ความคิดเห็นที่ 1 ทำไมสมองต้องเลือกที่จะตัดสินคนด้วยข้อมูลส่วนน้อย ข้อนี้อาจจะอธิบายได้ว่า การตัดสินคนโดยมองจากข้อมูลทั้งหมดนั้น ยุ่งยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้นสมองจึงเลือกวิธีการที่ใช้พลังงานน้อยกว่า และได้ผลดีพอสมควรสำหรับการเตรียมท่าทีตอบรับกับคนที่เราเจอ(เช่น แค่ดูชื่อ login ก็พอรู้แล้วว่าความเห็นจะออกมาในแนวใหน น่าเชื่อถือหรือไม่) รูปจากอินเตอร์เน็ต แสดงคำพิพากษาของคนเราที่มักมอบให้คนหรือสิ่งอื่น มี 2 ลักษณะ คือ เรามักตัดสินว่า สิ่งๆนั้น ดี หรือ แย่ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 00:06:32 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:06:11

ความคิดเห็นที่ 2 ซึ่งปรากฏการณ์นี้เราเรียกว่า halo effect ซึ่งพูดง่ายๆ  ว่ามันคือ bias ชนิดหนึ่งนี่แหละ ที่เรามักมอบให้คนหรือสิ่งของ โดยข้อมูลที่เราใช้ตัดสินใจว่าข้อมูลนี้ ดี หรือเลว มักจะเป็นลักษณะแรกๆที่เราพบเจอ รูปแสดงความไม่เท่าเทียมกันของคำพิพากษา หากผู้พิพากษาเคยได้รับข่าวเกี่ยวกับด้านที่ไม่ดีของคนที่ต้องตัดสินมาก่อน เขาย่อมมีความเชื่อฝังใจว่าคนนี้มันต้องเลว และเลวทุกด้าน ซึ่งทำให้คำพิพากษามีความคลาดเคลื่อน จากกรณีคดีที่โจทย์และจำเลยไม่มีชื่อเสียง สิ่งที่ผมอยากจะบอกตรงนี้คือ ในกรณีที่คิดว่าศาลหรืออะไรไม่มีความยุติธรรมนั้น เนื่องมากจาก ผู้พิพากษานั้นเคยได้รับข่าวสารด้านลบเกี่ยวกับสิ่งที่จะตัดสินมาก่อน โดยข่าวด้านลบที่เข้ามานั้น เป็นข่าว  แรกๆที่ผู้พิพากษาได้ยิน ผู้พิพากษาก็เป็นคนครับ ถึงจะอย่างไร จิตใต้สำนึกเขาก็ได้ตัดสินไปแล้ว ไม่ว่าดีหรือเลวก็ตาม จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:11:26

ความคิดเห็นที่ 3 นอกจากนี้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงคือ Bandwagon effect และ Hindsight bias Bandwagon effect คือปรากฏการณ์ที่เราจะเชื่อ และคิดไปตามกลุ่มคนที่แวดล้อมเราอยู่ ซึ่งจะพบได้บ่อยในกรณีที่กลุ่มคนที่รายล้อมเราอยู่มีความเชื่อเดียวกัน มักจะอยู่รวมเป็นกลุ่มเป็นก้อน ซึ่ง Bandwagon effect มักจะใช้เป็นโมเดลหนึ่งในการล้างสมอง จำกันได้ใหมครับ การที่จะล้างสมองคนนั้น เราต้อง จำกัด individual think และสร้าง group think ในทิศทางที่เราต้องการ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:12:13

ความคิดเห็นที่ 4 Hindsight bias คืออคติที่คิดว่า เรานี่แหละ รู้ทุกอย่าง พบเห็นได้บ่อยในกระทู้ที่มีการถกเถียงเรื่องที่ไม่มีข้อสรุปตายตัว เช่น รัฐศาสตร์ คือเรามักจะสรุปผลเอาง่ายๆว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะสิ่งนี้ ทำให้เกิดสิ่งนู้น คือเราคิดว่าเราทำนายได้ :ซึ่งก็คงต้องพูดกันตรงๆแหละครับ คนเรามักจะถือว่าตัวเองมักจะรู้เรื่องในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้อยู่เสมอ ซึ่งสิ่งนี้แหละครับ ทำให้เราคิดว่าเราฉลาดกว่าคนอื่น จึงเกิดความต้องการที่จะ "พูด" อยู่ฝ่ายเดียว และเมื่อเราคิดว่าเราฉลาดกว่าคนอื่นเสียแล้ว การ "ฟัง" จึงเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะเรามักคิดว่าคนที่พูดขัดหูเรานั่น "โง่" เสียร่ำไป แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 00:27:24 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:26:42

ความคิดเห็นที่ 5 และอคติอีกอย่างหนึ่งที่เรามักโดนหลอกใช้โดยไม่รู้ตัว คือความรู้สึกของคนเราที่มักจะเอาใจช่วยบุคคลที่เป็นรองอยู่เสมอ เช่น ถ้าเรามองว่านายเอเป็นรองนายบีอยุ่ คนที่เชียร์จะพยายามเอาใจช่วยให้นายบีสามารถเอาชนะนายเอได้ เพราะลึกๆอยู่ในใจ คนเรามีความไม่มั่นใจในตัวเองแฝงอยู่ การเชียร์คนที่คิดว่าเป็นมวยรองให้สามารถเอาชนะได้นั้น คือธรรมชาติของคน ซึ่งมักพบได้ในการ์ตูน ซึ่งมักจะเขียนให้ตัวร้ายเก่งกว่าพระเอก เพื่อให้ผู้ชมมีการสนใจติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่พระเอกเสียทีให้ผู้ร้าย การ์ตูนเรื่องนั้นมักจะ มัน เป็นพิเศษ ข่าวร้ายคือ การแกล้งทำเป็นมวยรองนั้นมีอยู่จริงในโลกปัจจุบัน โดยคนที่ต้องการความสนใจและเสียงสนับสนุน มักจะทำตัวเองเป็นมวยรองในตอนแรก เพื่อเรียกคะแนนสงสาร จากคนดู แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 14:19:44 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:29:43

ความคิดเห็นที่ 6 อีกสักพักคงเป็นกระทู้แนะนำ เดี่ยวพรุ่งนี้จะมาอ่านละเอียดๆค่ะ วันนี้โหวตไปก่อน ไปนอนก่อนค่ะ เมื่อเช้ารถติดมากก -*- สวัสดีค่ะ ฝันดีค่ะ จากคุณ : ซีเหน่หาx2 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:37:49

ความคิดเห็นที่ 7 น่าสนใจครับ จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:41:26

ความคิดเห็นที่ 8 บทความนี่เจ๋งดีครับ ชอบ จากคุณ : Future is on my hand เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:46:53

ความคิดเห็นที่ 9 Confirmation bias อคติชนิดนี้ บอกเราว่า เราไม่ได้เลือกข้อมูลมาเพื่อเลือกที่จะเชื่อ แต่เราเชื่อก่อน แล้วจึงหาข้อมูลมาสนับสนุนความเชื่อของตนเอง เรายังพร้อม ที่จะ "มองข้าม" ข้อเสียของสิ่งที่เราเชื่อด้วย เช่นดวลาเราชอบใครสักคน เราพร้อม จะหาข้อมูลที่เข้าข้างตัวเองมาบอกกับตัวเองให้เราสบายใจ และเราก็พร้อมที่จะ "ละเลย" ข้อมูลที่ทำให้เราไม่พอใจไว้เบื้องหลังเช่นกัน และเมื่อเราเลือกที่จะชอบใคร เราได้เลือก แล้ว ที่จะมองใน ด้านดีของเขา และเรา จะละทิ้งด้านที่ลบของเขาโดยเราจะไม่ให้ความสนใจมากนัก ผมไปเจอรูปนี้มาในอินเตอร์เน็ต แสดงให้เห็นว่าคนเรา พร้อมจะตีความข้อมูลเข้าหาตัวเองอย่างร้ายกาจ ขนาดที่เห็นดาวทั้งท้องฟ้าเป็นรูป no เรายังลากเส้นจนเป็น yes ขึ้นมาได้ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 00:53:10 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:52:00

ความคิดเห็นที่ 10 โหวตด้วยครับ จากคุณ : madaras เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:53:20

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ เหมือนได้รับคำแนะนำดีๆเลย จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 00:53:31

ความคิดเห็นที่ 12 NIH คืออคติ ชนิดหนึ่งที่เรามักจะไม่ยอมรับวิธีการหรือความคิดเห็นของผู้อื่นโดยเหตุผลเพียงแค่ว่าความคิดนั้นไม่ได้มาจากเรา เช่น เราไม่อาจยอมรับแนวทางของคนที่เห็นต่างกับเราได้ เพราเขาคือศัตรูของเรา อคติชนิดนี้พบได้บ่อยมากในชีวิตประจำวัน และเป็นอคติที่ทำให้เราต้อง เหนื่อย และมีค่าเสียโอกาสโดยไม่จำเป็น ในทางคอมพิวเตอร์ คุณอาจจะรู้จักกับโปรแกรมหลายๆตัวที่มีลักษณะการทำงานที่คล้ายกันแต่ กลับมาการพัฒนาออกมาจากหลายกลุ่มเพราะว่าเรา ต่างไม่ยอมรับในผลิตภันฑ์ของฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง รูปประกอบที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองหายากแฮะ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 01:10:58

ความคิดเห็นที่ 13 นี่คืออคติที่พบบ่อยในสังคมไทย ผมตั้งกระทู้นี้โดยความรู้สึกแปลกๆ ว่าตอนนี้สังคมเรามันกำลังแย่ เพราะแค่คนบางคนแสดงทัศนคติที่ไม่ถูกใจ พวกเราก็พร้อมที่จะเฮโลไปกระทืบเขาให้จมดิน โดยไม่ให้โอกาสเขาอีก ซึ่งผมมองว่า มันไม่ถูกต้อง เหมือนกับเรื่องโดดี คนเรามันมีการเปลี่ยนแปลงตัวกันได้ และเราไม่สมควรที่จะตัดสินใครด้วยพฤติกรรมที่เรารู้มา อคติเหล่านี้มันคือพฤติกรรมของเรา หากเราจะหลีกหนีมันย่อมเป็นไปได้ยาก แต่อยากจะให้รู้ทันมัน สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ อยากให้เรามองกันในแง่ดี แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 01:23:16 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 01:13:42

ความคิดเห็นที่ 14 ร่วมติดตามด้วยคนครับ จากคุณ : Nosfaratu Zord เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 01:15:20

ความคิดเห็นที่ 15   ค่ำคืนนี้มีหลายกระทู้เหลือเกิน ที่ทำให้ผมต้องมองไปยัง url ว่าอยู่ห้องสมุดหรือเปล่า ^.^ กระทู้น่าอ่านมากครับ มุมมองน่าสนใจดี ** ภาพ 4 อย่ามองผ่านๆนะครับ อ่านวอลเปเปอร์แล้วจะขำแบบเจื่อนๆ ** จากคุณ : ประการณ์แห่งเดียว... เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 01:24:37 A:118.173.62.38 X: TicketID:270938

ความคิดเห็นที่ 16 ครับ ใหนๆก็ตั้งกระทู้นี้แล้ว เลยอยากจะเขียนเกี่ยวกับวิธีการหลีกเลี่ยงดรามาซักหน่อย 1.เวลาตำหนิคน อย่าตำหนิที่ตัวคน เช่นคุณนี่โง่จริงๆเลยนะ เพราะมันจะเป็นการทำลายคุณค่าของตัวเขา ซึ่งคนที่โดนเราด่าก็ต้องสู้ อย่างเต็มที่ แต่ให้ตำหนิที่พฤติกรรมแทน เช่น กวาดบ้านแบบนี้ไม่ถูกต้อง เป็นต้น 2.ไม่จุดประเด็นในการที่เขาจะต้องป้องกันตัว เช่น เราจับได้ว่าเรื่องนี้เขาโกหกและเขาแถจนหมดทางแล้ว เราไม่ควรจะไปโจมตีจุดอ่อนของเขา เพราะมันจะเป็นการไปกระตุ้นพฤติกรรมป้องกันตัวขึ้นมา ซึ่งมีหลายแบบ แต่ไม่ว่าแบบใหน ก็ไม่เป็นผลดีทั้งสิ้น 3.ไม่ดูถูกในสิ่งที่เขาเชื่อ เพราะว่า มันจะเป็นดรามาอย่างรุนแรง จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 01:33:57

ความคิดเห็นที่ 17 น่าสนใจค่ะ ตรงเรื่องของ "ผุ้พิพากษาที่ได้ยินว่า จำเลยคนนี้มีข้อเสียมาก่อน"​ เรานึกได้อีกอย่าง ซึ่งถ้าเรียกว่าเป็นอคติอีกรูปแบบก็คงได้มั้งคะ คืออีกกรณี สมมติผู้พิพากษาได้ยินว่า จำเลยคนนี้มีข้อเสียมาก่อน แต่ด้วยเจตนาลึกๆของผู้พิพากษา พยายามจะทำให้ตัวเองเป็นคนที่ซื่อตรงและให้โอกาสคนอย่างยุติธรรม แต่เอียงมาอีกทางมากเกินไป จนกลายเป็น ให้เครดิต กับคนที่ถูกกล่าวหา โดยไม่รู้ตัว เช่นเคสเพื่อนเรา มีเพื่อนสมัยมหาลัยคนนึงนิสัยไม่ค่อยดีนัก แม้แต่เพื่อนเก่ายังไม่อยากติดต่อด้วย พอเข้ามหาลัยเพื่อนก็ไม่ค่อยมี แต่มีเพื่อนอีกคนเป็นพวกชอบทำอะไรสวนกระแส อะไรคนว่าแย่ ชีจะเข้าไปลอง อะไรคนบอกว่าดี ชีจะบอกว่า ตรงข้าม เพื่อนเราผู้เป็นแม่พระเลยได้ให้โอกาสคนคนนี้ คบด้วยและให้การปกป้องอย่างเกินเหตุ เหมือนกับว่า "พยายามจะทำตัวเป็นกลางโดยไม่ฟังเสียงคนอื่นพูดมาก่อน" แต่สุดท้ายกลายเป็น "เอียงไปอีกทางไม่รู้ตัว" จนตอนหลังโดนคนที่ตัวเองให้โอกาสหักหลัง เพื่อนทุกคนเลยบอกว่า "ไงล่ะ อยากลองของดีนัก" ยกตัวอย่างด้านตรงข้ามมาเล่าค่ะ o_O จากคุณ : SICKHEART เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 01:37:34

ความคิดเห็นที่ 18 แก้ไขได้ด้วย.... หลักกาลามสูตร และ ปัญญา... จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 02:05:46

ความคิดเห็นที่ 19 ชอบกระทู้นี้นะ หวังว่าคงไม่ดราม่า จากคุณ : เสียงจากบ้านนา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 06:15:47

ความคิดเห็นที่ 20   ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่อยู่รอดในสังคมจอมปลอม   ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับกระทู้เปล่านะ แต่เท่าที่อ่านๆ เหมือนตัดพ้อเรื่องอคติและการแคร์คนอื่น ตัดอคติและคนอื่น เริ่มทำตัวเองให้มีความสุขได้แล้วครับ ถ้าโดดีในนิทานเค้าคิดได้แบบนี้เค้าจะไม่มีวันกลับไปเป็นคนเดิมที่คนอื่นคอยดูแคลนเลย จากคุณ : CitizenShip เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 06:23:12

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณ จขกท. ที่รวบรวมความรู้จากฟากตะวันตกมาเผยแพร่ หวังว่าคงจะทำให้มีคนที่เริ่มจะคิดเป็น เพื่อนำไปสู่ความจริงของโลกมนุษย์ที่มีความสลับซับซ้อนของจิตใจ  ฝรั่งเรียนรู้เพื่อควบคุมธรรมชาติให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองหรือสังคมที่ห้อมล้อมพวกเค้า สังคมแบบบ้านเรา ให้ค่าของคนที่เป็นคนของใคร มากกว่าคนๆนั้นทำอะไร เส้นทางการพัฒนายังยาวเหลือเกิน จากคุณ : cpbu เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 08:19:47

ความคิดเห็นที่ 22 กระทู้นี้ดีจัง Hindsight bias จากกลุ่มคนที่โดน Bandwagon effect นี่พบบ่อยมาก ซึ่งผมคิดว่าตอนนี้สังคมไทยก็กำลังประสบกับปัญหานี้อย่างหนักหน่วง และรุนแรงขึ้นไปอีกเมื่อกลุ่มคนที่ว่าพัฒนาการไปถึงขั้นสร้างไม้เสียบแม่มดออกมาใช้กันเองแล้ว เศร้า --- เห็นด้วยกับคุณลูกเป็ดฯ ทว่า มันก็จะทำให้เกิดประเด็นปัญหาต่อไปอีก เพราะทุกคนล้วนนิยามว่าปัญญาคือ "ความที่รู้" และคิดว่าความที่ตนรู้นั้นถูกต้อง จึงคิดว่าตนเองนั้นมีปัญญา คนมีการศึกษามองตัวเองมีการศึกษา ต้องมีปัญญา คนด้อยการศึกษามองว่าไม่จริง ปัญญาไม่ได้หาได้จากเฉพาะในสถานศึกษา และทั้งสองฝ่ายนั้นถูก แต่ไม่ทั้งหมด ไม่เสมอไป และทั้งสองฝ่ายล้วนมองแต่ส่วนที่คิดว่าถูกของตนเอง และทั้งสองฝ่ายจึงบอกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่มีปัญญา และทั้งสองฝ่ายคิดว่าไม่จำเป็นต้องฟังอีกฝ่ายอีกต่อไป และฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าจึงถล่มอีกฝ่ายด้วยข้ออ้าง เจรจาไม่สำเร็จ และปัญหา ก็ไม่มีวันจบ เอวัง ป.ล. แอบเป็นแฟนการ์ตูนคุณลูกเป็ดฯ ๕๕๕ จากคุณ : only 1 meter , เพียง ฉัน มีเธอ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 08:21:23

ความคิดเห็นที่ 23 สังคมมนุษย์นี้มันโหดร้ายจริงๆ จากคุณ : kanoomtan เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 08:24:41

ความคิดเห็นที่ 24   ชอบมาก คนเราพร้อมตีความทุกสิ่งทุกอย่างเข้าข้างตัวเองเสมอ จากคุณ : ริค เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 08:33:35 A:117.47.90.168 X: TicketID:248730

ความคิดเห็นที่ 25 เป็นกระทู้ที่ดีมากครับ เคยเรียนเรื่อง Halo effect วันนี้ได้ความรู้เรื่อง Bias เพิ่มขึ้นอีกหลายชนิดเลย ขอบคุณคุณนฤมลประการด้วยนะครับ จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 08:44:32

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่น่าเชื่อ  !! เรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกวันนี้  ในกระทู้นี้อธิบายได้หมดทุกอย่างเลยแฮะ ขอบคุณที่เอาเรื่องนี้มาลงนะครับ   ช่วยให้ผมได้รู้แจ้งในหลายๆเรื่องเลย ^^ จากคุณ : NineGame เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 08:56:43

ความคิดเห็นที่ 27 Halo effect = เฮโล เอ็ฟเฟกต์ อืมมม มันเป็นอย่างนี้นี่เอง จากคุณ : บุรี เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 09:05:24

ความคิดเห็นที่ 28   โหวดไม่ได้ แต่ใจอยากให้คนได้อ่านมากๆ ไม่ใช่เพื่อเข้าใจคนอื่น แต่เพื่อรู้จักตนเอง จากคุณ : หมูน้อยบางวัว เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 09:14:25

ความคิดเห็นที่ 29 เหตุการณ์ของโดดี คล้ายเหตุการณ์สมัยเมื่อเราเรียนหนังสือตอนม.ปลาย จริงๆนะ ตอนนั้นถึงกับร้องไห้ร้องห่มกันกลางชั้นเรียนเลย หยุดเรียนไปเป็นอาทิตย์แน่ะ... หลังจากนั้น การกลั่นแกล้งก็ลดน้อยถอยลงไป บางคนก็เข้ามาปลอบ บางคนหยิ่งหน่อยก็ช่วยปรามๆไอ้พวกที่ยังแกล้งๆอยู่ ไปๆมาๆ  ทุนการศึกษาและค่าขนมส่วนหนึ่งก็มาจากไอ้พวกนี้แหล่ะ สุดท้ายเราก็เป็นเพื่อนเล่นหัวกันได้แม้ว่าฐานะจะต่างกัน... ล่าสุดก็เพิ่งมาสารภาพบาปวันจบการศึกษา ว่าไอ้ที่แกล้งๆล้อเลียน ก่อนที่จะที่จะดีกันนั่นน่ะ เพราะ มันอยากจะเล่นด้วย... มันไม่รู้จะเข้าหาเรายังไง เพราะตอนนั้น เราน่ะ ยึดถือ ในฐานะของตัวเอง ที่ต่างกับพวกมันมากเกินไป เป็นเราเอง ที่คิดว่าตัวเองต่ำต้อย และต้องดีเสมอเขาให้จงได้ เป็นเราเองที่ไม่พอใจในสิ่งที่มี จนทำให้เราเป็นคนขี้อาย... ยิ่งโดนไอ้พวกที่เข้าหาเราไม่เป็น แกล้งอีก ยิ่งขี้อาย และปลีกตัวเข้าไปใหญ่ แต่เมื่อ ถึงจุดๆหนึ่ง แล้ว เราก็ระเบิด แล้วการระเบิดนั้นก็มีผลดี เพราะมันทำให้พวกมันเข้าใจเรามากขึ้น และทำให้เราเข้าใจพวกมันมากขึ้น หลังจากนั้นเราก็ต่างคนต่างใช้ สิ่งที่ตนมี ประคับประคองกันรอดมาจนจบการศึกษา อย่างพวกมันมีเงิน ก็เป็นคนคอยเลี้ยงเพื่อน อย่างเราถึงไม่มีเงิน แต่ก็พอมีสมองก็คอยเป็นโพยเคลื่อนที่ให้พวกมันลอก ก็อยู่ดีมีสุข ตามอัตภาพ   พิมพ์แล้วก็คิดถึง สมัย ม.ปลาย ผ่านมา 3 เดือนแล้วเหรอนี่ ปล.เมื่อวานไปตลาด ไอ้ลูกคนรวยก็ยังทักเราปกติ ทักก่อนด้วยนะ เป็นเราซะอีกที่มองไม่เห็นหัวมัน ... จากคุณ : ครั้งป๊อกเด้งหน้าห้องสมุดยังจำ (เจ้าชายอวกาศ) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 09:24:27

ความคิดเห็นที่ 30   ขอบคุณครับ ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของฝรั่ง "Unlearn what you have learnt." จากคุณ : peacethailand.com เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 09:31:52 A:125.25.183.120 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 31 กิ๊ฟหมดแล้วอ่ะครับ อยากให้เต็มที่เลยครับ อ่านกระทู้เสร็จแล้ว ก็พิจารณาตัวเอง ผมก็มี bias ไม่น้อยเช่นกัน ต้องพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้น ... สังคมจะได้ดีขึ้น ทั้งในออนไลน์และชีวิตจริง กระทู้นี้เตือนสติดีจริงๆ ครับ ขอบคุณครับ ชอบ คห 4 กับ 16 จังครับ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 09:33:34 จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 09:32:24

ความคิดเห็นที่ 32 อ่านแล้วเข้าใจตัวเองมากขึ้น ยิ่งข้อที่ว่าคนเรามักจะหาเหตุผลเพื่อสนับสนุนความเขื่อของตัวเอง ตรงเป๊ะ จากคุณ : ป่านฉะนี้เธออยู่ดีไฉน เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 09:46:16

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณค่ะ คุณนฤมลประการ ที่เตือนสติ Confirmation bias เป็นบ่อยค่ะ กีบหมดแล้ว ให้ใจแทนนะคะ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 09:48:41

ความคิดเห็นที่ 34 กระทู้ดีมากๆค่ะ ลืมบอก จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 09:53:35

ความคิดเห็นที่ 35 น่าสนใจครับ  แต่...    ไม่มีคำพูดของใครกำหนดชีวิตของเรา   นอกเสียจากเราจะยอมรับมัน... จากคุณ : a fat cat in a hat เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:02:05

ความคิดเห็นที่ 36   เหมือนที่คนบางคนชอบพูดว่า คนบ้านนอก ซื้อมอไซต์ มือถือ คือความสิ้นเปลือง ทั้งๆที่คนในเมืองเองก็ใช้ เปลี่ยนรุ่นกันเป็นว่าเล่น แถมรูดบัตรซื้อเป็นหนี้พอกบัตรหลายใบอีกต่างหาก จากคุณ : NoHu เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:02:37 A:61.19.52.6 X: TicketID:271078

ความคิดเห็นที่ 37 เยี่ยมมากครับ 2 กระทู้แนะนำนี้สอนและสะท้อนสังคมไทยได้เยอะเลย ^^ จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:08:55

ความคิดเห็นที่ 38 อ่านแล้วเจ็บๆคันๆในหัวใจมากมายค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : พีนัตบัทเตอร์ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:12:05

ความคิดเห็นที่ 39 กระทู้ดี แต่กิ๊ฟหมด โหวตๆ จากคุณ : นังหนูซู่ซ่า เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:13:59

ความคิดเห็นที่ 40 น่าสนใจมากครับ เสียดายจริงๆ give หมดครับ จากคุณ : คนเมืองชล เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:22:37

ความคิดเห็นที่ 41 อืม คิดๆดูผมก็อคติเยอะอยู่นะเนี่ย ต้องพยายามรวบรวมสติๆ เป็นบทความที่ดีมากครับ ถ้าผู้อ่านให้ความสนใจจริงจัง มันก็ยกระดับความคิดเขาได้ระดับหนึ่งทีเดียว จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:28:20

ความคิดเห็นที่ 42 ถ้าจะลด Systematic error หรือ bias ในทางสถิติ ควรใช้ 1. reserch design รูปแบบการวิจัย ที่เหมาะสม 2. reserch methodology วิธีการวิจัย ที่เหมาะสม 3. เทคนิคทางสถิติที่เหมาะสม อย่างนี้เอามาประยุกต์ใช้กับConfirmation bias ได้มั้ยคะ ฮิ้ววววววว (มาป่วนเฉยๆ) จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:30:29

ความคิดเห็นที่ 43 กิ๊ฟ หมด โหวต ให้แล้วกัน ขออนุญาต จขกท ส่งต่อเป็นเมล์ ได้เปล่าครับ เพื่อนชอบส่งเมล์ การเมือง หรือไม่ก็แบบ รักเจ้าเกินเหตุ(คลั่ง) จะส่งกลับไปให้อ่าน แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 10:42:40 จากคุณ : สระนาฬิเกร์ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:32:12

ความคิดเห็นที่ 44 โหวตเลยค่ะ จากคุณ : LittleSister เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:40:23

ความคิดเห็นที่ 45 รู้หลักการแล้ว เหลือแต่จะนำไปใช้ได้แค่ไหน จากคุณ : PSmobilepk เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:41:45

ความคิดเห็นที่ 46 อืม สนุกดี แต่คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ -*- จากคุณ : -APEM เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:55:02

ความคิดเห็นที่ 47 คนไทยอคติเยอะจริงๆนั่นแหละ ขนาดนักข่าวที่ยืนทำข่าวในเหตุการณ์ ยืนข้างๆทหาร เพียงแค่เค้าเป็นสำนักข่าวต่างชาติ  โดนคนไทยที่นั่งอยู่หน้าจอคอมรุมประนามซะงั้น จัดเป็นงานเสวนาใหญ่โต แต่นับหัวแล้วจะมีกี่คนที่เคยลงพื้นที่จริง ... จากคุณ : หมีอ้วนขนนิ่มสมัครอมยิ้มมาเฮฮา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:55:16

ความคิดเห็นที่ 48 อ่านถึง คคห. 3 เรื่อง Bandwagon effect ทำให้นึกถึงวิชาอนาคตประวัติศาสตร์ของฮาริ เซลดอน ที่สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง manipulate สังคม (จักรวรรดิ) ให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ โดยมีเครื่องมือคำนวณและวางแผน เป็นสมการคณิตศาสตร์ที่สลับซับซ้อน น่าสนใจนะ วิชาเนี้ย จากคุณ : สาวน้อยร้อยแปด เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 10:59:02

ความคิดเห็นที่ 49 ความคิดเห็นที่ 42 วิทยายุทธ์ข้าน้อยยังด้อยนัก ขอท่านโปรดชี้แนะ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 11:06:12 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:03:00

ความคิดเห็นที่ 50 #17 เพื่อนเขานิสัยดีนะครับ เพราะรู้จักมองหาแง่ดีของคน จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:16:13

ความคิดเห็นที่ 51 ชัดเจนน จากคุณ : blue_nova เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:16:30

ความคิดเห็นที่ 52 โหวตด้วยคนจ้า บรรยากาศในกระทู้ร่มรื่นเป็นอย่างมาก เราว่านะ ไม่มีใครหรอกที่ไม่มี Bias มีมากมีน้อยแล้วแต่คน และก็แล้วแต่การควบคุมการแสดงออก ควบคุม Bias ของตัวเองโดยการหาเหตุผลมาหักล้าง แล้วแสดงออกมาให้เป็นกลางและยุติธรรมมากที่สุด   แล้วผู้คนรอบข้างก็จะเพิ่มความเชื่อถือในตัวเราเอง จากคุณ : Choco-Mix เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:28:42

ความคิดเห็นที่ 53 . . เดือนนี้ไม่ค่อยได้แวะเข้ามา กีฟท์เลยเหลือค่อนข้างเยอะ.. งั้นช่วยให้กีฟท์แทนคนที่กีฟท์หมดทุกคนเลยแล้วกันนะคะ...สำหรับบทความที่ดีและมีประโยชน์แบบนี้ค่ะ... จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:37:56

ความคิดเห็นที่ 54 อ๋อ คุณนฤมลประการ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่พอพูดถึง Bias มันก็นึกถึงเรื่องที่เคยเรียนเรื่องการทำวิจัยเฉยๆ ข้อเท็จจริง มีทั้ง ค่าความจริง และ ค่าความเท็จ (error) ซึ่งแบ่งเป็นแบบสุ่ม และแบบเป็นระบบ (systematic error หรือ Bias) แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 11:39:24 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:39:06

ความคิดเห็นที่ 55 ไม่สำเร็จ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 11:40:44 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:40:18

ความคิดเห็นที่ 56 โอ๊ย ไหงเป็นงี้ ช่างมันละกัน แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 11:42:06 จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:41:41

ความคิดเห็นที่ 57 วาดเองก็ได้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:49:44

ความคิดเห็นที่ 58 ชื่อล็อกอินเกี่ยวไรด้วย ความจริงกลุ่มผมมีชื่อล็อกอินเป็นศัพท์วิชาการน่าเชื่อถืออยู่ แต่รู้มั้ยมันเอาไว้ใช้สำหรับคน20กว่าคนเข้าบอร์ดไปโหลดหนัง และเอาไว้สมัครทิ้งไว้เวลาเจอบอร์ดใหม่ๆ และใช้ศัพท์ที่เรียนมาจะได้จำง่ายและลองได้เลยว่ามีใครสมัครทิ้งไว้ให้แล้วรึยัง จากคุณ : ผีฟรีคิก เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:55:21

ความคิดเห็นที่ 59 เรื่องน่าคิดของไอสไตน์ ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า " มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน " นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า " ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ " ไอสไตน์ พูดว่า " งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะ คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควัน เขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่ " นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า " อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรก เห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ..... ถูกไหมครับ...." ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้ ไอสไตน์ ค่อยๆพูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล " คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก นี่แหละที่เขาเรียกว่า " ตรรก " " เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ " ตรรก " จะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก " พันธนาการของความเคยชิน " หลบเลี่ยงจาก " กับดักทางความคิด " หลีกหนีจาก " สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง " ขจัด " ทิฐิแห่งกลมสันดาน " จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด ที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้ http://www.are101.org/forum/index.php?topic=50.0 จากคุณ : iamnid เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 11:55:47

ความคิดเห็นที่ 60 เข้ามาโหวตคับ จากคุณ : คนไร้สมอง เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:00:28

ความคิดเห็นที่ 61 มันมีสองส่วน กฎทางสังคม กับกฎหมาย เพราะโดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์เป็นสัตว์สังคม หากคุณทำผิดกฎทางสังคม คุณโดนสังคมลงโทษ ก็ไม่แปลกแต่อย่างใด เหมือนที่เขาว่ากันว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม กับอีกข้อ กฎหมาย หากภายใต้สังคม ลดความวุ่นวาย ก็ต้องใช้กฎหมายเข้ามาร่วม ทำไม รูปปั้นเทพธิดา ถึงต้องใช้ผ้าปิดตา และถือตาชั่งเอียง การมีผ้าปิดตา ก็เพื่อตัดสินอย่างไม่ลำเอียง ไม่มองว่าใครเป็นไพร่ ใครเป็นเจ้านาย ตาชั่งที่เอียง ก็เพื่อชั่งน้ำหนักความ ฝ่ายไหนมีน้ำหนักมากกว่า ฝ่ายนั้นชนะไป หากบุคคลใดโดนกฎทางสังคมลงโทษ เขาก็สามารถใช้กฎหมาย ปกป้องสิทธิเขาได้เช่นกัน จากคุณ : A.R.T. เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:05:26

ความคิดเห็นที่ 62 Bias เป็นการคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นในลักษณะที่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง เช่นการวิจัยที่มีการวัดผลโดยการชั่งน้ำหนัก เครื่องชั่งสปริงที่สปริงแข็งเกินไป จะทำให้ได้น้ำหนักน้อยกว่าความเป็นจริงทุกครั้ง ถ้าสปริงอ่อนไป จะได้ค่ามากกว่าความเป็นจริงตลอดเวลา จะเห็นได้ว่า ความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นจะเกิดอย่างเป็นระบบในลักษณะที่เหมือนกันทุกครั้ง (คือผิดพลาดไปในค่าน้อยกว่าหรือมากกว่าความเป็นจริง) Bias นี้อันตราย เพราะจะทำให้ได้ผลผิดไปจากความจริงอย่างแน่นอน Random Error ความผิดพลาดแบบไม่คงที่ เช่นถ้าชั่งน้ำหนักจากเครื่องที่ได้มาตรฐาน การชั่งครั้งหนึ่งๆ ก็จะได้ค่าน้อยหรือมากกว่าความเป็นจริงเล็กน้อยที่สังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจน ผลสลับกันไป ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก เมื่อเป้าหมายของการวิจัยคือการหาความจริง แต่ผลที่ได้กลับเป็นข้อเท็จผสมข้อจริง เลยต้องพยายามลดความผิดพลาดให้มากที่สุด รูปแบบการวิจัย Reserch design และ วิธีการวิจัย Reserch methodology ที่เหมาะสมจะลด Bias ได้ สถิติ ที่เหมาะสมจะลด random error ได้ ***เอ้ มันเกี่ยวกับกระทู้นี้มั้ยเนี่ย คือว่าถ้าไปชอบชายหนุ่ม แล้วก็คิดหลงไหลได้ปลื้มแต่กับข้อดีเขา แต่ข้อเสียตัดทิ้ง เหมือนที่คุณนฤมลประการว่าเห็นดาวบนฟ้าเป็น YES หมด เอิ๊กๆๆๆ ก็จะทำให้ไม่สามารถตัด Error ได้ จึงควรวิจัยชายหนุ่มคนนั้น (หรือหลายๆคนนั้น) ด้วยระเบียบวิธีวิจัยที่เหมาะสมค่ะ (ถ้าเราขึ้นคานจะโทษคุณนฤมลประการนะคะ) สรุปว่าเราพาออกทะเลใช่มั้ยเนี่ย ถือว่ามาพูดเรื่อง Stat ละกัน คริคริ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:06:34

ความคิดเห็นที่ 63 แย่ละ แม้แต่ไอน์สไตน์ก็ยังไม่หลุดจากพันธนาการของความเคยชินที่ว่าปล่องไฟเก่าต้องสกปรก ฟิ้วววว =3 #จขกท. - ค่อนข้างงง ตัวอย่างกับบทสรุป โดดีอยากเปลี่ยนวรรณะทางสังคม โดยการซื้อเสื้อราคาแพง...เธอก็ยังไม่หายจนอยู่ดีนี่ครับ - -? - ส่วนเรื่อง Bias พอจะสรุปได้ไหมครับว่า ทุก Bias เกิดจากการไม่มี Fact แค่นั้นเอง? จากคุณ : Bias's not matter, fact indeed (zeralf) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:47:30

ความคิดเห็นที่ 64 เคยเป็นโดดี้มาก่อน และ เคยเป็นคนที่แกล้งโดดี ตอนผมเป็นโดดี้ ผมเกลียดชังคนที่เข้ามาแกล้งผมมาก น้อยใจ พยายามทำดีเพื่อเอาชนะใจพวกนั้นให้ได้ ส่วนตอนที่เคยเป็ฯคนแกล้งโดดี้ ผมกลับรักโดดี้มาก แม้จะแกล้ง ผมก็ช่วยโดดี้ตลอด โดดี้ที่ผมแกล้งเอง แม้แรกๆ จะไม่ชอบผม แต่หลังๆ โดดี้ก็เป็นเพื่อนกัยผมนะ สาเหตุว่าทำไมผมเป็นฝ่ายแกล้งโดดี้ เพราะโดดี้หยิ่ง ทำตัวน่าหมั่นไส้... และมีคนสนใจโดดี้มากกว่าผม อิอิอิ จากคุณ : กระต๊อบน้อย เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:52:03

ความคิดเห็นที่ 65 ความคิดเห็นที่ 61 ใช่แล้วครับ เพราะถ้าผู้พิพากษาไปรับข้อมูลมาจากภายนอกมาก่อน ย่อมจะมีไบแอสเกิดขึ้นลึกๆในใจ คำพิพากษาของเขาย่อมเอียง เป็นธรรมดา ความคิดเห็นที่ 63 เป็นการเปรียบเทียบเฉยๆครับ เคยได้ยินใหมครับ ความเชื่อว่าใครดีหรือเลวมันเปลี่ยนกันได้ยาก ต่อให้คนที่ถูกตีตราว่าเลว กลับตัวเป็นคนดีแค่ใหน ก็ยังเลว ในกรณีที่ยกมา โดดีพยายามยกตัวให้หลุดพ้นจากคำถากถางว่าเธอใส่ชุดเก่า แต่งตัวมอซอ แต่ไม่เป็นผล เธอกลับถูกสาวๆคนชั้นกลางกดไว้ที่เดิม แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 13:13:58 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:02:31

ความคิดเห็นที่ 66 พวกเด็กแว๊น หรือ นักศึกษาอาชีวะ ที่ยกพวกตีกัน ก็มีผลจากจิตใจ ของการ "ได้รับการยอมรับ" และ "ไม่อยากโดนคนอื่นตัดสิน" แบบนี้แหละครับ จากคุณ : sillygang เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:05:04

ความคิดเห็นที่ 67 คุณกิฟไม่ใช่ตุ๊กตาครับ เท่าที่ผมได้ยินมา นักวิจัยมักจะ โน้มน้าวผลการวิจัยให้สอดคล้องกับความเชื่อของตัวเอง ลักษณะนี้เขาเรียกว่า Observer-expectancy effect คือคาดหวังว่าจะเห็น ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:10:11

ความคิดเห็นที่ 68 ดีครับ อ่านเพลินดีขอบคุณมาก แต่ขอตินิดหนึ่งได้ไหม รูปประกอบอะเปลี่ยนเหอะครับ เด๋วจะโดนกาหัวว่าชี้นำเอานา มันค่อนข้างสุ่มเสี่ยงไปหน่อย (จริงๆ ผมชอบรูปน่ะมันตรงกับตัวเนื้อหาดี แต่อยากให้มันอยู่ไปอีกนานๆ) จากคุณ : anima nightmare เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:34:41

ความคิดเห็นที่ 69 ^ ^ ขอบคุณค่ะ ไม่มีไรหรอกค่ะคุณนฤมลประการ  สงสัยเราเวิ่นเว้อเฉยๆ ชอบทู้นี้มากๆนะคะ ไปล่ะ ฟิ้ววววว จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:35:12

ความคิดเห็นที่ 70 ต่อจากความเห็นผมอีกนิด ที่จขกท.กล่าวถึง bias ของผู้พิพากษา ในกระบวนการศาล เข้าใจว่า ยังมีระบบลูกขุนช่วยในการตัดสินใจด้วย และการเกิด bias หรือไม่ ท้ายที่สุด ก็ต้องตัดสินกันตาม น้ำหนัก สองฝ่ายอยู่ดี จากคุณ : A.R.T. เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:39:03

ความคิดเห็นที่ 71 ในการทำวิจัยเรื่องทางการแพทย์เขาถึงนิยมทำ Double Blind กันยังไงครับ เพื่อตัด Bias ของผู้วิจัย และผู้เข้ารับการทดลองให้มากที่สุด ........ ศาลน่าจะทำบ้างนะ ตัดสินแบบ Double Blind จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:43:10

ความคิดเห็นที่ 72 คุณ  A.R.T. ครับ ถึงแม้ว่ายัง มีระบบลูกขุนช่วยอยู่ก็จริง แต่มันยังมี Bandwagon effect คือปรากฏการณ์ที่เราจะเชื่อ และคิดไปตามกลุ่มคนที่แวดล้อมเราอยู่ ทีนี้ ถ้าลูกขุนเอียงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยที่ไม่เอียง มันนก็จะเอียงตาม ดังนั้นจึงเกิดวิธีโหวดลับไงครับ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:46:00

ความคิดเห็นที่ 73 ู^ ชี้ไป 67 ไม่ใช่ทุกคนครับ ลักษณะนี้ ส่วนมากจะเป็นว่า ตั้งสมมุตฐานไว้ (ด้วยความรู้ที่มี) แล้วลองทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า เป็นไปอย่างที่คิดไหม ส่วนมาก ก็จะเป็นไปตามนั้น อย่างของผมเองนี่ ไม่เป็นไปตามที่คิด คือจริงๆก็เป็นนะแหละ แต่ดันมี facter อื่นมาผสมโรง .... งานเข้าเลยครับ ยืดมากว่าปีแล้วยังแก้ปัญหาไม่เสร็จซะที เหอๆ ไม่จบซะที (ปีที่ 4.5 ละเีนี่ย) แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 14:47:53 จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:51:53

ความคิดเห็นที่ 74 ไม่รู้ผม bias หรือเป็นโรคจิต ถ้ามีคนสั่งให้ไปซ้าย เราจะไปขวา ทำให้ทำโน่น เราจะทำอีกอย่างที่ตรงข้าม ยิ่งสั่งให้ไปทำเรายิ่งรั้นไม่ไป เหมือนเราเป็นโรคจิตชอบดูคน อกแตกตาย แล้วแอบสะใจลึกๆ ประมาณว่า อย่างเมริงอ่ะเหรอคิดจะมาสั่งกุ อะไรประมาณนี้ ท่าทางจะเป็นโรคจิตเราเนี่ย ห้าๆๆ จากคุณ : NorsDavincy เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 14:15:50

ความคิดเห็นที่ 75 สงสัยเรื่อง Bias แบบตรงข้ามกระแสสังคมแบบของ #17 มากครับ มันเหมือนเป็นขั้วตรงข้ามของ Bandwagon effect คือจะเห็นตรงข้ามกับกระแสสังคม หรือแม้แต่คนที่อยู่รอบตัว อย่างตัวผมเอง ในกรณีที่ข้อมูลที่มีใช้ตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ 50/50ในการเลือก มักจะเลือกสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เลือกกันมากกว่า ยิ่งคนรอบตัวทำกันเยอะๆนี่ยิ่งเอียงไปอีกข้างง่ายเลย อันนี้ตรงกับกรณีไหนรึเปล่าัครับ? จากคุณ : YF-01 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 14:27:13

ความคิดเห็นที่ 76 ความจริงของสังคมซินะครับ ปลงเท่านั้น จากคุณ : ปังปอนด์ป่วน เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 14:49:01

ความคิดเห็นที่ 77 พฤติกรรมต่อต้านสังคม ไปค้นเจอในอินเตอร์เน็ตว่าเขาใช้ศัพท์ Antisocial personality disorder APD เป็นหนึ่งในความผิดปรกติทางพฤติกรรมของมนุษย์ (คนละกรณีกับ ความเห็นที่ 74 นะครับ) เท่าที่เคยเรียนจิตวิทยามา อ. สอนว่า เป็นความผิดปรกติของพัฒนาการด้านอารมณ์ เช่น ขาดพ่อ หรือ ครอบครัวมีปัญหา ถ้าผมจำไม่ผิด รู้สึกจะเป็นความต้องการที่จะแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของตนซึ่ง เป็นการเรียกร้องความสนใจแบบนึ่ง กลุมพฤติกรรมต่อต้านสังคมนั้น ผู้ป่วยจะมีลักษณะการแสดงอาการอยู่หลายแบบ ซึ่งที่ผมเรียนมา นั้นลืมหมดแล้ว แต่ผมเจอใน wiki ตามนี้นะครับ 1.มีพฤติกรรมที่ต่อต้านกฏหมายและบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่งจะต้องแสดงออกอย่างซ้ำๆ 2.มีการใส่หน้ากากเข้าหากัน 3.ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง 4.มีนิสัยก้าวร้าวและชอบใช้ความรุนแรง 5.นิสัยประมาทต่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่น 6.แสดงอาการไม่รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายบ่อยครั้ง 7.ขาดความสำนึกผิด http://en.wikipedia.org/wiki/Antisocial_personality_disorder ทีนี้ เขาบอกว่า คนที่มีความผิดปรกตินั้น จะแสดงพฤติกรรมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช้เป็นครั้งคราว ผมไม่อยากโยงไปถึงเรื่องน้องคนนั้น เพราะผมคิดว่ามันไม่ดีที่จะไปสรุป เพราะเรายังไม่รู้จักเขาดีเพียงพอ(คิดอยู่หละสิ :) ) จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 14:50:32

ความคิดเห็นที่ 78 ในศาสนา ต้องถือว่ามนุษย์ยังขาดเมตตา และการไต่ตรองด้วยสติ อย่างวิธีวิปัสนาญาณ คือ รู้จากการพิจารณาเหตุและผลอย่างถี่ถ้วยโดยไร้ซึ่งกิเลสมาร่วมตัดสิน การขาดความเมตตา คือไม่น้อมใจต่อสิทธิผู้อื่น ขาดสติ คือไม่พิจารณาถึงการกระทำอย่างถี่ถ้วน ขาดปัญญา คือไม่เล็งเห็นผลแห่งการกระทำ เพราะงั้น เมื่อมีใครเข้ามาจึงกระทบใจง่าย แต่กลับไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ไฟกับไฟมาเจอกันเลยลุกไหม้สนุกสนานเช่นนั้นแล จะแก้ได้ด้วยการยึดในพระรัตนตรัยอย่างแนบแน่น ศีล สมาธิ ปัญญา โปรดรับพิจรณาไว้นะคะ จากคุณ : Janur เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 15:03:37

ความคิดเห็นที่ 79 ขอนำไปแชร์ต่อนะคะ จากคุณ : blue passion เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 15:10:33

ความคิดเห็นที่ 80   กระทู้นี้ ฟังเหมือนกระทู้แนะนำที่อยู่ถัดๆกันเลย เรื่อง Freedom of Speech และเรื่อง Minority Rights เป็นอะไรที่สังคมไทยเข้าใจได้ยากมาก ถึงจะเอาบทความนี้ไปบอกสังคม คนที่ไม่มีความเอนเอียงเท่านั้นถึงจะเข้าใจ คนทีเอนเอียงไปแล้ว สามารถหาเหตุผลได้ร้อยแปดเพื่อยืนยันความถูกต้องของตัวเอง แต่ก็ต้องขอบใจที่เอาเรื่องนี้มาบอกกัน ถึงเราจะเป็นคนส่วนน้อย แต่ก็ไม่ได้มีจำนวนน้อยนะ ใช่ไหม? จากคุณ : Black-White&Gray เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 15:14:42

ความคิดเห็นที่ 81 เป็นเรื่องที่ดีมากครับ ทำให้เข้าใจตนเองและผู้อื่นได้ดีทีเดียว ขอบคุณ จขกท. มากๆ อยากให้ทุกคนที่กำลังโกรธกัน เกลียดกันมาอ่านเยอะๆ จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 16:27:36

ความคิดเห็นที่ 82   กระทู้เข้าท่า เราจะได้ระวังความคิดตัวเองให้มากขึ้น จากคุณ : ตจว.เจียมตัว (decentcitizen) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 16:41:51

ความคิดเห็นที่ 83 ดีมากครับ จากคุณ : ratmo_11 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 17:43:55

ความคิดเห็นที่ 84 โดดีผู้น่าสงสาร ....  อ่านแล้วทำให้นึกถึงหนังสือเรื่อง  คำพิพากษา ของ คุณชาติ  กอบจิตติ ค่ะ  ถึงแม้นนายฟักจะเป็นคนดีแค่ไหน ... สังคมรอบข้าง ลืมหรือแกล้งลืมความดีของนายฟัก   เลือกที่จะปักใจเชื่อในสิ่งที่สังคมพา กันนินทาปากต่อปาก..  ว่านายฟักเลวโดยไม่สืบหาความจริง... จากคุณ : ซาเจิ้น (ซาเจิ้น) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 17:57:45

ความคิดเห็นที่ 85 เนื้อหากระทู้ยอดเยี่ยมมากครับ !! เหมาะที่จะให้สังคมไทยในเวลานี้ที่กำลังคลั่งดราม่าและจมอยู่กับความซาบซึ้งอ่านเป็นอย่างยิ่ง ยินดีให้ทั้งกิฟต์และโหวตครับ จากคุณ : macenjoy เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 18:09:34

ความคิดเห็นที่ 86   มาลงชื่ออ่านครับ จากคุณ : wachira2k เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 18:29:59

ความคิดเห็นที่ 87 มาสารภาพว่า ผมออกเสียงชื่อ จขกท.เป็น "นฤมลประหาร"   ต้องพยายามดัดลิ้นพอสมวรกว่าจะออกเสียง"นฤมลประการ" ได้ จากคุณ : Dare More เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 18:48:07

ความคิดเห็นที่ 88 ออก(จากกองงานมหาศาล) มาอ่าน.. เดี๋ยวจะอ่านให้จบค่ะ คิดถึงรดน.จัง จากคุณ : JiGGO InLove เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 19:44:37

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ แต่ไม่เห้นด้วยว่า "หากผู้พิพากษาเคยได้รับข่าวเกี่ยวกับด้านที่ไม่ดีของคนที่ต้องตัดสินมาก่อน เขาย่อมมีความเชื่อฝังใจว่าคนนี้มันต้องเลว และเลวทุกด้าน ซึ่งทำให้คำพิพากษามีความคลาดเคลื่อน จากกรณีคดีที่โจทย์และจำเลยไม่มีชื่อเสียง"  ดูคำที่จขกทใช้คือ "ต้องเลวและเลวทุกด้าน" นะครับ ผมว่ามันคลาดเคลื่อนไปเยอะ ในการอบรมผู้พิพากษาเค้าจะเน้นสอนตรงนี้มากว่าให้ตัดอคติออกเสีย อย่าตัดสินคดีก่อนฟังพยานครบ และถ้าผู้พิพากษาคนนั้นรู้เรื่องมากเกินไป หรือมีความเกี่ยวข้องในทางใดทางหนึ่งเค้าก็จะหาคนอื่นมาตัดสินแทนโดยเฉพาะในคดีสำคัญ นอกจากนี้ในการตัดสินคดี ยังไงผู้พิพากษาต้องดูพยานหลักฐานเป็นหลักครับ ถึงแม้ผู้พิพากษาจะเชื่อว่าคนที่มีชื่อเสียงคนนั้นเลวขนาดไหน ถ้าไม่มีหลักฐานเพราะตำรวจไม่ส่งหรืออัยการทำสำนวนอ่อน ยังไงก็ตัดสินให้ผิดไม่ได้ และกลับกันถ้าสำนวนดีมาก พยานแน่นปัั๋ง แม้ส่วนตัวจะเชื่อว่าดี 100% ก็ตัดสินให้ถูกได้ยาก ในศาลบ้านเราคดีนึงตัดสินสามคน (แม้จะนั่งบังลังก์คนเดียวในศาลล่าง) และก่อนคำพิพากษาจะออกไปได้มี Back Office รีวิวอีกหลายขั้น ฉะนั้นคำตัดสินมั่วๆ ไม่ได้ออกง่ายๆ หรอกครับ (เว้นแต่ว่าจะตั้งใจโกงกันเป็นหมู่คณะก็อีกเรื่อง) เรื่องลูกขุนนี่ต้องคุยกันยาว ในฐานะที่ผมเคยจับเรื่องนี้โดยตรงมาก่อน แต่สรุปได้สั้นๆ ว่าระบบนี้จุดอ่อนเยอะครับ เข้า Bias และ Psychological Traps แทบทุกชนิดที่จขกท. บอกมา รวมถึงปัญหาการคอรับชั่นอย่างแรง เดิมในอังกฤษนี่ลูกขุนต้องมีเสียงเป็นเอกฉันท์ถึงจะลงโทษจำเลยได้ จำเลยหลุดแทบหมด เค้าเลยลดให้เหลือ 10 ใน 12 ก็เอาผิด แต่ก็ยังมีปัญหาเยอะและค่าใช้จ่ายสูงสุดกู่ ถ้าใครสนใจทางนี้แนะนำให้ลองหาบทความทางจิตวิทยาทาง Jury Psychology ดู เป็นสาขาใหญ่สาขาหนึ่งที่น่าสนใจมาก เพื่อนรวมงานฝรั่งผมคนนึง แกทำวิจัยทาง  Jury Psychology นี่แหละ แกเล่าให้ผมฟังว่ามันมีคนประเภทหนึ่งที่มี Bias ว่า ยังไงจำเลยก็ไม่ผิด ทุกเรื่องคือการใส่ความ มักเป็นกับผู้หญิงฝรั่งแก่ๆ ในคดีนึงที่แกเข้าไปทำวิจัย มีคนแบบนี้ถึงสามคนในคณะลูกขุน ต่อให้หลักฐานแน่นแค่ไหนยังไงก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ แกบอกว่าทนายจำเลยเก่งมากที่ identify พวกนี้ออกมาได้ และทนายโจทก์ไม่ทันเกมส์ไม่ได้คัดค้่าน แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 20:07:03 แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 20:02:22 จากคุณ : Lawเก้อ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 19:52:02

ความคิดเห็นที่ 90 ในสุดผมก็เข้าใจตัวเอง แล้ว รอมา18ปี จากคุณ : นักเรียนหรือกรรมกร เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 20:01:04

ความคิดเห็นที่ 91 มาหาทางออกจากกับดัก ^ ^ จากคุณ : env42_tay เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 20:11:36

ความคิดเห็นที่ 92 เพิ่งสังเกตุว่าชื่อนฤมลประการ  อ่านว่าประหารตลอดเหมือนกัน อืม ปกติไม่ค่อยอคติกับใครเลยครับนะ มองว่าทุกคนต่างมีข้อดีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าความคิดเห็นไม่ตรงกันใครมีเหตุผลอะไรก็ว่ามาจะรับไว้พิจารณา เห็นคนบางคนนิสัยก้าวร้าวมากบางทีก็ไม่ชอบนะ แต่มองลึก ๆ แล้วก็ดูเค้าเป็นคนน่าเห็นใจ สังคมที่โหดร้ายตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงทำให้เค้าเป็นแบบนี้ นึกถึงเพื่อนอยู่คนนึงเรียนเก่งมาก แต่ไม่มีใครคบเลย มีแต่คนไม่ชอบ ประมาณว่ายกตนข่มท่าน (รึป่าว) คนอื่นอาจจะหมันไส้ แต่ผมก็คบมันได้นะ ฟังแล้วก็อืมดีก็ดีแล้วประมาณนั้น อีกอย่างเค้าก็มีข้อดีอื่น ๆ ให้คบอีกตั้งเยอะแยะ ปล. บางทีชื่อล๊อกอินก็อาจทำให้คนจินตนาการถึงเจ้าของล๊อกอินได้เหมือนกันนะ ว่าลักษณะตัวจริงต้องเป็นแบบนี้ ๆ นี้ ๆ เลย จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 20:22:39

ความคิดเห็นที่ 93   ขอบคุณมากครับ ดีมากๆ จากคุณ : darinfc เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 20:44:41

ความคิดเห็นที่ 94 คำว่า นฤมล แปลว่า ไร้มลทิล ถ้าใช้เรียกผู้หญิง อาจหมายความได้ว่า เป็นผู้หญิงบริสุทธิ์ ดังนั้น หากคุณอ่านชื่อผมผิดเป็น นฤมลประหาร มันจะแปลว่า "ผู้ทำลายความบริสุทธิ์ (ของผู้หญิง)" ด้วยจิตคารวะ...ข้าน้อยยังไม่เคย ทำลายความบริสุทธิ์ของใคร แม้แต่ตัวเอง แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 20:50:04 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 20:49:34

ความคิดเห็นที่ 95 ^ ^ ฮิ้วๆๆๆๆๆ เข้ามาแซว จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 21:34:22

ความคิดเห็นที่ 96 กระทู้ถูกใจ ทุกวันนี้เจอแต่ -ใครเสียงดัง คนนั้นชนะ -ใครไม่คิดเหมือนฉัน คนนั้นผิด ฉันถูกเสมอ -ใครไม่เชื่อฉัน คนนั้นเป็นฝ่ายตรงข้าม และ ผิด -ฉันพูดได้คนเดียวทุกคนต้องฟังฉัน -พูด และ ไม่ยอมฟัง ความคิดเห็นคนอื่น  (ความคิดเห็น ถึงจะผิด แต่ก็มีคุณค่าของมันนะ) -คิดว่า ข้อมูลที่ได้มา ถูกต้องที่สุด ^ ^ เชื่อหรือไม่  ตัวอย่างข้างบน มีในคนๆ เดียวกัน สุดยอด แห่งความปวดหัว จากคุณ : ละอ่อนชายแดน เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 21:34:56

ความคิดเห็นที่ 97 จากคุณ : น้าวัชร-จัดให้ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 21:54:08

ความคิดเห็นที่ 98 พอผมคิดว่าความคิดตัวเองมี bias มันก็กลายเป็น Confirmation bias ไปในทันที (มั่นใจไปก่อนแล้วว่าต้องbiasแน่ๆ) ทีนี้ผมก็พยายามหาเหตุผลต่างๆนานาเพื่อมาสนับสนุนว่าความคิดผมมี bias สรุปแล้ว ถึงรู้ว่ามี bias แต่ก็ยากที่จะทำให้ไม่มี bias จากคุณ : satitpor เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 22:04:00

ความคิดเห็นที่ 99 ขอเอาไปแชร์ด้วยครับ จากคุณ : Angsarano เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 22:19:35

ความคิดเห็นที่ 100   ทุกคนมีอคติ เป็นเรื่องปกติ ห้ามยาก แต่คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีอคติ และมีอำนาจอันนี้ยิ่งน่ากลัว จากคุณ : ชื่อนี้ใช้แล้วมีความสุข เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 22:21:11

ความคิดเห็นที่ 101 มีแต่เรื่องเข้าใจยากอะ จากคุณ : ทอฟฟี่สีแดง เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 22:24:37

ความคิดเห็นที่ 102 นึกถึงเล่มนี้ เรื่องคำพิพากษา หนังสืออ่านนอกเวลาสมัยมัธยม   เนื้ัอหาแรงดี เขียนได้ดีอ่านแล้วอิน รูปใหญ่เกิ๊น แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 22:27:44 จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 22:27:13

ความคิดเห็นที่ 103 "เสียงแห่งเหตุผล...นั้นแผ่วเบา" ซิกมันด์ ฟรอยด์ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ค. 53 23:36:53 จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 22:29:51

ความคิดเห็นที่ 104   เนื้อหาดีค่ะ ขอบคุณที่นำมาให้อ่าน เจอไบแอสบ่อยๆ และหลายรูปแบบ เพื่อนร่วมงานหลายคนเป็นดอกเตอร์ เชื่อมั่นในความคิดตัวเองมาก หลายคน jump to conclusion ไม่ฟังอะไรอีกแล้ว กรณีแบบนี้ เคยเจอหรือเคยเรียนมาว่าเกิดจากอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น อะไรประมาณนี้อ่ะ เรามีวิธีลดไบแอสของตัวเองหลายวิธี หนึ่งในนั้น เราใช้วิธีถอดจิต ไม่ได้ถอดจิตจริงๆ นะ แต่หมายถึงเอาตัวเองยกออกมาจากปัญหา คิดซะว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย แล้วเอาข้อมูลมาวิเคราะห์ มันก็แปลกดีที่บางครั้งจากที่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ก็มาเจอว่า ตัวปัญหาก็คือเราเองเนี่ยแหละ :) จากคุณ : ไม่มีล็อกอิน เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 22:44:45 A:118.172.194.122 X: TicketID:258399

ความคิดเห็นที่ 105 ชอบกระทู้นี้มากค่ะ ช่วงนี้อ่านกระทู้แต่ที่หว้ากอ เพราะรู้สึกว่าจะได้เหตุผลดีๆกลับมาทุกครั้ง (แบบนี้เรียก Wahkor's halo effect  ได้หรือเปล่าคะ 555 ) เคยอ่านบทความของ อาจารย์ วิทยา นาควัชระ ท่านเขียนไว้ว่า ส่วนใหญ่มนุษย์จะตัดสินคนอื่นๆ เร็วไป เพราะดูจากพฤติกรรมภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งไม่ควรและผิดพลาดได้ง่าย เช่น . -อย่าตัดสินคนจน ว่าเขาต้องเป็นขโมยหรือขี้โกง -อย่าตัดสินคนอื่นที่เรียนน้อยว่าเขาต้องโง่ -อย่าตัดสินคนที่แต่งกายเชยๆ และบุคลิกไม่ดี ว่าเป็นคนด้อยคุณภาพ -อย่าตัดสินคนที่ไม่ทำงาน ว่าเขาเป็นคนขี้เกียจ -อย่าตัดสินคนที่เขาไม่พูดกับเราว่าเขาเป็นคนหยิ่ง (เขาอาจจะหูหนวกไม่ได้ยินที่เราพูดก็ได้) -อย่าตัดสินคนที่พูดห้วนๆ กิริยาห้าวๆ ว่าเป็นคนจิตใจกระด้าง ฯลฯ เราพยายามที่จะเตือนใจตัวเองเสมอว่า อย่าด่วนตัดสินคนอื่นจากพฤติกรรมภายนอกที่เราไม่ชอบ เลยด่วนตัดสินว่าเขาไม่ดีหรือเป็นคนผิด เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครๆ เพราะเราไม่ใช่ผู้พิพากษา... ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆค่ะ รูป sun's halo effect จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 23:11:37

ความคิดเห็นที่ 106 กระทู้ดีๆอีกแล้วครับ โหวตให้ครับ จากคุณ : บราวนี่ชีสเค้กท็อปปิ้งวิคครีม เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 23:21:41

ความคิดเห็นที่ 107   กระทู้ดีค่ะ แต่เราอ่าน แล้ว หม่นหมองหน่อย และคิดมากไปนิด ?? เฮ้อ เกิดมาเป็นคนทั้งที ต้องเหนื่อยเพื่อไว้หน้าคนอื่นอีกแล้วหล่ะ แล้วใจเราหล่ะ ?? ความคิดนี้ วนเวียนตลอดเลยที่เราอ่าน จากคุณ : กุ๊กไก่ไม่ขันมาหาฉันจะกระต๊าก เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 23:50:30 A:112.142.10.130 X: TicketID:191399

ความคิดเห็นที่ 108 คห. 75 เราคห. 17 เองค่ะ ขอออกความเห็นว่า เวลาเห็นอะไรที่เราไม่แน่ใจ ไม่แน่นอน หยั่งเอาไว้ 50/50 ก็ดีแล้วค่ะ แต่มีสติพิจารณาให้ดีๆว่ากำลังเอียงไปอีกทางจนมากเกินไปหรือเปล่า ลองหาเหตุผลในตัวเองว่า ถ้าเราก็ไม่แน่ใจ แล้วคะเนจากสถิติ จากการโหวตคนรอบข้าง ทำไมทุกคนถึงโหวตไปอีกทาง แล้วทำไมเราถึงตัดสินใจเลือกทางที่คนเลือกน้อยกว่า ถ้ามีเหตุผลในตัวเอง เราเชื่อว่าคุณคงไม่เสียใจหลังจากเลือกไปแล้ว แต่กรณีที่เรายกตัวอย่างนั้น เพื่อนของเราที่ให้โอกาสคนอื่น คนอื่นกลับบอกว่า มันน่ะ ชอบลองของ เห็นใครถูกทิ้งก็อยากจะไปแสดงความสงสาร และให้โอกาส แต่กลับไม่พิจารณาให้ดีว่า ทำไมล่ะ คนถึงทิ้งไม่คบคนคนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหตุเป็นผล ถ้าเค้าไม่เชื่อ แล้วไปสอบถาม สืบหาความเดิมมาก่อน หรือค่อยๆคบหากับเพื่อนคนที่ไม่มีใครเอาที่ว่าไปเรื่อยๆก็ยังพอว่า แต่นี่เพื่อนผู้ให้โอกาสของเราคนนั้นกลับเทใจให้เต็มที่ เราว่ากรณีนี้เพื่อนเรา จุดประสงค์ดี แต่ขาดเหตุผลประกอบการพิจารณาที่จะให้โอกาส เราว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ไอ้การที่ไม่ฟังกระแส ไม่ตามไปเลยซะทีเดียวเป็นเรื่องดี แต่อีกมุมนึง ก็ต้องมองด้วยว่า กระแสทุกอย่างที่ไหลมา มีทั้งดีและไม่ดี ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องทำสวนกระแสไปซะหมด จากคุณ : SICKHEART เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 23:51:34

ความคิดเห็นที่ 109 ตัวตนที่แท้จริงของบางคนเราด้วย อืม จากคุณ : ผมคนไทยครับ เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 00:07:39

ความคิดเห็นที่ 110 halo effect Bandwagon effect และ Hindsight biasเกี่ยวกับจิตวิทยาสังคมใช่มั้ยครับ   เรื่องพวกนี้หาอ่านได้ที่ไหนครับ พอจะแนะนำหนังสือให้ได้มั้ยครับ จากคุณ : waphoo เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 02:07:53

ความคิดเห็นที่ 111 อ่านแล้วได้ความรู้ดี....และ ทำให้นึกถึงคนๆ นึงนามว่า ‘ไอ้ฟัก’ เมื่อเขาถูกพิพากษาจากคนในหมู่บ้าน แล้วก็นึกถึง ‘สมทรง’ หญิงบ้าในเรื่องนี้ด้วย...ช่างละม้ายกับสังคมไทยตอนนี้เลย จากคุณ : meenna เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 02:48:23

ความคิดเห็นที่ 112   กระทู้  นี้ได้ความรู้มากครับ ชอบๆ จากคุณ : งูย่อง (ง.งูเดินย่อง) เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 04:02:22

ความคิดเห็นที่ 113 #108 คุณSICKHEART ขอบคุณนะครับที่มาเล่าให้ฟัง ผมคิดว่ากรณีผมอาจจะคล้ายๆกับของเพื่อนคุณ คือถ้ารู้สึก50/50ว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นตรงกัน มันยังมีแง่มุมที่เห็นแย้งได้แบบสมเหตุสมผล ผมมักจะเลือกสิ่งที่เห็นแย้งนั้น บางครั้งก็เป็นคนกลุ่มน้อย บางครั้งเป็นคนเดียวก็มี เช่นกรณีเพื่อนคุณ ผมเข้าใจเอาเองว่าน่าจะเป็นกรณียังเห็นแย้งว่าจากที่เห็นก็ไม่ใช่คนไม่ดีขนาดนั้น ข่าวที่คนส่วนใหญ่ได้มาอาจเกิดจากการเชื่อตามๆกันมากกว่าข้อเท็จจริง (นัยนึงก็คือการปกป้องตัวเองจาก Bandwagon effect) จึงเลือกที่จะให้โอกาส ซึ่งผมหมายถึงการคิดแบบปกป้องตัวเองจาก Bandwagon effect นี่ละครับ ถ้ามี Bias แบบนี้มากๆก็อาจจะกลายเป็นการเลือกที่จะไม่เชื่อสิ่งที่กระแสสังคมเชื่อกันโดยไม่มีเหตุผลประกอบ ตรงข้ามกับการเชื่อตามๆกระแสสังคมโดยไม่มีเหตุผลประกอบพอดี ผมคิดว่ามันน่าจะต่างจาก APD แบบที่คุณนฤมลประการพูดถึงน่่ะครับ ไม่รู้เข้าใจผิดมั้ย จากคุณ : YF-01 เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 10:02:23

ความคิดเห็นที่ 114   ความคิดเห็นที่ 63 แย่ละ แม้แต่ไอน์สไตน์ก็ยังไม่หลุดจากพันธนาการของความเคยชินที่ว่าปล่องไฟเก่าต้องสกปรก ฟิ้วววว =3 #จขกท. - ค่อนข้างงง ตัวอย่างกับบทสรุป โดดีอยากเปลี่ยนวรรณะทางสังคม โดยการซื้อเสื้อราคาแพง...เธอก็ยังไม่หายจนอยู่ดีนี่ครับ - -? - ส่วนเรื่อง Bias พอจะสรุปได้ไหมครับว่า ทุก Bias เกิดจากการไม่มี Fact แค่นั้นเอง? จากคุณ : Bias's not matter, fact indeed (zeralf) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:47:30 ถูกใจ : YF-01, Animator's ART, Night Claw ------------------------------- เราเห็นด้วย ถ้าเป็นฤดูฝน ฝนตกอย่างหนัก ติดต่อกันหลายวัน ปล่องไฟมันจะดำสกปรกได้ไง มันก็ต้องสะอาดดิ ไอน์ไสตน์ น่าจะระบุมาด้วย ว่าลงไปในปล่องไฟ วัน เดือน ปี ที่เท่าไร ประเทศอะไร เพราะมันน่าจะตีได้ว่าฤดูอะไร คือ บอกรายละเลียดดมากกว่านั้นหน่อย จากคุณ : .......... เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 12:32:29 A:124.122.228.251 X: TicketID:263923