ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อก่อนใครได้ยินว่าฉีดยาพิษเข้ารางกายนี่คงจะเป็นเรื่องน่าตกใจมาก  เมื่อพูดคำว่า “โบทูลินั่มท็อกซิน”  ก็ได้เปลี่ยนมาจากเรื่องโรคร้ายแรงถึงชีวิต และอาวุธชีวภาพ มาเป็นเรื่องที่พูดกันในหมู่เพื่อนสาวในร้านกาแฟ ปัจจุบันพิษโบทูลินั่มใช้ในข้อบ่งชี้หลายอย่าง เช่น  การรักษาเหงื่อออกมากเกินไปจากรักแร้และฝ่ามือ กล้ามเนื้อหดเกร็งหลายชนิด ปวดหัว และลดความเจ็บปวดได้ด้วย ใครเอ่ย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 12:46:19

ความคิดเห็นที่ 2 History Botulism เป็น Food poisoning อาหารเป็นพิษอย่างหนึ่ง มีอาการคือ คลื่นไส้ อาเจียน ตามัว ปากแห้ง บางคนอาจถึงขั้นอัมพาต Flaccid paralysis ตายจากกล้ามเนื้อระบบหายใจไม่ทำงาน นายแพทย์Justinus Kerner เป็นคนแรกที่บรรยายอาการแบบนี้แล้วเรียกว่าโบทูลิซึ่ม ซึ่งมาจากคำว่า"sausage poison" เพราะคนที่มีอาการเหล่านี้มักเกิดจากกินเนื้อหรือไส้กรอกที่ปรุงมาไม่เหมาะสม ในภาษาละติน คำว่า botulus แปลว่าไส้กรอก "sausage." http://en.wikipedia.org/wiki/Justinus_Kerner Justinus Kerner จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 12:50:02

ความคิดเห็นที่ 3 botulus แปลว่า ไส้กรอก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 12:52:25

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนในประวัติศาสตร์สมัยใหม่นั้นการระบาดของ Botulinum toxin เริ่มเมื่อปี 1895 ในประเทศเบลเยียม ซึ่งมีคนไปปิกนิกกันแล้วกินแฮมเค็มดิบ มีผู้เสียชีวิตสามรายจากคราวนั้นด้วยอาการอัมพาต ในครั้งนั้น Professor Emile Pierre Marie van Ermengem ก็พบตัวสาเหตุของเหตุปิกนิกมรณะนี้ และเรียกชื่อว่าเชื้อ bacillus botulinus หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนชื่อเป็น Clostridium botulinum Professor พบว่าเชื้อแบคทีเรียนี้ เป็นแบบ anaerobic (ไม่ใช้ออกซิเจน) ,สามารถสร้างสปอร์ได้ ถ้าในสภาวะเหมาะสม สามารถสร้างพิษ (Toxin) ได้ ซึ่งพิษของมันจะไม่ทนต่อความร้อน แต่สามารถทนต่อแอลกอฮอล์ เอ็นไซม์ และกรดอ่อนๆได้ เขายังพบว่า นอกจากสัตว์บางชนิดเมื่อได้รับพิษจะมีอาการอย่างเดียวกันกับในคนแล้ว แต่ในสัตว์บางชนิด เช่น ไก่ และสุนัข ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากพิษนี้ ด้วยการค้นพบทั้งหมดนี้ Professor Emile Pierre Marie van Ermengem จึงสรุปข้อเท็จจริงที่เขาพบได้ดังนี้ 1.Botulism เป็นโรคที่เกิดจากพิษ (Intoxication) ไม่ใช่การติดเชื้อ (Infection) 2.Toxin นี้เกิดขึ้นมาจากอะไรบางอย่างในอาหาร 3.Toxin นี้ทนต่อสารเคมีอย่างอ่อนๆ แต่ไม่ทนความร้อน 4.Toxin นี้ถูกสร้างในอาหารที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบเข้มข้น 5.สิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์จะมีปฏิกริยาต่อ toxin ไม่เหมือนกัน http://www.who.int/csr/delibepidemics/clostridiumbotulism.pdf ****ประวัติยังไม่จบ แต่ขอพูดถึงเชื้อก่อน เดี๋ยวจะงง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 12:55:07

ความคิดเห็นที่ 5 ลักษณะเชื้อ Clostridium  botulinum เชื้อ  Clostridium  botulinum     โดยทั่วไปพบได้ในสิ่งแวดล้อม   แยกได้จาก ดิน น้ำ ผัก เนื้อ นม ลำไส้ และ เหงือกของปลา สัตว์ทะเลอื่นๆ เป็นแบคทีเรียชนิดแกรมบวก รูปร่างเป็นท่อน สร้างสปอร์รูปร่างคล้ายไข่อยู่ปลายเซลล์   เจริญได้ดีในสภาวะไม่มีออกซิเจน  ที่อุณหภูมิ  30-37  องศาเซลเซียส  ในอาหารที่มีค่าความเป็นกรด-ด่างมากกว่า 4.6   สามารถทนต่อสภาวะที่ไม่เหมาะสมได้   www.dmsc.moph.go.th/.../Clostridium%20%20botulinum.doc จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 12:58:00

ความคิดเห็นที่ 6 http://www.vcharkarn.com/varticle/244 แบคทีเรีย Clostridium botulinum ที่ถ่ายรูป และตกแต่งสี เหมือนลูกโป่งเลย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:01:16

ความคิดเห็นที่ 7 ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา เป็นอย่างนี้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:02:37

ความคิดเห็นที่ 8 จะสร้างเกราะหุ้มเซลล์ที่เรียกว่า  สปอร์     ซึ่งสามารถเจริญเติบโตเป็นตัวเชื้อเพิ่มจำนวน  ทุกๆ  20-30  นาที   โดยจะเพิ่มจาก 1 เซลล์  เป็น 2     ดังนั้นถ้าอาหารมีเชื้อปนเปื้อนเพียง 1 เซลล์ ภายใน 10  ชั่วโมง เชื้อจะมีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านเซลล์ www.dmsc.moph.go.th/.../Clostridium%20%20botulinum.doc จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:04:04

ความคิดเห็นที่ 9 ปะปะปาดดดดด ^ ^ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:05:16

ความคิดเห็นที่ 10 สร้างสารพิษประเภท botulinum  toxin หรือ neurotoxin   และแบ่งชนิดของสารพิษตามความจำเพาะเจาะจงของแอนติเจนได้  8 ชนิด  ได้แก่   ชนิด  A ,B , C , C , D  E , F และ G     www.dmsc.moph.go.th/.../Clostridium%20%20botulinum.doc จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:05:19

ความคิดเห็นที่ 11 นี่แน่ๆๆๆๆๆ (เอาเข็มจิ้มลูกโป่งคุณลาบ) แต่ถ้าแบ่งตามสายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติในการย่อยสลายโปรตีนและสร้างสารพิษจะแบ่งเป็น 2  สายพันธุ์ คือ   สายพันธุ์     proteolytic  สร้างสารพิษชนิด  A ,B และ F   สายพันธุ์  nonproteolytic    สร้างสารพิษชนิด B,E และ F สปอร์ของชนิด A, B  ทนอุณหภูมิที่ 100  องศาเซลเซียส  ได้นานถึง 6 ชั่วโมง   ส่วนสปอร์ของชนิด  E   สามารถถูกทำลายได้ที่อุณหภูมิ  80 องศาเซลเซียส    เป็นเวลา 15 นาที   www.dmsc.moph.go.th/.../Clostridium%20%20botulinum.doc ตาราง ชนิดของ  Clostridium  botulinum ก่อโรคในสัตว์ชนิดใด และที่ไหน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:08:04

ความคิดเห็นที่ 12 Poisonous parts พิษ Toxin ของคลอสทรีเดียมนี้เป็นพิษระบบประสาท (neurotoxin) โดยสร้างเป็นสายโพลีเปปไทด์ คาดว่าสารนี้ถูกปลดปล่อยออกมาจากการสลายตัวของแบคทีเรีย (bacterial lysis) http://www.who.int/csr/delibepidemics/clostridiumbotulism.pdf Potent toxin>>> botulinum toxin1 มิลลิกรัม สามารถทำลายชีวิตคนได้ถึงห้าแสนคน ส่วนถ้าพูดถึงเรื่องพิษก็ต้องพูดเรื่อง LD50 จำได้มั้ยเอ่ย ^_^ LD50 ประมาณ  0.005–0.05 µg/kg รูปร่างโพลีเปปไทด์สองสายต่อกันคือ heavy chain (H, 100 kDa) และ light chain (L, 50 kDa)เชื่อมกันโดยพันธะไดซัลไฟด์ http://en.wikipedia.org/wiki/Botulinum_toxin         รูปโมเลกุล Botulinum Toxin จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:10:07

ความคิดเห็นที่ 13 สารพิษที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษและ เป็นอันตรายต่อมนุษย์ มี 4 ชนิดได้แก่ ชนิด A  เป็นสารพิษที่ออกฤทธิ์รุนแรง เมื่อได้รับสารพิษชนิดนี้  จะมีอาการกลืนน้ำลายลำบากและมีอัตราการตายสูงถึงร้อยละ  60-70   สายพันธุ์ที่สร้างสารพิษชนิดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์    proteolytic  อาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อชนิดนี้จะมีกลิ่นเหม็น พบว่าสายพันธุ์ A นี้ก่อโรคมีอุบัติการณ์สูงสุด ชนิด B อาการเมื่อได้รับสารพิษชนิดนี้    จะทำให้เป็นอัมพาตมีอัตราการตายร้อยละ  25  สายพันธุ์ที่สร้างสารพิษชนิดนี้สามารถสร้างได้ทั้งสายพันพันธุ์ที่เป็น  proteolytic และ  สายพันธุ์    nonproteolytic   ซึ่งเป็นชนิดที่ทนความร้อนสูง และมีชีวิตอยู่ในอาหารได้นาน             ชนิด E  พบการระบาดในอาหารทะเล  โดยสายพันธุ์   nonproteolytic    อาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อชนิดนี้จะมีกลิ่นผิดปกติเล็กน้อย  สามารถทำลายได้ง่ายโดยการต้ม           ชนิด F  พบในอาหารทะเลมีการระบาดได้ประปราย  มีอัตราการตายต่ำ www.dmsc.moph.go.th/.../Clostridium%20%20botulinum.doc จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:12:31

ความคิดเห็นที่ 14 Physiology :โบทูลินั่ม ท็อกซิน ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้อย่างไร สารพิษของ  Clostridium  botulinum  มีผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนปลาย สารพิษจะไปเกาะตรงตำแหน่งเยื่อหุ้ม presynaptic  ที่ส่วนท้ายของ  stimulatory motor neurone  ซึ่งจะไปหยุดการหลั่งสารสื่อประสาท ( acetylcholine ) ที่  neuromuscular junction       ส่งผลให้ acetylcholine ไม่สามารถทำปฏิกิริยากับ  muscle receptor  กล้ามเนื้อจึงไม่สามารถส่งกลับสัญญาณได้  จึงเกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เป็นสาเหตุของการเกิดอัมพาต   ถ้าเกิดอัมพาตของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจจะทำให้เสียชีวิตได้   รูป จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:13:31

ความคิดเห็นที่ 15 การก่อโรคและการระบาด ลักษณะการเกิดโรค Botulism มี 3 ลักษณะ คือ 1. Foodborne botulism   เป็นโรค botulism  ที่มีสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อน  สารพิษของ Clostridium botulinum เข้าไปในร่างกาย ระยะฟักตัวของเชื้อประมาณ 12- 36 ชั่วโมง   แต่ระยะฟักตัวอาจลดลงถ้าได้รับสารพิษในปริมาณมาก อาการป่วยเกิดจากสารพิษไปมีผลต่อการทำงานของระบบประสาท   ทำให้เกิดอาการ  มองเห็นภาพซ้อน พูด และ กลืนอาหารลำบาก โดยอาการทางระบบประสาทที่เห็นได้ชัด     ได้แก่ หนังตาตก มองเห็นภาพไม่ชัด  ม่านตาขยายหรือไม่ตอบสนองต่อแสง   ปากแห้ง เจ็บคอ พูดไม่ปะติดปะต่อหรือไม่มีเสียง กลืนอาหารไม่ได้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาตโดยเริ่มจากบริเวณกล้ามเนื้อส่วนศรีษะแล้วลามลงมาสู่ร่างกายท่อนล่าง   จากการสูญเสียระบบการทำงานของประสาทสมอง       จึงทำให้ระบบหายใจล้มเหลว  โดยไม่สามารถหายใจด้วยตนเองได้ ซึ่งหากแก้ไขไม่ทันจะถึงแก่ชีวิตได้ 2. Infant botulism โรค botulism ชนิดนี้มักเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 12   เดือน  สาเหตุมาจากการปนเปื้อน   สปอร์ของเชื้อ Clostridium  botulinumในดินหรืออาหาร เช่น น้ำผึ้ง เมื่อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะสร้างสารพิษขึ้น และเป็นสาเหตุของการเกิดโรค botulism 3. Wound botulism  โรค  botulism   ชนิดนี้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ  Clostridium   botulinum   เข้าไปในบาดแผลแล้วสร้างสารพิษขึ้นจนแสดงอาการของการเกิดโรค botulism www.dmsc.moph.go.th/.../Clostridium%20%20botulinum.doc แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 53 13:16:20 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:16:06

ความคิดเห็นที่ 16 ประวัติ(ต่อนะจ๊ะ) 1920 Dr Herman Sommer เริ่มเพาะเชื้อ และแยก Botulinum Toxin  (BTX)ออกมา 1946 Edward Shantz ได้เพาะแยกทอกซิน A (BTX-A) ออกมาเพื่อให้กองทัพสหรัฐ 1949 Burgen เป็นคนค้นพบกลไกการทำงานของ Toxin 1950s ช่วงนี้เริ่มมีการนำทอกซินนี้มาใช้ในการแพทย์ โดย Dr Vernon Brooks 1970s มีพัฒนาการก้าวหน้ามากขึ้น โดยมีการศึกษาแรกในปี 1973 ของนายแพทย์Alan B. Scottที่บ่งบอกว่าการฉีดทอกซิน A ไปที่กล้ามเนื้อลูกตาของลิง สามารถทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ พอ 1980 เขาก็ใช้ในคนเพื่อรักษาตาเหล่ หมอ scott เรียกสารนี้ว่า 11-79 1989 บริษัท Allergan มาซื้อกิจการของหมอ Scott ไปและเรียกใหม่ว่า “ Botox” Strabismus ตาเหล่ ที่ใช้โบท็อกซ์รักษา จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:19:13

ความคิดเห็นที่ 17 โอ๊ย จุกข้อมูล รับเต็มๆ หัว ขอค่อยๆ อ่านนะ ปล. ทาสปริศนา มันชื่อหนังหรือเปล่าหว่า แต่ก็ดีใจ มีคนแปลชื่อไทยให้แล้ว จากคุณ : MysteriousSlave เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:22:44

ความคิดเห็นที่ 18  อุตส่าห์พูดมายืดยาวคำตอบอยู่บรรทัดนี้ อิอิ การค้นพบมหัศจรรย์แห่งโบท็อกซ์ เกิดขึ้นโดยบังเอิญ (serendipity ^ ^ ) ในปี 1987 เมื่อ Dr Jean Carruthers ฉีดโบท็อกซ์ให้คนไข้ที่เป็นหนังตากระตุก (blepharospasm) แล้วพบว่านอกจากจะทำให้หนังตาหายกระตุกแล้ว ริ้วรอยแห่งวัย (dynamic rhytides)ของคนไข้ที่ระหว่างหัวคิ้วยังหายไปอีกด้วย   หลังจากนั้นหมอจึงทำการศึกษาอย่างจริงจังในเรื่องความงามจากการใช้โบท็อกซ์ และตีพิมพ์ในปี 1992 บรรยายถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของโบท็อกซ์ในการฉีดที่ระหว่างคิ้วเป็นครั้งแรก ในปี 1993 จึงมีการศึกษาอื่นตามมาว่าใช้ได้กับที่หน้าผาก คอ ตีนกา ว่ามีประสิทธิภาพดีและปลอดภัย ปี 2001 บรรจุเรื่องโบท็อกซ์ไว้ในตำราเรียน FDA องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาได้ให้อนุญาตในการใช้รักษา strabismus (ตาเหล่),หนังตากระตุก , หน้ากระตุก (1989), รอยย่นที่ระหว่างหัวคิ้ว(2003) สมาคมศัลยกรรมพลาสติก เพื่อความงามแห่งอเมริกา (ASAPS, the American Society for Aesthetic Plastic Surgery) ระบุว่า การฉีดโบท็อกซ์ เป็นกระบวนการที่เติบโตเร็วที่สุด ในอุตสาหกรรมเสริมความงามในปี 2001 โดยพบว่ามีชาวอเมริกันจำนวน มากกว่า 1.6 ล้านคน ที่ฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อนนั้นราว 46 เปอร์เซ็นต์ http://www.vcharkarn.com/varticle/244 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:23:39

ความคิดเห็นที่ 19 Botox Esthetics ความงามจากโบท็อกซ์ ไม่กี่ปีมานี้ มีความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการทั้งในด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะทางการแพทย์ ที่จะพยายามแก้ไขความร่วงโรยของใบหน้า (Aging face) ก่อนหน้านี้การรักษาความหย่อนคล้อยของใบหน้า(inelastic skin)ที่ทำได้โดยการผ่าตัดยกใบหน้า (face lift) แต่รอยเหี่ยวย่น (wrinkle) ที่เกิดจากการขยับหดตัวของกล้ามเนื้อหน้ามากไป (hyperdynamic wrinkle) ยังเป็นเรื่องที่รักษายากอยู่ จนกระทั่งเมื่อปี 1987 ที่เกิดการค้นพบ Botox ดังกล่าวมาแล้ว  จึงได้เปลี่ยนโฉมหน้าของวงการการศัลยกรรมแบบไม่ต้องเจ็บตัวมาก (minimal invasive cosmetic surgery) http://www.laservision.gr/US/plasticbotox.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:27:55

ความคิดเห็นที่ 20 การจะทำให้ใช้โบท็อกซ์ได้ผลดีที่สุดนั้น จะต้องศึกษาเรื่องความงามของใบหน้าเสียก่อน (Facial Esthetic) คำว่า Esthetic นั้นมาจากคำว่า aesthesis ในภาษากรีก แปลว่า having a sense of that is beautiful ในความหมายสมัยใหม่ Esthetic หมายความถึง การพยายามทางวิทยาศาสตร์ที่จะทำให้ใบหน้าได้สัดส่วน(proportion)ที่ดีที่สุด แต่ถึงแม้ว่าใบหน้าในอุดมคติ (Ideal,attractive,perfect)จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันหลายอย่าง ต่างกันเพียงเล็กน้อยในรูปร่างและสัดส่วนของใบหน้าผู้หญิงกับผู้ชาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ศัลยแพทย์ต้องพิจารณาคือความกลมกลืนและสมดุลขององค์ประกอบใบหน้าของแต่ละคนต่างหาก http://www.laservision.gr/US/plasticbotox.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:29:18

ความคิดเห็นที่ 21 สาเหตุของการเหี่ยวของใบหน้า (Aging face) ใบหน้าคือส่วนที่สำคัญมากของความงามของคนเรา ถึงแม้ว่ามีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความงามของใบหน้า แต่กระบวนการแก่ (aging process) ของใบหน้าคือปัจจัยที่สำคัญมากทีเดียว Aging การแก่นี้เป็นกระบวนการที่มีการดำเนินไปอย่างเปลี่ยนแปลงและต่อเนื่องตลอดเวลา ขึ้นกับพันธุกรรมและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (แสงแดด, ลม , การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ ) นอกจากนี้ การสูบบุหรี่เป็นตัวกระตุ้นเร่ง  Aging process ให้เร็วขึ้น เมื่อคนเราแก่ลง จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับใบหน้าในทุกส่วน คือทั้งผิวหนัง (skin), ชั้นไขมันใต้ผิว (subcutaneous fat), กล้ามเนื้อ(muscle), และโครงสร้างกระดูกข้างล่างด้วย (bony structure) ดังนั้นต้องดูทุกอย่าง เกิดจากสาเหตุหลายอย่าง และในแต่ละคนก็ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ไม่เท่ากัน การออกแดดและสูบบุหรี่จะเร่งการเหี่ยวของใบหน้า หร่อนระวังหน้าแก่เร็วนะ สูบบุหรี่อ่ะ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:31:46

ความคิดเห็นที่ 22 Chronic ultraviolet ray damage to the skin การโดนรังสีอัลตราไวโอเล็ตมานาน คือ Photoaging นั่นเอง แสงแดดเป็นตัวไปเพิ่มความเหี่ยวที่เกิดตามธรรมชาติตามเวลา (chronologic aging) เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดความชราของผิว นายแพทย์ Glogau ได้คิดระบบเกณฑ์การบรรยายระดับของ Photoaging ไว้         Glogau photoaging classification. ชนิดที่ 1 ไม่มีรอยย่นหรือการเปลี่ยนแปลงของสีผิว ชนิด 2  ไม่มีรอยย่นเวลาทำหน้าเฉยๆ แต่เวลาขยับกล้ามเนื้อหน้าแล้วมีรอยย่น ชนิดที่ 3 มีรอยย่นแม้กระทั่งตอนทำหน้าเฉยๆ ชนิดที่ 4 ผิวทั้งหมดเหี่ยวย่นหมด ไม่มีผิวหนังปกติเหลืออยู่ มีรอยสีผิวเปลี่ยนเป็นสีเทา เหลือง http://www.laservision.gr/US/plasticbotox.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:33:38

ความคิดเห็นที่ 23 สาเหตุอื่นๆที่นอกจากแสงแดด Loss of subcutaneous fat เมื่อแก่ลงจะทำให้สูญเสียความกลมกลึงและเต่งตึงของใบหน้าจากชั้นไขมันที่ลดลง ทำให้ส่วนประกอบใบหน้าดูโบ๋จมลงไป Changes in the intrinsic muscles of facial expression and their influence on the skin กล้ามเนื้อที่ใบหน้ามีความแตกต่างกับส่วนอื่นของร่างกายคือมีกล้ามเนื้อที่จะไปเชื่อมต่อ (insert)ที่ผิวหนังโดยตรงเลย หลังจากที่เราขยับกล้ามเนื้อหน้าเพื่อแสดงสีหน้ามาหลายปีๆ ก็ทำให้เกิดรอย hyperdynamic wrinkle ซึ่งตอนแรกจะมีแต่ตอนขยับเท่านั้น แต่มาภายหลังจะมีตลอดแม้อยู่เฉยๆ รอย dynamic wrinkle นี้จะเห็นได้ชัดที่บริเวณที่กล้ามเนื้อหน้าข้างในเชื่อมต่อกับผิวโดยตรง คือบริเวณ หน้าผาก หว่างคิ้ว รอบตา รอบปาก Gravitational changes from loss of elasticity of the tissue เมื่อแก่ลง เนื้อเยื่อของผิวจะมีความสามารถต้านทานแรงยืดน้อยลง และเริ่มห้อยจากแรงโน้มถ่วงของโลก Remodeling of the underlying bony and cartilaginous structures เมื่อเวลาผ่านไป การเสื่อมสลายของกระดูกก็มากขึ้น  ทำให้ใบหน้าแบนลง ถ้าการยุบตัวของกระดูกนั้นเกิดไม่เท่ากันด้านซ้ายขวาจะแก้ไขยากมาก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:38:51

ความคิดเห็นที่ 24 Anatomic Approach to the Aging Face การรักษารอยเหี่ยวนั้น ต้องดูจากกายวิภาคเป็นหลัก คือว่าส่วนนั้นอยู่ส่วนใดของใบหน้า ไม่ใช่ว่าใช้เทคนิคเดียวกันหมดตามใจชอบ เช่น รอยย่นที่หว่างคิ้ว ถ้าไปฉีด Filler คือสารเติมเต็มมันก็จะดูดีอยู่พักเดียว แต่เดี๋ยวก็ย่นอีกอย่างรวดเร็ว ต้องใช้โบท็อกซ์ไปทำให้กล้ามเนื้อที่อยู่ข้างใต้เป็นอัมพาตเท่านั้น Dynamic wrinkle นี้ถึงจะหายไป อย่างนี้เป็นต้น การประเมินตามหลัก anatomy คือจะแบ่งใบหน้าออกเป็นสามส่วน บน กลาง ล่าง ดังรูป 1/3 บน ตั้งแต่ตีนผมถึงหว่างคิ้ว 1/3 กลาง ตั้งแต่หว่างคิ้วถึงใต้จมูก 1/3 ล่าง ใต้จมูก ถึงคาง ***โบท็อกซ์นั้นจะใช้รักษาหลักๆเป็นส่วนใหญ่ที่บริเวณ 1/3 บน ของใบหน้า ถึงแม้ว่าจะเริ่มมีการใช้รักษาที่ส่วนอื่นๆมากขึ้น http://www.laservision.gr/US/plasticbotox.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:39:43

ความคิดเห็นที่ 25 Upper third of the aging face  หนึ่งในสามส่วนบนของใบหน้า การเปลี่ยนแปลงที่ส่วนนี้เกิดจากการโดนรังสี UV , แรงโน้มถ่วงของโลกที่ดึง, กล้ามเนื้อแสดงสีหน้าหดตัว หน้าผากนั้นอยู่ภายใต้แรงดึงของกล้ามเนื้อสามมัด คือ 1.Frontalis     ( ในรูปคือตัว A) 2.Corrugators ( B สีเขียว) 3.Procerus      (D สีชมพู) กล้ามเนื้อเหล่านี้ มีหน้าที่ในการทำทำสีหน้าหลากหลาย รอยย่น Hyperdynamic wrinkle เหล่านี้เกิดในแนวตั้งฉากกับเวคเตอร์ของกล้ามเนื้อที่ดึงนั้น ดังรูป จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:43:11

ความคิดเห็นที่ 26 ดังนั้นกล้ามเนื้อฟรอนทอลลิส Frontalis ที่ใยกล้ามเนื้อเรียงตัวในแนวตั้งๆ จะทำให้เกิดรอยย่นที่ตั้งฉากกับแนวแรง คือ รอยย่นจะเป็นแนวนอน ดังรูป http://www.laservision.gr/US/plasticbotox.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:44:06

ความคิดเห็นที่ 27 ในคนชรานั้น ที่หน้าผากจะมีผิวย่นจากการทำลายของรังสี UV ด้วย จะมีรอยในแนวตั้งมาเพิ่ม เรียกว่า Sleep line มาตั้งฉากกับแนวย่นเดิมจาก hyperdynamic wrinkleในแนวนอน ดังรูป http://www.laservision.gr/US/plasticbotox.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:44:54

ความคิดเห็นที่ 28 ส่วนหว่างคิ้ว (glabella) คือส่วนดังรูป จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:46:15

ความคิดเห็นที่ 29 บริเวณ Glabella นี้ มี กล้ามเนื้อ Corrugator จะดึงให้เกิดแนวย่นทั้งแนวตั้ง (vertical)และเฉียง(oblique) กล้ามเนื้อ Procerus จะดึงให้เกิดกล้ามเนื้อในแนวนอน (horizontal) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:47:38

ความคิดเห็นที่ 30 พอกล้ามเนื้อสองตัวที่ Glabella หดแล้วได้รูปคือการย่นคิ้วแบบนี้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:50:31

ความคิดเห็นที่ 31 ในส่วนด้านข้างของหน้าส่วน 1/3 บนนี้ มีรอยย่นที่ต่อจากหางตาคือตีนกา เกิดจากการหดตัวแบบเครื่องดนตรีแอคคอเดียนในการหดตัวของกล้ามเนื้อ orbicularis oculi http://www.laservision.gr/US/plasticbotox.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:51:17

ความคิดเห็นที่ 32 การฉีดโบท็อกซ์ในส่วนหน้า 1/3 บนต้องระวังคิ้วเบี้ยว ตำแหน่งของคิ้วที่ได้สัดส่วนในอุดมคติต่างกันในผู้หญิงกับผู้ชาย ในผู้ชาย คิ้วในอุดมคติจะอยู่ในตำแหน่งเหนือขอบเบ้าตาพอดี (supraorbital ridge)และรูปร่างเกือบจะเป็นแนวนอน ดังรูป http://www.laservision.gr/US/plasticbotox.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:53:34

ความคิดเห็นที่ 33 ในผู้หญิง คิ้วในอุดมคติ จะอยู่เหนือกว่า Supraorbital ridge และจะไม่เป็นแนวนอน แต่จะโก่งเหมือนปีกนกนางนวล ด้านนอกจะยกสูงกว่าด้านใน ส่วนที่สูงสุดของคิ้วอยู่มี่มุมหางตานอกพอดี จุดสิ้นสุดของหางคิ้วควรอยู่ในแนวเส้นตรงสมมติที่ลากจากปีกจมูกไปที่หางตา http://www.laservision.gr/US/plasticbotox.htm จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:54:13

ความคิดเห็นที่ 34 อธิบายหน้าที่ของกล้ามเนื้อ และศิลปะการฉีดโบท็อกซ์ ให้หน้าสมดุล Frontalis จะคอยดึงหน้าผากขึ้น แต่ Corrugator และ Procerus จะดึงลง ดังนั้นการฉีดต้องให้สมดุล และถ้าฉีด Frontalis ไกลออกไปทางข้างๆมากเกินไป จะทำให้หางคิ้วชี้เหมือนโจ๊กเกอร์ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:54:52

ความคิดเห็นที่ 35 ฉีดเลย อ๊ากๆๆๆ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:55:33

ความคิดเห็นที่ 36 อร๊ายยยยย อยากงามด้วยพิษบ้างจังค่ะ คุณกิ๊ฟ จากคุณ : ladyalisia เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:57:01

ความคิดเห็นที่ 37 แล้วนางแบบหว้ากอเรา ไปฉีดพิษกับเขาด้วยหรือเปล่าเนี่ย? จากคุณ : haman_zaa เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:57:06

ความคิดเห็นที่ 38 Approach to facial esthetics with botulinum toxin ก่อนฉีดโบท็อกซ์ควรให้เขาใช้กล้ามเนื้อหน้าให้ดู เพราะเวลาแสดงสีหน้าอาจทำให้ต่างจากเวลาปกติอย่างมาก ไหนลองยิ้มสิว่าตีนกาขึ้นยังไง บางคนก็อาจไม่รู้ตัวว่ามีรอยย่นแนวตั้งรอบปากจากการจีบปากเวลาพูด การใช้กระจกก็ช่วยได้มาก เพื่อให้ผู้ที่มาฉีดโบท็อกซ์ได้เห็นจริงๆว่าเป็นอย่างไรเวลาขยับแสดงสีหน้า การรักษา Hyperdynamic wrinkle ควรดูให้แน่ว่าการขยับของกล้ามเนื้อนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำงานหรือไม่ เช่น ถ้าคนนั้นหนังตาตกคิ้วตก บังการมองเห็น เขาจึงพยายามเลิกคิ้วย่นหน้าผากขึ้น ถ้าไปฉีดโบท็อกซ์ที่หน้าผาก ก็จะทำให้ไม่สามารถเลิกคิ้วได้ จึงบังการมองเห็น  หรือการที่ฉีดโบทอกซ์ที่กล้ามเนื้อรอบปาก Orbicularis oris ทำให้กล้ามเนื้อปากอ่อนแรงจนพูดหรือกินข้าวยาก เป็นต้น  และการรักษาอาจต้องใช้ร่วมวิธีอื่นเช่น ใช้สารเติมเต็ม  Filler เป็นต้น ต้องคุยกันก่อนยิ่งถ้าคนมาฉีดเป็นดาราว่าอาจทำให้การแสดงสีหน้าลดลง บางคนทำแล้วเหมือนใส่หน้ากาก หลังฉีดต้องตั้งตัวตรง 3-4 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ยาไหล การฉีดโบท็อกซ์นั้นจะเห็นผลได้เร็วมากคือ อาจจะเพียงไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึง 2-3 วันภายหลังจากการฉีด แต่ผลจากการฉีดจะไม่คงอยู่อย่างถาวร คือ มีรายงานว่าจะอยู่ได้ราว 3-6 เดือน (อาจนานได้ถึง 8 เดือน) หากต้องการลบรอยย่นอีก ก็ต้องฉีดซ้ำอีก โดยจะต้องเป็นการฉีดโดยตรง ที่กล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยง จากการแพร่กระจายของท็อกซิน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน http://www.vcharkarn.com/varticle/244 คนนี้หน้าแบบหน้ากาก หลังได้รับพิษโดยธรรมชาติ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 53 13:57:56 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:57:06

ความคิดเห็นที่ 39 ตัวอย่างโบท็อกซ์  BOTOX (Allergan) คือยี่ห้อที่มีใช้ในอเมริกาเหนือ ที่ หนึ่ง Vial มีส่วนประกอบเป็น Botulinum toxin 100 units เป็นผง และมีโซเดียมคลอไรด์ 0.9 mg, อัลบูมิน 0.5 mg (stabilizer) Dose ปริมาณโดสของโบท็อกซ์คิดตามหน่วย mouse units คือ หนึ่งยูนิตเท่ากับปริมาณที่ฆ่าหนูหนัก 18-20 กรัมเมื่อฉีดเข้าช่องท้องได้ครึ่งหนึ่ง ค่าที่ทำให้คนตาย (lethal dose) คือ 3000 ยูนิต  ส่วนใหญ่ที่ใช้ในการเสริมความงามจะใช้น้อยกว่า 100 ยูนิต จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 13:59:30

ความคิดเห็นที่ 40 ข้อห้ามในการฉีด แพ้โบท็อกซ์มาก่อน ผิวหนังติดเชื้อ ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ยาบางชนิด Therapeutic failure บางคนฉีดโบท็อกซ์แล้วไม่ได้ผล ทั้งที่ไม่เคยฉีดมาก่อน เรียกว่า Primary nonresponder อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ คือเป็นรอยย่นที่ไม่ได้เกิดจากกล้ามเนื้อหดมากไป แต่เป็นจากแสงแดดทำลาย หรือการฉีดไม่พอ หรือท็อกซินเสื่อมสภาพ (denature) ผู้ที่เคยฉีดมาแล้ว แล้วคราวต่อๆมาไม่ได้ผล ( Secondary nonresponders)  เกิดจากร่างกายสร้างแอนตี้บอดี้มาต่ต้านโบท็อกซ์นั้น ก่อน แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 53 14:15:41 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 14:02:19

ความคิดเห็นที่ 41 หลัง http://emedicine.medscape.com/article/1271380-overview จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 14:02:51

ความคิดเห็นที่ 42 ก่อน จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 14:04:03

ความคิดเห็นที่ 43 หลัง จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 14:04:36

ความคิดเห็นที่ 44 จบแล้ว ขออภัยเรื่องนี้เขียนไปเขียนมารู้สึกว่ายากเกิ๊น เดี๋ยวคุณ haman_zaa มาหลับใส่กระทู้เราอีก เอิ๊กๆๆๆๆ คราวหน้าจะเอาเรื่องที่ดราม่ากว่านี้นะจ๊ะ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 14:08:23

ความคิดเห็นที่ 45 เมาข้อมูลแล้วจ้า พญ. คุญหญิง พรกิ๊ฟ จากคุณ : MysteriousSlave เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 14:30:48

ความคิดเห็นที่ 46 ^ ^ ขออภัย ที่ทำให้หัวตั้งเลย ฮ่าๆ ขอแก้ตัวใหม่ๆๆ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 14:36:19

ความคิดเห็นที่ 47   เข้ามาเกาะจออ่านตั้งแต่คห.14 แล้วจ้า ,,เยี่ยมมากคุณกิ๊ฟ ฯ ข้อมูลแน่นปึ้ก อ่านไปเพลินไป มึนไป จากคุณ : James Cook เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 14:41:02

ความคิดเห็นที่ 48   ยอมเหี่ยวอย่างนี้แหละ จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 14:48:13

ความคิดเห็นที่ 49 คุณกิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา ไปฉีดที่ไหนเหรอครับ พอจะบอกราคาได้อ่ะเปล่า ผมจะได้เอาไปแนะนำคุณศรีภรรยาของผมน่ะครับ จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 15:10:55

ความคิดเห็นที่ 50 ^ เราไม่เคยโดนฉีดนะคะ แต่เพื่อนสนิทเราก็ฉีดลดกรามมาค่ะ สวยเชียว ถ้าคุณศรีภรรยาอยากไปฉีดก็ได้นะคะ เราว่าฉีดแล้วได้ผลดีที่ส่วน 1/3 บนของหน้าค่ะ ฉีดที่ไหนก็ตามสะดวกค่ะ มันฉีดไม่ยากอ่ะค่ะ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 15:59:23

ความคิดเห็นที่ 51 Clostridium  botulinum นี่ใช่เชื้อที่เจอในหน่อไม้ดองรึเปล่าครับ ชื่อคุ้นๆ จากคุณ : earthchie เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 16:21:38

ความคิดเห็นที่ 52 คุณกิ๊ฟต์ไม่ได้ทำแน่นอนครับ ผมยืนยัน เพราะถ้าทำแล้วยังเป็นแบบคุณกิ๊ฟต์เขาคงไม่ทำกันหรอกครับ จากคุณ : อิ ๆ ๆ (ท่านประธานบริษัท) เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 16:32:55

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณนะค่ะ ^_^   ได้ความรู้เยอะเลย แต่อ่านแล้วก็อ่านแล้วยังงงๆ อยู่บ้าง คือ เขาฉีดเข้าทาง MI หรือ SC ค่ะ ....อยากลองไปฉีดบ้างจัง แต่กลัวเข็มอ่ะ! จากคุณ : เด็กอ่อน... (มหาโจรแห่งบ้านลี้) เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 16:57:17

ความคิดเห็นที่ 54 ฉีดเข้ากล้ามเนื้อค่ะ IM คุณมหาโจรแห่งบ้านลี้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 17:30:28

ความคิดเห็นที่ 55 คุณกิ๊ฟช่วยฉีดโบท็อกซ์ให้หน่อย จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 17:32:58

ความคิดเห็นที่ 56 ^ ^ ฮ่าๆๆ คุณลาบ โบท็อกซ์ไม่ไหวนะจ๊ะ ต้องใช้อันนี้เท่านั้น จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 17:37:38

ความคิดเห็นที่ 57 คห.55 เหี่ยวมากก จากคุณ : marina_rain เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 18:36:15

ความคิดเห็นที่ 58 ลืมตอบคุณ earthchie ใช่ค่ะ Clostridium  botulinum เป็นเชื้อก่อโรคอาหารเป็นพิษที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารกระป๋องชนิดที่มีความเป็นกรดต่ำ  (LOW  ACID  CANNED  FOOD) เนื่องจากเชื้อนี้สามารถสร้างสารพิษ  “neurotoxin”  ซึ่งเป็นสารพิษที่มีผลต่อการทำลายระบบประสาท    และทำให้เกิดอาการป่วยที่เรียกว่า  “botulism” และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากการรับประทานอาหารที่มีสารพิษชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่  เมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2546  ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เชียงใหม่  ได้รับตัวอย่างหน่อไม้อัดปิ๊บ จำนวน 4 ตัวอย่าง  ซึ่งมีแหล่งผลิตอยู่ที่  ตำบลสมัย  อำเภอสบปราบ  จังหวัดลำปาง  โดยมีผู้ป่วยนำหน่อไม้มาปรุงเป็นอาหารรับประทาน และเกิดอาการของโรคอาหารเป็นพิษจำนวน  10 ราย  ผู้ป่วยมีอาการหนักต้องใส่ท่อช่วยหายใจ  4 ราย   เสียชีวิต 1 ราย  จากผลการตรวจวิเคราะห์    พบเชื้อ   Clostridium botulinum   และ   เป็นชนิดที่สร้างสารพิษได้   ในหน่อไม้อัดปิ๊บ 2 ตัวอย่าง ผลการตรวจวิเคราะห์ในครั้งนี้สามารถใช้ยืนยันการวินิจฉัยโรค  และทราบสาเหตุของการเกิดโรคอาหารเป็นพิษ   นอกจากนี้ยังใช้เป็นข้อมูลในการป้องกัน  ควบคุม และ    ให้คำแนะนำแก่ผู้ผลิตอาหารในภาชนะบรรจุปิดสนิทที่มีความเป็นกรดต่ำ ให้มีความปลอดภัย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 18:51:46

ความคิดเห็นที่ 59 แวะมาชิดขวา อ่านเงียบๆ จากคุณ : น้าวัชร-จัดให้ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 19:50:10

ความคิดเห็นที่ 60 เย่ แสดงว่าความจำเราใช้ได้เหมือนกัน จำได้แค่นั้นแหละ นอกนั้นไม่รู้อะไรเลย 55 จากคุณ : earthchie เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 20:11:12

ความคิดเห็นที่ 61 คุณกิ๊ฟ ขอเรื่องโบท๊อกซ์ลดกรามด้วยค่ะ จากคุณ : แก้วตาขาร็อค เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 20:56:47

ความคิดเห็นที่ 62 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 53 21:39:15 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 21:38:54

ความคิดเห็นที่ 63 กล้ามเนื้อ masseter จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 22:19:23

ความคิดเห็นที่ 64 Temporomandibular joint จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 22:21:13

ความคิดเห็นที่ 65 Mandibular contouring โดยใช้ โบท็อกซ์ การฉีดลดกรามคือการฉีดกล้ามเนื้อ Masseter ซึ่งการทำแบบนี้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์เป็นจำนวนมากที่ประเทศเกาหลี  เพราะเป็นเชื้อชาติที่มีปัญหากล้ามเนื้อนี้ใหญ่ทำให้หน้าดูเหลี่ยม การฉีดโบท็อกซ์ที่กล้ามเนื้อนี้เพื่อลดกรามนั้นมีประสิทธิภาพมากเสียจนการผ่าตัดลดกรามที่เคยเป็นที่นิยมในอดีตที่ได้ผลเท่ากันนั้น ตอนนี้เก็บไว้ทำเฉพาะกรณีที่มีกระดูกกรามโป่งนูนเด่นมากเท่านั้น เพราะเสี่ยงต่อการโดนเส้นเลือดเส้นประสาท อาจทำให้หน้าเบี้ยวได้เลย เป็นการผ่าตัดที่ใหญ่มาก การฉีดนั้นง่าย คือให้คนไข้กัดฟันเคี้ยวแน่นทำให้ส่วนกล้ามเนื้อนี้โป่งออกมา แล้วฉีดตรงส่วนนูน ที่ละ 6 ยูนิต ควรฉีดให้ติดตรงมุม mandibular angle เพื่อไม่ให้โดนต่อมน้ำลาย Parotid  ใช้ยาข้างละ 25-35 ยูนิต ผลที่ได้นั้นน่าแปลกมากคือแม้ว่าโบท็อกซ์หมดฤทธิ์แล้วแต่กล้ามเนื้อนี้ก็ยังไม่นูนออกมามากอีก ขนาดหนึ่งปีผ่านไปยังได้ผลอยู่เลย มีคนไข้สามเคสตัวอย่างจากในคลิป ที่ทำคือ เคสหนึ่ง เป็นแนวกรามเหมือนผู้ชาย มีทั้งกระดูกโปนและกล้ามเนื้อโปน แต่แค่ฉีดกล้ามเนื้อก็สามารถให้ผลที่ดีได้ เคสสอง เป็นกล้ามเนื้อโตเกินไป เธอมีปัญหานอนกัดฟัน และปวด TMJ (Temporomandibular joint) เคสที่สาม ทั้งกล้ามเนื้อโต และ กระดูกแก้มโป่ง จึงเข้าผ่าเฉพาะกระดูกแก้ม แต่ที่กรามใช้โบท็อกซ์ ลดเวลาผ่าตัดจาก 5 ชั่วโมงเป็นหนึ่งชั่วโมง การใช้โบท็อกซ์รักษาลดกราม จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 22:22:03

ความคิดเห็นที่ 66 ลดกราม ลดโหนกนี่มันคงคล้ายๆกันเนาะ ผู้หญิงหน้าแบนๆอย่างเราต้องไปฉีดคอลลาเจนรึเปล่าคะ จากคุณ : Natthanuch1 เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 00:12:26

ความคิดเห็นที่ 67 ทำไมนะเห็นกระทู้ปุ๊บ คิดในใจว่ากระทู้คุณกิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา แน่เลย ขอบคุณค่ะ จากคุณ : rosella เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 00:23:45

ความคิดเห็นที่ 68 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 10:05:41

ความคิดเห็นที่ 69 ...เข้ามาจอบ ... เพื่อหาความรู้จ้า จากคุณ : gang (skhonchom) เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 11:49:48

ความคิดเห็นที่ 70 เก่งหลายอย่างจังท่านประทาน ชื่นชม จากคุณ : Register_AC เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 12:50:36

ความคิดเห็นที่ 71 Silicon, saline, poison inject me Baby, I’m a free bitch I’m a free bitch จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 15:34:59

ความคิดเห็นที่ 72 ความรู้มากมาย ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : โครโมโซม X เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 16:11:44

ความคิดเห็นที่ 73 ^ คุณกิ๊ฟไม่ใช่กากา ดูเหมือนจะชอบ Lady Gaga มาก จากคุณ : ผลึกความคิด เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 16:12:07

ความคิดเห็นที่ 74 ^ ^ ช่าย คุณผลึก กรี๊ดๆๆๆๆ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 16:44:25

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณครับ จากคุณ : iamnotperfect เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 17:35:11

ความคิดเห็นที่ 76 เดวมาอ่าน จากคุณ : นักเรียนหรือกรรมกร เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 53 21:48:14

ความคิดเห็นที่ 77 ลิซ่า ขยัน จัง บทความแต่ละอัน หนักๆทั้งนั้นเลย เขียนได้ดีด้วย น่าปริ๊นท์ไว้อ่านยามว่างจัง แต่เสียดาย ปริ๊นท์ youtube ไม่ได้นี่สิ น่าจะอัพลงบล๊อคไว้ บางที มันหลงหูหลงตาไม่ได้อ่าน อ่าครับ นี่ ฉีดปาก ... จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 11:35:50

ความคิดเห็นที่ 78 คห2.นึกว่าครูน้อย จากคุณ : kate_hyper เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 12:07:28

ความคิดเห็นที่ 79 หวัดดี mOOgrOb'pm' หายไปนานเล้ยยยย ^_^ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 12:22:48

ความคิดเห็นที่ 80 แบกเป้ หนีห้องราชดำเนิน ไประยองมาอ่า กลับมา WMปิดห้อง ไปแล้ว เหอะๆ ^_^ จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 12:55:29

ความคิดเห็นที่ 81 ^ ^ ได้ไปทะเลแล้ว ดีใจด้วยจ้า ไหนของฝาก??? จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 13:27:16

ความคิดเห็นที่ 82 มีเยอะเลย มาเอาสิ อิอิ ^_^ จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 13:53:04

ความคิดเห็นที่ 83 ดีมากมาก ต้องขอบคุณและชื่นชมคุณกิ๊ฟ จากคุณ : คุณฉงน เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 14:52:40

ความคิดเห็นที่ 84 เข้ามาอ่านทุกเรื่องของคุณกิ๊ฟ ขอคาระวะ 3 แก้วครับ จากคุณ : กวงศักดิ์ เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 53 15:54:10

ความคิดเห็นที่ 85 mOOgrOb'pm' ก็รู้ๆอยู่บ้านตะเองอยู่ไกล จะให้ไปเอาของฝาก อย่างนี้เรียกงกของฝากนี่ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 53 09:21:34

ความคิดเห็นที่ 86 ว้า งี้ก้อ ไม่มีคนมาช่วย ซักผ้าเค็ม จาก ทะเลให้อ่าสิ อุตส่าห์ เอามาฝากซัก หลายตัวเลย (ซักเองเปลืองน้ำ) ^_^ จากคุณ : mOOgrOb'pm' เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 14:29:56

ความคิดเห็นที่ 87   เข้ามาหาความรู้เรื่องฉีดโบท็อก ขอบคุณคุณกิ๊ฟมากมายค่ะ จีน่าถามอีกอย่างโบท๊อกฉีดที่คอได้มั้ยคะ คอย่นแบบอายุมาก ประมาณ 60 จากคุณ : จีน่า (วีนาวัน) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 20:00:34

ความคิดเห็นที่ 88 Cosmetic Use of BOTOX® Injections for the Aging Neck กล้ามเนื้อที่ทำให้คอดูย่นคือ Platysma จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 20:20:15

ความคิดเห็นที่ 89 Aging of the neck มีหลายสาเหตุที่ทำให้คอแก่จากทั้งปัจจัยของผิวข้างบนและกล้ามเนื้อ platysma ข้างล่าง คือ พันธุกรรม แสงแดด การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก แรงโน้มถ่วง แนวกล้ามเนื้อ platysma ดึงลง ทำให้เกิดแนวย่นรอยขวาง การเปลี่ยนแปลงในกล้ามเนื้อ platysma  ปกติกล้ามเนื้อนี้มันจะมีแนวไฟเบอร์มาข้ามกันตรงกลางเป็นส่วนใหญ่ บางคนไม่ข้าม จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 20:48:24

ความคิดเห็นที่ 90 ส่วนน้อย จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 20:49:54

ความคิดเห็นที่ 91 การเปลี่ยนแปลงในกล้ามเนื้อ platysma  ปกติกล้ามเนื้อนี้มันจะมีแนวไฟเบอร์มาข้ามกันตรงกลางเป็นส่วนใหญ่ บางคนไม่ข้าม  ทีนี้พอแก่แล้ว platysma จะโตขึ้นเป็นลำ ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่น่าจะเกิดจากการแยกตัวของแนวไฟเบอร์ที่สานข้ามกันตรงกลาง ไขมันจะพอกเวลาแก่ลงที่ใต้คาง (submental) แล้วไขมันนี้มันเลื่อนที่มาอยู่ใต้ platysma เกิดเป็น platysmal band จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 20:55:20

ความคิดเห็นที่ 92 การรักษาในบริเวณนี้ต้องทำแบบหลายวิธีรวมกัน เช่น ดูดไขมัน (liposuction) หรือผ่าตัดเปิดเพื่อตัดไขมันออก (remove platysmal fat pad) ส่วน platysmal band กับรอยสร้อยคอก็ใช้ Botox ได้ จะทำอะไรก็ขึ้นกับระดับความเหี่ยวของแต่ละบุคคลและอายุ ใช้ Dose ประมาณ 100 ยูนิต ฉีดประมาณ 15 จุด ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและได้ผล ผลข้างเคียงน้อย แต่ที่อาจพบได้คือบางคนมีเสียงแหบ และกลืนลำบาก  ผู้ป่วยที่เหี่ยวไม่มาก (mild to moderate )จะตอบสนองต่อการรักษาโบท็อกซ์ดี และเหมาะกับผู้ป่วยที่เคยศัลยกรรมที่บริเวณคอมาก่อน หรือไม่สามารถเข้าผ่าตัดได้ วิธีฉีดก็ให้ผู้ป่วยเกร็งกล้ามเนื้อแล้วฉีดเข้าที่ band จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 21:08:41

ความคิดเห็นที่ 93 ลดกรามได้จริงเหรอคะ สนใจมากเลย5555555 ตอนนี้หมอฟันบอกว่าต้องดัดฟันบน ไม่งั้นก็ผ่าตัดกราม แต่ไม่อยากทำทั้งสองอย่างเลยง่ะ =( มาม้าบอกว่า "เห้ย โบทอกส์มันไม่ถาวรหรอก ฉีดแป๊บเดียวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม" รบกวนขอข้อมูลไปเถียงกะมาม้าด้วยค่ะ T[]T จากคุณ : SICKHEART เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 53 23:41:26

ความคิดเห็นที่ 94 ผ่าตัดกรามเป็นการผ่าตัดใหญ่ อาจมีผลข้างเคียงได้  และพักฟื้นนานมากกว่าจะยุบบวม อาจจะสองสามเดือนเลย แต่ถาวร แต่ในคนที่กล้ามเนื้อ masseter ใหญ่ (hypertrophy) หลังผ่าก็ยังอูมๆได้บ้าง แต่ก็ดีขึ้น โบท็อกซ์ไม่ถาวร แต่จากคลิปที่เราเอามาให้ดู น่าแปลกมากคือแม้ว่าโบท็อกซ์หมดฤทธิ์แล้วแต่กล้ามเนื้อนี้ก็ยังไม่นูนออกมามากอีก ขนาดหนึ่งปีผ่านไปยังได้ผลอยู่เลย สรุปว่าลองไปปรึกษาหมอศัลยกรรมพลาสติกดู ว่าจะยังไง มันต้องดูรูปหน้าอะไรอีก ชั่งข้อดีข้อเสีย ว่าจริงๆเราจำเป็นต้องทำหรือไม่ บางทีเราสวยอยู่แล้วแต่คิดไปเองว่าไม่สวย แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 53 01:07:30 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 01:07:15

ความคิดเห็นที่ 95   100 ยูนิตนี่ราคาเท่าไหร่ครับ ผมเลื่อนดูหลาย คห.แล้ว ราคามันอยู่ที่ไหนน้า... จากคุณ : แค่สนใจ เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 03:03:43 A:118.173.62.44 X: TicketID:270397

ความคิดเห็นที่ 96 เคยเห็นคนไข้มาฉีดที่คลินิกหน้ากระตุก คนที่เบิกได้ เบิกยามาขวดหนึ่ง เผื่อแผ่ยาที่เหลือให้คนที่เบิกไม่ได้ เพราะยามันแพง เวลาฉีด เห็นอาจารย์ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง เพราะกล้ามเนื้อใบหน้าจะกลืนไปกับชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ต้องระวังไม่ให้โดนมัดใหญ่ๆ เดี๋ยวหน้าห้อย คุณ"หัวใจป่วย" การฉีดยากับการผ่าตัดมันไม่เหมือนกันนะคะ การฉีดยาช่วยได้แต่เรื่องกล้ามเนื้อ แต่ถ้าความผิดปกติมันอยู่ที่โครงสร้างกระดูก ก็คงไม่ช่วยหรอกค่ะ จากคุณ : หวงหลิง เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 12:14:00

ความคิดเห็นที่ 97 ผมก็ฉีดยาพิษเข้าร่างกายครับ ฉีดลดกราม ผลคือ หน้าเรียวมาก อิอิ ฉีดหางตา ปรากฏว่า ตีนกาหายเลย นอกจากนี้ผมยังเคยฉีด Micro Botox (หมอบอกมา) ทั่วหน้าอะครับ ทำให้หน้าใสขึ้น ความมันลดลง แต่กว่าจะฉีดครบทั่วหน้าเนี่ย(ประมาณ 100 จึก)  น้ำตาไหลไปเยอะเหมือนกัน เจ็บมากกกก ครั้งเดียวพอเลย 555 จากคุณ : iStylez เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 13:31:33

ความคิดเห็นที่ 98 ราคาโบท็อกซ์ http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2007/12/Q6109030/Q6109030.html จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 13:43:48

ความคิดเห็นที่ 99 ขอบคุณข้อมูลเป็นประโยชน์ค่ะ ใจดีกันจัง กิ๊ฟหมดแล้วเค้าแปะไว้ก่อนนะ คิดว่าไงๆก็ต้องปรึกษาหมอก่อนอยู่ดีค่ะ ว่าจะทำอะไร ยังไง =) เลยลองถามดูตัวเลือกและอื่นๆที่ใกล้เคียงไว้รวมๆไปเลย จากคุณ : SICKHEART เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 20:15:50

ความคิดเห็นที่ 100 รบกวนสอบถามคุณกิ๊ฟค่ะ แล้วรอยร่องแก้มข้างปากแบบเป็นรอยขีดจากข้างจมูกลงมาถึงมุมปากเฉยๆ ยังไม่ลึกมาก ใช้วิธีไหนรักษาดีที่สุดคะ จากคุณ : LadyLad เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 17:50:03