ความคิดเห็นที่ 1 การกอด คือการแสดงออกถึงความใกล้ชิดสนิทสนม ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องทางเพศ มักเป็นการโอบแขนรอบผู้อื่น หรือกลุ่มบุคคล A hug is a form of physical intimacy, not necessarily sexual, that usually involves closing or holding the arms around another person or group of persons http://en.wikipedia.org/wiki/Hug จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:18:43

ความคิดเห็นที่ 2 ลองมาศึกษาพฤติกรรมการกอดในสัตว์กันก่อน http://news.bbc.co.uk/2/hi/sci/tech/7603691.stm Hugging benefits fractious chimps งานวิจัยโดย Dr Orlaith Fraser ตีพิมพ์ใน the journal Proceedings of the National Academy of Sciences ทำการศึกษาลิงชิมแพนซีที่สวนสัตว์ Chester พบหลักฐานเป็นครั้งแรกที่แสดงถึงการปลอบโยนในสัตว์จำพวกลิง ( the first evidence that consolation in primates )เช่นการกอดและลูบตัวซึ่งสามารถลดความตึงเครียดหลังการทะเลาะวิวาทได้ The consoling arm of a good friend จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:21:22

ความคิดเห็นที่ 3 งานวิจัยนี้ทำโดยการสังเกตพฤติกรรมลิงชิมแพนซี 22 ตัว เป็นเวลา 18 เดือน บอกว่า หลังจากลิงชิมแพนซีในฝูงทะเลาะกัน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม เช่น แย่งตัวเมีย แย่งอาหาร แย่งที่นั่ง หลังการทะเลาะแล้ว ลิงคู่กรณีจะมีความเครียด พบว่า 50% จะมีลิงตัวอื่นที่เป็นเพื่อนของมัน มาช่วยปลอบโยน(consolation) แสดงความเห็นใจ (sympathy)โดยการกอด ที่รู้ได้ว่าเป็นเพื่อนของตัวนั้นเพราะจากการสังเกตตัวที่มาปลอบจะเป็นตัวที่เคยไปเที่ยวเล่นด้วยกันหรือแบ่งอาหารกันกินเสมอๆมาก่อน การปลอบใจนั้นมีทั้งจูบ กอด เสริมสวยให้ หรือเล่นด้วย จนทำให้อารมณ์เครียดหายเป็นระดับปกติ ซึ่งดูจากลิงชิมแพนซีตัวนั้นจะกลับมาทำกิจกรรมปกติ เช่น การเสริมสวยตัวเอง ( self-grooming) การแสดงความเห็นอกเห็นใจนี้ก็พบได้ในลิงกอริลล่า  ลิงโบโนโบ สุนัข หรือกระทั่งนกกา แต่การศึกษานี้เป็นครั้งแรกที่เห็นถึง calming effect ของการปลอบโยน การที่ลิงชิมแพนซีจะปลอบเพื่อนได้ จะต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์เสียก่อนว่าเพื่อนกำลังเครียด และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อลดความเครียดนั้น http://news.bbc.co.uk/2/hi/sci/tech/7603691.stm Feeling better after a kiss จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:22:22

ความคิดเห็นที่ 4 นอกจากลิงชิมแพนซีแล้ว ลิงแมงมุม spider monkeys (Ateles geoffroyi) ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นฝูงเล็กๆ หลังจากต้องแยกจากกันเพื่อไปหาอาหารกินแล้ว พอกลับมาลิงแมงมุมจะแสดงออกทางสังคมโดยการกอด ผู้วิจัยคือ Filippo Aureli ( a primatologist at Liverpool John Moores University in the U.K.) บอกว่า พวกมันจะมองตากันอย่างลึกซึ้ง และอ้าแขนยาวๆของมันมากอดกัน บางครั้งก็เอาหางยาวไปพันตัวเพื่อน การศึกษานี้ทำโดยศึกษาลิงแมงมุมสองฝูงที่ Mexico's Yucatan Peninsula ตีพิมพ์ใน Biology Letters โดยสังเกตการกลับมาหาฝูงทั้งหมด 195 ครั้ง นักวิจัยบอกว่าการกลับมาหาฝูงอีกครั้งมักเป็นเวลาที่ฝูงอาจต้องแย่งอาหารกันถ้าอาหารขาดแคลน ดังนั้นการกอดกันจะช่วยลดการทะเลาะวิวาทได้  เป็นการศึกษาที่สำคัญที่จะสะท้อนการทักทายแสดงความยินดี(greeting)ที่กลับมาเจอกันอีกครั้งของสังคมลิง http://news.sciencemag.org/sciencenow/2007/02/21-02.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:24:33

ความคิดเห็นที่ 5 ต่อไปจะแนะนำลิงที่เป็นแรงบันดาลใจของกระทู้นี้ เราจะเลือกอะไร ระหว่างกอด กับ อาหาร คำเตือน การทดลองนี้สะเทือนใจนะ!!!!!! จิตแพทย์Dr. Harry Harlow ได้ทำการทดลองชื่อดัง ในปี 1957 ถึง 1963 โดยการนำลิง rhesus monkey แรกเกิดมาใช้ศึกษา เพราะมีลักษณะพฤติกรรมคล้ายเด็กมนุษย์มาก แม้ว่าลิงนี้จะเติบโตและ mature เร็วกว่าเด็กทารกมนุษย์ แต่การเลี้ยงลูก การสัมผัสตัว การเกาะติดแม่ หรือการเรียนรู้ทางการมองเห็นและการฟังนั้นไม่ต่างจากมนุษย์ rhesus monkey กำลังเสริมสวยให้เพื่อน เมื่ออยู่ในธรรมชาติ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:26:16

ความคิดเห็นที่ 6 การทดลองนี้เพื่อดูการตอบสนองต่อความรักความอบอุ่นของลูกลิง เขาคิดการทดลองนี้มาได้เพราะสังเกตุเห็นว่า เมื่อนำลูกลิงแบเบาะที่ถูกแยกจากแม่มาขังในกรง และมีผ้าก๊อซที่เอาไว้เช็ดทำความสะอาดกรงอยู่ในกรง ลูกลิงจะไปกอดและเกาะติดกับผ้าก๊อซนั้น ถ้าแยกเอาผ้าก๊อซออกไป  ลูกลิงจะแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดเกรี้ยวกราด (temper tantrums)จนกว่าจะเอาผ้าก๊อซมาคืน แฮโรว์สงสัยว่า ผ้าก๊อซจะทำหน้าที่เป็นแม่เทียม Surrogate mom หรือไม่ http://www.paulstips.com/brainbox/pt/home.nsf/link/27062006-Scientific-proof-that-we-all-need-love แฮโรว กับลูกลิงที่จะทดลอง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:28:42

ความคิดเห็นที่ 7 เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้เขาออกแบบการทดลองโดยมีกลุ่มควบคุมเป็นแม่ลิงธรรมดา ส่วนกลุ่มทดลองมีสองกลุ่ม เขาทำแม่ลิงปลอมขึ้นมาสองอัน  โดยตัวหนึ่งเป็นโครงลวดโลหะ อีกตัวทำจากผ้าขนหนูภายในมีหลอดไฟให้ความอบอุ่น แม่ลิงปลอมสองตัวนี้มีใบหน้าและเต้านมปลอมที่สามารถให้นมได้ รูปแม่ลิงปลอมที่เป็นเหล็ก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:30:24

ความคิดเห็นที่ 8 ปรากฏว่าลูกลิงให้ความสนใจกับแม่ลิงเหล็กเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไปกอดแม่ลิงปลอมที่เป็นผ้าขนหนู และเกาะติดแจ ถ้าเอาแม่ลิงผ้าขนหนูออกลูกลิงจะกระวนกระวาย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:31:13

ความคิดเห็นที่ 10 ต่อไปลองให้แม่ลิงปลอมตัวที่เป็นโครงลวดมีนมให้กิน แต่ตัวที่เป็นผ้าขนหนูไม่มีนมให้กิน  ลุกลิงก็ไปเกาะติดกับแม่ลิงปลอมที่เป็นผ้าขนหนูอยู่ดี ผลการทดลองคือ ความอบอุ่นสบายใจ (comfort ) สำคัญต่อทารกกว่าปัจจัยอื่นเช่น อาหาร จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:35:52

ความคิดเห็นที่ 11 ถึงแม้ฮาโลว์จะลองแยกลูกลิงที่ติดแม่ผ้าขนหนูเป็นเวลานาน แต่ความสัมพันธ์นี้ก็ไม่ลบเลือนไป ทันทีที่คืนแม่ลิงผ้าขนหนูให้แก่ลูกลิง ลูกลิงจะไปกอดและเกาะติดแม่ปลอมทันที ลูกลิงที่เลี้ยงโดยเกาะติดกับแม่ลิงผ้าขนหนูเมื่อโตขึ้นจะมีภาวะจิตใจมั่นคงกว่ากลุ่มที่ได้แม่เป็นโครงเหล็ก รู้ได้จากเมื่อเอาลูกลิงทั้งสองกลุ่มไปทดลองในสถานการณ์ที่แปลกไปไม่คุ้นชินและอันตราย เช่นการเอาหุ่นยนต์ของเล่นที่มีเสียงดังมากน่ารำคาญไปใส่ไว้ในกรงของลูกลิงทั้งสองกลุ่ม พบว่ากลุ่มที่มีแม่เป็นผ้าขนหนูจะแสดงความกล้าหาญมากกว่า ไม่กลัวหุ่นยนต์ และมีอารมณ์เสียน้อยกว่า ถือได้ว่ามีความมั่นคงในจิตใจมาก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:37:30

ความคิดเห็นที่ 12 ลองเอาลูกลิงที่ถูกเลี้ยงตามลำพังโดยไม่มีแม่ปลอมเลยตั้งแต่ต้น พบว่า พอภายหลังเอาแม่ปลอมเข้าไปให้ ตอนแรกก็ไม่มีการตอบสนองทางอารมณ์กับแม่ปลอม แต่ว่าพอนานๆไปลูกลิงก็เริ่มจะมาติดแม่ปลอมได้ จากการสังเกตพบว่า สุขภาพกายและสุขภาพจิตของลูกลิงที่ถูกเลี้ยงทั้งจากแม่ลิงจริง และแม่ลิงปลอมนั้นคล้ายคลึงกัน และดีกว่ากลุ่มลูกลิงที่เลี้ยงโดยลำพังในกรงไม่มีแม่ให้เลยทั้งสองชนิด ถึงแม้ว่าลูกลิงทั้งหมดจะได้รับการดูแลทางกายภาพทั้งหมดคือได้อาหารเหมือนๆกัน ลูกลิงที่เลี้ยงตามลำพังจะท้องเสียมากกว่า พอถึงตอนนี้การทดลองของเขาเริ่มน่ากลัวขึ้นอีก เขาออกแบบให้แม่ลิงปลอมนี้เป็นแม่ชั่วร้าย เขาเรียกแม่นี้ว่า “Iron maiden” แม่ชั่วร้ายนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายครบ คือมีนมให้ดูด มีตัวหนานุ่มสบายอุ่นเป็นผ้าขนหนู แต่ว่าจะสามารถมีเหล็กแหลมออกมาทิ่มเนื้อลูกลิงได้โดยไม่รู้ล่วงหน้า หรือบางทีแม่ชั่วร้ายก็จะเอาลมเย็นจัดเป่าไปที่ลูกลิงจนกระเด็นไปติดผนังกรงอีกฝั่ง ถึงแม้แม่ชั่วร้ายนี้จะโหดเพียงใด ฮาโลว์ก็ค้นพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจว่า ไม่ว่าแม่จะทำร้ายลูกแค่ไหน ลูกลิงก็ยังจะกลับมากอดและเกาะติดแม่ปลอมผู้ชั่วร้ายอยู่เสมอ ยิ่งแม่ทำร้ายร่างกายลูกเท่าไร ลูกจะยิ่งต้องการความรักจากแม่เท่านั้น (more needy) ดังนั้นเป็นอุทาหรณ์ว่าแม่บางคนอยากให้ลูกแกร่งโดยการไม่ให้ความอบอุ่น ไม่แสดงความรัก กลับเป็นการทำร้ายลูกนั่นเองไม่ได้ทำให้แกร่งแต่อย่างใด ถึงแม้การทดลองของฮาโลจะดูมืดมนชั่วร้ายในสายตาของหลายคน แต่การทดลองนี้ก็ได้ชี้ให้เห็นถึงความจริงในชีวิตที่สำคัญคือ เราไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะให้เติมเต็มแต่ความต้องการทางกายเช่นกินอิ่ม นอนหลับเท่านั้น แต่ความรักนั้นกลับสำคัญยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า เป็นความต้องการหลักของชีวิต สามารถสรุปจากการทดลองนี้ได้ว่าความรักสำคัญกว่าความต้องการทางกายภาพเสียอีก การทดลองนี้โหดร้าย แต่ผลการทดลองก็มีคุณค่า ว่าชีวิตนี้มีความหมายอยู่ได้ด้วยรัก http://www.paulstips.com/brainbox/pt/home.nsf/link/27062006-Scientific-proof-that-we-all-need-love จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:39:04

ความคิดเห็นที่ 13 ช่วยลบทู้เก่าให้หน่อยจ้า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:39:46

ความคิดเห็นที่ 14 การกอดเพื่อสุขภาพ ช่วยให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกาย ทำงานได้ดีขึ้น    สุขภาพจะดีขึ้น  รักษาภาวะซึมเศร้า  ลดความตึงเครียด  ทำให้มีชีวิตชีวา   เป็นยาที่วิเศษ ไม่มีผลข้างเคียง  การกอดเป็นเรื่องธรรมชาติ และเรื่องชีวภาพ  เป็นความอ่อนโยน ความอ่อนหวานอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย   ทำให้เกิดความเข้าใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความผสมกลมกลืน การกอดเป็นวิธีปฏิบัติที่สมบูรณ์ มีพลังสูง พิสูจน์ได้ตลอดเวลา ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่เกิดมลภาวะ กอดวันละครั้ง ทำให้ห่างไกลจากการพบแพทย์   (A Hug  a Day  Keeps The Doctor Away)  การกอดเป็นวิธีการเริ่มต้นวันที่ดี   มีความจำเป็นในการสร้างภาวะสมดุลของอารมณ์   มีการทดลอง ที่แสดงผลว่าการกอดทำให้คนรู้สึกดีกับตนเอง  ทำให้พัฒนาทักษะในการสื่อสารในเด็ก  ช่วยปรับปรุงสุขภาพจิตของคนที่ถูกกอด http://74.125.153.132/search?q=cache:_nwoGYoGyMkJ:www.rajanukul.com/thai/training/Hug%2520%2520Therapy.doc+%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%94+%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C&cd=3&hl=th&ct=clnk&gl=th จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:40:35

ความคิดเห็นที่ 15 จากคุณ dipkid จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:44:20

ความคิดเห็นที่ 16 การกอดง่ายๆนี่แหละ ที่สามารถลดการเป็นโรคหัวใจได้ ช่วยลดความเครียด และช่วยให้อายุยืนยาว นักวิจัยแนะนำว่าถ้าคุณต้องขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ประชุมชนคนเยอะๆ ให้กอดกันก่อนขึ้นเวที จะลดความตื่นเวทีได้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:45:15

ความคิดเห็นที่ 17 .. จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:45:33

ความคิดเห็นที่ 18 ขยันจริง ซูฮก จากคุณ : บุรี เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:54:01

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ ฮ่าๆๆ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์พบว่า คุณภาพของการกอดนั้นก็สำคัญมาก ดังนั้นการกอดแบบดาราคนดังที่กอดโชว์ให้ช่างภาพถ่ายหน้างานอีเวนต์ต่างๆนั้นไม่นับเป็นการกอดจริงๆ การกอดต้องมีความอบอุ่นและมาจากความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 12:57:28

ความคิดเห็นที่ 20 เบื้องหลังความลับอันนี้ก็คือ ฮอร์โมนกอด "cuddle hormone" หรือชื่อจริงของมันคือ Oxytocin เป็นสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพหลายอย่าง ซึ่งจะมีระดับเพิ่มขึ้นสูงในเลือดอย่างมากหลังจากการกอดดีๆหรือสัมผัสอบอุ่นใจสักสิบนาที ผลการศึกษานี้อาจอธิบายได้ถึงว่าทำไมคนที่มีชีวิตแต่งงานส่วนใหญ่ถึงมีสุขภาพดีกว่าคนโสด การศึกษาบางอันบอกว่า การหย่าร้าง การสูญเสียคนที่รัก และการอยู่โดดเดี่ยวจากสังคมทำให้มีสุขภาพไม่ดี แต่สาเหตุที่ทำให้ชีวิตแต่งงานมีสุขภาพดีกว่า ด้วยกลไกอะไรนั้น ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ http://www.independent.co.uk/news/science/mum-was-right-you-will-feel-a-whole-lot-better-after-a-cuddle-501813.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:01:06

ความคิดเห็นที่ 21 Oxytocin ออกซีโตซิน : ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน "cuddle hormone” Oxytocin ออกซิโตซินจัดเป็นนิวโรเปปไตด์ (neuropeptide) หมายถึง สายเปปไทด์ที่สร้างในระบบประสาทซึ่งเกิดจากกรดอะมิโนต่างชนิดกัน 9 โมเลกุลมาต่อกันด้วยพันธะเปปไทด์ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:01:54

ความคิดเห็นที่ 22 อ๊อกซิโตซินถูกสังเคราะห์โดยเซลล์ของสมองส่วนไฮโปธาลามัส นอกจากออกฤทธิ์เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter)แล้วยังถูกส่งไปยังต่อมพิธูอิตารี(ต่อมใต้สมอง)ส่วนหลัง เพื่อหลั่งสู่กระแสเลือดจากต่อมพิธูอิตารีไปทำหน้าที่ในอวัยวะที่อยู่ห่างไกลซึ่งเราจัดว่าเป็นคุณสมบัติของฮอร์โมน (การหลั่งของฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหลังมีสองตัวคือ oxytocin และ vasopressinซึ่งทั้งสองตัวนี้มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกันมากต่างกันเพียงกรดอะมิโนตำแหน่งที่ 3 และ 8 เท่านั้น การหลั่งฮอร์โมนในส่วนนี้ไม่ถูกควบคุมโดยreleasing hormone เหมือนต่อมใต้สมองส่วนหน้า) ปกติเรามักจะรู้จักฮอร์โมนนี้ในหน้าที่ของการคลอดบุตร และการให้นมลูก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:04:24

ความคิดเห็นที่ 23 อันนี้ถ้างงก็ดูผ่านๆละกันนะ ปัจจุบันนี้มีการศึกษาวิจัยเรื่องประสาทวิทยาของฮอร์โมนมาเป็นเวลาช้านานถึงบทบาทในด้านความผูกพันทางสังคม (social attachments) และความรัก ทำหน้าที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดกระบวนการสืบพันธุ์ ทำให้รู้สึกว่ามีความปลอดภัย รวมทั้งยังช่วยลดความกังวลและความเครียด การทำงานของอ๊อกซิโตซินแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้ 1. ออกฤทธิ์เป็นฮอร์โมนภายนอกสมอง 1. อ๊อกซิโตซินออกฤทธิ์ที่ต่อมน้ำนม mammary glands เพื่อกระตุ้นให้เต้านมแม่หลั่งน้ำนมให้ลูก 2. การบีบรัดตัวของมดลูกในระหว่างการคลอดบุตร 3. เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศ โดยพบว่าช่วงระยะจุดสุดยอดของการมีเพศสัมพันธ์ (orgasm) มีปริมาณอ๊อกซิโตซินในเลือดสูงขึ้น และยังเชื่อว่ามีส่วนช่วยลำเลียงอสุจิในระหว่างการหลั่งน้ำเชื้อ (ejaculation) ของผู้ชายอีกด้วย 2. ออกฤทธิ์ภายในสมอง 1. อ๊อกซิโตซินที่หลั่งออกมาจากต่อมพิธูอิตารีและเข้าไปยังกระแสเลือดแล้วไม่สามารถที่เข้าสู่สมองได้อีกครั้งเนื่องจากมีโครงสร้างช่วยปิดกั้นไว้ที่เรียกว่า blood-brain barrier ดังนั้นอ๊อกซิโตซินที่มีผลต่อสมองจึงถูกสร้างและใช้ในสมองโดยไม่ได้หลั่งออกสู่เลือดทางต่อมพิธูอิตารี บริเวณสมองที่ไปออกฤทธิ์มีหลายแห่งซึ่งวัดจากปริมาณอ๊อกซิโตซินตัวรับอ๊อกซิโตซิน (Oxytocin receptors) ที่ตรวจจับได้บนเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทของสมองส่วน amygdala, ventromedial hypothalamus, septum และ brainstem รวมทั้งยังพบตัวรับอ๊อกซิโตซินของในไขสันหลังอีกด้วย 2. ความตื่นตัวทางเพศ พบว่าถ้าฉีดอ๊อกซิโตซินเขาไปในน้ำเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) ของหนูทำให้อวัยวะเพศตั้งตัวขึ้นได้เอง (spontaneous erection) 3. การจับคู่ ในสมองของผู้หญิงหลั่งอ๊อกซิโตซินเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีกิจกรรมทางเพศและทำให้เขาปักใจรักเดียวใจเดียวกับคู่ขาคนนั้น และยังพบว่าระดับของอ๊อกซิโตซินในเลือดสูงขึ้นในคนที่กำลังตกหลุมรัก 4. อ๊อกซิโตซินทำให้เกิดพฤติกรรมของแม่ที่มีต่อลูก มีการทดลองในหนูที่เป็นโสดเมื่อได้รับอ๊อกซิโตซินก็มีพฤติกรรมเสมือนว่าตนเป็นแม่ 5. ลดความเครียด อาจเนื่องจากลดระดับความดันโลหิตและฮอร์โมนคอร์ติซอล และมีผลลดความเจ็บปวดและคลายกังวล 6. เพิ่มความเชื่อมั่นและลดความหวาดกลัว ซึ่งเชื่อว่าอ๊อกซิโตซินไปออกฤทธิ์ที่สมองส่วน amygdala ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความหวาดกลัว http://en.wikipedia.org/wiki/Oxytocin http://knowledge.eduzones.com/knowledge-2-13-35405.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:05:12

ความคิดเห็นที่ 24 A Hug a Day : กอดกันวันละครั้ง ตัวอย่างของงานวิจัยที่บอกว่า การกอดทำให้สุขภาพดีชีวิตยืนยาว โดยงานวิจัยของ Karen Grewen, assistant professor และ Kathleen Light, professor แห่ง the Department of Psychiatry ของ the University of North Carolina บอกว่าการกอดทำให้ลดความเครียดได้ โดยดูจากระดับความดันโลหิต และ อัตราการเต้นของหัวใจที่ลดลงซึ่งเป็นอาการแสดงของความเครียด การกอดทำให้ลดความเสียงการเป็นโรคหัวใจและโรคอื่นๆ http://www.independent.co.uk/news/science/mum-was-right-you-will-feel-a-whole-lot-better-after-a-cuddle-501813.html http://www.med.unc.edu/psych/directories/faculty/grewen http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/4131508.stm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:06:07

ความคิดเห็นที่ 25 แบ่งคู่รักหรือคู่แต่งงานเป็นสองกลุ่ม แล้ววัดอัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิต และเจาะเลือดวัดระดับฮอร์โมนออกซีโตซิน และ cortisol ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดไว้เป็น Baseline  ให้กลุ่มแรกนั่งจับมือกัน สัมผัสกัน และพูดเกี่ยวกับความทรงจำดีๆที่ทั้งสองมีร่วมกันในความสัมพันธ์ แล้วให้ดูวีดีโอหนังรักโรแมนติกห้านาที หลังหนังจบให้ยืนขึ้นแล้วกอดกันเป็นเวลายี่สิบวินาที อีกกลุ่มหนึ่งให้แยกกันนั่งเงียบๆคนเดียวเป็นเวลาสิบนาที แล้วให้นั่งคิดว่าจะทำอะไรดีถ้ามีเวลาอยู่คนเดียวทั้งวัน หลังจากนั้นให้ยืนขึ้นคนเดียวเฉยๆอยู่ยี่สิบวินาทีไม่มีการกอด แล้วนำคนทั้งสองกลุ่มมาให้พูดถึงประสบการณ์ที่ทำให้ตัวเองโกรธในอดีตเป็นเวลา 3 นาที  แล้ววัดความดันเลือดและอัตราการเต้นของหัวใจ และเจาะเลือดวัดระดับออกซีโตซินและ cortisol พบว่ากลุ่มแรกจะมีตัวเลขที่ต่ำกว่ากลุ่มที่สอง นั่นคือกลุ่มที่กอดกันจะมีความเครียดน้อยกว่า และจากระดับฮอร์โมนนั้นกลุมที่กอดกันทั้งผู้หญิงผุ้ชายจะมีระดับออกซีโตซินสูงขึ้น และคู่ไหนที่มีความผูกพันกันมากกว่าคู่อื่นๆจะมีออกซีโตซินสูงกว่าคู่อื่นๆ แต่พบว่าระดับคอร์ติซอลนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากกอดในผู้เข้าร่วมการทดลองผู้หญิง "Greater partner support is linked to higher oxytocin levels for both men and women จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:07:33

ความคิดเห็นที่ 26 จากการทดลองนี้การกอดมีประโยชน์ช่วยลดความเครียดได้ทั้งในเพศหญิงและชาย และพบว่าคนกลุ่มแอฟริกัน อเมริกันจะมีอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตที่น้อยลงหลังการกอดมากกว่ากลุ่มของคนขาว อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งๆที่ปกติแล้วคนแอฟริกัน อเมริกันจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าและมีแนวโน้มจะเจอตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียดในชีวิตประจำวันมากกว่า หมอ Grewen บอกว่า “การกอดที่อบอุ่นหรือการพบปะทางสังคมอาจมีประโยชน์ในคนกลุ่มเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ” สรุปได้ว่านี่เป็นการค้นพบแรกที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างระดับออกซีโตซินกับความสัมพันธ์ของคน ดังนั้นจึงพูดได้ว่า  “ การกอด” นั้นอาจช่วยชีวิตคุณได้ http://www.independent.co.uk/news/science/mum-was-right-you-will-feel-a-whole-lot-better-after-a-cuddle-501813.html http://www.med.unc.edu/psych/directories/faculty/grewen http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/4131508.stm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:08:28

ความคิดเห็นที่ 27 กบ เขียด ปาด อย่างนี้ ใช้ได้รึเปล่าครับ จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:08:59

ความคิดเห็นที่ 28 ในการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งของกลุ่มนักวิจัยชุดเดิม จาก the University of North Carolina ทดลองโดยการนำคู่รักมาให้พูดปราศัยบนเวทีกับคนหมู่มาก กลุ่มหนึ่งจำนวน 100 คู่แรกให้เวลานั่งจับมือกันสักครู่แล้วให้กอดกันเป็นเวลา 20 วินาที ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งให้ให้นั่งเฉยๆแยกจากคู่ก่อนขึ้นเวที แล้ววัดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจของผู้เข้าร่วมทดลองทั้งสองกลุ่มระหว่างพูดบนเวที พบว่ากลุ่มที่โดนแยกคู่ไม่ได้กอดกันมีความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่ากลุ่มกอด ถึงสองเท่า แสดงว่าเครียดมากกว่า http://www.independent.co.uk/news/science/mum-was-right-you-will-feel-a-whole-lot-better-after-a-cuddle-501813.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:09:39

ความคิดเห็นที่ 29 มอบให้ pooktoon จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:12:10

ความคิดเห็นที่ 30 David Bresler Ph.D. ซึ่งเป็นผู้บริหารของ  UCLA   (University   Of   Callifornia   Losanglelis)  ทำงานในคลินิกที่รักษาอาการเจ็บปวด  ได้ศึกษาหาวิธีการที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บป่วย  จึงได้ทดลองนำผู้ป่วยหญิงที่มีความทุกข์ทรมานจากการ เจ็บปวด  มารักษาด้วยวิธีการกอด  โดยให้สามี กอดหญิงเหล่านั้น วันละ  4 ครั้ง  แม้ได้รับการบำบัดเพียง 1 ครั้ง ความเจ็บปวด มีอัตราลดลง   http://pinoysajeddah.21.forumer.com/a/hug-therapy_post1132.html http://nawaporn.wordpress.com/2010/01/22/hug-therapy-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%94/ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:13:24

ความคิดเห็นที่ 31 Dolores Krieger   R.N. Ph.D.  เป็นศาสตราจารย์ทางการพยาบาลที่ New York University และเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาการบำบัดด้วยการสัมผัส   กล่าวว่า บุคคลที่ได้รับการกอด หรือกอดผู้อื่น จะทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของ Hemoglobin  ทำให้การลำเลียงของ oxygen ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานได้อย่างทั่วถึง  ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกสดชื่น  มีชีวิตชีวา http://pinoysajeddah.21.forume/ http://nawaporn.wordpress.com/2010/01/22/hug-therapy-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%94/r.com/a/hug-therapy_post1132.html Dolores Krieger   R.N. Ph.D. จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:15:26

ความคิดเห็นที่ 32 เรื่องการสัมผัสได้รับความนิยมทางด้านตะวันตก  ในทศวรรษที่ผ่านมา  เมื่อบิดา มารดา ไม่มีเวลาที่จะกอดเด็กๆ  จึงนิยมใช้ตุ๊กตาหมีให้เด็กกอดแทน  การผลิตตุ๊กตาหมีจึงผลิตกันอย่างแพร่หลาย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:17:22

ความคิดเห็นที่ 33 Delhi  Sanjivini  เป็นศูนย์การรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านจิตใจที่รู้จักกันดีในประเทศอินเดีย  ได้ใช้วิธีการรักษาด้วยผู้ป่วยจิตเภทโดยการกอด   ซึ่ง Dr. Rajat Mitra  (หัวหน้าศูนย์)  ได้จัดหาอาสาสมัครที่จะมาบำบัดผู้ป่วยโดยการกอด  ซึ่งจะใช้ในผู้ป่วยเพศเดียวกัน   Dr. Rajat Mitra  กล่าวว่า ผู้ป่วยจิตเภทจะมีลักษณะของการถดถอย จึงใช้วิธีการรักษาที่เป็นธรรมชาติ เช่นถ้าเราพบเด็กอายุ 2 ปี ร้องไห้ เราก็นำเด็กมานั่งตัก เป็นการช่วยเหลือที่ง่ายๆ  ไม่ต้องอาศัยหลักปรัชญาที่ยุ่งยากใดๆ http://www.lifepositive.com/mind/personal-growth/hug/hug-therapy.asp http://nawaporn.wordpress.com/2010/01/22/hug-therapy-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%94 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:19:00

ความคิดเห็นที่ 34 Touch การสัมผัสนั้นเป็นเรื่องจำเป็น   มีการวิจัยที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ว่า  การถูกกระตุ้นโดยการสัมผัส  เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกาย  ความสำคัญนี้ สำคัญพอๆกับภาวะสมดุลของร่างกายและจิตใจ การใช้ การสัมผัสบำบัด เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบำบัด ใช้ในการอบรมในหน่วยงานทางการแพทย์ใหญ่ๆในต่างประเทศ หลายแห่ง  มีศูนย์ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการสัมผัสเช่น  สถาบันการวิจัยเรื่องการสัมผัสที่มหาวิทยาลัยไมอามี  (Touch Research  Institutes  at  The University of Miami School of Medicine) http://www6.miami.edu/touch-research/ สถาบันแห่งนี้ได้อุทิศตัวให้กับการศึกษาในเรื่องการสัมผัส มีงานวิจัยที่ยืนยันประโยชน์จากการสัมผัสหลายชิ้น การสัมผัสนี้มีประโยชน์ตั้งแต่ในวัยเด็กแรกเกิด ไปจนถึงวัยสูงอายุ เช่น 1.Facilitates weight gain in preterm infants ทำให้เด็กแรกเกิดเพิ่มน้ำหนักตัวได้ดี 2.Enhances attentiveness เพิ่มสมาธิ 3.Alleviates depressive symptoms ลดอาการซึมเศร้า 4.Reduces pain ลดความเจ็บปวด 5.Reduces stress hormones  ลดระดับฮอร์โมนแห่งความเครียด 6.Improves immune function เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย http://www6.miami.edu/touch-research/News.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:20:42

ความคิดเห็นที่ 35 Evidence That Little Touches Do Mean So Much หลักฐานที่บ่งบอกว่าการสัมผัสมีความหมายมาก การสัมผัสนั้นเป็นภาษากาย เป็นการแสดงออกที่ส่งผลต่อการตอบสนองทางพฤติกรรมได้อย่างชัดเจน จากการสังเกตถ้าทดลองให้ครูนั้นแตะที่หลังหรือแขนของนักเรียนเพื่อแสดงความเอาใจใส่สนับสนุน จะพบว่าเด็กนักเรียนที่ได้รับการสัมผัสนั้นจะเสนอตัวช่วยเหลือหรือเป็นอาสาสมัครมากกว่าเด็กคนอื่นสองเท่า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:22:11

ความคิดเห็นที่ 36 การได้รับการสัมผัสที่เปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจจากแพทย์ ทำให้คนไข้ใช้เวลาในการพบแพทย์คุยกับแพทย์นานขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มคนไข้ที่ไม่ได้รับการสัมผัส จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:23:35

ความคิดเห็นที่ 37 งานวิจัยจาก Touch Research Institute in Miamy ทดลองในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการซึมเศร้า ( Prenatally depressed women) 47 คน มีกลุ่มทดลองคือ คนท้องที่ได้รับการนวดโดยคู่รักตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 20 สัปดาห์ เทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้นวด   ผลการทดลองบอกว่าถ้าได้รับการนวดจากคนที่เรารักจะช่วยลดความเจ็บปวด ลดความซึมเศร้า และทำให้ความสัมพันธ์แข็งแกร่งแน่นแฟ้นมากขึ้น Massage therapy reduces pain in pregnant women, alleviates prenatal depression in both parents and improves their relationships. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19083666?itool=EntrezSystem2.PEntrez.Pubmed.Pubmed_ResultsPanel.Pubmed_RVDocSum&ordinalpos=12 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:24:42

ความคิดเห็นที่ 38 ขยันจริงๆๆ หมอคนนี้  นับถือ จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:27:49

ความคิดเห็นที่ 39 ... จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:29:29

ความคิดเห็นที่ 40 ในการทดลองโดย Matthew Hertenstein, a psychologist at DePauw University in Indiana ทดลองโดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองใช้ผ้าปิดตา แล้วไปคลำสัมผัสคนอื่นที่กำลังมีอารมณ์ต่าง ๆ คือ โกรธ กลัว รังเกียจ รัก ซาบซึ้ง สงสาร มีความสุข เศร้า แล้วให้ทายว่าคนที่เรากำลังคลำอยู่นี้มีอารมณ์ใด พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองสามารถทายอารมณ์เหล่านี้ได้ถูกต้องถึง 70% http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19653781?itool=EntrezSystem2.PEntrez.Pubmed.Pubmed_ResultsPanel.Pubmed_RVDocSum&ordinalpos=1 Dr. Hertenstein บอกว่า การสัมผัสนั้นเป็นระบบการสื่อสารที่ซับซ้อนมากกว่าที่เคยเข้าใจกัน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:29:54

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณมากๆๆ  ขอให้ได้รับกลับคืนร้อยเท่าครับ อิอิอ จากคุณ : pooktoon เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:30:21

ความคิดเห็นที่ 42   ตามมาแล้ว ขยันแท้ๆ จากคุณ : อูน่า เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:32:06

ความคิดเห็นที่ 43 (-_-") หวัดดีจ้า ส่วนการสื่อสารโดยการสัมผัสช่วยในประสิทธิภาพการทำงานหรือไม่ ดูได้จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน the journal Emotion โดย Mr. Kraus and his co-authors, Cassy Huang and Dr. Keltner ไปศึกษาที่การแข่งขันบาสเกตบอลอาชีพในแต่ละทีมที่แข่งที่เป็นสมาชิกของNational Basketball Association คอยสังเกตผู้เล่นในแต่ละทีม ว่ามีการสัมผัสกัน กระโดดชนอกกัน กอดกัน แปะมือกัน มากเท่าไร เทียบกับผลการแข่งขัน พบว่า ทีมที่มี performance ดีนั้นมีแนวโน้มที่จะสื่อสารแสดงออกต่อลูกทีมเดียวกันมากกว่าทีมที่เล่นไม่ดี ทีมที่สัมผัสกันมากที่สุดคือ Boston Celtics และทีม Los Angeles Lakers ซึ่งทั้งสองทีมนี้ต่างก็เป็นผู้นำในลีกนั้น เมื่อสังเกตผู้เล่นเป็นแต่ละคน พบว่าคนที่สัมผัสเพื่อนในทีมมากที่สุดคือ  Kevin Garnett ซึ่งเป็นดาราเด่นของทีมเซลติก ปรากฏว่าภายใน 600 milliseconds ของการยิงลูก เขาได้สัมผัสเพื่อนไปแล้วถึงสี่คน เพื่อที่จะกำจัดข้อแย้งว่าทีมที่สัมผัสกันมากก็เพราะว่าเขาชนะนะสิ ไม่ใช่ว่าสัมผัสเลยทำให้ชนะ คณะวิจัยนี้จึงออกแบบวิธีการคิดคะแนนไม่ใช่อิงแต่ว่าชูตได้กี่ลูกได้กี่คะแนน แต่ว่าคิดคะแนนจากความสามารถในการบริหารจัดการลูกบาส  ผู้เล่นที่สัมผัสเพื่อนบ่อยๆมักบริหารจัดการเล่นลูกบาสได้ดีกว่า ดังนั้นจึงส่งผลให้ทีมของเขาชนะด้วย แต่ผู้ทำการศึกษานี้บอกว่าการทดลองลักษณะนี้ควรทำในการทดลองระบบปิด ควบคุมปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่นๆด้วยจึงจะสามารถสรุปได้น่าเชื่อถือกว่านี้ การ์เนต จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:33:11

ความคิดเห็นที่ 44 ^^ จากคุณ : wrought เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:33:55

ความคิดเห็นที่ 45 เคยเลี้ยงแมวที่แม่มันตายตั้งแต่แบเบาะ จนตัวโตเบอเริ่ม แต่มีนิสัยนึงที่ไม่เปลี่ยนคือ ชอบนอนกอดผ้าแล้วดุดผ้าจ๊วบๆๆๆๆ ไม่มีภาพประกอบ แต่เอาอ้อมกอดสาวนักกีฬาละกานนน จากคุณ : มินเอง เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:34:22

ความคิดเห็นที่ 46 คุณอูน่า หวัดดี จ้า แปะมือกันหน่อยเร๊ว ในการทำงานในออฟฟิส เพื่อนร่วมงานควรมีการสัมผัสกันบ้าง แปะมือกันบ้าง (high five)เพื่อให้หลั่งออกซิโตซิน ส่งผลให้ลดความเครียดจากการทำงาน และทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ส่วนสมองส่วน prefrontal areas ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์จะได้ผ่อนคลาย สมองเรามักจะแปรการสัมผัสจากเพื่อนร่วมงานว่า “ฉันจะช่วยแบ่งเบาภาระเธอเอง” จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:35:31

ความคิดเห็นที่ 47 คุณ wrought กับ มินเอง ตามมากอดกันแล้ว ในการศึกษาของความสัมพันธ์ของคู่สมรสกับการสัมผัส ทดลองโดย Christopher Oveis of Harvard ให้คูรัก 69 คู่มานั่งคู่กันแล้วสัมภาษณ์พวกเขาเป็นเวลาห้านาที โดยให้พูดถึงช่วงเวลาที่ยากเย็นในชีวิตคู่ แล้วแอบสังเกตว่าคู่แต่งงานนั้นสัมผัสกันมากแค่ไหนระหว่างพูด พบว่าคนที่มีความสุขในชีวิตแต่งงานจะสัมผัสกันมากกว่าคู่ที่ความสัมพันธ์ไม่ดี แต่การศึกษานี้เป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น เพราะยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล http://www.nytimes.com/2010/02/23/health/23mind.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:37:19

ความคิดเห็นที่ 48 Massage Helps the Bereaved การนวดสัปดาห์ละหนึ่งครั้งไปแปดสัปดาห์ในคนที่สูญเสียคนที่รักไปช่วยปลอบประโลมให้คนนั้นสามารถกลับคืนสภาพจิตใจได้ดีขึ้น เรื่องนี้ลงในเวบ The Medical News รายงานว่า มีคน 18 คนที่ผ่านการสูญเสียคนที่รักไปด้วยโรคมะเร็ง ได้รับการนวด 17 คนบอกว่ารู้สึกได้ประโยชน์จากการนวด Kerstin Uvnas Moberg, a Swedish scientist เป็นผู้บุกเบิกในวงการออกซีโตซิน เป็นคนแรกที่พบว่าฮอร์โมนนี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่ในการคลอดลูกเท่านั้น Dr Berit S. Cronfalk  จาก the Stockholms Sjukhem Foundation บอกว่าการนวดจะไปกระตุ้นตัวรับประสาท (touch receptor) ทำให้เกิดการหลั่งของออกซีโตซิน ทำให้เกิดอารมณ์ดีและผ่อนคลาย http://www.hugthemonkey.com/everyday_oxytocin/ http://www.news-medical.net/news/20100324/Massages-help-bereaved-relatives-move-forward-with-their-lives.aspx จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:41:47

ความคิดเห็นที่ 49 Kathleen  Keating   เป็นพยาบาลและเป็นผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญในประโยชน์ของการกอด ได้แต่งหนังสือ   การบำบัดด้วยการกอด (Hug  Therapy)   ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญ และเห็นถึงพลังของการกอด   http://www.bykathleenkeating.com/ รูป Kathleen และสามี ผลงานหนังสือ Hug therapy ของเธอเป็นที่นิยม แปลไปหลายภาษาทั่วโลก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:44:12

ความคิดเห็นที่ 50 จากหนังสือของ Kathleen  Keating   "Hug therapy" ก่อนอื่นเราต้องรู้จักชนิดการกอดก่อน เพื่อที่ว่าคนโดนกอดจะได้ตอบสนองให้ถูกต้อง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:45:17

ความคิดเห็นที่ 51 ถามก่อน:  ต่อจากนั้นเราต้องมั่นใจว่าเราได้รับอนุญาตให้กอดเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก คนรู้จัก ต้องเคารพความเป็นส่วนตัว และต้องเข้าใจว่าบางคนก็ต้องการระยะห่างเหมือนกัน ไม่ใช่ไปกอดเขาทุกคน เราก็แปลได้จากภาษาร่างกายของเขา หรือบางทีก็ถามไปเลยว่า “ขอเรากอดได้มั้ย” จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:46:22

ความคิดเห็นที่ 52 ต้องขออนุญาตก่อนด้วย ถ้าคุณนั่นแหละที่ต้องการกอด โดยการถามว่า “กอดเราหน่อยได้มั้ยจ๊ะ” หลังจากได้รับกอดควรกล่าวขอบคุณ “รู้สึกดีจังเลยจ้า” จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:49:36

ความคิดเห็นที่ 53   กระทู้น่ารักมากค่ะ การกอดเหมือนเป็นการถ่ายทอดกำลังใจ ความรู้สึกดีๆ บางทีเวลาที่เราเสียใจ คำพูดปลอบใจมากมาย ไม่เท่ากอดแบบอบอุ่นครั้งเดียว จากคุณ : เซเฮราซาซ เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:54:31

ความคิดเห็นที่ 54   เทพมังกรอวยชัย จากคุณ : มีล็อกอินแล้วฮะ เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:54:31

ความคิดเห็นที่ 55 เพื่อความสัมพันธ์ที่ดี คุณควรบอกให้แน่ชัดไปเลยว่าต้องการกอดแบบไหน เช่น กอดฉันให้นานๆได้ไหม จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:55:37

ความคิดเห็นที่ 56 ถึงแม้นักกอดบำบัด (hug therapist)เชื่อว่าการกอดนั้นดีสำหรับทุกคน แต่บางคนอาจโต้แย้งว่าการกอดไม่มีคุณค่าอื่นนอกจากการสนองทางกายทางเพศเท่านั้น แต่ที่จริงแล้ว การกอดแบบอบอุ่นนั้นมีคุณค่ากว่านั้นมาก ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ลูกของคุณเข้าใจว่าการกอดนั้นเฉพาะคู่รักเท่านั้น ถ้าชั้นอยากโดนกอดจะต้องรีบหาแฟน ก็ทำได้โดยกอดให้เห็นบ่อยๆ และกอดเด็กบ่อยๆ แสดงให้เห็นว่าการกอดนั้นสำหรับทุกคน บางคนก็รู้สึกยากที่จะรับการกอด จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:56:42

ความคิดเห็นที่ 57 ต้องใช้เทพมังกรมาอวยชัยกันเลยทีเดียว ถ้าล่มอีกสงสัยต้องเลิกกิจการ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:57:40

ความคิดเห็นที่ 58 ชนิดของการกอดจาก Hug therapy กอดแบบหมี (Bear Hug) ที่ผู้กอดทั้งคู่มักสูงและตัวโตไม่เท่ากัน ผู้ที่สูงกว่ามักต้องยืนให้มั่นคง หรือโน้มตัวเพียงนิดหน่อย เพื่อให้เข้าถึงผู้ที่ตัวเตี้ยกว่าได้ง่ายขึ้น สองแขนโอบกอดบริเวณไหล่ผู้ที่ตัวเตี้ยกว่า ส่วนผู้ที่เตี้ยกว่าก็ต้องยืนให้มั่นคงเช่นกัน โดยหัวแนบไหล่หรืออกผู้ที่สูงกว่า สองแขนก็โอบกางกอดผู้ที่สูงกว่าบริเวณระหว่างอกและเอว การที่ร่างกายสัมผัสกันนั้น ช่วยให้ถ่ายทอดพลังสู่กันและกันได้มาก ใช้เวลากอดครั้งละ 5-10 วินาที   เคล็ดลับ เป็นการกอดแบบจารีต ที่มีให้เราเห็นเกลื่อนกล่น การกอดแบบนี้ควรกอดด้วยความมั่นคง เพื่อให้กำลังใจ ความอบอุ่น ความปลอดภัย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:58:17

ความคิดเห็นที่ 59 กอดแบบหน้าแนบหน้า (A Frame Hug) ผู้กอดทั้งสองต้องเอื้อมแขนไปโอบไหล่ทางด้านข้างของกันและกัน เอาหน้าแนบหน้ากัน หัวพิงหัว กายพิงกาย ใช้การกอดแบบนี้แทนคำพูด “สวัสดี” หรือ “ลาก่อน”   เคล็ดลับ เป็นการกอดแบบสุภาพและเป็นทางการ แสดงถึงการต้อนรับหรือความชื่นชม ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้ากอดลูกน้อง อาจารย์กอดลูกศิษย์ รวมทั้งคนที่เพิ่งรู้จักหรือเคยเห็นหน้า เช่น แฟนของลูกน้องสามี ลูกสะไภ้คนใหม่ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:58:54

ความคิดเห็นที่ 60 กอดด้วยแก้ม (Cheek Hug) สามารถกอดได้ทั้งในท่าที่ทั้งคู่ต่างยืนหรือนั่ง หรือฝ่ายหนึ่งนั่ง ฝ่ายหนึ่งยืนก็ได้ เพราะไม่จำเป็นที่กายของทั้งคู่จะต้องสัมผัสกัน ถ้าทั้งคู่อยู่ในท่านั่ง ก็แค่เอนตัวเข้าหากัน โดยให้ด้านข้างของใบหน้าแนบชิดกัน แบบแก้มแนบแก้ม มืออาจโอบไหล่กันและกัน เพื่อให้หน้าแนบกันได้สนิทนุ่มนวลมากขึ้น หายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ และใช้เวลากอดสักสองสามนาที   เคล็ดลับ ต้องทำด้วยความนุ่มนวล อ่อนโยน ในลักษณะของการสื่อถึงจิตวิญญาณ และความเมตตาปราณีต่อกัน การกอดแบบนี้สื่อสารประโยค “ฉันเสียใจด้วย” เมื่อเพื่อนกำลังผิดหวัง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 13:59:17

ความคิดเห็นที่ 61 กอดกันกลม (Sandwich Hug) เป็นการกอดสำหรับคนสามคน สองคนหันหน้าเข้าหากันโอบคนที่อยู่ตรงกลางไว้ สองคนด้านนอก มือข้างหนึ่งโอบไหล่กันไว้ อีกข้างหนึ่งโอบบริเวณเอว ส่วนคนที่อยู่ด้านในกอดเอวคนใดคนหนึ่งไว้ ศีรษะทั้งสามควมกันเป็นหนึ่ง ร่างกายสัมผัสกันอย่างอบอุ่น   เคล็ดลับ เป็นการสร้างความมั่นใจให้คนที่อยู่ด้านใน เมื่อเขาหรือเธอคนนั้นต้องออกไปเผชิญสถานการณ์ยากลำบาก ผู้ที่กอดกันส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเพื่อน พ่อแม่กอดลูก หรือสามีภรรยาที่ร่วมกันปลอบใครบางคน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:01:23

ความคิดเห็นที่ 62 กระโดดกอด (Grabber-Squeezer Hug) ฝ่ายหนึ่งพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย คว้าตัวมากอดรัด ชั่วเสี้ยวลมหายใจ ฝ่ายที่ถูกกอดต้องตื่นตัวขณะถูกกอดรัด เพื่อกอดรัดกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน   เคล็ดลับ การกอดแบบนี้ค่อนข้างยาก ทั้งสองฝ่ายต้องวิ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็ว จึงต้องระวังการชนปะทะ เพราะมิเช่นนั้นแล้ว หัวอาจกระแทกกัน หรืออาจเข้าผิดจังหวะทำให้ตัวปะทะแขนของอีกฝ่าย บาดเจ็บได้ ทำให้จุดประสงค์ของการกอดล้มเหลว เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่รีบเร่ง เพื่อคลายความตึงเครียดหรือตื่นเต้น ซึ่งบางทีเราอาจจะทอดเวลาการกอดรัดออกอีกนิดก็ได้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:02:01

ความคิดเห็นที่ 63 กอดเป็นกลุ่ม (Group Hug) ทุกคน (กี่คนก็ได้) มายืนหันหน้าเข้าหากันเป็นวงกลม กายชิดกันมากเท่าที่จะมากได้ มือข้างหนึ่งโอบไหล่ อีกข้างโอบเอว ถ่ายทอดความรู้สึกดีๆถึงเพื่อนทั้งสองข้างผ่านการโอบรัด สักครู่หนึ่ง   เคล็ดลับ กลุ่มเพื่อนมักกอดกันด้วยวิธีนี้ เพื่อให้กำลังใจหรือเพิ่มความมั่นใจกันและกัน เพราะทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเองไม่โดดเดี่ยว และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:03:31

ความคิดเห็นที่ 64 กอดเคียงบ่าเคียงไหล่ (Side-to-Side Hug) ทั้งสองคนก็แค่วาดแขนไปโอบไหล่หรือเอวเพื่อนที่เดินเคียงข้าง เวลาเดินทอดน่องสบายๆ เพื่อถ่ายทอดความเอื้ออาทรกันและกัน   เคล็ดลับ เวลาเข้าแถวรออะไรสักอย่าง ถ้าโอบไหล่เพื่อนข้างๆ จะช่วยให้การรอคอยนั้นผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:04:40

ความคิดเห็นที่ 65 กอดจากข้างหลัง (Back-to-Front-Hug) เพราะคนที่เราจะกอดนั้นมือไม่ว่าง อาจจะกำลังยืนถือกะทะ ผัดกับข้าว ทำครัว ล้างจาน หรือทำงานบ้านอื่นๆ ผู้กอดจึงต้องเดินเข้าไปข้างหลัง โอบแขนรอบเอวเขาหรือเธอ กอดอย่างนุ่มนวล   เคล็ดลับ การกอดแบบนี้สะท้อนความขี้เล่นของผู้กอดไว้นิดหน่อย แต่ก็ถ่ายทอดพลังความสุข ซึ่งเปี่ยมด้วยกำลังใจไปให้ผู้ถูกกอด จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:07:17

ความคิดเห็นที่ 66 กอดจากหัวใจ (Heart-Centered Hug) เริ่มจากตาสบตา เอื้อมแขนไปโอบไหล่หรือหลัง หน้าผากชิดกัน เหมือนร่างกายทุกส่วน เป็นการกอดที่มั่นคง แต่สุภาพ ขณะที่ผ่อนลมหายใจจนแทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน ทั้งคู่จะรู้สึกว่าความกรุณาจากหัวใจของแต่ละฝ่ายไหลรินสู่กันและกัน   เคล็ดลับ การกอดแบบนี้มีพลังมาก สามารถถ่ายทอดความอ่อนโยน เอาใจใส่ การยอมรับกันและกัน รวมไปถึงกำลังใจและการสนับสนุนช่วยเหลือ ไม่จำกัดระยะเวลาในการกอด สามารถกอดกันจนกระทั่งมีสิ่งอื่นมาเรียกร้องความสนใจเลยก็ได้ เหมาะสำหรับคนที่มีความผูกพันกันลึกซึ้งยาวนาน เช่น เพื่อนเก่าที่เคยร่วมทุกข์สุขกันมานาน เป็นต้น http://www.kroobannok.com/blog/8929 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:07:46

ความคิดเห็นที่ 67 Loving Pets Is Like Loving Kids สัตว์เลี้ยงก็เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่มีลูกแต่อยากกอดอยากรัก พบว่าผู้หญิงในประเทศอังกฤษ  6 แสนคนเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงมาแทนการมีลูก การเลี้ยงสัตว์ ประคบประหงม กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับสัตว์น่ารักขนปุกปุยทำให้ร่างกายหลั่งสาร Oxytocin ได้เหมือนๆกับการกอดคน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:09:52

ความคิดเห็นที่ 68 มีงานวิจัยของ J.S.J. Odendaal and R.A. Meintjes of Pretoria's Life Sciences Institute ทำการทดลองโดยวัดระดับสารเคมีในเลือดคือ endorphins, oxytocin, prolactin, B-phenylethylamine และ dopamineซึ่งเป็นสารเคมีแห่งการผ่อนคลาย กับคอร์ติซอล ฮอร์โมนแห่งความเครียด โดยวัดทั้งในคนและในหมา หลังจากให้เล่นกันอย่างสนุกสนานและเปี่ยมไปด้วยความรัก งานวิจัยนี้วัดสารเคมีทั้งในการเล่นกับหมาของตัวเอง กับหมาของคนอื่น และขณะที่นั่งอ่านหนังสือเฉยๆ ผลการวัดพบว่าทั้งคนและหมานั้นมีสารเคมีแห่งความสุขเพิ่มขึ้นในเลือดหลังจากเล่นกับหมาไปแล้ว 5-24 นาที และระดับคอร์ติซอลลดลงในคน แต่คอร์ติซอลในหมาเท่าเดิม พบว่าระดับของออกซิโตซินสูงสุดในกลุ่มของคนที่ได้เล่นกับหมาของตัวเองมากที่สุด คนรักสัตว์ทั้งหลายคงจะคิดว่าการทดลองนี้น่าสนใจมากเพราะเป็นข้อพิสูจน์เป็นตัวเลขว่าหมาก็รักเรากลับเหมือนกัน ผู้วิจัยงานนี้บอกว่า ออกซีโตซินสามารถใช้บ่งบอกระดับความผูกพันทางสังคมได้ และชัดเจนว่าอารมณ์นั้นเป็นสากลในหมู่สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังทั้งหลาย คนที่รักสัตว์มักมีแนวโน้มที่จะรักเด็กด้วย ดังนั้นการเลี้ยงสัตว์ก็เป็นการเตรียมพร้อมเลี้ยงเด็กในอนาคตได้ http://www.hugthemonkey.com/2006/11/my_dog_really_l.html มาเรีย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:11:46

ความคิดเห็นที่ 69   เลิกกิจการ แล้วไปตามล่า คุณ NotEnter ดีกว่า ฮ่า ๆ   ปล.ยังไม่ได้อ่านกระทู้คุณ NotEnter รีเทิร์นเลย จากคุณ : มีล็อกอินแล้วฮะ เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:11:57

ความคิดเห็นที่ 70 Hug machine เครื่องกอด เครื่องกอด เป็นเครื่องที่ทำขึ้นมาเพื่อให้ผู้ป่วย Autism ( hypersensitivity to sensory stimuli, extraordinarily sensitive to sensations ) รู้สึกผ่อนคลาย คลายเครียด และสงบลงได้ ประดิษฐ์โดยTemple Grandin ในปี 1965 เธอเป็น Doctor of Animal Science and professor at Colorado State University, โรคออทิสติก (Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม (Autism) เป็นความบกพร่องของพัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะ นับเป็นเวลา 60 ปีแล้ว ที่นักวิชาการรู้จักโรคนี้ และพยายามศึกษารายละเอียดต่างๆของโรค แต่ยังไม่สามารถหาสาเหตุของโรคได้ชัดเจน ถึงแม้ว่ายังไม่ทราบสาเหตุ ก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้เลย การดูแลช่วยเหลือในปัจจุบันช่วยให้เด็กกลุ่มนี้ดีขึ้นได้มาก โดยเฉพาะถ้าได้รับการวินิจฉัย และช่วยเหลือตั้งแต่อายุน้อยๆ และทำอย่างต่อเนื่อง คำว่า “Autism” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ว่า “Auto” ซึ่งแปลว่า Self หมายถึง แยกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตัวเอง เปรียบเสมือนมีกำแพงใส หรือกระจกเงา กั้นบุคคลเหล่านี้ออกจากสังคมรอบข้าง http://www.happyhomeclinic.com/au02-autism.htm ผู้ประดิษฐ์เครื่องกอด เธอก็ป่วยเหมือนกัน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:12:48

ความคิดเห็นที่ 71 โรคออติสติกนี้ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถหาความสบายใจอบอุ่นใจได้จากคน กราดินจึงแก้ปัญหานี้โดยประดิษฐ์ hug machine ขึ้นมา เพื่อให้ผู้ป่วยได้พบความสบายใจจากการกอดโดยเครื่องนี้ เครื่องนี้ประกอบด้วยกระดานสองข้างขนาดประมาณ 120x90cm บุด้วยผ้านวมหนานุ่มเป็นรูปตัววี มีท่อลมปั้มลมเข้ามา เวลาใช้ต้องนั่งยองๆ หรือนอน ระหว่างแผ่นกระดานสองอันนี้แล้วเครื่องก็บีบเข้ามา  เป็นการกระตุ้นด้วยแรงดัน deep pressure stimulus จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:13:36

ความคิดเห็นที่ 72 ตอนเด็กๆ กราดินพบว่าเมื่อเธอถูกกอดหรือถูกอุ้ม เธอจะรู้สึกว่ามันกระตุ้นมากไปแน่นเกินอึดอัด เธอได้ความคิดแรงบันดาลใจมาจากตอนที่เธอไปเห็นวัวในฟาร์มเมื่อจะถูกฉีดวัคซีนถ้าเกิดให้แรงดันเข้าไปในคอกบีบวัวจะสงบลงได้  เธอจึงคิดว่าการให้แรงดันจะทำให้สงบลงได้ เธอจึงคิดว่าเหมาะกับอาการที่เธอเป็นคน hypersensitivity อยู่แล้วได้ คอกบีบวัว จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:14:03

ความคิดเห็นที่ 73 ประสิทธิภาพของเครื่องนี้ การรักษาหลายที่ในสหรัฐอเมริกาใช้เครื่องกอดมาใช้บำบัดรักษาให้ผู้ป่วยออทิสติกนั้นรู้สึกสงบลงได้ทั้งในผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่   ในปี 1995 มีการวิจัยประสิทธิภาพของเครื่องกอดโดย the Center for the Study of Autism, ร่วมกับWillamette University in Salem, Oregon มีเด็กออทิสติกสิบคนร่วมในการทดลอง พบว่าสามารถช่วยให้ลดความเครียดและความกังวลของเด็กได้ อีกการศึกษาที่ทำโดย Dr. Margaret Creedon ก็ได้ผลเหมือนกัน ทุกวันนี้ กราดินก็ยังใช้เครื่องกอดของเธอสม่ำเสมอ เมื่อใดที่เธอรู้สึกกังวล พอเข้าไปในเครื่องกอดนี้เธอจะสบายใจขึ้น เธอตีพิมพ์ผลงานเรื่องผลของเครื่องกอดลงใน the Journal of Child and Adolescent Psychopharmacology http://en.wikipedia.org/wiki/Hug_machine จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:14:28

ความคิดเห็นที่ 74 Oxytocin : ก็เป็นฮอร์โมนเชื่อใจ (trust hormone) มีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ปี ค.ศ. 2005 โดยนักวิจัยที่ University of Zurich ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นผู้ดำเนินการศึกษา เมื่อให้อ๊อกซิโตซินในรูปแบบสเปรย์ที่ฉีดเข้าจมูก (Nasal spray) ซึ่งมีขายทั่วไปที่ร้านยาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พบว่าทำให้คนเราเกิดการตอบสนองทางสังคมโดยเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกับผู้อื่นมากขึ้นซึ่งอาจมีผลต่อกระบวนการตัดสินใจในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การทดลองทำโดยให้แบ่งคนเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งฉีดสเปรย์พ่นจมูกที่มีออกซีโตซิน อีกกลุ่มพ่นยาหลอก ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งหมดเล่นเกมลงทุนกับโบรกเกอร์ โดยต่อมาจะให้โบรกเกอร์มาบอกว่าเงินที่คุณลงทุนไปได้ผลกลับมาไม่ดี ขาดทุนอาจจะเกิดจากความผิดของโบรกเกอร์ พบว่ากลุ่มที่ได้รับฮอร์โมนยังจะคงเดินหน้าลงทุนต่อไป แต่กลุ่มยาหลอกจะไม่เต็มใจที่จะลงทุนต่อ พอภายหลังลองเปลี่ยนการทดลองนี้ให้ลงทุนผ่านคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่คน แล้วเกิดการขาดทุน ปรากฏว่าผลก็ยังเหมือนเดิม คือผู้ที่ได้รับฮอร์โมนจะยังคงเดินหน้าลงทุนต่อไปด้วยความไว้ใจ ระหว่างการเล่นเกมนี้นั้น นำผู้เล่นไปเข้าเครื่อง MRI แบบที่สามารถดูการทำงานของสมองได้ (functioning MRI)ผู้วิจัยพบว่า ออกซีโตซินไปลดการทำงานของสมองสองส่วน ซึ่งปกติเป็นบริเวณที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการปกป้องตัวเอง"defence barriers" คือบริเวณ Amygdala ซึ่งทำงานเกี่ยวกับความกลัวอันตราย และ striatum ( which helps to guide future behaviour, based on reward feedback) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Amygdala ที่เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคหวาดกลัวสังคม (social phobia) Professor Markus Heinrichs กำลังทำการศึกษาเรื่อง Social phobia กับฮอร์โมนออกซีโตซินเทียบกับยาหลอก โดยใช้การรักษาอื่นคือการบำบัดพฤติกรรมร่วม การทดลองนี้ยังไม่สิ้นสุด แต่ผู้ทดลองบอกว่า มีความหวังที่ดีที่จะใช้สเปรย์รักษาโรคกลัวสังคม ดังนั้นผลงานวิจัยชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การศึกษาในสาขาวิชาประสาทเศรษฐศาสตร์ (neuroeconomics) มีความสำคัญยิ่งขึ้นในปัจจุบัน และนอกจากนี้บทบาทที่ช่วยเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจนี้อาจเป็นประโยชน์ในการรักษาคนที่มีอาการกลัวผู้คนไม่กล้าเข้าสังคม (social phobia) หรือในอาการออติซึม (autism) เป็นต้น http://knowledge.eduzones.com/knowledge-2-13-35405.html สมองส่วนอมิกดาลา จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:16:12

ความคิดเห็นที่ 75 อยากได้มั้ย Trust spray คล้ายๆน้ำมันพรายเลย เป็นออกซีโตซิน สเปรย์ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:17:14

ความคิดเห็นที่ 76 Where Students Can't Hug By Steven Gray/Chicago Tuesday, Nov. 13, 2007 Megan Coulter นักเรียนชั้นเกรดแปด โรงเรียน Mascoutah ต้องโดนกักตัวอยู่หลังเลิกเรียนที่โรงเรียนข้อหาทำผิดกฏของโรงเรียนที่ห้ามการแสดงความรักในเขตโรงเรียน  เพราะเธอไปกอดเพื่อนสองคนที่กำลังเศร้าโศกเสียใจ เรื่องนี้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ และได้ออกทีวีรายการ NBC's Today Show  เป็นที่ถกเถียงกันมากว่าการห้ามทุกกรณีของการกอดนี้เหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากว่าในปี 1999 ศาลสูงสหรัฐอเมริกาได้ตัดสินให้โรงเรียนต้องปลอดจากการคุกคามทางเพศ ดังนั้นผู้บริหารโรงเรียนบางแห่งจึงแบนการสัมผัสตัวกันของนักเรียนทุกรูปแบบ ยกเว้นแต่การเล่นกีฬา เช่นมวยปล้ำ หรือฟุตบอล บางโรงเรียนแบนกระทั่งการแปะมือ (high five)กัน เช่น The Fossil Hill Middle School in Fort Worth, Texas ได้ห้ามนักเรียนไม่ให้กอดหรือจับมือกัน บางแห่งห้ามการถักเปียให้เพื่อน การห้ามนักเรียนกอดกันนี้น่าจะเป็นการห้ามการจู๋จี๋กันของนักเรียน โดยเหวี่ยงแหห้ามทุกอย่าง แต่ก็น่าจะมีขอบเขตบ้างว่าทำอะไรสามารถทำได้ http://www.time.com/time/nation/article/0,8599,1683668,00.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:19:16

ความคิดเห็นที่ 77 วันกอดแห่งชาติ National Hug Day ตรงกับวันที่ 21 มกราคม ของทุกปี เริ่มมีตั้งแต่ปี 1986 ในมิชิแกน หลังจากนั้นก็มีแพร่หลายไปในหลายชาติ คือCanada, England, Australia, และ Germany http://en.wikipedia.org/wiki/National_Hug_Day จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:20:22

ความคิดเห็นที่ 78 โอ้พระเจ้าจอร์จ มันเยี่ยมมาก ถ้าลิซ่าอยากได้ออกซีโตซินตอนนี้เลย จะทำอย่างไรคะ How to Get Oxytocin Right NOW มีวิธีที่จะทำให้เพิ่มระดับออกซีโตซินในเลือดตอนนี้เลยโดยไม่ต้องซื้อหามา ก็ทุกคนมี Hypothalamus ใช่มั้ยละ ก็หลั่งออกมาสิ  เพื่อประโยชน์ในการเข้าสังคมผูกพันกับเพื่อนมนุษย์ ลองทำตามข้อที่ว่ามานี้จะช่วยเพิ่มระดับออกซีโตซินในเลือดได้ เพียงทำสิ่งต่อไปนี้สัก 15 นาที •Cuddle กอด •Sing in a choir ร้องเพลง •Massage นวด •Hold a baby อุ้มเด็ก •Stroke a dog or cat ลูบตัวหมาหรือแมว •Perform a generous act ทำสิ่งที่แสดงถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ •Pray สวดมนต์ •Make love เมคเลิฟ •Have an orgasm (alone or with someone else) ถึงจุดสุดยอด http://www.hugthemonkey.com/cuddle/ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:22:01

ความคิดเห็นที่ 79 ชื่นชมในความทุ่มเทจริงๆ ครับ ว่าจะมาช่วยโพส christian ให้อีกรอบ คุณกิ๊ฟ โพสให้เสร็จสรรพ ช่วยโพสรูปกอดหมู่อีกรูปละกัน จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:24:09

ความคิดเห็นที่ 80 วันนี้คุณกอดใครแล้วหรือยัง? ซาเทียร์    (Virginia Satir  (family  therapist)    กล่าวว่า คนเราต้องการการกอดวันละ  4 ครั้ง   เพื่อการดำรงชีวิต คนเราต้องการการกอดวันละ  8 ครั้ง เพื่อการดำเนินชีวิต คนเราต้องการการกอดวันละ 12 ครั้ง เพื่อการเจริญเติบโต We need 4 hugs a day for survival. We need 8 hugs a day for maintenance. We need 12 hugs a day for growth —Virginia Satir, family therapist http://www.lifepositive.com/mind/personal-growth/hug/hug-therapy.asp จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:24:52

ความคิดเห็นที่ 81 เสียงหายใจเหนื่อยหอบของเรา แฮ่กๆๆๆ ขอบคุณทุกท่านที่ตามมาอวย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:26:43

ความคิดเห็นที่ 82 คุณกิ๊ฟขยันจังเลย ปาดดดดดด ทันมั๊ย จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:28:39

ความคิดเห็นที่ 83   ตามมากอด จขกท จ้ะ จากคุณ : เหอะๆ (lockdown) เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:30:45

ความคิดเห็นที่ 84 ปาดมู้เก่าไม่ทัน ตามมาปาดมู้ใหม่ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:36:55

ความคิดเห็นที่ 85 second edition เพิ่มเรื่องมาด้วยนะเออ Tree hugging กลุ่มกอดต้นไม้ หรือเรียกว่า Chipko movement เป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อประท้วงการตัดไม้ทำลายป่า โดยวิธีของมหาตมะคานที เริ่มในช่วงปี 1970  ที่เมือง Garhwal Himalayas อินเดีย http://en.wikipedia.org/wiki/Tree_hugging จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:40:50

ความคิดเห็นที่ 86 http://en.wikipedia.org/wiki/Free_Hugs_Campaign The Free Hugs Campaign เป็นการเคลื่อนไหวทางสังคม โดยมีกลุ่มคนที่เสนอตัวกอดคนแปลกหน้าในที่สาธารณะ เริ่มขึ้นในปี 2004 โดยชาวออสเตรเลียที่มีชื่อนามแฝงว่า"Juan Mann" แล้วกิจกรรมนี้ก็ดังไปทั่วโลกในปี 2006 จากคลิป MV ในยูทูปโดยthe Australian band Sick Puppies มีผู้ชมคลิปนี้มากกว่า 50,000,000  ครั้ง การกอดนั้นก็สุ่มเอา ไม่หวังสิ่งตอบแทน เพียงแค่อยากทำให้คนอื่นมีความสุขเท่านั้น International Free Hugs Day เริ่มในเสาร์แรกของเดือน ก.ค. Juan Mann, who started the Free Hugs movement, seen at Pitt Street Mall, Sydney, Australia, 2006 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:49:00

ความคิดเห็นที่ 87 ซึ่งก็คือคลิปนี้นั่นเอง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:51:16

ความคิดเห็นที่ 88 กอดๆๆ จากคุณ : katasaro เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:53:48

ความคิดเห็นที่ 89 "Juan Mann" ออกมาขอบคุณทุกท่านที่ผลักดันให้มีโครงการ Free hug เกิดขึ้นทั่วโลก One man can make a difference. สนใจเชิญดูใน www.freehelpcampaign.org www.freehugscampaign.org จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:54:54

ความคิดเห็นที่ 90 Free hug in Spain จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:56:15

ความคิดเห็นที่ 91 ^ ^ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:57:22

ความคิดเห็นที่ 92 Free hug in Japan จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 53 14:57:39