ความคิดเห็นที่ 1   ก็เหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปสู้กับปืนนะละคับ จากคุณ : AomValkyrie เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 13:39:52

ความคิดเห็นที่ 2 เนื้อความกระทู้คุณมันก็ตอบตัวเองอยู่แล้วนี่ครับ - - จากคุณ : rebornz132 เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 13:54:34

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเป็นตามอย่างที่ จขกท ว่า   ไพร่อย่างเราจะมีโอกาสได้เล่นคอมหรือครับ ... จากคุณ : Sakuder เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 14:04:43

ความคิดเห็นที่ 4   การที่ชาติตะวันตกล่าอาณานิคมช้าลง 300 ปี ไม่ได้หมายความว่าประเทศในเอเชียจะไม่มีการติดต่อกับชาติตะวันตกนี่ครับ = = คำว่า ล่าอาณานิคม มันเป็นหัวข้อย่อยๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศน่ะ ป.ล. บร๊ะเจ้าไหมล่ะ บร๊ะเจ้าไหม จากคุณ : JeZeus เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 14:21:10

ความคิดเห็นที่ 5 โห ถ้ามันต่างกันขนาดนั้น แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับเค้าละครับ ไสยศาสตร์อย่างเดียวละ หรือไม่ก็ถ้ามันยิงเรา เราก็ได้แต่สาปแช่ง เผาพริกเผาเกลือ เสกควายธนู บอกกุมารทองให้ไปจมเรือ คงทำได้เท่านี้แหละ และสุดท้ายที่จะไม่ลืม ภาวนาให้แม่ชีมาช่วยปัดระเบิด จากคุณ : เล็ก มหึมา (^oio^) เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 14:25:37

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าไม่นะ ยังไงก็มีการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าเทคโนโลยีกัยอยู่แล้ว เพราะสมัยก่อนหน้านั้น ฝรั่งยังขายปืนคาบศิลาให้กับไทยอยู่เลย จากคุณ : ANUBIS[TJ] เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 14:29:22

ความคิดเห็นที่ 7   ถ้าไม่มีการติดต่อสัมพันธ์กัน การพัฒนาทั้งทางอาวุธและความรู้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า จากคุณ : SiiSTER เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 14:42:07 A:124.121.72.239 X: TicketID:253175

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนนี้ผมคงเป็นพวกไพร่ของพวกมูลนาย วันๆแบกๆหามๆ ไม่สบายก็ไปหาแม่หมอ เอาน้ำหมากพ่นใส่บ้าง เอาไม้ตีหลังให้ผีร้ายออกบ้าง.. ไม่ตอนนี้ก็คงโดนเกณฑ์ไปสร้างกำแพงเมืองป้องกันการรุกรานของพวกพม่ารามัญ จากคุณ : Ploeauer เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 14:48:51

ความคิดเห็นที่ 9 ฝรั่งตาน้ำข้าวน่ะรึ จะมาสู้อาคมสยาม ชนชาวไทยจะสักยันต์อาคมรอบกายแล้วเดินสยายสู้กระสุน เอามีดหมอตัดคอพวกมันให้แดดิ้นสิ้นชาติกันไป... จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 15:18:36

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่เกี่ยวนี่ครับ ไม่ล่าอานานิคมก็มีการค้าขายกันอยู่ดี เราก็รู้จักพวกฝรั่งมาตั้งแต่โบราณแล้ว เดี๋ยวมันก็เอาเทคโนโลยีมาขายเราอยู่ดี จากคุณ : ผีฟรีคิก เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 15:25:47

ความคิดเห็นที่ 11 เหมือนเอาเด็กทารกขึ้นชกกับปาเกียว จากคุณ : Dequardo เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 15:29:04

ความคิดเห็นที่ 12 แผนที่ประเทศไทยคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ จากคุณ : Bugtoi เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 16:16:08

ความคิดเห็นที่ 13 ความจริงแล้วการค้าขายระหว่างชาติตะวันตกในยุโรป ตะวันออกกลาง และชาวเอเซียนั้นมีมานมนานตั้งแต่ก่อนคริสตกาลแล้วครับ  กล่าวง่ายๆคือพวก "ฝรั่ง"แล "อาหรับ" นั้นรู้กันมานมนานแล้วว่า  ดินแดนทางตะวันออกมีผืนดินที่อุดมไปด้วยทรัพยากรอยู่  โดยวันนี้ "เจไดหนุ่ม" จะขอมาเล่าเรื่องราวสนุกๆให้เพื่อนๆได้อ่านไว้เป็นความรู้นะครับ โดยรูปแบบการติดต่อค้าขายระหว่างชาวตะวันตกแลเอเซียนั้นเริ่มมาบุกเบิกเอาอย่างเป็นรูปเป็นร่างตอนที่ "อเล็กซานเดอร์ มหาราช" แห่งอาณาจักรมาซีโดเนียยกกองทัพอันเกรียงไกรมาพิชิตแดนในแอฟริกาเหนือ เอเซียไมเนอร์ ลามไปจนถึงอินเดีย  นั่นจึงทำให้ชาวกรีกได้ขยายเส้นทางการติดต่อแลสร้างเมืองหรือสถานีการค้าขึ้นมาในเส้นทางเดินทัพเป็นจำนวนมาก   กระทั่งอเล็กซานเดอร์สิ้นพระชนม์ลงดินแดนต่างๆที่ชาวกรีกพิชิตไว่ก็ถูกจัดสรรปันส่วนไปให้กับบรรดาขุนศึกต่างๆ  ทว่าดินแดนในเอเซียไมเนอร์หลายแห่งนั้นกลับถูกยึดครองกลับไป  หรือไม่ก็ถูกผสมกลมกลืนวัฒนธรรมเข้าไปกับผู้คนในท้องที่จนหมด  แต่สิ่งหนึ่งที่เริ่มพัฒนาก็คือการติดต่อค้าขายกันระหว่างพ่อค้าจากอินเดีย อาหรับ แลชาวกรีกผ่านทางสถานีการค้าแลเมืองต่างๆครับ **รูปวาดแสดงถึง "อเล็กซานเดอร์" แลเหล่าขุนศึกระหว่างยกทัพมาตีอินเดียครับ**   (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 16:25:17

ความคิดเห็นที่ 14 ***     ต่อมาเมื่อถึงยุครุ่งเรืองของ "จักรวรรดิโรมัน" การค้ากับทางตะวันออกก็เริ่มเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง  เพราะชาวโรมันผู้กระหายสงครามได้ยกกองทัพออกไปตีชิงดินแดนต่างๆในยุโรป แอฟริกาเหนือ แลเอเซียไมเนอร์จนกลายเป็นจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่  ทำให้ชาวโรมันเริ่มมีการติดต่อกับเหล่าพ่อค้าในตะวันออกกลางเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าชนิดต่างๆมากขึ้น     แลบวกกับวัฒนธรรมของชาวโรมันที่เริ่มพัฒนาไปจนถึงที่สุด  ทำให้เศรษฐีผู้มั่งคั่งชาวโรมล้วนต้องการสินค้าแลวัตถุดิบหายากมาปรนเปรอตนเอง  นั่นจึงทำให้การติดต่อค้าขายระหว่างตะวันตก แอฟริกาเหนือ และตะวันออกเฟื่องฟูมาก  โดนสินค้าจากดินแดนอันห่างไกลจำนวนมากล้วนถูกส่งตรงไปยังกรุงโรม     อาทิเช่น "ยีราฟแลนกยูง" จากแอฟริกาเหนือสำหรับคอเล็คชั่นสัตว์เลี้ยงแปลกประหลาดของผู้มั่งมี  "เครื่องเทศ เครื่องหอม" นานาชนิดจากอินเดียสำหรับประกอบอาหารแลประพรมร่างกาย  "ผ้าไหมแลพรมชั้นดี" จากเปอร์เซีย  "เครื่องกระเบื้องเคลือบ" ชิ้นงามจากแดนมังกรจีน  "สิงโตหน้าขนแลสัตว์ดุร้าย" ชนิดต่างๆสำหรับการแสดงกลาดิเอเตอร์ครับ **รุปภาพแสดงถึงเส้นทางการค้าในยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจครับ** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 16:43:44

ความคิดเห็นที่ 15 เราว่าการค้ากับการเผยแผ่ศาสนามากกว่าที่นำเอาความรู้ความก้าวหน้า ของตะวันตกไปยังส่วนอื่นของโลก แต่ลัทธิล่าอาณานิคมนี่มันเน้นการยืดครองเพื่อนำทรัพยากรของประเทศ ถูกล่ามาใช้มากกว่า ดูง่ายๆ รอบบ้านเราดิ่ ไม่เห็นพม่ากับลาวจะไฮเทคเลย (แต่พวกพม่า ภาษาอังกฤษดีนะ) จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 17:05:52

ความคิดเห็นที่ 16 แต่ทว่าเมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงเพราะฝีมือคนเถื่อนจนเข้าสู่ยุคมืด  การค้าขายระหว่างชนชาวตะวันออกและชาวตะวันนตกจึงเริ่มลดลงอย่างมาก  สินค้าฟุ่มเฟือยหรูหราเหมือนในสมัยกรุงโรมรุ่งเรืองล้วนถูกเมินจากเหล่าคนเถื่อน  อัศวินผู้กล้าชาวแฟรงค์ในยุคนี้อาจจะรับประทานเพียงเนื้อไก่ฟ้าอันจืดชืดโดยโรยหน้าด้วยพริกไทยเท่านั้น  เครื่องเทศต่างแดนนานาชนิดแลสินค้าฟุ่มเฟือยล้วนหดหายลงไปจากท้องตลาดเป็นอย่างมากในช่วงยุคมืด   ในยุโรปห้วงเวลาดังกล่าวจะมีก็เพียงดินแดนไม่กี่แห่งแล "จักรวรรดิไบเซนไทม์" ซึ่งยังยึดถือแลสืบทอดวัฒนธรรมแลประเพณีของชาวโรมัน  และมีพื้นที่ครอบครองในเอเซียไมเนอร์เท่านั้นที่ยังติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวตะวันออกอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  โดยสมัยนั้นการติดต่อซื้อขายมักจะกระทำผ่านทางกองคาราวานของพ่อค้าอาหรับที่เดินทางท่องไปในดินแดนต่างๆมากกว่า กระทั่งเข้าสู่ "ยุคกลาง" ก็เป็นห้วงเวลาที่ชาวยุโรปเริ่มติดต่อกับชาวตะวันออกอย่างจริงจังอีกครั้ง  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลพวงจาก "สงครามครูเสด" ที่ทำให้บรรดาเจ้าขุนมูลนายในดินแดนยุโรปอันหนาวเหน็บ  ได้เปลี่ยนบรรยกาศจากห้องพักอันมืดทึบแลหนาวเหน็บในปราสาทหิน  เพื่อเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเป็นระยะทางกว่า3000ไมล์  ไปสัมผัสทะเลทรายร้อนระอุ อาหารรสเผ็ดร้อน แลวัฒนธรรมของชาวตะวันออกกลางในดินแดนศักดิ์สิทธิ์  นั่นจึงทำให้ในยุคนี้สินค้าอย่างพวกเครื่องหอม เครื่องนุ่งห่ม แลเครื่องเทศจากดินแดนตะวันออกกลางและอินเดียนั้นมีค่ามากมาย **ภาพวาดแสดงถึงงานเลี้ยงในยุคกลาง ซึ่ง "เกลือ" เป็นของหายากและมีราคาแพง  ไม่ต่างจากเครื่องเทศจากดินแดนตะวันออกที่มีสงวนไว้สำหรับเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น  จนทำให้บางครั้งมีการจ่ายค่าแรงของบรรดาทหารรับจ้างด้วยเกลือและเครื่องเทศด้วย** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 17:17:09

ความคิดเห็นที่ 17 จริงๆตอนนี้ก็ยังล่ากันอยู่หนิ แต่ใช้เงินเป็นอาวุธแทน จากคุณ : บี (อย่าลังเล) เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 17:51:36

ความคิดเห็นที่ 18 ***     จวบจนกาลเวลาล่วงเลยมาถึงยุค "เรเนซองค์" ซึ่งในห้วงเวลานี้การค้าขายระหว่างชาวตะวันตกและตะวันออกเริ่มรุ่งเรืองขึ้นแลทำให้ "สาธารณรัฐเวนิส" ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผูกขาดการค้าเครื่องเทศจากดินแดนตะวันออกกลางและอินเดีย  เนื่องจาก "เวนิส" ได้ร่วมมือกับทางกองทัพครูเสดเพื่อตลบหลังโจมตี "กรุงคอนแสตนติโนเปิล" เมืองหลวงของจักรวรรดิไบเซนไทม์แลเข้าไปมีส่วนในผลประโยชน์ต่างๆ  กระทั่งกรณีดังกล่าวกลายเป็นรอยด่างครั้งหนึ่งในสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่กองทัพชาวคริสต์ปล้นสะดมภ์ชาวคริสต์ด้วยกันเอง     โดยสาเหตุหนึ่งที่เวนิสซึ่งเป็นเพียงดินแดนเล็กๆเข้าไปมีส่วนร่วมก็เพราะว่าเวลาเกิดสงครามครูเสดแต่ละครั้ง  กองทัพจากยุโรปจะต้องไปขึ้นเรือที่บริเวณดินแดนทางตอนใต้ของอิตาลี  แล "เวนิส" ก็เป็นดินแดนที่สามารถสนับสนุนกองเรือเพื่อบรรทุกนักรบครูเสดได้มากที่สุด  ดังนั้นอำนาจทางทะเลแลการค้าขายเครื่องเทศในยุคดังกล่าวจึงตกอยู่ในมือของเวนิสเป็นเวลาหลายร้อยปี  ทำให้เวนิสกลายมาเป็นเมืองท่าที่รำรวยที่สุดในยุคนั้น ( บทประพันธ์เรื่อง "เวนิชวานิส" ของ "เช็คเสปียร์" ก็กล่าวถึงช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองของชาวเวนิสในยุคนี้ครับ)     กระทั่งกรุงคอนแสตนติโนเปิ้ลโดนพวกเติร์กตีแตก  ทำให้เส้นทางสายไหมนั้นถูกผูกขาดอยู่ในกำมือของชาวเติร์กที่กำลังเรืองอำนาจแลแผ่ขยายดินแดนเข้ามาในตะวันตกมากขึ้นทุกที  ชาวยุโรปจึงพากันคิดหาหนทางใหม่ที่จะเดินทางไปค้าขายยังอินเดียโดยไม่ต้องปะทะกับกองทัพเติร์ก  ที่สุดแล้ว "โปรตุเกส" จึงเป็นชาติแรกที่สามารถเดินเรืออ้อม "แหลมกู๊ดโฮ๊ป" เป็นผลได้สำเร็จ       ทำให้ชาวยุโรปสามารถติดต่อค้าขายกับชาวเอเซียผ่านทางเส้นทางเดินเรือสายนี้  ก่อนจะตามติดมาด้วยการบุกเบิกโลกใหม่ของชาวดัตท์แลเสปน  กระทั่งผืนแผ่นดินอเมริกาถูกค้นพบโดย "โคลัมบัส" ซึ่งมีสเปนเป็นผู้สนับสนุนในปี ค.ศ. 1492  บัดนี้ชาวยุโรปจึงเริ่มแผ่ขยายอาณานิคมของตนไปตามที่ต่างๆในโลกใหม่ครับ **ภาพเขียนแสดงถึงแผนที่อย่างหยาบๆ "เมืองท่าเวนิส" ในสมัยที่เป็นผู้ผูกขาดการค้าขายสินค้าต่างๆรวมถึงเครื่องเทศจากดินแดนตะวันออกแลเอเซียครับ  โดยลักษณะเด่นของเวนิชคือมีลำคลองจำนวนมากไหลตัดผ่านตัวเมือง  เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตอนแรกๆนั้นพื้นที่แถบนี้เป็นห้วยหนองซึ่งเต็มไปด้วยบึงและโคลนเลนครับ  ตอนหลังเมื่อมีผู้ริเริ่มตั้งสถานีการค้าขึ้นจึงทำการสร้างเมืองลงทับพื้นที่ดังกล่าวเลย** (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 18:25:32

ความคิดเห็นที่ 19 จะบอกว่า เพราะยุโรปล่าอาณานิคม ...ชาติที่ถูกล่าเลยเจริญขึ้นเหรอ?? ถ้าไม่ล่า หรือล่าช้าลง...จีน ญี่ปุ่น ยังไม่เจริญ หรือเจริญช้าลง???? แล้วมาล่าเอาตอนนี้นะเหรอ???...(ซึ่งสมมติว่าจีน ญี่ปุ่นจยังไม่เจริญชิมิ) >< งงไม่เข้าใจคำถาม จากคุณ : ยิ้มเดียว เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 21:51:07

ความคิดเห็นที่ 20 ^ ^ ถูกต้องแล้วล่ะ แต่ผมว่าบางส่วนพวกล่าอาณานิคมก็เอาความรู้จากประเทศที่ถูกล่าไปต่อยอดด้วยนะ จากคุณ : โอไซริส เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 53 23:20:56

ความคิดเห็นที่ 21   ^ ^ ใช่เลย พวกที่สอนให้พวกป่าเถื่อนอย่างเช่น ดรุยอิดส์ กอลล เซลติก รู้จักเพาะปลูก ตีเล็ก ก็พวก โรมัน กรีก ที่รุกรานเค้าก่อนนี่เอง จากคุณ : .... เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 04:59:23 A:118.173.65.253 X: TicketID:270798

ความคิดเห็นที่ 22 ดูถูกกันเกินไปป่าว ไม่เกี่ยว่า ล่านิคมเเล้วเจริญหรอกนะ ญี่ปุ่นปิดประเทส เปิดมาอีกที ล่อไปครึ่งโลกลืมไปเเล้วหรอ คิดดิครับ จากคุณ : ติดดิ (มองผ่านๆ) เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 53 23:28:17