ความคิดเห็นที่ 1 Coffee กาแฟ เป็นคำที่มาจากคำว่า "เกาะหฺวะหฺ" ในภาษาอาหรับ  ซึ่งสันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากแคว้นคัฟฟาของเอธิโอเปีย ซึ่งมีการเพาะปลูกกาแฟ หรือไม่ก็มาจากคำว่า qahwat al-būnn ซึ่งหมายถึง "ไวน์แห่งถั่ว" ในภาษาอารบิก แล้วเพี้ยนเป็น กาห์เวห์ ในภาษาตุรกี ก่อนที่จะเป็น caffè ในภาษาอิตาเลียน และเป็น คอฟฟี (Coffee) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งได้มีการใช้ครั้งแรกในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้นก็เป็นคำว่า กาแฟ ในภาษาไทย http://www.vcharkarn.com/vblog/40058 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_note-OED-9 รูปเหนือประตูของร้านกาแฟแห่งหนึ่งในเมืองไลป์ซิกมีประติมากรรมรูปชายในชุดพื้นเมืองตุรกีกำลังรับถ้วยกาแฟจากเด็กผู้ชายคนหนึ่ง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:26:24

ความคิดเห็นที่ 2 เป็นที่เชื่อกันว่าบรรพบุรุษชาวเอธิโอเปียของชาวโอโรโมในปัจจุบัน เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งค้นพบฤทธิ์กระปรี้กระเปร่าของกาแฟ   http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_coffee ชาวโอโรโม จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:29:13

ความคิดเห็นที่ 3 Coffee Legend AFRICAN ORIGINS (Circa A.D. 800) มีเรื่องเล่าที่โด่งดังว่า กาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแพะชาวเอธิโอเปีย  ที่ชื่อว่า คาลดี จากการสังเกตพบว่า แพะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อกินเมล็ดกาแฟที่คล้ายๆเบอรรี่สีแดง เขาเลยกินด้วย เมื่อมารู้ตัวอีกทีเขาก็กระโดดโลดเต้นไปมาพร้อมๆกับแพะของเขา หลังจากนั้นพระมาเห็นเข้าเลยกินมั่ง คืนนั้นพระรู้สึกตื่นตัวอย่างมหัศจรรย์ ในช่วงเดียวกันนั้นชาวแอฟริกันได้เอากาแฟมาปั้นเป็นลูกผสมกับไขมันสัตว์ กินเพื่อเสริมพลังกระตุ้นร่างกายเหมือนเป็นแท่ง PowerBar ยุคโบราณ รูปคาลดิกับแพะของเขาเต้นกันหลังกินกาแฟ http://www.nationalgeographic.com/coffee/ax/frame.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:30:40

ความคิดเห็นที่ 4 ESCAPE FROM ARABIA (Circa 1000 to 1600) หลังจากนั้นกาแฟก็ได้แพร่กระจายข้ามทะเลแดงมาสู่อาราเบีย จึงมีการนำเมล็ดกาแฟไปคั่วและชงอย่างจริงจังเมื่อ 1000 A.D. พอถึงศตวรรษที่ 13 ชาวมุสลิมก็ดื่มกาแฟเพื่อใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนา โดยการเสิร์ฟ ซุปกาแฟ “bean broth” ทำให้ผู้ที่มาประกอบพิธีรู้สึกตื่นตัวไม่ง่วงนอน ต่อมาจึงแพร่หลายในชีวิตประจำวัน แล้วไม่ว่าชาวมุสลิมจะไปที่ไหน กาแฟก็จะแพร่หลายที่นั่นตาม ทั้งที่แอฟริกาเหนือ เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก และอินเดีย ร้านกาแฟที่เปิดขายให้สาธารณชนเป็นร้านแรกในโลกอยู่ที่คอนสแตนติโนเปิล ตุรกี ในปี 1475 ชื่อว่าร้าน Kiva Han ตอนนั้นกาแฟถือเป็นของที่มีค่าและสำคัญกับชีวิตมาก จนขนาดที่ว่ามีกฏหมายว่า ถ้าสามีไม่สามารถหากาแฟมาให้ภรรยาได้เพียงพอกับความต้องการ เธอสามารถขอหย่าได้ http://www.vcharkarn.com/vblog/40058 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:33:47

ความคิดเห็นที่ 5 ในปี ค.ศ. 1583 เลโอนาร์ด เราวอล์ฟ แพทย์ชาวเยอรมัน ได้บรรยายถึงกาแฟหลังจากท่องเที่ยวในดินแดนตะวันออกใกล้เป็นเวลากว่าสิบปีไว้ว่าดังนี้: เครื่องดื่มที่มีสีดำเหมือนหมึก ใช้รักษาโรคภัยได้หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับท้อง ผู้ดื่มจะดื่มในตอนเช้า มันเป็นการนำน้ำและผลไม้จากไม้พุ่มที่เรียกว่า bunnu — เลโอนาร์ด เราวอล์ฟ ใน Reise in die Morgenländer http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_ref-Wein34_2-0 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 53 23:38:31 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:38:00

ความคิดเห็นที่ 6 กลับมาที่อาราเบียต่อ การส่งออกกาแฟของชาวอาราเบียจะส่งในรูปที่ไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ คือ กาแฟตากแห้ง หรือต้มไปแล้ว จนไม่มีเมล็ดกาแฟที่จะสามารถเล็ดรอดออกไปนอกแอฟริกาหรืออาราเบียได้เลย จนกระทั่งในยุค 1600s นาย Baba Budan ซึ่งเป็นนักแสวงบุญชาวอินเดีย มาทำพิธีที่เมกกะขากลับแอบเอาเมล็ดกาแฟที่สามารถปลูกได้ไปด้วยโดยพันผ้าซ่อนไว้ที่ท้อง เขาก็เอาไปปลูกที่บ้านซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการเกษตรของกาแฟ ซึ่งต่อมาได้แพร่หลายไปถึงอาณานิคมของพวกยุโรปเลยทีเดียว รูปนายบาบ้า ที่แอบเมล็ดกาแฟไว้ที่พุง http://www.nationalgeographic.com/coffee/ax/frame.html แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 53 23:40:26 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:39:58

ความคิดเห็นที่ 7 EUROPE CATCHES THE BUZZ (1615 to 1700) พ่อค้าชาวเวนิซได้นำกาแฟไปสู่อิตาลีเมื่อปี 1615 ร้านกาแฟแห่งแรกในทวีปยุโรปเปิดในอิตาลีในปี ค.ศ. 1645 ประเทศในยุโรปเริ่มแข่งขันกันผลิตกาแฟแล้ว ชาวดัชได้ปลูกต้นกาแฟต้นแรกเมื่อปี 1616 แล้วปี 1696 ก็ไปตั้งอาณานิคมเพื่อการผลิตกาแฟที่เกาะชวา อินโดนีเซีย ธุรกิจกาแฟของชาวดัชบูมมาก เริ่มแจกจ่ายต้นกาแฟให้ขุนนางทั่วยุโรป รูป Temples mark the landscape of Java, where the first European-owned coffee farms were founded by representatives of Amsterdam http://www.nationalgeographic.com/coffee/ax/frame.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:41:54

ความคิดเห็นที่ 8 A SWASHBUCKLING SCHEME (Circa 1714 to 1720) พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้รับของถวายจากดัชเมื่อปี 1714 เป็นต้นกาแฟสำหรับปลูกในปารีส ที่สวนพฤกษศาสตร์ชื่อ the Jardin des Plantes หลังจากนั้นอีกหลายปีมีเจ้าหน้าที่กองทัพเรือชื่อ Gabriel Mathieu de Clieu เขาเพิ่งเดินทางจากเกาะ Martinique มาปารีส ที่เกาะนั้นของฝรั่งเศสบรรยากาศคล้ายๆเกาะชวา เขาจึงอยากปลูกกาแฟบ้าง ขอเมล็ดจากต้นไม้ของพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหก แต่ไม่ได้รับอนุญาต เขาเลยแอบปีนเข้าไปในสวนพฤกษศาสตร์ไปขโมยหน่อกาแฟมาแล้วล่องเรือกลับเกาะ Martinique เขาคงคิดว่าการขโมยเมล็ดกาแฟนั้นเป็นขั้นที่ยากสุดแล้ว แต่เขาคิดผิด พระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกทรงรักษาต้นกาแฟที่ได้เป็นของขวัญป็นอย่างดี http://www.nationalgeographic.com/coffee/ax/frame.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:43:03

ความคิดเห็นที่ 9   ปาดดดดดดดด ทุกวันนี้ผมซดม๊อคโคนาสุตร 2 2.5 3 วันละ 2 แก้ว ตามด้วยชาใบหม่อน บางทีก็มะขามแขกผสมเก๊กฮวย จากคุณ : เดอะฟักทอง เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:44:25 A:124.121.96.194 X: TicketID:223361

ความคิดเห็นที่ 10 CROSSING THE ATLANTIC (Circa 1720 to 1770) ระหว่างทางกลับเกาะ Martinique บนเรือนั้น เกเบรียลได้บันทึกไว้ว่า “ผู้โดยสารบนเรือคนอื่นอิจฉาที่เรามีต้นกาแฟ พยายามจะแย่งเอาไปจากเรา กิ่งเลยหักไปกิ่งนึง” หลังจากนั้นก็มีโจรสลัดมาขึ้นเรือ เกือบจะยึดเรือได้ แล้วต่อด้วยพายุจนเกือบทำให้เรือจม แล้วน้ำบนเรือก็ขาดแคลน ต้องปันส่วนกัน  เขาต้องแบ่งน้ำในส่วนของเขาไปรดน้ำต้นกาแฟตั้งครึ่งนึง แต่แล้วต้นกาแฟก็เดินทางมาถึงเกาะ Martinique จนได้ ต้องมีการ์ดเฝ้าไร่กาแฟตลอดเวลาอย่างเข้มงวด จนหน่อนั้นที่เขาขโมยมา ออกผลิดอกออกผลกลายเป็นต้นกาแฟประมาณ 18 ล้านต้นในอีก 50 ปีต่อมา มันไม่รู้เลยว่าลูกหลานของมันจะได้ไปท่องเที่ยวต่อที่ละตินอเมริกา รูป Gabriel Mathieu de Clieu ต้องแบ่งน้ำกินของเขาให้ต้นกาแฟ http://www.nationalgeographic.com/coffee/ax/frame.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:44:26

ความคิดเห็นที่ 11 COFFEE BLOOMS IN BRAZIL (Circa 1727 to 1800) ปี 1727 รัฐบาลบราซิลต้องการจะมีส่วนร่วมในตลาดกาแฟที่เฟื่องฟูนี้ แต่ก่อนอื่นต้องมีต้นกาแฟเสียก่อน จึงมอบหมายให้พันเอก  Lt. Col. Francisco de Melo Palheta ไปขโมยเอาต้นกาแฟมาจากประเทศที่มีกาแฟปลูก พันเอก Palheta ถือเป็นเจมส์ บอนด์แห่งวงการกาแฟตัวจริง ตาพันเอกนี่แกเดินทางไปที่เฟรนช์ กีอาน่า ที่เขามีปลูกกาแฟกัน แต่ว่าการขโมยเลยนั้นทำไม่ได้เพราะที่นั่นป้องกันไร่กาแฟเหมือนป้อมปราการกันเลยทีเดียว เขาเลยทำแบบเจมส์ บอนด์คือไปเข้าทางภรรยาของผู้ว่า แล้วปรากฏว่าได้ผล วันที่มีงานเลี้ยงอำลานายพันคนนี้ ภรรยาของผู้ว่าเอาช่อดอกไม้ให้นายพัน แต่ในช่อดอกไม้นั้นมีต้นกล้ากาแฟแซมอยู่ด้วย โอ้ว สุดยอด จากต้นกล้ากาแฟในช่อดอกไม้นั้น กลายมาเป็นบรรพบุรุษของอาณาจักรกาแฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พอถึงปี 1800 บราซิลสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตมากซะจนกาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป ไม่ได้จำกัดแต่ในวงของผู้ดีร่ำรวยเหมือนแต่ก่อน รูปช่อดอกไม้ไส้ต้นกาแฟที่นายพันเจมส์ บอนด์แห่งกาแฟได้รับ http://www.nationalgeographic.com/coffee/ax/frame.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:45:47

ความคิดเห็นที่ 12 กาแฟได้เข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือในช่วงของยุคอาณานิคม แต่ว่าไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตาม ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกัน ปริมาณความต้องการกาแฟได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกพ่อค้ากักตุนสินค้าเอาไว้และปั่นราคาขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งบางส่วนเป็นผลมาจากการที่พ่อค้าชาวอังกฤษไม่สามารถนำเข้าชาได้มากนัก หลังจากสงครามปี 1812 ในช่วงที่อังกฤษงดการนำเข้าชาเป็นการชั่วคราว ชาวอเมริกันจึงหันมาดื่มกาแฟแทน และมีปริมาณความต้องการสูงมากในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกัน ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาของเทคโนโลยีการต้มเหล้าทำให้กาแฟกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในสหรัฐอเมริกา จนถึงปัจจุบัน แต่ในอังกฤษ ปริมาณการบริโภคกาแฟกลับลดลง และชาวอังกฤษหันไปบริโภคชาแทนระหว่างคริสตศตวรรษที่ 18 เครื่องดื่มชาเป็นเครื่องดื่มซึ่งเตรียมขึ้นได้ง่ายกว่า และหาซื้อได้ในราคาถูกจากการยึดครองอินเดียและอุตสาหกรรมชาในอินเดียของอังกฤษ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_ref-Wein34_2-0 แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 53 23:54:03 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:51:29

ความคิดเห็นที่ 13 ชีววิทยา ต้นกาแฟเป็นพืชพื้นเมืองเขตร้อนแถบแอฟริกาและเอเชียใต้ กาแฟถูกจัดให้อยู่รวมกับพืชมีดอก ของวงศ์ Rubiaceae ถูกจัดเป็นต้นไม้ประเภทไม่ผลัดใบ ต้นกาแฟสามารถสูงได้ถึง 5 เมตรถ้าไม่เล็มออก ใบของต้นกาแฟมีสีเขียวเข้มและเป็นมัน ขนาดโดยเฉลี่ยยาว 10-15 เซนติเมตร และกว้าง 6 เซนติเมตร ดอกของต้นกาแฟมีสีขาว มีกลิ่นหอม และจะบานพร้อมกันทั้งต้น ผลกาแฟมีลักษณะรียาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ภาพลำต้นและเมล็ดของกาแฟอาราบิก้า (Coffea Arabica) http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_ref-Wein34_2-0 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:53:25

ความคิดเห็นที่ 14 หลังจากปลูกกาแฟได้ 2-3 ปี กาแฟจะเริ่มออกดอกและติดผล ผลของกาแฟเรียกว่า “Coffee Cherry” มีลักษณะค่อนข้างกลม ขณะที่ผลยังอ่อนมีสีเขียว และเมื่อผลแก่จัดจะมีสีแดง ในแต่ละข้อของกิ่งกาแฟติดผลประมาณ 10-60 ผล แต่ละผลมีเมล็ดกาแฟอยู่ 2 เมล็ด จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:55:36

ความคิดเห็นที่ 15 Coffee Bean Structure ในลูกแดงๆนิ่มๆนี้ที่เราต้องการคือเมล็ดข้างใน ซึ่งมีสองเมล็ด Structure of coffee berry and beans: 1: center cut 2:bean (endosperm) 3: silver skin (testa, epidermis), 4: parchment (hull, endocarp) 5: pectin layer 6: pulp (mesocarp) 7: outer skin (pericarp, exocarp) http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Coffee_Bean_Structure.svg จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 53 23:57:31

ความคิดเห็นที่ 16 กาแฟมีสายพันธุ์หลักๆ 2 พันธุ์ คือ Coffea arabica  กาแฟพันธุ์อราบิก้า (Arabica) ปลูกที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 ฟุต ให้ผลผลิตสม่ำเสมอ รสหอมกลมกล่อม ผลผลิตของกาแฟทั่วโลกเป็นกาแฟพันธุ์อราบิก้า 75%   http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_ref-Wein34_2-0 http://www.vcharkarn.com/vblog/40058 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:00:51

ความคิดเห็นที่ 17 Coffea canephora กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) ปลูกในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มากนัก ส่วนใหญ่ปลูกในประเทศแถบร้อนชื้น มีรสชาติเข้มข้น หอมฉุนกว่ากาแฟพันธุ์อราบิก้า มีสัดส่วนของผลผลิตกาแฟทั่วโลก 25% เพราะกาแฟโรบัสตามักจะมีรสชาติขมกว่าและมีรสชาติน้อยกว่ากาแฟอาราบิกา ด้วยเหตุผลดังกล่าว กาแฟที่เพาะปลูกกันจำนวนกว่าสามในสี่ของโลกจึงเป็น Coffea Arabica กาแฟโรบัสตามีปริมาณคาเฟอีนผสมอยู่มากกว่ากาแฟอาราบิกาอยู่ประมาณ 40-50% ดังนั้น ธุรกิจกาแฟจึงมักใช้กาแฟโรบัสตาทดแทนกาแฟอาราบิกาเนื่องจากมีราคาถูกกว่า กาแฟโรบัสตาคุณภาพดีมักจะใช้ผสมในเอสเพรสโซเพื่อให้เกิดฟองและลดค่าวัตถุดิบลง http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_ref-Wein34_2-0 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:02:50

ความคิดเห็นที่ 18   *-* จากคุณ : BARBIE_69 เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:03:05

ความคิดเห็นที่ 19 กาแฟมักจะได้รับการขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเมล็ด วิธีดั้งเดิมในการปลูกกาแฟคือการใส่เมล็ดกาแฟจำนวน 20 เมล็ดในแต่ละหลุม เมื่อย่างเข้าฤดูฝน เมล็ดกาแฟครึ่งหนึ่งจะถูกกำจัดตามธรรมชาติ เกษตรกรมักจะปลูกต้นกาแฟร่วมกับพืชผลประเภทอื่น ๆ อย่างเช่น ข้าวโพด ถั่วหรือข้าว ในช่วงปีแรก ๆ ของการเพาะปลูก เมล็ดกาแฟอาราบิกาส่วนใหญ่ปลูกในละตินอเมริกา แอฟริกาตะวันออก อาราเบียหรือเอเชีย ส่วนเมล็ดกาแฟโรบัสตาปลูกในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง ไปจนถึง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของประเทศบราซิล เมล็ดกาแฟที่ปลูกในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันส่งผลให้เมล็ดกาแฟของแต่ละท้องถิ่น ทำให้เกิดลักษณะเฉพาะตัว อย่างเช่น รสชาติ กลิ่น สัมผัสและความเป็นกรด  ลักษณะรสชาติของกาแฟนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ปลูกเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์กำเนิดและกระบวนการผลิตด้วย รูปแผนที่บริเวณที่มีการปลูกกาแฟแต่ละสายพันธุ์ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_ref-Wein34_2-0 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:04:58

ความคิดเห็นที่ 20 กาแฟเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของโลก โดยในปี ค.ศ. 2004 กาแฟเป็นสินค้าการเกษตรส่งออกที่ทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งในจำนวน 12 ประเทศ  และเป็นพืชที่มีการส่งออกอย่างถูกต้องตามกฎหมายซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก ในปี ค.ศ. 2005 ประเทศที่มีการปลูกกาแฟมากที่สุดในโลกคือ บราซิล (ต้องขอบคุณนายพันเจมส์ บอนด์คนนั้น) แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เวียดนามกลายมาเป็นผู้ผลิตเมล็ดกาแฟโรบัสตารายใหญ่ของโลก บริษัทข้ามชาติสี่แห่ง (ประกอบด้วย ครอฟท์ เนสเล่ พร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิลและซาร่า ลี) ได้ซื้อกาแฟคิดเป็นปริมาณ 50% ของผลผลิตต่อปี http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_ref-Wein34_2-0 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 00:07:29 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:07:13

ความคิดเห็นที่ 21 ปาดดซ้ายนะจ้ะกิ๊ฟ จากคุณ : kodindy เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:08:21

ความคิดเห็นที่ 22 ขออนุญาต ปาดดดดดดครับ และช่วย confirm หน่อยนะครับว่า กาแฟ เป็นสินค้าเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกรองจากธุรกิจปิโตรเลียม ดังที่เค้าว่ากันจริงรึเปล่าครับ จากคุณ : naimaew1 เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:08:41

ความคิดเห็นที่ 23 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:09:13

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ naimaew1 เราได้ยินในคลิปยูทูป แต่เราว่าเขาคงพูดแบบอุปมามากกว่า ว่ามีค่าเหมือนน้ำมันอะไรเงี้ย แต่ว่า Wiki บอกว่าเป็นพืชที่มีการส่งออกอย่างถูกต้องตามกฎหมายซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก ในปี ค.ศ. 2005 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:11:43

ความคิดเห็นที่ 25 การผลิตเมล็ดกาแฟ ผลกาแฟและเมล็ดกาแฟต้องผ่านกระบวนการมากมายก่อนที่จะกลายมาเป็นเมล็ดกาแฟคั่ว ขั้นแรก กาแฟจะถูกเลือกสรร โดยใช้มือเป็นส่วนใหญ่ จากนั้น นำมาจัดเรียงตามความสุก สี จากนั้นเนื้อกาแฟจะถูกนำออกโดยเครื่องจักร ส่วนเมล็ดกาแฟจะถูกหมักเพื่อกำจัดชั้นเมือกบาง ๆ ที่เกาะอยู่ตามเมล็ด เมื่อกระบวนการหมักเสร็จสิ้น เมล็ดกาแฟจะถูกล้างทำความสะอาดโดยใช้น้ำบริสุทธิ์คุณภาพสูงเพื่อกำจัดกากที่เกิดจากการหมัก ซึ่งก่อให้เกิดน้ำเสียที่มีการปนเปื้อนสูงปริมาณมาก หลังจากนั้น เมล็ดกาแฟจะถูกนำไปตากแห้ง จัดเรียงและระบุว่าเป็นเมล็ดกาแฟเขียว จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:16:15

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ เนี่ยๆๆ คลิปนี้จ้า ที่เขาบอก ^_^ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:17:27

ความคิดเห็นที่ 27 การคั่ว ขั้นตอนต่อไปคือการคั่วเมล็ดกาแฟเขียวด้วยความร้อน การคั่วเมล็ดกาแฟ คือ การเปลี่ยนคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของเมล็ดกาแฟเขียวๆ ให้เป็นผลผลิตกาแฟ ถ้ากาแฟไม่คั่วเลยจะไม่อร่อย โดยปกติแล้ว กาแฟมักจะถูกจำหน่ายหลังจากคั่วแล้ว กาแฟสามารถคั่วได้โดยผู้ประกอบการหรือคั่วเองได้ที่บ้าน  กระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟจะส่งผลต่อรสชาติของเมล็ดกาแฟ กระบวนการคั่วเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ในการที่จะได้กาแฟรสชาติดีสักถ้วยหนึ่ง เมื่อถูกคั่ว เมล็ดกาแฟสีเขียวก็จะพองออกจนเกือบจะมีขนาดเป็นสองเท่าของของเดิม(เหมือนป็อปคอร์น) พร้อมทั้งเปลี่ยนสีและความหนาแน่นไป เมื่อเมล็ดได้รับความร้อน มันจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและในที่สุดก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แบบสีของผลอบเชย (cinnamon) และมันก็จะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถูกยกออกจากความร้อน พร้อมกันนี้ เราก็จะเห็นน้ำมันออกมาตามผิวของเมล็ด กระบวนการคั่วจะเริ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิภายในเมล็ดกาแฟสูงถึง 200 องศา C แม้ว่าเมล็ดกาแฟแต่ละประเภทจะมีความชื้นและความหนาแน่นที่แตกต่างกัน และยังคั่วด้วยอัตราเร็วที่แตกต่างกัน เมล็ดกาแฟที่ยังไม่ได้คั่ว ที่อายุต่างๆกัน http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 00:22:34 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:21:54

ความคิดเห็นที่ 28 กินกาแฟทุกวันเลย ติดแล้ว ๆ ^ ^ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:23:40

ความคิดเห็นที่ 29 ระหว่างการคั่ว ปฏิกิริยารีดอกซ์ของน้ำตาลจะเกิดขึ้นภายในเมล็ดกาแฟ หลังจากที่ความร้อนมหาศาลได้เผาแป้งที่อยู่ในเมล็ดกาแฟ และเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวซึ่งจะเริ่มเกรียม และเปลี่ยนสีของเมล็ดกาแฟ ระหว่างกระบวนการคั่ว เมล็ดกาแฟจะสูญเสียซูโครสอย่างรวดเร็วและอาจสูญเสียไปทั้งหมดหากคั่วติดต่อกันเป็นเวลานาน ระหว่างการคั่ว น้ำมันหอม กรดและคาเฟอีนจะอ่อนลง  ที่อุณหภูมิ 205 °C น้ำมันชนิดอื่นจะขยายขึ้น หนึ่งในนั้นคือ caffeol ซึ่งเกิดขึ้นที่อุณหภูมิ 200 °C ซึ่งทำให้กาแฟมีกลิ่นและรสชาติอร่อย พอคั่วแล้วสีเปลี่ยนดังนี้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:24:31

ความคิดเห็นที่ 30 ลงชื่อพร้อมโหวตไว้อ่านพรุ่งนี้นะครับ ง่วงจังเลยไม่ไหวแล้ว จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:25:14

ความคิดเห็นที่ 31 หวัดดีจ้าคุณลาบ นอนไม่หลับกินกาแฟมาล่ะสิ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:26:23

ความคิดเห็นที่ 32 อ้าว ไม่เห็น เอิ๊กๆ ง่วงแล้วก็บ้ายบาย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:27:04

ความคิดเห็นที่ 33 ยิ่งเมล็ดกาแฟถูกคั่วให้เข้มมากขึ้นเท่าไหร่ รสชาติดั้งเดิมของมันก็จะยิ่งถูกบดบังด้วยรสที่เกิดจากการคั่วมากขึ้นเท่านั้น กาแฟบางประเภทที่ถูกคั่ว จนรสชาติแทบจะไม่ได้บ่งบอกถึงสถานที่ปลูกเลย จะถูกขายโดยใช้ระดับของการคั่วเป็นหลัก โดยเริ่มตั้งแต่ "อบเชยคั่วอ่อนๆ (Light Cinnamon Roast) " ไปจนถึง "การคั่วแบบเวียนนา (Vienna Roast) " และ "การคั่วแบบฝรั่งเศส (French Roast) " และอื่นๆ การคั่วให้เมล็ดกาแฟมีสีเข้มมักจะทำให้เมล็ดกาแฟมีผิวเรียบขึ้น เพราะว่าเมล็ดกาแฟเหลือใยอาหารอยู่น้อยและจะมีความหวานมากขึ้น การคั่วอ่อน ๆ เมล็ดกาแฟจะเหลือคาเฟอีนสะสมอยู่มาก ทำให้กาแฟมีรสชาติขมอ่อน ๆ และมีรสชาติเข้มขึ้นจากน้ำมันหอมและกรด ซึ่งะสูญเสียไปหากคั่วเมล็ดกาแฟเป็นเวลานาน ระหว่างการคั่วเมล็ดกาแฟ จะก่อให้เกิดกากเล็กน้อยจากผิวของเมล็ดกาแฟภายหลังการคั่วแล้ว นอกจากนี้ ระหว่างกระบวนการอาจมีการกำจัดคาเฟอีนด้วย เมล็ดกาแฟจะถูกกำจัดคาเฟอีนขณะยังเขียวอยู่ มีหลากหลายวิธีในการกำจัดคาเฟอีนออกจากกาแฟ เช่น การแช่เมล็ดกาแฟในน้ำร้อนหรือการอบเมล็ดกาแฟ จากนั้นใช้ตัวทำละลายในการละลายน้ำมันที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ด้วย  การกำจัดคาเฟอีนมักจะทำโดยบริษัทผู้ประกอบการ จากนั้นคาเฟอีนที่ถูกแยกออกมามักจะถูกจำหน่ายให้กับภาคอุตสาหกรรมทางยา http://en.wikipedia.org/wiki/Coffee_roasting http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F ชาร์ตเปรียบเทียบสีการคั่ว จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:30:13

ความคิดเห็นที่ 34 อธิบายเครื่องคั่วกาแฟ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:30:53

ความคิดเห็นที่ 35 การเก็บเกี่ยว การตากแห้ง การคั่ว จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:31:38

ความคิดเห็นที่ 36 การเก็บรักษา เมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วแล้วจำเป็นต้องได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อคงความสดของรสชาติเอาไว้ เงื่อนไขในการคงความสด คือ ความกดอากาศและความเย็น อากาศ ความชื้น ความร้อนและแสงสว่างถือว่าเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่สำคัญในการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟ ถุงที่พับขึ้นนับว่าเป็นวิธีการทั่วไปที่ลูกค้ามักจะใช้ในการซื้อกาแฟนั้นไม่เหมาะสำหรับการเก็บรักษาในเวลานาน เนื่องจากอากาศสามารถเข้าไปในถุงได้ บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมควรจะเป็นบรรจุภัณฑ์ประเภทมีลิ้นทางเดียวเพื่อป้องกันอากาศไม่ให้เข้าไปในบรรจุภัณฑ์นั้น http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:33:48

ความคิดเห็นที่ 37 บาริสต้า เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า บาร์เทนเดอร์ ซึ่งก็คือคนที่ชงกาแฟที่มีเอสเพรสโซเป็นพื้นฐาน A barista (from the Italian for "bartender") is a person, usually a coffee-house employee, who prepares and serves espresso-based coffee drinks http://www.thaibarista.org/ http://en.wikipedia.org/wiki/Barista จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:35:26

ความคิดเห็นที่ 38 ชอบๆๆเรื่องนี้ Coffee prince ใครชอบหนังน้ำเน่าขอแนะนำเลย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:36:48

ความคิดเห็นที่ 39 การเตรียมการ การบด เมล็ดกาแฟจะต้องถูกบดและชงเพื่อที่จะทำเป็นเครื่องดื่ม เมล็ดกาแฟสามารถบดได้หลายวิธี เครื่องบดเลื่อยใช้การหมุนในการตัดเมล็ดให้ขาดออกจากกัน เครื่องบดไฟฟ้าใช้การอัดกระแทกของใบมีดทื่อที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ไปจนถึงการใช้โกร่งบดยา An old-fashioned manual coffee grinder http://en.wikipedia.org/wiki/Coffee_preparation จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:39:19

ความคิดเห็นที่ 40 กาแฟสามารถชงได้หลายวิธี 1.การต้มเดือด o กาแฟตุรกี วิธีการดั้งเดิมในการชงกาแฟ ซึ่งยังคงใช้อยู่ในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ตุรกี และกรีซ ได้แก่การต้มผงกาแฟละเอียดเข้ากับน้ำในหม้อคอคอด ซึ่งเรียกว่าไอบริก (ibrik) ในภาษาอารบิก, เซสฟ์ (cezve) ในภาษาตุรกี, และเซสวา (dzezva) ในภาษาเซอร์โบ-โครเอเชียน และปล่อยให้เดือดเล็กน้อย บางครั้งก็จะเติมน้ำตาลเข้าไปในหม้อด้วยเพื่อเพิ่มรสหวาน และยังเพิ่มรสและกลิ่นด้วยกระวาน (cardamom) ผลที่ได้คือกาแฟเข้มข้นถ้วยเล็กๆ มีฟองอยู่ข้างบน และกากกาแฟกองหนาเหมือนโคลนอยู่ที่ก้น รูปหม้อไอบริก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:40:41

ความคิดเห็นที่ 41 การใช้ความดัน: เอสเพรสโซ ถูกชงด้วยน้ำเดือดอ้ดความดัน และมักเป็นพื้นฐานนำไปผสมกาแฟหลายๆ ชนิด หรือไม่ก็เสิร์ฟเปล่าๆ ก็ได้ (มักจะเป็นหลังจากมื้อค่ำ) กาแฟชนิดนี้เป็นหนึ่งในประเภทที่แรงที่สุดที่ดื่มกันโดยทั่วไป และมีรสชาติและความมัน (crema) ที่เป็นเอกลักษณ์ รูปเครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ Automatic coffee maker จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:43:04

ความคิดเห็นที่ 42 เครื่องชงกาแฟแบบใช้น้ำร้อนซึม (หรือหม้อม็อคค่า) มีลักษณะแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยส่วนล่างใช้สำหรับต้มน้ำ เพื่อให้ไอลอยขึ้นไปยังกากกาแฟซึ่งอยู่ในส่วนตรงกลาง น้ำกาแฟที่ได้ ซึ่งมักมีความเข้มข้นระดับเดียวกับเอสเพรสโซ จะถูกเก็บอยู่ในส่วนบนสุด ส่วนที่มักวางติดกับเครื่องอุ่นหรือเตา เครื่องบางแบบยังอาจมีฝา 5 แก้วหรือพลาสติกใสเพื่อเอาไว้ดูกาแฟตอนที่มันลอยขึ้นข้างบน http://en.wikipedia.org/wiki/Coffee_preparation moka pot A variation on the a moka pot (the upper section formed as a coffee fountain). จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:47:11

ความคิดเห็นที่ 43 การใช้แรงโน้มถ่วง: การชงแบบหยด (หรือแบบกรอง) เป็นการหยดน้ำร้อนผ่านกากกาแฟที่วางอยู่ในที่กรอง (อาจเป็นกระดาษหรือโลหะเจาะรู) ความเข้มขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างน้ำกับกาแฟ แต่โดยปกติแล้วจะไม่เข้มข้นเท่าเอสเพรสโซ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:49:11

ความคิดเห็นที่ 44 Making coffee จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:50:05

ความคิดเห็นที่ 45 การนำเสนอ เมื่อผ่านการต้มแล้ว กาแฟสามารถนำเสนอได้ในหลายรูปแบบ การต้มหยด ซึม หรือกาแฟที่ทำมาจากเครื่องต้มกาแฟสามารถดื่มได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสารปรุงแต่งเพิ่มเติม หรืออาจจะใส่น้ำตาล นม ครีมหรือทั้งคู่ และยังสามารถเสิร์ฟในน้ำแข็งได้อีกด้วย ประเภทของกาแฟ เคยมั้ยเข้าไปร้านกาแฟ เงยหน้าขึ้นดูเมนูแล้วงงมาก Technical term อะไรมันจะซับซ้อนปานนั้น ไม่รู้จะสั่งอะไร ยิ่งไม่ค่อยได้กินกาแฟอย่างเราแค่จะเอาคาเฟอีนแล้วด้วยเนี่ยงงมากๆ เลยชี้มั่วๆไปซักอันนึง วันนี้เอาเมนูต่างๆมาให้ดูกัน เข้าใจง่ายดีนะ ใครอยากไปทำตามมั่ง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:51:27

ความคิดเห็นที่ 46 เมนูกาแฟ จาสั่งอะไรดีน้า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:52:24

ความคิดเห็นที่ 47 ส่วนกาแฟเอสเพรสโซ่ใช้วิธีการพาสเจอร์ไรซ์ร้อน แต่ไม่ถึงกับเดือด โดยให้น้ำไหลผ่านผงกาแฟ ผลจากการต้มภายใต้แรงดันสูงประมาณ 9-10 หน่วยบรรยากาศ ทำให้เครื่องดื่มเอสเพรสโซ่มีรสแรงมาก คิดเป็น 10-15 เท่าของกาแฟที่ใช้วิธีแรงโน้มถ่วง และมีองค์ประกอบทางกายภาพและทางเคมีที่ซับซ้อน กาแฟเอสเพรสโซ่ชั้นดีจะมีครีมสีน้ำตาลแดงลอยอยู่บนผิวหน้า ที่เรียกว่า "ครีม่า" กาแฟประเภทเอสเพรสโซมีวิธีการนำเสนอหลากหลายรูปแบบ ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด กาแฟเอสเพรสโซสามารถดื่มได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเพิ่มเติม ส่วนเครื่องดื่ม "อเมริกาโน" ซึ่งได้ชื่อมาจากทหารอเมริกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่ทหารเหล่านั้นคิดว่ากาแฟเอสเพรสโซ่ในแบบของชาวยุโรปนั้นมีรสชาติแรงเกินไป จึงมีการทำให้เจือจางโดยใส่น้ำมากขึ้นกว่ากาแฟเอสเพรสโซ่ กาแฟอเมริกาโนควรจะเสิร์ฟพร้อมกับเอสพรสโซช็อตเพื่อรักษาครีมาเอาไว้ รูปเอสเพรสโซมีครีมา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_note-Levy-59 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:53:31

ความคิดเห็นที่ 48 กาแฟเอสเพรสโซหลายรูปแบบสามารถใส่นมเพื่อปรุงแต่งได้ เมื่อเพิ่มนมร้อนในกาแฟเอสเพรสโซแล้ว จะเรียกว่า "ลาเต" กาแฟเอสเพรสโซและนมในปริมาณที่เท่า ๆ กัน จะได้ "คาปูชิโน" และยังมีการใช้นมร้อนในการวาดลวดลายบนผิวหน้าของกาแฟ ซึ่งเรียกว่า ศิลปะลาเต เรามาดูศิลปะลาเต้กัน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:54:51

ความคิดเห็นที่ 49 กาแฟจำนวนมากถูกจำหน่ายให้แก่ลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ไม่มีเวลาที่จะทำกาแฟของตนเอง กาแฟประเภทนี้ ได้แก่ กาแฟสำเร็จรูป ซึ่งถูกทำให้แห้งจนกลายเป็นผงแป้งที่สามารถละลายน้ำได้ หรือการทำให้แห้งจนเป็นเมล็ดขนาดเล็กซึ่งสามารถละลายได้อย่างรวดเร็วในน้ำ กาแฟกระป๋องเป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในชาวเอเชียเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ผู้ผลิตได้ใช้เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติในการจำหน่ายกาแฟกระป๋องหลายรูปแบบ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F#cite_note-Levy-59 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:56:13

ความคิดเห็นที่ 50 กาแฟ จัดว่าเป็นเครื่องดื่มทางวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มานาน ประชากรวัยผู้ใหญ่ในอเมริกามากกว่า 80% บริโภคคาเฟอีนอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับแขกด้วยกาแฟ การเสิร์ฟมื้อว่างด้วยกาแฟ (coffee break) และเป็นเครื่องดื่มที่มีอยู่ประจำในสำนักงานแทบทุกแห่ง เพลงกาแฟ น่ารัก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:58:02

ความคิดเห็นที่ 51 นอกจากนี้ วิถีชีวิตในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ การทำงานที่ต้องแข่งขันกับเวลา กาแฟจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมนูมื้อเช้าสำหรับหลายๆ คน สิ่งที่คอกาแฟทั้งหลายปรารถนาที่จะได้รับทุกครั้งเมื่อจิบกาแฟสักถ้วย ได้แก่ กลิ่นอันหอมกรุ่น รสชาติแสนกลมกล่อม ตามมาด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและตื่นตัวในการทำงาน เราเคยขับรถไปทำงานตอนเช้า ออกจากบ้าน 6 โมงเช้า ขับไปถึงครึ่งทางต้องแวะโด๊ปกาแฟ 1 แก้ว เพื่อขับซิ่งต่ออีก 1 ชั่วโมง เป็นอย่างนี้ทุกวันอยู่สามเดือน ทั้งๆที่ไม่ได้ชอบกินกาแฟเลย !!! จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 00:59:05

ความคิดเห็นที่ 52 คุณเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่า นอกจากความพึงพอใจในกลิ่น รสชาติ และความรู้สึกตื่นตัวนั้น คุณได้อะไรจากการดื่มกาแฟอีกบ้าง สิ่งที่ได้อาจไม่ใช่ผลดีเพียงอย่างเดียว หากไม่รู้จักควบคุมปริมาณการดื่มให้เหมาะสม แน่นอนว่าคุณอาจได้รับผลอันไม่พึงปรารถนาจากการดื่มกาแฟไปด้วย http://www.doctor.or.th/node/10283 อันนี้ก็ตลก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:00:05

ความคิดเห็นที่ 53 กาเฟอีน (caffeine) เป็นสารประกอบที่พบในเมล็ดกาแฟ เมล็ดโกโก้ ใบชา เป็นต้น กาเฟอีนบริสุทธิ์นั้น มีลักษณะเป็นผลึกรูปเข็ม ไม่มีกลิ่น และมีรสขม ปริมาณกาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน กาแฟที่ชงจากเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าจะมีปริมาณกาเฟอีนสูงกว่าเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกา นอกจากนี้ กรรมวิธีในการชงและปริมาณผงกาแฟที่เติม ก็มีผลต่อปริมาณกาเฟอีนที่แตกต่างกัน ดังตาราง http://www.doctor.or.th/node/10283 http://www.doctor.or.th/node/1444 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:01:34

ความคิดเห็นที่ 54 การดื่มกาแฟ 1 ถ้วย (150 มิลลิลิตร) จะได้รับกาเฟอีนประมาณ 60-150 มิลลิกรัม ดื่มชา 1 ถ้วย จะได้รับกาเฟอีนประมาณ 40-80 มิลลิกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการชงและชนิดของกาแฟหรือชา คนทั่วไปมักคิดว่าแหล่งของการได้รับกาเฟอีนมาจากการดื่มชาหรือกาแฟ แต่ความจริง "กาเฟอีน" (cafeine) เป็นสารเคมีที่พบในส่วนต่างๆของพืชกว่า ๖๐ ชนิด ได้แก่ เมล็ดกาแฟ ใบชา ผลโกโก้ ผลโคล่า มาเต้ กัวราน่า เป็นต้น พืชเหล่านี้สร้างกาเฟอีนขึ้นสะสมในส่วนต่างๆ ปริมาณมากน้อยต่างกันตามชนิดและสายพันธุ์ โกโก้ (ของโปรด) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:04:12

ความคิดเห็นที่ 55 รู้จักกาแฟอีน กาเฟอีนจัดเป็นสารเคมีประเภทอัลคาลอยด์สามารถสกัดออกมาจากส่วนของพืชที่มีกาเฟอีนเป็นองค์ประกอบสารที่ได้เป็นผงสีขาว มีรสขม ละลายน้ำได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วภายใน 15 นาที ออกฤทธิ์ได้นาน 3-4 ชั่วโมง กาเฟอีนมีฤทธิ์สำคัญในการกระตุ้นการทำงานของสมองทำให้ระบบประสาทตื่นตัว และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ลดอาการง่วงนอน และเพิ่มความทนในการออกกำลังกาย โดยไปชะลอความเมื่อยล้า ทำให้สามารถออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาได้นานขึ้น จึงเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตเครื่องดื่ม เช่น กาแฟ ชา โกโก้ น้ำอัดลมประเภทโคล่า และเครื่องดื่มชูกำลังชนิดต่างๆ   ปัจจุบันมีการนำสารกาเฟอีนสังเคราะห์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นตามกระบวนการทางเคมี มาใช้ในการผลิตเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนหลายประเภท เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม กาแฟหรือชาพร้อมดื่มบรรจุกระป๋อง หรือขวด เพื่อคงปริมาณกาเฟอีนให้อยู่ในระดับที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ หรือลดต้นทุนการผลิต โดยลดปริมาณวัตถุดิบจากธรรมชาติแต่ผสมกาเฟอีนสังเคราะห์ลงไปแทน การดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้วันละหลายขวดหรือหลาย กระป๋องอาจทำให้ร่างกายได้รับกาเฟอีนปริมาณมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้กำหนดให้เครื่องดื่มผสมกาเฟอีนมีกาเฟอีนเป็นส่วนผสมได้ไม่เกิน 50มิลลิกรัมต่อหน่วยบรรจุ โมเลกุลกาเฟอีน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:06:29

ความคิดเห็นที่ 56 กาเฟอีนในอาหาร นอกจากเครื่องดื่มแล้วเรายังได้รับกาเฟอีนจากอาหารอื่น เช่น ช็อกโกแลต ขนมที่มีส่วนประกอบของช็อกโกแลตหรือกาแฟ เช่น ลูกอม เค้ก ขนมขบเคี้ยวสอดไส้ต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมของเด็กทั่วไป คนมีโอกาสได้รับกาเฟอีนจากอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด ในปริมาณมากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล เด็กนิยมดื่มน้ำอัดลมและกินช็อกโกแลต วัยรุ่นนิยมดื่มน้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟกระป๋อง ผู้ใหญ่วัยทำงานนิยมดื่มชา กาแฟ ผู้ใช้แรงงานและนักกีฬานิยมดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ชนชาติที่ดื่มชากาแฟเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เช่น คนยุโรปมีการบริโภคกาเฟอีนสูงถึงวันละ 300-400 มิลลิกรัม ปัจจุบันกระแสการบริโภคกาแฟ ชาเขียว น้ำอัดลม และเครื่องดื่มชูกำลัง กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคมากขึ้น ดังนั้นการบริโภคกาเฟอีนในคนไทยน่าจะมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น http://www.doctor.or.th/node/1444 ตารางปริมาณกาเฟอีนในอาหารต่างๆ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 01:08:58 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:08:15

ความคิดเห็นที่ 57 เอาใหม่ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:10:28

ความคิดเห็นที่ 58 ปริมาณของคาเฟอีนที่มีผลต่อร่างกายและอารมณ์ กาเฟอีนขนาดต่ำ (50-200 มก.)  จะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า สดชื่น ไม่ง่วงนอน กาเฟอีนขนาดปานกลาง (200-500 มก.)  อาจทำให้ปวดศีรษะ เครียด กระวนกระวาย มือสั่น นอนไม่หลับ กาเฟอีนขนาดสูง (1,000 มก.) จะเริ่มทำให้เกิดกาเฟอีนเป็นพิษ ซึ่งจะมีอาการกระสับกระส่ายอยู่นิ่งไม่ได้ หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปัสสาวะบ่อย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:11:16

ความคิดเห็นที่ 59 ปริมาณกาเฟอีนเท่าไร จึงจะปลอดภัย มีการศึกษาพบว่าการได้รับกาเฟอีนวันละไม่เกิน 300 มิลลิกรัม (เท่ากับกาแฟ 150 มิลลิลิตร 2-3 ถ้วย หรือน้ำอัดลม 6-8 กระป๋อง) ไม่ก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ สภาพร่างกายของแต่ละบุคคลมีความไว (sensitivity) ต่อปริมาณกาเฟอีนแตกต่างกัน การดื่มกาแฟ 1 ถ้วยเท่ากัน อาจทำให้คนที่ไวต่อกาเฟอีน ใจสั่น นอนไม่หลับ แต่ไม่มีผลกับอีกคนหนึ่งที่มีความทนทานมากกว่า อย่างไรก็ตาม องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้กำหนดปริมาณกาเฟอีนที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคือ ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบได้กับการดื่มกาแฟไม่เกิน 3 ถ้วยต่อวัน http://www.doctor.or.th/node/10283 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:12:09

ความคิดเห็นที่ 60 การเปลี่ยนแปลงของร่างกายและอารมณ์หลังจากดื่มกาแฟ กาเฟอีนในกาแฟถูกดูดซึมได้หมดและค่อนข้างเร็วในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะท้องว่างการดูดซึมจะยิ่งเร็วขึ้น ภายหลังจากการดื่มกาแฟ 30-60 นาที ความเข้มข้นของกาเฟอีนในเลือดจะขึ้นสู่ระดับสูงสุด และหลังจากกาเฟอีนถูกดูดซึม จะกระจายตัวไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอวัยวะที่มีเลือดไปเลี้ยงมาก เช่น หัวใจ ตับ ไต และสมอง นอกจากนี้ กาเฟอีนยังสามารถกระจายสู่รกและน้ำนมได้บ้างประมาณร้อยละ 0.06 การขับกาเฟอีนออกจากร่างกายจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุและสภาพร่างกาย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ใหญ่จะใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงในการขับกาเฟอีนปริมาณครึ่งหนึ่งที่ได้รับ (half-life) ออกจากร่างกาย http://www.doctor.or.th/node/10283 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:13:05

ความคิดเห็นที่ 61 หากดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ จะเกิดผลดีต่อร่างกายดังนี้ * กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัว ลดอาการง่วงนอน  เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานต่อเนื่อง เช่น ทำงานรอบดึก ควบคุมเครื่องจักรกล รวมถึงผู้ขับขี่รถยนต์ระยะทางไกลๆ โดยกลไกการออกฤทธิ์กระตุ้นของกาเฟอีนนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากกาเฟอีนไปยับยั้งการทำงานของสารอะดีโนซีน (adenosine) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ห้ามการหลั่งของสารสื่อประสาทในร่างกาย เมื่อสารอะดีโนซีนไม่สามารถทำงานได้ ทำให้เซลล์ประสาทมีความไวมากกว่าปกติ ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายตื่นตัว ลดอาการง่วงนอน * ช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย กลไกนี้มาจากข้อสันนิษฐานที่ว่า กาเฟอีนจะไปกระตุ้นการหลั่งของสารสื่อประสาทเคทีโคลามีน (cetecholamine) ซึ่งจะไปกระตุ้นการสลายไขมันในเนื้อเยื่อให้เป็นพลังงาน ดังนั้นคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปไกลโคเจน (glycogen) จึงยังคงเป็นแหล่งพลังงานสำรองที่สะสมในกล้ามเนื้อ ร่างกายจึงทนทานต่อกิจกรรมที่ใช้แรงมากได้นานขึ้น มีการศึกษาว่ากาเฟอีนช่วยเรื่องโรคหลอดเลือดหัวใจหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ http://www.americanheart.org/presenter.jhtml?identifier=4445 http://www.doctor.or.th/node/10283 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:14:54

ความคิดเห็นที่ 62 หากดื่มกาแฟปริมาณมากเกินไป จะเกิดผลเสียต่อร่างกายดังนี้ * หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ เต้นไม่เป็นจังหวะ เนื่องจากกาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง อัตราการบีบตัวของหัวใจและปริมาณเลือดที่สูบฉีดต่อนาทีจะเพิ่มขึ้น * นอนไม่หลับ (increase sleep latency) ,หากร่างกายได้รับกาเฟอีนสูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน จะทำให้นอนหลับยาก หลับไม่สนิท และช่วงเวลาที่หลับนั้นสั้นลง * เร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร กาเฟอีนมีฤทธิ์ไปกระตุ้นการหลั่งกรดเพปซิน (pepsin) และแกสตริน (gastrin) อาจทำให้โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้รุนแรงขึ้นได้ * ปัสสาวะบ่อยๆ กาเฟอีนมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ โดยจะไปลดการดูดกลับของโซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียมจากหน่วยไต แร่ธาตุเหล่านี้จะถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ จึงมีข้อสันนิษฐานว่า หากมีการสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายบ่อยๆ ในปริมาณมาก อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในหญิงวัยหมดประจำเดือนได้ * ปวดศีรษะ ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ หากหยุดดื่มกะทันหันจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ กระสับกระส่าย ร่างกายอ่อนเพลีย และง่วงนอน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:16:35

ความคิดเห็นที่ 63 โรคทางจิตเวช Anxiety and Panic Disorder แม้จะไม่เคยมีการพูดถึงกาเฟอีนว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรควิตกกังวล generalize anxiety disorder หรือโรคตกใจกลัว panic disorder แต่มีรายงานว่า คาเฟอีนสามารถทำให้โรคแย่ลง และยังสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการคล้ายกับโรคนี้ได้ และกาเฟอีนยังส่งผลกระทบกระเทือนต่อประสิทธิภาพของยารักษาโรคกังวลคือยา Benzodiazepine ด้วย http://www.ramamental.com/ Depression โรคซึมเศร้า ด้วยเหตุที่หลายคนกล่าวอ้างว่า คาเฟอีนเป็น mood elevator ซึ่งก็อาจจะจริงในช่วงแรก หลังจากกิน เพราะมีการศึกษาว่าถ้าใช้อย่างต่อเนื่องทำให้อาการซึมเศร้านั้นแย่ลง Greden (1978) และ Gilliland (1981) ได้ศึกษาทั้งในผู้ป่วยจิตเวชแลนักศึกษาที่ไม่ป่วย ผลปรากฏว่าระดับความซึมเศร้าสัมพันธ์กับปริมาณกาเฟอีนที่กิน http://www.ramamental.com/ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:18:15

ความคิดเห็นที่ 64 กาเฟอีนทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่ มีข้อสงสัยมานานแล้วว่ากาเฟอีนอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งหลายชนิด แต่ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันได้แน่ชัดว่ากาเฟอีนจะเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง ไม่ว่าจากสมาคมโรคมะเร็งแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (American Cancer Society) หรือจากการศึกษาอื่นๆ บางรายงานที่พบว่ากาเฟอีนหรือกาแฟทำให้เกิดมะเร็ง ส่วนใหญ่ มักจะละเลยปัจจัยการดื่มสุราหรือสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดมะเร็ง การวิจัยที่มีการควบคุมปัจจัยเสี่ยงไม่เพียงพอ รวมทั้งละเลยประเด็นผลตกต้างของการดื่มสุรา หรือการสูบบุหรี่ซึ่งยังคง อยู่อีกนาน แม้จะเลิกดื่มสุราหรือเลิกสูบบุหรี่แล้วก็ตาม ปัจจัยเสี่ยง เหล่านี้และผลตกค้างของการดื่มสุราหรือการสูบบุหรี่อาจเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งแทนที่จะเกิดจากกาเฟอีน กาเฟอีนทำให้ความดันเลือดสูงหรือไม่ จากการศึกษาโดยนักวิจัยหลายกลุ่มพบว่า คนที่ไม่ดื่มหรือดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนเป็นครั้งคราว กาเฟอีนทำให้ความดันเลือดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่เป็นการเพิ่มชั่วคราว ส่วนผู้ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นประจำจะไม่มีผลต่อความ ดันเลือด http://www.doctor.or.th/node/2504 http://www.doctor.or.th/node/10283 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:19:24

ความคิดเห็นที่ 65 โคล่ามีผลกับอสุจิหรือไม่ NEW YORK (Reuters Health) จากผลการศึกษาในผู้ชาย 2500 คนบอกว่าผู้ชายที่ดื่มโคล่าวันละควอท quart ทุกวันอาจส่งผลร้ายต่อตัวอสุจิ โดยเฉลี่ยแล้วจะมีจำนวนอสุจิน้อยกว่าคนไม่ได้ดื่ม 30 %  แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในขั้นปกติเมื่อใช้เกณฑ์ของ WHO แต่ว่าไม่น่าจะเกิดจากกาเฟอีน เพราะคนที่กินกาแฟไม่มีผลให้ลดอสุจิ น่าจะเกิดจากส่วนประกอบอื่นในน้ำโคลามากกว่า SOURCE: American Journal of Epidemiology, online March 25, 2010. http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/news/fullstory_96992.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:20:19

ความคิดเห็นที่ 66 ขอปาดหน่อยนะ...อ่านไปแข็งไป ตาแข็งนะ อิอิ... จากคุณ : FlyingChicken เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:21:14

ความคิดเห็นที่ 67 กาเฟอีนเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานหรือไม่ กาเฟอีนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานบางประเภทเท่านั้น เช่น งานที่ไม่ต้องใช้ฝีมือ งานที่ทำในเวลากลางคืน และเนื่องจากกาเฟอีนไม่มีผลต่อความฉลาด ดังนั้นงานที่ต้องใช้ความคิด เช่น การทำข้อสอบจะไม่ดีขึ้น การดื่มกาแฟระหว่างตั้งครรภ์ จะเป็นอันตรายหรือไม่ กาเฟอีนที่แม่ได้รับสามารถผ่านไปยังทารกในครรภ์ได้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลแก่ทารกได้เช่นเดียวกับผลที่เกิดในผู้ใหญ่ การศึกษาและทดลองในหนูพบว่ากาเฟอีนไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดลูกที่พิการ การแท้งลูก การคลอดลูกก่อนกำหนด หรือคลอดลูกน้ำหนักน้อยกว่าปกติ กาเฟอีนเป็นอันตรายต่อ เด็กหรือไม่ ถ้าได้รับไม่มากเกินไป กาเฟอีนไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก แต่บางครั้งเด็กอาจได้รับกาเฟอีนโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของทั้งเด็กและผู้ปกครอง ซึ่งอาจเกิดจากการดื่มน้ำอัดลมที่มีกาเฟอีนมากเกินไป หรือการกินช็อกโกแลตมากเกินไป ในกรณีเช่นนี้จะเห็นผลที่เกิดจากการกระตุ้นสมองได้ เช่น นอนไม่ หลับ กระวนกระวาย หงุดหงิดง่าย เป็นต้น http://www.doctor.or.th/node/2504 http://www.doctor.or.th/node/10283 ผู้ชายก็เหมือนกาแฟ ชิมิ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:22:34

ความคิดเห็นที่ 68 กาแฟจัดว่าเป็นสารเสพติดหรือไม่ ดร.ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาต อดีตผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า "การดื่มกาแฟ เป็นความเคยชินมากกว่า เคยชินจนเป็นนิสัยส่วนตัว สิ่งที่จะเรียกว่าติดได้ คือ จะต้องรับเป็นประจำและปริมาณต้องเพิ่มขึ้น แต่กาแฟไม่ได้ทำให้ต้องการเพิ่มขึ้น อีกเหตุผลหนึ่งคือ อาการทางสรีรวิทยา กรณีของสารเสพติด หากไม่ได้รับจะมีอาการลงแดง ทนไม่ไหว แต่ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟ จะไม่มีผลอย่างนั้น คนที่ต้องดื่มกาแฟเป็นประจำ ไม่ใช่การติด แต่เป็นนิสัย ข้อมูลสนับสนุนทางด้านวิทยาศาสตร์อีกประการหนึ่ง คือ สารเสพติดจำพวก แอมเฟตามีน (ยาบ้า) มอร์ฟีน นิโคติน มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการหลั่งของโดพามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับอาการเสพติด แต่กาเฟอีนไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น http://www.doctor.or.th/node/10283 จาก American heart association บอกว่า Caffeine-habituated individuals คนที่ติดการกินกาแฟเป็นนิสัยจะมีอาการถอนคาเฟอีน "caffeine withdrawal" ใน 24-48 ชั่วโมง อาจมีอาการปวดหัวเป็นหลัก นอกจากนั้นก็มีอาการวิตกกังวล อ่อนเพลีย ง่วงและซึมเศร้า http://www.americanheart.org/presenter.jhtml?identifier=4445 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:24:17

ความคิดเห็นที่ 69 Intervention ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการช่วยใหลดการบริโภคคาเฟอีนคือ การสนับสนุนให้ค่อย ๆ ลดปริมาณการบริโภคลงภายในระยะเวลา 7-14 วัน เพื่อป้องกันอาการขาดยาที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยควรได้รับการสอนให้รู้จักการทำ self - monitor ปริมาณคาเฟอีนที่ตนบริโภค เช่น จดบันทึกปริมาณที่ตัวเองดื่ม ซึ่งอาจมีปริมาณสูงมากจนคาดไม่ถึง รวมทั้งให้คำแนะนำถึงวิธีการจำกัดปริมาณ เช่น การลดขนาดของถ้วยกาแฟและจำกัดจำนวนครั้งในการดื่มต่อวัน หรืออาจเปลี่ยนไปใช้เครื่องดื่มอื่นๆที่มีกาเฟอีนต่ำกว่า ควรมีการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับคาเฟอีนในสังคมทั่วไป เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยตระหนักและไม่ยอมรับถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นของกาเฟอีน ใครติดกาแฟบ้างยกมือขึ้น  (คุณลาบยกมือหยอยๆ) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:26:37

ความคิดเห็นที่ 70 ดื่มกาแฟอย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และเกิดผลเสียน้อยที่สุด 1. ควรสังเกตว่าตัวคุณเอง มีความไวของการตอบสนองต่อปริมาณกาแฟกี่ถ้วย มีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสมสำหรับตนเอง 2. หากมีอาการนอนหลับยาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือช่วงหัวค่ำ 3. ไม่ควรดื่มกาแฟขณะท้องว่าง เนื่องจากกาเฟอีนเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร 4. ไม่ควรดื่มกาแฟเพื่อหักโหมทำงาน และอดนอนติดต่อกันหลายๆ คืน แม้ว่ากาเฟอีนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวจริง แต่สมองต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้ 5. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของกาเฟอีน ไม่งั้นตาค้างเหมือนแมวตัวนี้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:28:56

ความคิดเห็นที่ 71 จบด้วยเพลงของแฟรงค์ ซินาตร้า Coffee song Coffee Song, The lyrics Way down among Brazilians Coffee beans grow by the billions So they've got to find those extra cups to fill They've got an awful lot of coffee in Brazil You can't get cherry soda'Cause they've got to fill that quota And the way things are I'll bet they never will They've got a zillion tons of coffee in Brazil No tea or tomato juice You'll see no potato juice The planters down in Santos all say no no no The politician's daughter Was accused of drinking water And was fined a great big fifty dollar bill They've got an awful lot of coffee in Brazil You date a girl and find out laterShe smells just like a percolator Her perfume was made right on the grill Why they could percolate the ocean in Brazil And when their ham and eggs need savor Coffee ketchup gives 'em flavor Coffee pickles way outsell the dill Why they put coffee in the coffee in Brazil So your lead to the local color Serving coffee with a cruller Dunking doesn't take a lot of skill They've got an awful lot of coffee in Brazil จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:31:14

ความคิดเห็นที่ 72 ไปแซะข้อมูลมาแหละ #27 น่าจะจริง แสดงว่า #22 ได้ข้อมูลไม่ตรงมา มูลค่ากาแฟที่ขายกันทั่วโลกปี 2008 อยู่ที่ประมาณ 27,000 ล้านเหรียญครับ หรือประมาณ แปดแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันล้านบาท (891,000,000,000) คิดเป็นประมาณ 0.2% ของการค้าโลก ส่วนน้ำมันมีมูลค่าการค้าประมาณ 1.5 ล้านล้านเหรียญ คิดเป็น 9% ของการค้าโลกครับ เครดิต: http://comtrade.un.org/pb/CommodityPagesNew.aspx?y=2008&v=true#section2 จากคุณ : naimaew1 เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 01:47:08

ความคิดเห็นที่ 73 โดนย้ายมานอกเรื่องซะละ จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 06:59:08

ความคิดเห็นที่ 74   ถึงว่าไม่เจอ - - จากคุณ : เดอะฟักทอง3/4 เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 08:33:03 A:124.121.90.83 X: TicketID:223361

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณ คุณnaimaew1ที่ตามมาอ่าน แถมยังช่วยหาข้อมูลมาให้อีกต่างหากค่ะ คุณรักความรุนแรงและเดอะฟักทองด้วยค่ะ ขอตัวไปเลียแผลหน่อยค่ะ T T จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 17:13:37

ความคิดเห็นที่ 76 หาตั้งนาน กระทู้อยู่นี่เอง เป็นวิทยาศาสตร์เยอะน้า และข้อมูลมีประโยชน์ด้วย จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 19:52:01

ความคิดเห็นที่ 77 ^ ^ กินกาแฟหน้าหลินปิง ก็ดีขึ้นแล้วค่า ขอบคุณค่า จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 20:14:52

ความคิดเห็นที่ 78 คุณลาบ ใส่น้ำตาลเยอะไปมั้งครับ หวานเชียว จากคุณ : naimaew1 เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 22:41:07

ความคิดเห็นที่ 79 加油 กิ๊ฟสู้ๆ ข้อมูลดีมากๆ ขอบอก เราว่า ปริมาณกาแฟที่เพื่อนๆเรากินตอนเรียนน่ะเอามากองรวมกันคงได้เกินสระว่ายน้ำแน่ๆ จากคุณ : หวงหลิง เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 07:40:56

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณหวงหลิง คิดถึงนะตะเอง ^_^ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 53 11:18:44

ความคิดเห็นที่ 81 แล้วมีข้อมูลเรื่องกาแฟขี้ชะมดไหมครับ เห็นเขาว่าคุณภาพและราคาดีที่สุดในโลก จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 53 09:13:59