื่องเล่าโหดๆเยอะมาก แต่เกรงว่าเดี๋ยวอมยิ้มหาย... ที่นึกออกตอนนี้ก็แข่งกันข่มขืนผู้หญิง ผ่าท้องคนท้องเล่นๆ (ข่มขืนด้วย และใช้อาวุธทำร้ายอย่างทารุณ) ทหารเล่นเกมฆ่าคนจีน ใครฆ่ามากได้แต้มมาก ส่วนตัวไม่คิดว่านาซีจะโหดน้อยกว่าค่ะ รายละเอียดปลีกย่อย(เรื่องทรมานมนุษย์) โหดไม่แพ้กันเลย มีเรื่องหนึ่งน่าสนใจ ชาวจีนกลุ่มหนึ่งรอดมาได้ เนื่องจากร่วมมือกันนำอิฐก่อกำแพงปิดหน้าบ้าน พอทหารญี่ปุ่นเดินผ่าน ก็เข้าใจว่าเป็นกำแพงจริงๆ เคยถามเพื่อนคนจีนว่าทำไมบางเมืองสินค้าเกาหลีเยอะ ไม่ค่อยเห็นสินค้าญี่ปุ่น เพื่อนบอกว่าคนจีนบางส่วนในย่านนั้น ไม่ค่อยชอบญี่ปุ่นเพราะเรื่องสงครามที่นานกิง จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : วันเนา 53 00:59:31

ความคิดเห็นที่ 30 อยากรู้ประวัติศาสตร์ครับ แล้วญี่ปุ่นยึดนานกิง จน ถูกนิวเคลียส์เลยหรือครับ หรือใครมาช่วยปลดปล่อยครับ สงสัยมานานแล้วว่าทำไมคนจีนไม่สู้  ขนาดญี่ปุ่น ยกพลขึ้นบกที่ไทย ขนาดแค่ตำรวจกับชาวบ้าน ยังสู้ กันตายไปหลายเลย  ถ้าชาวนานกิงจับ มีดจับปืนสู้ เหมือนชาวญี่ปุ่นที่โดนมะกันยกพลขึ้นบก ทหารญี่ปุ่นคง เสียกำลังพลไปไม่น้อยเลย แล้วก็คงยกทัพกลับไปเอง จากคุณ : Bigkub เขียนเมื่อ : วันเนา 53 01:41:44

ความคิดเห็นที่ 31   ใครบอกคุณว่าคนจีนไม่สู้ล่ะครับ ที่เซี่ยงไฮ้ ทหารจีนสู้จนละลายไปทั้งกองทัพ ส่วนที่นานกิง ทหารโดนล้อมเมืองครับ เพราะสู้ถ่วงเวลาจนกองทัพหลักต่างๆถอยไปตามลำน้ำแยงซีสำเร็จ เจียงไคเช๊คมีแผนรับมือเป็นขั้นตอนอยู่แล้วครับ ญี่ปุ่นเห็นคนจีนสู้ต่อต้านมากมาตลอดตั้งแต่เซี่ยงไฮ้ ประกอบกับนานกิงเป็นเมืองหลวงตอนนั้น ก็เลนฆ่าล้างเมืองโชว์ครับ เพื่อข่มขวัญ หัวเมืองที่เหลือไม่ให้สู้ คนมากกว่าไม่มีประโยชน์ ทหารมีแต่ ปืนเล็กยาว ปลย. ส่วนญี่ปุ่น มาทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิด ปืนเรือยิงจากแม่น้ำ แถมรถถังยานเกราะ ที่เห็นทหารจีนในช่วงหลังสามารถต่อสู้มีอาวุธที่ดีขึ้นใช้ เช่นเครื่องบินรบ เพราะตอนนั้นถอยไปถึงฉงชิ่งในเสฉวน แล้วอเมริกันกับอังกฤษ ขนอาวุธมาช่วยจากอินเดีย โดยบินข้ามเทือกเขาหิมาลัยมาน่ะครับ จากคุณ : x เขียนเมื่อ : วันเนา 53 01:57:26 A:210.246.64.59 X: TicketID:052378

ความคิดเห็นที่ 32 เดี๋ยวก่อน ทำไมมี 3 ไฟแดงแล้วยังอยู่ได้อีกเนี่ย จากคุณ : lizard8 เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 21:14:41

ความคิดเห็นที่ 33 นั่นซิ จากคุณ : ร้อนนักรักซะเลย (tkung13) เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 53 23:55:53

ความคิดเห็นที่ 34 ตอนโน้นจีนเองก็รบต้านทานญี่ปุ่นนะครับมิใช่ไม่รบ หุหุ 1. สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 เกิดขึ้นภายหลังจากกรณีสะพานหลูโก้วครับ (หรือที่นิยมเรียกกันว่าสะพานมาร์โคโปโลนั้ืนแลครับ) ภายหลังการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย รัฐบาลทหารญี่ปุ่นก็ประกาศสงครามกับจีนอย่างเป็นทางการครับในวันที่ 7 กรกฎาคม 1937 2. ตามหลักฐานทางฝ่ายจีนนั้น ฝ่ายญี่ปุ่นรอกรณีปะทะมานานแล้วครับและเตรียมพร้อมในการยกพลขึ้นบกโจมตีจีนทุกเมื่อ และจากการบุกของกองทัพญี่ปุ่นที่สามารถระดมพลนับล้านมาตั้งแนวรบยาวหลายพันกิโลเมตรตลอดแนวชายฝั่งของจีนได้ภายใน 1 เดือน ก็น่าจะเหนี่ยวโน้มให้เชื่อว่า ญี่ปุ่นเตรียมการรบมาตั้งแต่ต้นแล้ว รอแค่เสียงปืนแตกเท่านั้น 3. วันที่ 9 กรกฎาคม 1937 กองทัพญี่ปุ่นก็ยกพลจากเรอะเหอเข้าตีแนวรบทางเหนือของจีนครับ โดยเข้าตีเทียนจินและตามด้วยปักกิ่ง กองทัพของขุนศึกภาคเหนือไม่อาจจะต้านทานกองทัพญี่ปุ่นได้ วันที่ 28 กรกฎาคม เจียงไคเช็คก็สั่งให้ ซ่งจื่อหยวน ขุนศึกเป่ยหยางเก่าทิ้งปักกิ่งเสียและถอยไปจัดตั้งแนวต้านใหม่ที่ฉาร์ฮาร์แทน (ก่อนที่กองทัพกวานตงของญี่ปุ่นจะตามเข้าไปปราบพวกขุนศึกก๊กมินตั๋งในฉาฮาร์ครับ และจัดตั้งรัฐบาลหุ่นของสหพันธ์มองโกลขึ้นมาดูแลมองโกลเลียในชั่วคราวในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้นแล) 4. วันที่ 13 สิงหาคม 1937 กองทัพญี่ปุ่นก็ยกพลขึ้นบกที่เซี่ยงไฮ้ครับ ซึ่งทางก๊กมินตั๋งก็คาดว่าญี่ปุ่นจะต้องโจมตีใจกลางของจีนอย่างเซี่ยงไฮ้แน่นอน เจียงไคเช็คได้เตรียมกองทัพที่ดีที่สุดเอาไว้ต้านรับที่เซี่ยงไฮ้ ทำให้การยกพลขึ้นบกของญี่ปุ่นเป็นความเสียหายอย่างหนักครับ ทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างดุเดือดราวๆ 3 เดือน ประเมินกันว่าทหารญี่ปุ่นราวๆ 1 ใน 3 ที่บุกเซี่ยงไฮ้นั้นตายหรือพิการจากการปะทะครับ ส่วนกองทัพก๊กมินตั๋งก็เสียหายย่อยยับเช่นกัน  พอปลายเดือนตุลาคมทางเจียงไคเช็คก็เล็งเห็นว่าท่าจะยันไม่ไหว เลยเริ่มที่จะวางแผนล่าถอยไปจากนานกิงครับ ก่อนที่เซี่ยงไฮ้จะแตกในวันที่ 26 พฤศจิกายน 1937 5. เดือนตุลาคม ปี 1937 เจียงไคเช็คก็วางแผนจะล่าถอยไปจากนานกิงครับ รัฐบาลก๊กมินตั๋งจะย้ายแนวรับใหม่ไปไว้ที่หวู่ฮั่นแทน โดยได้ทำการย้ายเอาข้าราชการ หน่วยบัญชาการ กองทัพ และสิ่งจำเป็นไปไว้ที่นานกิงแล้ว ประชาชนส่วนมากในนานกิงก็ทำการอพยพตามกองทัพไปหวู่ฮั่นครับ ชาวเมืองที่เหลือในนานกิงจึงเป็นคนที่ไม่สามารถเดินทางได้เพราะเด็กเกินไป แก่เกินไป เจ็บป่วย หรือไม่มีที่ไปนั่นเอง อย่างไรก็ดีเจียงไคเช็คจำเป็นต้องซื้อเวลาเพื่อจัดตั้งแนวรับใหม่ครับ แผนการใช้นานกิงเป็นด่านหน้าสู้ศึกจึงเกิดขึ้น เจียงไคเช็คตั้ง ถังเสินจี้เป็นแม่ทัพใหญ่ป้องกันนานกิงและทิ้งทหารที่บาดเจ็บเอาไว้ให้ถังเสินจี้ราวๆ 7 หมื่นคน รวมทั้งสั่งให้หน่วยต้านทานที่กระจายกันรบกับทหารญี่ปุ่นทางตะวันออกล่าถอยมารวมกันจัดตั้งแนวต้านที่นานกิงให้หมดครับ ซึ่งกองทหารก็ได้พาเอาประชาชนในเมืองทางตะวันออกมายังนานกิงด้วย ทำให้ประชากรในเมืองเพิ่มขึ้นเนื่องจากคลื่นการอพยพนั่นเอง ทางด้านถังเสินจี้ที่มีทหารในมือราวๆ 7 หมื่นคน ส่วนมากเป็นทหารใหม่ที่อาสามา ทหารแตกทัพ และทหารบาดเจ็บก็จัดตั้งแนวรับขึ้นใหม่อย่างเร่งด่วนครับ แต่ทว่าหน่วยบังคับบัญชานั้นสับสนอลหม่าน (เนื่องจากเอาทหารสารพัดหน่วยที่แตกกระจายมาจัดตั้งเป็นหน่วยใหม่ บางหน่วยก็ขาดอาวุธ บางหน่วยไม่มีผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าหมวดจำสายบังคับบัญชาตนเองยังไม่ได้เพราะเปลี่ยนแปลงรายวัน) ต้นเดือนธันวาคมแนวรับของกองทัพก๊กมินตั๋งที่อยู่นอกเมืองก็เริ่มปะทะกับกองทัพญี่ปุ่นครับ แต่กองทัพญี่ปุ่นมีกำลังมากกว่าถึง 4 เท่าตัว (คือมีราวๆ 2.5 แสนคนพร้อมอาวุธหนักเต็มพิกัด) แนวรับนอกเมืองนานกิงก็ค่อยๆแตกกระจายไปทีละแนว จนในที่สุดถังเสินจี้ก็สั่งให้กองทหารทั้งหมดมาตั้งรับในเขตเมืองแทนครับ ปัญหาคือ พอกองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าใกล้ตัวเมืองในวันที่ 9 ธันวาคม และเริ่มโจมตีเมืองทางด้าน กวางหัวเหมิน ถังเสินจี้ก็ถอดใจและสั่งให้กองทัพในบังคับบัญชาล่าถอยไปสมทบกับกองทัพหลักที่หวู่ฮั่นครับ งานนี้มันเลยอลหม่านเพราะถังเสินจี้เล่นพาเอาหน่วยบังคับบัญชาหลบหนีไปหมด กองทหารที่กำลังรบอยู่เลยขาดผู้นำและสายบัญชาการ ส่วนใหญ่จึงต้องพยายามตีฝ่าออกไปทางตะวันตกให้ได้ และตกเป็นเชลยของกองทัพญี่ปุ่นเสียมาก.......นานกิงเลยแตกด้วยประการนี้แล (นานกิงแตกวันที่ 13 ธันวาคม 1937) จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 53 19:59:42

ความคิดเห็นที่ 35 - ส่วนความแตกแยกระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น จริงๆทั้งสองฝ่ายหยุดรบกันตั้งแต่เกิดกรณีซีอันในปี 1936 แล้วหน่ะครับ เพราะเจียงไคเช็คถูกลูกน้องอย่างจางเซี่ยเหลียงบังคับให้สงบศึกกับทางฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้ตั้งแต่ปลายปี 1936 จรดต้นปี 1942 ทั้งสองฝ่ายไม่ได้รบกันเองอีกเลย การแตกคอในการร่วมมือกันต่อต้านญี่ปุ่นของ ก๊กมินตั๋งและ พคจ นั้น เกิดขึ้นภายหลังศึกใหญ่ร้อยกรมในปี 1941 ครับ ในการศีกครั้งนั้นทำให้เจียงไคเช็ตไม่ไว้ใจพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกต่อไป ก่อนที่จะหลอกกองทัพลู่ที่ 4 ไปทำลายเสียในภาคใต้ของจีน ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดสินใจยุติความร่วมมือในการต่อต้านญี่ปุ่นครับ หลังจากนั้นก็ต่างฝ่ายต่างก็รบกับญี่ปุ่นเอาเอง ไม่แลกเปลี่ยนข้อมูลหรือมีปฏิบัติการทางทหารร่วมกันอีกเลย - สถานการณ์ทางการรบนั้นน่าจะเปลี่ยนไปในศึกที่เมืองฉางซาครับ เพราะญี่ปุ่นเข้าตีฉางซา 4 ครั้งแต่ประสบความล้มเหลวหมดและเสียทหารไปจำนวนมาก ทำให้การรุกคืบไปทางตะวันตกเพื่อพิชิตเมืองหลวงใหม่อย่างฉงชิ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และรัฐบาลหุ่นของวังจิงวุ่ยที่ญี่ปุ่นชูขึ้นมาในนานกิงก็ไม่ได้รับการยอมในจากนานาชาติ (รวมทั้งประชาชนในเขตปกครองของญี่ปุ่น) พอเข้ากลางปี 1940 ญี่ปุ่นก็ต้องส่งทหารเกือบ 2 ล้านคนไปติดหล่มในจีนครับ และต้องเกณฑ์ทหารส่งไปอีกเรื่อยๆ (เพราะทหารบกอาชีพชั้นยอดของญี่ปุ่นเกือบ 1 ล้านคนละลายไปกับสงครามช่วง 1-2 ปีแรกหมดแล้ว) อีกทั้งด้วยแรงบับคั้นจากภายนอก ทำให้ญี่ปุ่นต้องตัดสินใจไปเปิดแนวรบด้านอื่นๆเพิ่มเติมในช่วงปี 1941-43 และเริ่มเดินหน้าไปสู่ความพ่ายแพ้นั่นเอง จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 53 20:20:51

ความคิดเห็นที่ 36   ก่อนนั้นจีนเอง ก็บุกทิเบตแบบป่าเถื่อน พระทิเบตก็ถูกฆ่าไปตั้งมากมาย แล้วกรรมที่ทำกับพระสงฆ์องค์เจ้าเนี่ย เค้าว่าสะท้อนแรงนะคะ ฆ่าพระปุ๊บก็มาเจอ นานกิง อย่างงี้เค้าเรียกว่ากรรมทันตารึเปล่านะ จากคุณ : ลอยอังคาร เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 53 17:27:45 A:125.27.36.42 X: TicketID:245961

ความคิดเห็นที่ 37 ที่สำคัญคือข้อมูลการทดลองทางการแพทย์กับมนุษย์เหยื่อทดลองของญี่ปุ่น ใน Unit 731 บางส่วนถูกส่งต่อให้อเมริกา เพื่อใช้ศึกษาเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ด้วย เพราะหลายๆการทดลองในช่วงปรกติคงไม่มีใครวิปริตไปทดลองกับมนุษย์จริงๆได้ จากคุณ : วิคเตอร์ เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 53 15:54:22

ความคิดเห็นที่ 38 ที่สำคัญคือข้อมูลการทดลองทางการแพทย์กับมนุษย์เหยื่อทดลองของญี่ปุ่น ใน Unit 731 บางส่วนถูกส่งต่อให้อเมริกา เพื่อใช้ศึกษาเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ด้วย เพราะหลายๆการทดลองในช่วงปรกติคงไม่มีใครวิปริตไปทดลองกับมนุษย์จริงๆได้ จากคุณ : วิคเตอร์ เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 53 15:58:44

ความคิดเห็นที่ 39   ความคิดเห็นที่ 36 ควรศีกษาประวัติศาสตร์หน่อยนะครับ จากคุณ : โคนัน เขียนเมื่อ : 7 พ.ค. 53 16:08:59 A:10.20.20.169 X:10.3.10.30, 58.137.24.18 TicketID:165051