ความคิดเห็นที่ 1 อภิญญา แปลว่าอะไรครับ หมายถึงอะไรครับ จากคุณ : หม่องวิน มอไซ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:09:10

ความคิดเห็นที่ 2 มีจริงเป็นเพื่อนผมครับ (พอดีเพื่อนชื่อนี้) XD จากคุณ : Porize เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:15:53

ความคิดเห็นที่ 3 อภิปรัชญารึป่าว ? จากคุณ : ship9960 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:17:34

ความคิดเห็นที่ 4 ...เข้ามางง จากคุณ : เชร็ค 3 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:19:33

ความคิดเห็นที่ 5 อภิญญา สกุลเจริญสุข หรือเปล่าครับ น่ารักดีนะครับ จากวิกิพีเดียไทย อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน อภิญญาในคำวัดหมายถึงคุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคลซึ่งเป็นเหตุให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มี 6 อย่าง คือ   1. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้   2. ทิพพโสต มีหูทิพย์   3. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้   4. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้   5. ทิพพจักขุ มีตาทิพย์   6. อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป อภิญญา 5 ข้อแรกเป็นของสาธารณะ (โลกียญาณ) ข้อ 6 มีเฉพาะในพระอรหันต์ ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ อย่าพึ่งหมายว่าผู้นั้นจะเป็นอริยบุคคล จากคุณ : หม่องวิน มอไซ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:19:25

ความคิดเห็นที่ 6 อภิญญา 6 มาพร้อมกับการบรรลุอรหันต์  อภิญญา 6 ได้แก่                  - แสดงอิทธิฤทธิ์ได้เช่น เหาะเหิร เดินอากาศ หายตัว ฯลฯ                  - มีหูทิพย์ (ทิพยโสต)                  - ระลึกชาติได้ (บุพเพนิวาสานุสติญาณ)                  - รู้วาระจิตผู้อื่นได้ หรือ อ่านใจคนอื่นได้ว่าคิดอะไร (เจโตปริยญาณ)                  - มีตาทิพย์ (ทิพยจักขุ)                  - อาสวขยญาณ             อภิญญา 5 อย่างแรกนั้น พวกฤาษี ชีไพรทั้งหลายก็สามารถทำได้ แต่ อาสวขยญาณนั้นจะเกิดกับพระอรหันต์เท่านั้น จากคุณ : <NaturaL M> เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 12:28:30

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ค่อยอยากจะตอบเลย กลัวโดนด่า... อันนี้อ่านให้เป็นนิยายวิทยาศาสตร์แล้วกันนะครับ เป็นกุศโลบายให้คนตั้งใจศึกษา "หลักธรรม" โดยตั้งเป้าหมายให้จูงใจเข้าไว้ คนจะได้พยายามทำความเข้าใจหลักธรรม พอเข้าใจหลักธรรมจนแตกฉานแล้วจึงได้รู้ว่า... "มันไม่มีจริง" จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:09:25

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นชื่อเรียกสายในการอัพสกิลธรรมะครับ   เวลาศึกษาธรรมะ level  Up ก็จะได้ point เอาไว้ไปอัพ skill ต่าง ๆ เช่นที่ skill level 5 จะรู้เหตุการล่วงหน้า  level 10 อ่านใจคนได้ level 15 ได้ตาทิพย์ level 20 หายตัวได้ level 25 เหาะได้ แต่ถ้าใครศึกษาธรรมะ ได้ level up แล้ว เอามา up skill สายอภิญญานี้  ผมว่าไม่คุ้มครับ  เสียpoint ไปเปล่า ๆ ควรศึกษาให้ level 99 ก่อน ไป up ฌาณสายอื่นก่อน  point เหลือ ค่อยเอามา up อภิญญา จะได้ไม่หลงขี้โม้ตั้งแต่เลเวลน้อย ๆ ... จากคุณ : Sakuder เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 13:37:56

ความคิดเห็นที่ 9   พระสงค์ในศาสนาพุทธเนี่ย ถึงขนาดต้องอยู่วัดโกนหัวไม่ยอมทำมาหากิน เพื่อที่จะหนีจากปัญหา ฝึกตนหนีจากความทุกข์ทั้งปวงเลยนะครับ คิดว่าการเหาะ หูดี ไปแส่อ่านใจคนอื่น อะไรเหล่านี้เป็นสิ่งที่พึงปรารถนารึเปล่าล่ะ สำหรับผู้ที่ต้องการหลุดพ้น จากคุณ : ... เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 14:04:41 A:58.137.175.82 X: TicketID:208572

ความคิดเห็นที่ 10   มีจริงนะครับ สามารถทำได้จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่แก่นศาสนา สิ่งที่ถูกก็ คล้ายๆคห.8  คือ ควรปฏิบัติวิปัสนาใหสำเร็จก่อน อภิญญาค่อยตามมาทีหลัง เสมือนผลพลอยได้ จากคุณ : แปดริ้วคือเฉือนเนื้อปลา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 14:12:03

ความคิดเห็นที่ 11 คิดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มันคงมีอยู่จริงๆ เรื่องความรู้สึกเป็นสุขเมื่อบรรลุจากการเจริญจิต แต่ความสามารถอภินิหาริย์ที่แถมมาด้วยนั้น ผมว่าไม่มี เพราะธรรมชาติไม่เคยสร้างสรรค์อะไรเกินความจำเป้น ถามว่ามนุษย์จะมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติไปทำไมครับ? แล้วหูทิพย์คืออะไร? ถ้าหมายถึงการได้ยินในระยะไกลๆ สัตว์บางชนิดก็มีหูทิพย์ครับ ตาทิพย์นี่เหยี่ยวบางประเภทก็มองไกลชัดเป้นร้อยๆเมตร ซึ่งมนุษย์ไม่จำเป้นต้องมีความสามารถนั้นซะหน่อย จากคุณ : CARAGIO เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 14:28:17

ความคิดเห็นที่ 12   กำลังคิดอยู่ว่า ข้อ1 กับ ข้อ3 อันไหนดีกว่ากัน หายตัว กับ รู้ใจ นี่แหละ เอาไปทำอะไรได้หลายอย่างเลยทีเดียว จากคุณ : เมพมาก (ทามาก็อดอุนจิ) เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 14:37:04

ความคิดเห็นที่ 13 สวัสดี จขกท.ครับ  วิทยาศาสตร์ย่อมอธิบายข้อเท็จจริงตามหลักกายภาพชีวภาพของสิ่งต่างๆได้ ข้อเท็จจริงตามหลักชีวภาพ เช่น ร่างกายมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของพวกเรา ร่างกายนักวิทยาศาสตร์ พระพุทธวรกาย ฯลฯ ล้วนมีข้อจำกัดทางการมองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัสรับรู้ต่อสสารพลังงานอีกหลายๆอย่าง ฯลฯ   ดังนั้นหากอภิญญานั้นหมายถึงความเลิศเลอทางชีวภาพร่างกาย เป็นอมตะ ฯลฯ ย่อมผิดหลักความจริงทางชีววิทยาศาสตร์ แต่ถ้าเป็นการรับรู้ต่างๆตามข้อจำกัดปกติของชีวภาพร่างกายโดยอาศัยนวัตกรรมตามวิวัฒนาการก็ไม่ผิดหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ เช่น รับรู้ภาพ เสียง จาก โทรทัศน์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ฯลฯ ข้อเท็จจริงตามหลักกายภาพ เช่น หากร่างกายลอยโดยอิทธิฤทธิ์ใดก็ตามที่ไม่มีแรงใดมาต้านแรงโน้มถ่วง ย่อมผิดหลักความจริง   การหายตัวโดยแปลงสลายมวลสารมิติขนาดร่างกาย เพื่อสามารถอยู่เหนือสภาพเคลื่อนที่ใน Space ซึ่งเป็นข้อจำกัดตามหลักสสารพลังงาน แล้วแปลงกลับมาเป็นมวลสารมิติขนาดทางร่างกาย ณ จุดอื่นของ Sapce  ย่อมเป็นไปไม่ได้ ณ วิวัฒนาการปัจจุบัน และการแปลงมวลสารมิติขนาดกลับไปมาโดยยังคงสภาพของชีวภาพร่างกาย ยิ่งเป็นไปได้ยากมหันต์ขึ้นไปอีก  แต่ทั้งนี้การรับรู้หรือดำเนินการทางรูปญาณต่างๆอีกมากมาย นับว่าเป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ท้าทายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตขั้นสูงยิ่งๆขึ้น ข้อเท็จจริงนอกเหนือหลักวิทยาศาสตร์โดยเป็นอาการทางนามธรรมในจิตใจ เช่น การระลึกชาติ การรับรู้เหตุการณ์ ณ กาลเวลาสถานที่ใดๆ ฯลฯ ที่เกิดขึ้นในใจ  ย่อมอยู่ภายใต้ข้อจำกัดตามอัตภาพซึ่งมนุษย์และสรรพชีวิตทั้งปวงล้วนเกิดมาด้วยอาการของจิตเป็นสัญชาตญาณนับแต่เกิดซึ่งเป็นเพียงสัญชาตญาณเพื่อสามารถดำรงชีพพ้นทุกข์ต่างๆตามอัตภาพ และอาจมีสัญชาตญาณปลีกย่อยที่แตกต่างหลากหลายมากขึ้นตามพัฒนาการชีวิตของสิ่งมีชีวิตขั้นพื้นฐานนั้นๆ  จึงกล่าวได้ว่าทุกสิ่งมีชีวิตล้วนเกิดมามีข้อจำกัดทางความรู้ความสามารถอย่างยิ่ง การที่สิ่งมีชีวิตจะมีความรู้ความสามารถย่อมต้องอาศัยพัฒนาการในชีวิตและวิวัฒนาการอันตรากตรำเลยทีเดียว โดยมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสูงสุด ณ กาลเวลาสถานที่ปัจจุบันนั้นสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ได้เพียงการหวนนึกคิดในอดีตเท่าที่ชีวภาพร่างกายเอื้อให้นึกได้ การรับรู้ความเป็นไปต่างๆโดยอาศัยนวัตกรรมปัจจุบันเช่นคลิปเหตุการณ์ในอดีต ฯลฯ   ดังนั้นเรื่องของบุพเพนิวาสานุสติญาณ เจโตปริยญาณ ตลอดจนนามญาณอื่นๆทั้งปวงใดๆอันเกี่ยวข้องกับอาการรับรู้ได้ในใจ ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ท้าทายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตขั้นสูงยิ่งๆขึ้น ส่วนเรื่องอาสวักขยญาณอันเป็นอสังขตธรรม ความเป็นไปในสังขตธรรมเชิงอภิญญาปาฏิหาริย์ที่เชื่อถือได้สูง ของบางบุคคลที่ละบาปอย่างยิ่ง เผชิญล่วงผลทุกข์อย่างยิ่ง ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระเยซูเจ้า  ยังนับว่าเกินเลยหลักวิทยาศาสตร์และหลักปรากฏการณ์ทางนามธรรมเช่นอาการรับรู้นึกคิด ที่จะพิสูจน์สรุปได้ว่ามีจริงหรือไม่อย่างไร จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 14:44:36

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยกับคุณคคห.8 ครับ สกิลบางสกิลใช้พอยท์เปลือง ได้ไม่คุ้มเสียครับ ผมสู้อุตส่าห์เรียนสกิลไพ่ทาโรต์ (ยิปซี) จนดูดวงให้ผู้อื่นได้ สุดท้ายก็มีแต่คนมาถามว่าเมื่อไหร่จะมีเรื่องตื่นเต้น ๆ เมื่อไหร่จะรวย เมื่อไหร่จะได้แฟนหล่อ (ถ้าคนมันจะชีวิตธรรมดา ๆ สงบราบเรียบ แล้วมันจะได้ไม๊นั่นน่ะ) พอดูว่ามีเคราห์ เราก็สงสารเค้า ให้เค้าไปทำบุญเยอะ ๆ (และเค้ามักจะไม่เชื่อ...และโกรธ...) พอเจอว่าได้ลาภ (เค้าก็ต้องได้อยู่แล้ว อยากจะรู้ล่วงหน้าไปทำไม? งอมืองอเท้าเดี๋ยวก็ชวดหรอก!) สรุปว่าเก็บสกิลพอยท์ไว้เยอะ ๆ แล้วใช้อัพเฉพาะสายที่เป็นทางผ่านไว้เพื่อให้ได้ 6.อาสวักขยญาณ น่าจะคุ้มสุดครับ พวก วิราคะ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ฯลฯ ต้องอัพครับ เป็นสกิลทางผ่าน ที่สำคัญคืออย่าท้อครับ อาจนานนิดนึง เพราะส่วนใหญ่ที่ได้ ๆ กันนี่คือเก็บเว่ลกันทีหลายชาติภพเลยครับ (ถ้าเป็น ragnarok ก็ต้องจุติหลายรอบอยู่เหมือนกัน) ปล. ใครเล่นสายนี้ว่าง ๆ มาคุยกันได้นะครับ จากคุณ : รบชนะ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 15:01:32

ความคิดเห็นที่ 15   ไม่แน่ใจเพราะไม่เคยพบเห็น แต่เชื่อเรื่องการพ้นทุกข์ และสอนให้รู้จักทุกข์และวิธีการดับทุกข์ ให้พ้นจากความไม่รู้ความจริงในธรรมชาติ อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จากกิเลสทั้งปวงคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง และใช้หลักธรรมในพุทธศาสนาที่เหมาะกับผลที่จะได้สิ่งที่ปรารถนาอย่างถูกต้อง ด้วยความไม่ประมาทในชีวิต จากคุณ : minute waltz เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 15:11:01 A:58.9.92.119 X: TicketID:251842

ความคิดเห็นที่ 16 เราว่าอภิญญาเป็นเครื่องคัดกรองคนขั้นนึงในการปฏิบัติภาวนานะคะ ถ้าเราปฏิบัติเผื่อจะหวังได้คุณสมบัติแบบนั้น เราก็อาจจะไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น ดีไม่ดีอาจจะสติแตกบ้าไปก่อนก็ได้ด้วยความอยากมีอยากเป็น คนที่ปฏิบัติทางนั้นอย่างจริงจัง เค้าคงไม่ถือว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องวิเศษหรอก เพราะมันไม่มีมีสาระสำคัญอะไรเกี่ยวข้องกับความสงบที่เค้าแสวงหา เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนกับการหยอดเงินในกระปุกไปเรื่อยๆ ถ้าก่อนหยอดเราตั้งจุดหมายไว้ว่าเราจะหยอดได้ห้าพัน เพื่อเอาไปซื้อลำโพงตัวใหม่ พอหยอดไปเรื่อยๆ มันก็จะเกิดอาการอยากรู้ว่าได้เท่าไหร่แล้ว แคะเงินออกมานับ มันรังแต่จะทำให้จิตใจกระวนกระวายไปเปล่า พอได้เงินครบตามที่ตั้งใจไว้ เราก็คงทุบกระปุกไปซื้อลำโพงตัวใหม่ที่อยากได้ แต่เงินที่เก็บมาทั้งหมดก็เป็นศูนย์ เพราะมัวแต่ไปหลงกับลำโพงใหม่ อีกด้าน.. ถ้าเราหยอดเงินไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่คิดว่าจะเอาเงินมาทำอะไร กว่าจะรู้ตัวเงินก็คงได้มากเกินห้าพันไปหลายอยู่แล้ว จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 15:26:27

ความคิดเห็นที่ 17   555+  นึกว่า สายป่าน อภิญญา จากคุณ : NON@AT1 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 15:50:20

ความคิดเห็นที่ 18 อยู่นอกขอบเขตของวิทยาศาสตร์ครับ เพราะ ไม่สามารถ ชั่ง ตวง วัด ได้ จากคุณ : ksk เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 17:05:36

ความคิดเห็นที่ 19 อจินไตย จากคุณ : หมูรูนสุดหล่อ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 17:09:51

ความคิดเห็นที่ 20 พิสูจน์ให้ประจักษ์ด้วยตนเอง ด้วยการปฏิบัติครับ หรือสอบถามได้จาก วัดต่างๆที่เน้นการปฏิบัติ โดยเฉพาะสายวัดป่าครับ จะเข้าใจเรื่องราวได้ดีกว่าการนั่งเดาหรือคิดวิเคราะห์ด้วยตนเองครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 17:26:53

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าวันหนึ่ง  มนุษย์ คำนวนเรื่องของอำนาจจิต  ออกมาเป็นตัวเลขได้ ผมว่า  เรื่องพวกนี้  ไม่น่าจะไกล เกินความเป็นจริงนัก แต่เมื่อ  มนุษย์  ยังทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น เลยขอตอบแบบ นักวิทยาศาสตร์(บ้านนอก)  ว่า   ไม่แน่ใจ จากคุณ : สหายกุนเชียง เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 18:44:42

ความคิดเห็นที่ 22   จงอธิบาย"สีแดง"ให้คนตาบอดเข้าใจ ...เออ จะอธิบายไงว่ะเนี่ย น่าเสียดายที่คนตาบอดคนนั้นไม่สามารถเข้าใจสีแดงได้ ทั้งๆที่คนปกติ อย่างเรา หัวเราะกลิ้ง สีแดงนะหรอ กุรู้แล้วว่าเป็นไง ส่วนคนตาบอดก็ต่างพากันบอกว่า กุไม่เชื่อสีแดงไม่มีจริงไม่เคยเห็น ปัดโถ่ สัมผัสก็ไม่ได้ เสียงก็ไม่ได้ยิน กลิ่นก็ไม่มี คุณคนที่ไม่เชื่อนั้น ถามกับตัวเองว่า คุณเปรียบเหมือนคนตาบอดคนนั้นไหม จากคุณ : แปดริ้วคือเฉือนเนื้อปลา เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 18:46:50

ความคิดเห็นที่ 23 ...อะไรที่ วัด ตวง ไม่ได้บนมาตราฐานที่ยอมรับกัน ถือว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์อยู่แล้วนะ เช่น ความรัก... ต่อให้ วิทยาศาสตร์ พยายามอธิบายเท่าไหร่ ถ้าผู้อธิบายไม่เคยเจอกับตัวเอง ก็ไม่มีวันรู้จัก จากคุณ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 19:06:58

ความคิดเห็นที่ 24 อภิญญา ไม่น่าจะเป็น อจินไตย นะครับ เพราะสามารถปฏิบัติจนบรรลุผลได้ แต่ คนที่ไม่ปฏิบัติ จะไม่เชื่อเรื่อง อภิญญา หรอกครับ จากคุณ : p_warat เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 53 19:29:34

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้ามีใครมาทำให้ดู คิดเครื่องวัดได้ สังเกตได้ ทดลองซ้ำได้ ก็อาจจะทำให้วิทยาการด้านนี้พัฒนาขึ้น แต่ก็ไม่มีเลย จากคุณ : มังกรใจเย็น เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 08:50:41

ความคิดเห็นที่ 26 คนที่เชื่อและไม่เชื่อมันก็คือคนตาบอดที่ยังเถียงกันอยู่เรื่องสีแดง คนไม่เชื่อออกจะหนักอีกนิดตรงหลอกตัวเองว่าตัวเองเห็นเป็นประจักษ์แปลว่าคนอื่นต้องรู้ แถมยังอาจหลอกไปถึงขึ้นว่าสิ่งที่ตนเองเพ้อพกขึ้นนั่นคืออภิญญา อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ ในคำถามข้างบน สิ่งที่ตอบไม่ได้คือการฟันธงไปว่าไม่มีจริง และบังเอิญเช่นกัน สิ่งตรงข้ามคือ"คิดว่ามี" การ"คิด"คือยังรู้ตัวอยู่ว่ามันพิสูจน์ออกมาทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ มันคือความเชื่อ สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พูดได้มันก็มีแค่ คิดว่ามีจริง คิดว่าไม่มีจริง หรือไม่รู้ หรือยังไม่คิด ผมขอให้แนวคิดเรื่องศาสนาสำหรับพวกแนวสุขวิปัสโกที่ปฏิเสธตนเองไว้ว่าอิทธิฤทธิ์เป็นเรื่องกุศโลบาย ในศาสนาที่พวกคุณนับถือกันอยู่ เชื่อว่าคนแต่ละหมู่เหล่ามีนิสัย มีจริต มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การอธิบายให้ถึงระดับหยุดสงสัยในคนแต่ละหมู่เหล่าก็ไม่เท่ากัน บางคนแค่บอกให้รู้ว่ามันเป็นอจินไตย ก็พอใจแล้วแค่นั้น แต่บางคนต้องได้เห็นได้ดูสักพักแล้วเขาก็ยอมรับว่ามันเป็นอจินไตย บางคนต้องได้เห็นได้ดูได้เล่นได้ทดลองจนพอใจจึงจะเริ่มยอมรับว่ามันเป็นอจินไตย ในทางพุทธศาสนาจึงไม่ได้มีแค่แนวทางของ สุขวิปัสโก ยังมี เตวิชโช และอภิญญา แค่เพราะมันดูไม่ดี หรือไม่เข้าใจว่ามีไปทำไม เลยไปอิงกับวิทยาศาสตร์แล้วเลือกเชื่อเฉพาะอันที่ดูดี ปฏิเสธส่วนที่เหลือ แค่นี้ก็คือการหลอกลวงตัวเองแล้ว ผมรำคาญพวกที่ชอบอ้างศาสนา แต่ยังอิงแอบวิทยาศาสตร์ เอาเป็นว่าผมจะเชื่อว่าพระเจ้าปีศาจสปาเก๊ตตี้ลอยฟ้าสร้างโลก และปรากฏการณ์ทั้งหมดในโลกเป็นระยางค์ของท่านพระเจ้าปีศาจสปาเก๊ตตี้ลอยฟ้าทำให้เกิด พิสูจน์ได้ไหมว่าท่านพระเจ้าปีศาจสปาเก๊ตตี้ลอยฟ้า มี หรือไม่มีจริง ขอแค่มันไม่ได้ขัดแย้งกับกฏทางฟิสิกส์ที่พิสูจน์ได้ จะเชื่อก็เชื่อไป ถ้ากัปตันโมเซ่บอกว่าโลกแบนแล้วผมเห็นมันกลมผมก็เลือกเชื่อสิ่งที่ผมเห็น แต่ถ้ากัปตัวโมเซ่บอกว่าสวรรค์เป็นลานเบียร์มีโรงงานผลิตนักเต้นระบำเปลื้องผ้า แล้วผมพิสูจน์ไม่ได้ว่าสวรรค์มีจริง หรือสวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร ผมจะเชื่อยังไงก็เรื่องของผม ผมจะเชื่อกัปตันโมเซ่แม้ว่าจะดูงี่เง่าอย่างไรแต่ผมก็มีสิทธิ์เชื่อ แต่แน่นอนว่าผมก็ไม่ควรมาระบุเป็นตุเป็นตะว่ามันเป็นจริงในบอร์ดวิทยาศาสตร์ครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 14:42:54

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่มีที่บอกว่า มั่นใจว่ามีจริงเหรอ เลือกอันนี้ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 17:00:19 จากคุณ : ช่างต่อเรือฯ (ช่างต่อเรือฯ) เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 16:59:57

ความคิดเห็นที่ 28 หลายคนที่มักอิงแอบว่าตนเป็นนักคิดแบบวิทยาศาสตร์ แต่รีบสรุปเหมารวมเอาว่า สิ่งที่สอนในศาสนาเป็นเรื่องเท็จ ที่จริงแล้ว เรื่องอภิญญาเป็นความจริงที่ปรากฏ และสิ่งที่พิสูจน์ได้ในวงจำกัดเฉพาะผู้ปฏิบัติทางจิตที่เป็นผลของฌาน ซึ่งมีมาก่อนศาสนาพุทธจะเกิด ดังนั้นคนที่เชื่อในแนวทางของวิทย์ ควรจะแสดงความเห็นในเชิงว่า วิทยาการของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ที่คุณศึกษากันมา ไม่เพียงพอหรือ มิสามารถอธิบายความจริงที่ปรากฏ ด้วยทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ไ้ด้จึงจะถูก จึงคิดว่า ประโยค ....ผมรำคาญพวกที่ชอบอ้างศาสนา แต่ยังอิงแอบวิทยาศาสตร์...  จึงน่าจะเป็นความเห็นที่ปลอมปนข้อเท็จจริง การจะพิสูจน์เรื่องอภิญญา เป็นจริงหรือเท็จ ก็ต้องทดลอง หรือศึกษาจากของจริง มิใช่เรื่องเพ้อฝันหรือมานั่งคิดเอาเอง โดยเอาตนเองเป็นมาตราฐาน  แล้วรีบด่วนสรุป ข้อเท็จจริงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนานั้น จะมิใช่ความจริงที่สามารถอธิบายได้ อภิญญานั้นหากจะศึกษาจริงๆ ก็ต้องศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ผลของการปฏิบัติสมาธิระดับฌานจึงเป็นเรื่องคาดเดาได้ยาก เนื่องจากตัวแปรของผู้ศึกษา หรือผู้ปฏิบัติมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน อภิญญาคือผลที่ปรากฏและมีอยู่จริง แต่วิทยาการปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการอธิบาย ด้วยภาษาวิ ยาศาสตร์ต่างหากว่า เพราะเหตุใดการทำสมาธิจึงส่งผลให้มี ตาทิพย์ หูทิพย์  หรือคุณวิเศษ เปรียบเช่นเพราะเหตุใดสุนัขจึงได้ยินเสียงที่คนเราปกติไมได้ยิน แต่เมื่อทำสมาธิระดับฌานกลับได้รับรู้เรื่องราวมากมายที่มนุษยืปกติทั่วไปทำไม่ได้ และเรื่องฌานวิสัย เป็นหนึ่งในเรื่องอจินไตย คือพระพุทธเจ้าสอนว่าห้ามคิด ถ้าคิดแล้วจะมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ตรงนี้ต่างหากนักวิทยาศาสตร์ควรทำการทดลองศึกษาให้ถ่องแท้และอธิบายสิ่งที่ปรากฏนั้น ซึ่งมันแตกต่างกับความเชื่อไร้สาระเพ้อเจ้อ ปีศาจอะไรนั่น จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:14:50

ความคิดเห็นที่ 29 ^ ^ ^ แบ่งแยก จิตนิยมกับวัตถุนิยมไม่ออก อ่านก็ไม่แตกฉาน มีอะไรที่ปฏิเสธ หรือบอกว่าไม่จริง หรือบอกว่าจริง ถ้ายังดูไม่ออกว่าข้อสรุปจิตนิยมใช้ไปยืนยันในฐานวัตถุนิยมไม่ได้ อย่าเพิ่งมาสรุป ฟังไม่ได้ศัพท์อย่าเพิ่งจับไปกระเดียด เพิ่มเติม เพื่อให้แรงยิ่งขึ้น พิสูจน์ด้วยแนวทางวัตถุนิยมได้ไหม ว่าสวรรค์ไม่ใช่ลานเบียร์ที่มีโรงงานผลิตนักเต้นระบำเปลื้องผ้า ให้ใช้เครื่องมือวัด แสดงผลเห็นได้ ทำซ้ำได้น่ะ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 53 17:52:05 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 17:49:35

ความคิดเห็นที่ 30   (: เข้ามาอ่าน จากคุณ : นักปาด..มิรู้พลั้ง เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 18:33:33

ความคิดเห็นที่ 31 ท่าทางจะติดนิสัยเด็กจริงๆแฮะ   กลับไปศึกษาเรื่องรูปกับนามให้แตกฉานก่อนครับ ค่อยมาคุยกันใหม่ ไปศึกษาความสัมพันธ์เรื่อง รูป กับ นาม ให้เข้าใจ ก่อนจะด่วนวิจารณ์เรื่องปีศาจไร้สาระ ในกระทู้นี้ว่าด้วยเรื่องอภิญญา แต่ไฉนจึงแถไปเรื่องอื่น คุณต้องรู้ก่อนว่า เรื่องบางเรื่องที่รับรู้มานั้น รู้ด้วยการคิด รู้ได้การได้ยิน รู้ด้วยการสัมผัส รู้ด้วยการลิ้มรส รู้ด้วยการเห็นด้วยตาเนื้อ และรู้ด้วยจิต ดังนั้นจึงแยกแยะให้ออกว่าข้อเท็จจริงอันใด รู้มาจากไหน มีแต่พวกปัญญาอ่อนเท่านั้นที่จะพยายามพิสูจน์เรื่องสวรรค์คือเรื่องของลานเบียร์ ว่าจริงหรือเท็จ ในเมื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็ไม่ควรด่วนสรุปเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็น   การบรรยายเรื่องภพภูมิ ทั้ง 31 เกิดจากการรับรู้โดยจิต และสามารถทำซ้ำโดยวิธีการทางจิตที่ถูกต้อง วิธีเดิม วิธีเดียวกับผู้ที่เคยทำ  และจัดเป็นอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลเวลา แต่เรื่องลานเบียร์น่าจะเกิดจากอาการทางจิตของคนที่สติวิปลาส ที่คิดขึ้นในในยุคสมัยปัจจุบัน ดังนั้น จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 19:02:15

ความคิดเห็นที่ 32 แนะนำให้ไปศึกษาวิทยาศาสตร์ทางจิตให้ลึกซึ้งก่อนตอบนะครับ แล้วอย่าลืมไปพิสูจน์สมาธิ ฌาน สมถะ วิปัสสนา ให้ลึกซึ้งครับ เพราะเรื่องเหล่านี้ให้อ่านหนังสือ  หรือคิดให้ตายก็ไม่สามารถอธิบายได้ลึกซึ้งเท่ากับการปฏิบัติจริง จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 19:21:04

ความคิดเห็นที่ 33 คราวนี้ก็ใช้ Flooding ข่มด้วยจำนวน ข่มด้วยความเชื่อ อ้างตัวเป็นครู ผมได้ได้แถ ที่นี่มีคนฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดอยู่คนเดียว เป็นคนคลั่งศาสนาคนหนึ่งที่พยายามให้เหตุผลวิบัติอ้างตำรา อ้างความไม่รู้ แล้วก็นะ Fallacy of Many Question ศาสนาพุทธสอนเรื่อง อัตตา เรื่อง อคติ แต่คนก็อ้างถูๆไถๆ แค่เพราะกินปูนร้อนท้อง จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 19:41:21

ความคิดเห็นที่ 34 พอตอบไม่ได้ ก็แถไปจับเรื่องจำนวนการตอบกระทู้ (โรคจิตเหรอครับ) เหตุที่มีคนตอบคนเดียวก็เพราะ กระทู้นี้มันหล่นจากกระทู้มาท้ายๆแล้ว ไม่มีใครมาอ่านแล้ว คุณเริ่มจากการตำหนิ รู้สึกรำคาญคนอื่น พอตอบกลับด้วยเหตุผลให้ิคิดเป็น บอกวิธีการที่ถูกต้องกลับไม่ยอมรับความจริง ไม่เคารพในความเห็นของผู้อื่น คนคลั่งศาสนาน่าจะหมายถึงมีแต่ศรัทธาคือเชื่อ โดยขาดปัญญา  แต่คนที่ปฏิบัติและศึกษา ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา โดยยึดถือจริยธรรม ศีลธรรม และคุณธรรม จึงควรแสดง ความเคารพต่อคนเหล่านั้นจึงจะถูกต้อง อย่าเรียกว่ากินปูนร้อนท้องสิครับ ในเว็บบอร์ดเป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็นสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิแสดงความเห็น และมีสิทธิปรับความเห็นผิดของคนอื่น ส่วนจะมีปัญญาเพียงพอที่จะเข้าใจตามได้หรือไม่ อันนี้อีกเรื่องหนึ่งนะครับ ใช่ครับ ผมมีอาชีพสอนหนังสือ ให้ความรู้กับบุคคลอื่นที่พร้อมจะรับความรู้ มีคนฟังทุกวัย ขณะเดียวกันก้สนใจศึกษาและปฏิบัติ ศาสนาเปรียบเทียบ และได้ผลว่าศาสนาพุทธมีแนวคิดที่สามารถพิสูจน์ตามได้ ไม่ยากนัก โดยอาศัยแนวคิดที่เป้นวิทยาศาสตร์ไปวิเคราะห์แนวทางการสอนและการปฏิบัติ ยกตย เช่น การนำสัตว์มาทดลอง นั้นจะส่งผลอย่างไรต่อมนุษย์ผู้นั้นบ้าง ก็ต้องอาศัยเก็บสถิติกันทั้งชีวิต ถึงผลแห่งการกระทำ ที่ว่าด้วยเรื่องกฏแห่งกรรม ก็ไ้ด้คำตอบที่ประจักษ์ว่า บุคคลนั้นจะมีมิจฉาทิฏฐิ นอนเนื่องด้วยอนุสัยแห่งการทำลายชีวิตสัตว์ จนแยกความผิดถูกในเชิงศีลธรรมไม่ได้ ทุกอย่างในโลกนี้สามารถนำแนวคิดที่เป้นวิทยาศาสตร์ไปจับได้ทั้งนั้น มันขึ้นกับปัญญาและภูิมิรู้ของบุคคลนั้น เพียงแต่ภาษาที่ทำให้คนอื่นรู้ตามนั้น ไม่จำเป้นต้องอาศัย Advanced Math เสมอไป จากประโยคนี้ ....ศาสนาพุทธสอนเรื่อง อัตตา เรื่อง อคติ....  แสดงถึงปัญญาของบุคคลนั้นว่ายังขาดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในคำสอนของศาสนาพุทธ ที่แสดงคหมาทั้งหมดมิได้เจือด้วยโทสะ แต่เป็นการสื่อสารเพื่อปรับความเข้าใจที่ถูกต้องนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:42:54

ความคิดเห็นที่ 35 ยังไม่รู้ตัวอีกนะ งั้นถามใหม่ ผมเชื่อว่ามีหรือไม่มีอภิญญา? จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 20:57:52

ความคิดเห็นที่ 36 ท่าทางจะคุยไม่รู้เรื่องแฮะ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:00:10

ความคิดเห็นที่ 37 ผมคุยด้วยก็หวังว่ามันจะสลายความงมงายลงไปได้สักคน มันมีคนที่นับถือพุทธศาสนาและคนที่งมงายในพุทธศาสนา ตอบคำถามดูสิ แค่ความคิดตัวคุณเองน่ะ หรือว่าเป็นคนจมไม่ลง จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:04:02

ความคิดเห็นที่ 38 ใครจะเชื่อว่ามีหรือไม่มีมิใช่ประเด็นครับ ที่แสดงคหนั้น ก็ปรับความเห็นผิดของใครหลายคน ซึ่งยังมีคห ไม่ถูกต้อง มิได้เจาะจงถึงใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นการตีตราคนอื่นเขา จึงมิใช่สิ่งที่ถูกต้องนะครับ คุยกันแลกเปลี่ยนกัน สั่งสอนให้มีศีลธรรม นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรเคารพนะครับ กรุณากลับไปอ่านให้แตก ประเด็นทั้งหลายที่ผุดออกมา ซึ่งก็ตอบไปแล้วให้หายสงสัย ปรับความเข้าใจที่ถูกต้อง เอาเป็นว่าน่าจะเข้าใจสิ่งที่ถูกต้องนะครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:08:59

ความคิดเห็นที่ 39 คุณ Venture เข้าใจลักษณะคนชอบอ้างศาสนา แต่ยังอิงแอบวิทยาศาสตร์ หรือเปล่า ในเมื่อวิทยาศาสตร์เป็นวัตถุนิยม แล้วจะใช้การพิสูจน์ทางจิตนิยมที่ไม่มีฐานของวัตถุนิยมมาบอกว่าเป็นการพิสูจน์ มันฟังไม่ขึ้นตามแนววัตถุนิยม มันจึงเป็นแค่ความเชื่อที่ใครจะเชื่อก็ได้ คิดว่าผมเข้าใจผิด หรือคุณเข้าใจผิด หรือว่าเราเข้าใจถูก หรือผิดกันทั้งคู่ล่ะ ผมน่ะเข้าใจไปแล้วว่าคุณสรุปไปเองว่าอย่างไร แต่ให้บอกออกไปมันก็ไม่ดีกับตัวคุณ ผมจึงพยายามทำให้คุณสำนึกและเข้าใจด้วยตัวเอง จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:17:17

ความคิดเห็นที่ 40 คำว่าเป็นคนจมไม่ลง คุณคงไม่เข้าใจหลักการใช้ภาาาไทยแล้วกระมังครับ แนะนำให้ไปศึกษาความหมายที่แท้จริงของสำนวนนี้นะครับ (อย่าใช้สำนวนนี้อีกถ้าไม่เข้าใจความหายของมัน) คำว่า งมงายในพุทธศาสนา น่าจะหมายถึงคนที่เชื่อโดยการขาดการไตร่ตรองกระมังครับ คนแบบคุณมีไม่มากนักในสังคมไทย ที่ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องศีลธรรม จริยธรรม ไม่เคยปฏิบัติภาวนา ไม่เคยประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง ทำไมจึงหาญกล้ามาตัดสินใจผู้อื่นด้วยความไม่รู้ (อวิชชา) ดังนั้นก่อนจะไปด่วนสรุปเหมารวมว่า พุทธศาสนิกชนทุกคน จะต้องงมงาย ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้นอย่างแท้จริง เราจึงเรียกทุกคนว่าคนโง่ทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่ขาดจริยธรรม ศีลธรรม ยิ่งโง่ ไม่รู้ มีอวิชชามากั้นมากที่สุด คุณคงไม่เคยเจอบุคคลที่ศรัทธาและประกอบด้วยปัญญากระมังครับ ถ้าจำไม่ผิด พระพุทธเจ้าเคยสอนมิให้คบคนพาล ซึ่งไม่พยายามที่จะยอมรับเรื่องจริยธรรม ศีลธรรม ก็คงไม่แปลกที่ความรู้ในเรื่องอื่นๆ ในอริยสัจ จะแทรกเข้าไปในความคิดของบุคคลนั้นได้ การสนทนาธรรมใดๆจึงไม่ก่อประโยชน์ใดๆ หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับ ว่าการปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ หมายถึงอะไร ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่แตกต่างจากบางศาสนาที่สอนให้เชื่อตามอย่างเดียวนะครับ การเลือกคบบัณฑิต น่าจะดีกว่าคบคนพาล เห็นด้วยไหมครับ คุณ Darth จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:28:12

ความคิดเห็นที่ 41 ผมคิดว่าผมกำลังคุยกับคนพาลอยู่ คนพาลที่คิดไปเองเหมาไปเอง จมไม่ลง ผิดก็ไม่รู้ เตือนก็ไม่สำนึก แม้แต่เรื่องว่าผมเชื่อหรือไม่เชื่อ คุณเองยังไม่กล้าตอบก็เพราะคุณฟันธงไปแล้วว่าผมไม่เชื่อแล้วก็กลัวจะเผชิญกับความจริงว่าคุณอาจสรุปผิด อธิบายเพิ่มสักนิดก็ได้ ผมด่าคนสองประเภท คนที่สรุปง่ายๆว่าของที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่มี กับผมด่าคนที่สรุปว่าของที่พิสูจน์ไม่ได้คือมี เพราะเงื่อนไขการพิสูจน์เป็นวัตถุนิยม ตามแนวทางวิทยาศาสตร์ ตามเจตนารมณ์หว้ากอ จิตนิยมสามารถสรุปเป็นถูกได้จริงได้เฉพาะในวงจิตนิยม กลับห้องศาสนาไปดีกว่าไหม ถ้ายังงมงายจมไม่ลงอยู่อย่างนี้ ดีกว่ามาคุยกับคนโง่ตามแบบของคุณน่ะ หืมม์ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:36:55

ความคิดเห็นที่ 42 คุณใช้คำว่าอิงแอบวิทยาศาสตร์ไม่ถูกนะครับ ผมจึงต้องให้คุณสำนึกใหม่ แต่คุณก็ไม่เข้าใจ คุณต้องใช้คำว่า ความเชื่อบางอย่างก็มิสามารถพิสูจน์ด้วยวิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันได้ จึงจะถูกต้อง   การพิสูจน์ที่มาของคำสอน คุณจะพบว่า ศาสดาสอนสิ่งเหล่านั้นด้วยการคิดวิเคราะห์ ด้วยปัญญาที่ คนธรรมดาทั่วไปรู้ตามได้ยาก แต่ก็สามารถนำหลักการทางวิทยาศาสตร์กายภาพบางอย่างไปพิสูจน์ได้  บางอย่างวิทยาศาสตร์กายภาพยังห่างไกลอีกมาก จึงเกิดสาขาใหม่ท่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ทางจิต หรือ จิตเวชศาสตร์ ซึ่งถ้าเทียบแล้วก็เป้นเพียงความรู้ขั้นอนุบาลของพุทธศาสนา แท้จริงแล้ว คนที่งมงายเหล่านั้น ก็ได้ผลทางด้านจิตใจของเขา เพราะตราบใดที่ยังทำลายอวิชชา ความไม่รู้ ไม่สำเร็จ คนเหลานั้นก็ยังต้องเผชิญความทุกข์กายทุกข์ใจไม่จบไม่สิ้น จากประโยคนี้ ....ในเมื่อวิทยาศาสตร์เป็นวัตถุนิยม แล้วจะใช้การพิสูจน์ทางจิตนิยมที่ไม่มีฐานของวัตถุนิยมมาบอกว่าเป็นการพิสูจน์ มันฟังไม่ขึ้นตามแนววัตถุนิยม .... บ่งบอกว่า คุณยังไม่เข้าใจคำว่าวิทยาศาสตร์ทางจิต แม้้แต่คำว่า science ในความหมายที่แท้จริงของวิทยาศาสตร์ คืออะไร คุณเข้าใจถูกต้องแน่หรือ คำว่าอิงแอบ มันดูเหมือนกับคุณกำลังเข้าใจว่า ศาสนาพุทธจำเป็นต้องได้รับการรับรองด้วยวิทย์ อย่างนั้นหรือ คุณยังไม่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วศาสนาพุทธ ศึกษาเพียงแค่  รูป กับ นาม  ก้เพื่ออริยสัจสี่ ขณะเดียวกัน ศาสตร์หลายๆศาสตร์ก็จะมีส่วนที่คาบเกี่ยวกันในเรื่องการอธิบายสิ่งเดียวกัน ในมุมมองที่ต่างกัน และก็ไม่แปลกที่จะนำ แนวคิดในเชิงวิทยาศาสตร์ไปจับคำสอนในศาสนาพุทธ และในหลายๆเรื่อง ศาสนาพุทธก็อธิบายเรื่องวัตถุได้ดี มีมาก่อนคำอธิบายจากนักวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำไป และในมุมกลับกัน ก็มิสามารถอธิบายได้ในเชิงรูปธรรม จึงจะรีบด่วนสรุปว่าเป็นเพียงความเชื่อมิได้ครับ ก็ในเมื่อความรู้เหล่านั้นเกิดจากจิต คนที่รู้ตามได้จึงต้องรับรู้ด้วยจิตเช่นเดียวกัน มิใช่บอกว่าตนเองภาวนาไม่เป็น ก็เลยด่วนสรุปว่า พุทธมาอิงแอบกับวิทย์ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:42:21

ความคิดเห็นที่ 43 อืมม.. ภาวะหลายๆ อย่างทางจิต เช่นอาการระแวง หลอน นอนไม่หลับ กลัวขนาดนอนไม่ได้ ระบบประสาททำงานตื่นตัวตลอดเวลา มันอธิบายได้ด้วยหลักการทางจิตเหมือนกันนะคะ ถอยกันคนละก้าวดีมั๊ยเนี่ย ใครใคร่จะอ่านจะเชื่อ ก็ตามวิสัยของคนๆ นั้นละกัน ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองมีปัญญา ก็ขอให้ใช้ปัญญาที่ท่านๆ มีพิจารณาเอาตามที่เห็นว่าสมควรก็แล้วกัน จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 21:55:11

ความคิดเห็นที่ 44 คำว่าอิงแอบ มันดูเหมือนกับคุณกำลังเข้าใจว่า ศาสนาพุทธจำเป็นต้องได้รับการรับรองด้วยวิทย์ อย่างนั้นหรือ มันไม่จำเป็นต้องอิงแอบเลย ไม่จำเป็น และถ้าคุณรู้ตัวว่ามันไม่จำเป็นต้องอิงแอบแล้วมาทำอะไรอยู่ที่หว้ากอที่เป็นวัตถุนิยม? มันคืออะไรที่ซ่อนอยู่ในใจของคุณกันล่ะ ถึงยังอยู่ตรงนี้? ยุคมืดของวิทยาศาสตร์มันก็เห็นได้ตรงนี้แหละ เมื่อความงมงายครอบงำ แม้ข้อความที่อิงมาจะถูกก็เอาไปตีความผิดๆตามอำเภอใจ บายละ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 22:03:06

ความคิดเห็นที่ 45 กำลังจะบอกว่าคนพาลคือคนที่ไม่ยอมรับเรื่อง จริยธรรม ไม่ยอมรับเรื่องศีลธรรม โง่แล้วรู้ตัวว่าโง่ อันนี้น่าคุยด้วย แต่โง่แล้วยังแถไม่เลิก  คุยกันไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆนะครับ ขอฝากให้ไปศึกษาว่า จิตนิยม กับ วิทยาศาสตร์สัมพันธ์กันอย่างไร   และไปศึกษาเรื่อง รูปกับนามให้เข้าใจก่อนจะแสดงความไม่รู้นะครับ นิสัยคนพาลก็อย่างคห ล่าสุดของคุณนี่แหละ พอตอบไม่ได้ ก็แถไม่เลิก ก็ไม่ยอมคุยไล่คนอื่นให้กลับไปคุยห้องศาสนา ซึ่งปกติเว็บบอร์ดพันทิบก็เปิดรับทุกคน มิจำเป็นต้องติดตราอวกาศอะไรจึงจะคุยได้ ในเมื่อคุณกล้าด่าคนอื่นแล้ว ก็ควรยอมรับคำด่า ในสิ่งที่ตนเข้าใจผิดเช่นกัน มารยาทในการสนทนาผ่านเว็บบอร์ด มันมีอยู่แล้วก็ควรศึกษานะครับ แต่ถ้าไม่มีใครสามารถปรับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในมุมมองของศาสนา ที่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ซึ่งปรากฏการณ์บางอย่างวิทยาศาสตร์ยังล้าหลังอยู่มากต้องใช้เวลาอีกนานจึงจะพิสูจน์ข้อเท็จจจริงได้ทุกเรื่อง ก้แนะนำให้ไปหาความรู้จากห้องศาสนานะครับ   อ้อ ส่วนที่บอกว่าอวิชชานั้นเป้นกิเลสตัวท้ายสุดที่ทำลายยากนั้น ก็เรียกว่าคนส่วนใหย่จึงเรียกว่าคนโง่ทั้งนั้นนะครับ โดยเฉพาะคนที่ไม่ยอมรับเรื่องจริยธรรมแบบคุณเนี่ย ไม่นาคบหานะครับ  หวังว่าเราจะเจอในกระทู้อื่นๆอีก ถ้าคุณยังเข้าใจอะไรผิดๆอีก ผมให้เวลาคุณไปหาคำนิยามคำว่าวิทยาศาสตร์ science นะครับ แล้วกลับมาตอบใหม่ครับ  ถ้าตอบไม่ได้ก้ไม่ต้องเสียเวลาตอบก็ได้ครับ คุณเคยได้ยินคำว่างมงายในวิทยาศาสตร์ไหม ลองไปหาคำนิยามนะครับ แล้วฝากให้ศึกษาเรื่องจริยธรรม จริยศาสตร์ให้มากๆด้วยครับ เป็นห่วงว่าคุณจะสนับสนุนให้มีการใช้สัตว์ทดลองในวิทยาศาสตร์ และเกิดมิจฉาทิฏฐิ มากกว่าที่เป็นอยู่ครับ  อันนี้พูดด้วยความเป็นห่วงในเชิงมนุษยธรรมนะครับ ตอนนี้ถึงเวลานอนแล้ว จะตอบอะไรก็ตอบมา แล้วจะเข้ามาอ่านอีกทีครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 22:09:26

ความคิดเห็นที่ 46 ภาวะหลายๆ อย่างทางจิต เช่นอาการระแวง หลอน นอนไม่หลับ กลัวขนาดนอนไม่ได้ ระบบประสาททำงานตื่นตัวตลอดเวลา มันอธิบายได้ด้วยหลักการทางจิตเหมือนกันนะคะ........... ใช่ครับ เพราะการนำหลักวิทยาศาสตร์กายภาพไปจับความผิดปกติของสารเคมีในร่างกาย สารเคมีของสมอง ซึ่งจะส่งผลต่ออาการทางจิต อาการทางความคิด  จากตัวอย่างที่ยกมา แสดงให้เห็นว่า กายภาพทางร่างกาย มีความสัมพันธ์กับทางจิต ชัดเจนมากๆ ดังนั้นใครที่คิดว่า กาย กับจิตแยกกันไม่สัมพันธ์กันนั้น น่าจะขัดแย้งได้ครับ เพราะความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์ที่ไปศึกษาอาการทางกายด้วย ความรู้ชีวเคมี จึงทราบได้ว่ามีผลต่ออาการทางจิตเช่นกัน ดังนั้นคนที่บอกว่า การพิสูจน์เรื่องของจิต ไม่มีฐานความคิดวิทยาศาสตร์ทางกาย (วัตถุ)มารองรับ จึงน่าจะทำความเข้าใจเสียใหม่นะครับ เพียงแ่ต่องค์ความรู้วิทยาศาสตร์ยังไม่เพียงพอว่า อาการทางจิตที่ปกติหรือผิดปกติ  หรือมีคุณวิเศษเหล่านั้นสัมพันธ์อย่างไรกับสภาวะของร่างกาย ซึ่งอาจจะใช้เวลาันับร้อยนับพันปี ที่จะพิสูจน์เรื่องเหล่านั้น จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 22:16:56

ความคิดเห็นที่ 47   ^ ^ 2 ท่านข้างบนนั้นน่ะ เถียงกันอย่าใช้ศัพท์ยากๆดิ อ่านไม่รู้เรื่อง พวกแนวสุขวิปัสโก เอย อจินไตย เอย สุขวิปัสโก เอย เตวิชโช เอย Flooding เอย Fallacy of Many Question เอย ช่วยแปลเป็นถาษาชาวบ้านอ่านกันง่ายๆกันหน่อย @Darth Prin เท่าที่อ่านมาคุณมีอติกับเรื่องพุทธกับวิทยศาสตร์น่ะเนี้ย อ่านหมดล่ะ ที่เถียงกันนี้แค่แลกเปลี่ยนความเห็นหรือว่าตราหน้าว่าอีกฝ่ายโง่อีกฝ่ายพาลกันแน่เนี้ย? ไม่รู้ว่าพวกคุณ"รู้"กันอ่ะเปล่า << ศัทพ์ทางเทคนิคน่ะเนี้ย 55+ จากคุณ : m028g เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 22:18:54

ความคิดเห็นที่ 48 44 ......  แสดงว่าคุณกำลังรู้สึกว่า ศาสนาพุทธจำเป็นต้องอิงแอบ วิทย์  ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์เด็กน้อยจริงๆครับ ความรู้ใดๆก็ตามมันสอดคล้องกันทั้งนั้นนะครับ หรือกลัวว่า วิทย์จะดูด้อยลง หรือ ศาสนาพุทธจะกลายเ็นที่ยอมรับมากขึ้นในวงการวิทย์  โดยลำพังคำสอนของศาสนาพุทธอยู่ได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะคนที่มีปัญญาและทำลายความโง่มองห็นและเข้าใจชีวิตมากขึ้นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันสามารถจะมองด้วยศาสตร์อะไรก็ได้ทั้งนั้นครับ มันอยู่ที่ความชอบส่วนตัว และภูมิรู้ของแต่ละคน สัญชาติของสิ่งมีชีวิตก็คือก็หาความจริง การค้นหาความรู้ด้วยศาสตร์ต่างๆ ซึ่งมันแยกกันไม่ออก และก็มิใช่เรื่องผิดที่จะศึกษาเรื่องความเชื่องมงายทั้งหลายในมุมมองของวิทยาศาสตร์ เอาแค่ทำไมการนั่งสมาธิในระดับฌานจึงส่งผลต่อสภาวะร่างกาย สภาวะทางจิต กายเหล่านั้นมีผลอย่างไรต่อความคิดต่อการรับรู้ทางจิต เอาแค่เรื่องนี้ ทำไมนั่งสมาธิแล้วจึงรับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ หรือเห็ ก็ศึกษากันทั้งชีวิตแล้วครับ ภาพไกลๆของอีกด้านหนึ่งของโลก อย่าปัญญาอ่อน หรือใจคับแคบ ที่จะสนทนาความรู้ในศาสนาพุทธในมุมมองของวิทยาศาสตร์ทั้งกายภาพ  และวิทยาศาสตร์ทางจิต ศาสนาพุทธเหนือกว่ากว่าวิทยาศาสตร์ในแง่ไหนคุณก็รู้ดี ขณะเดียวกัน วิทยาศาสตร์ก็ลึกซึ้งเกินกว่าพุทธศาสนาจะไปสนใจ เพราะไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้น ศาสตร์แต่ละศาสตร์มีดีในตัวเอง ขณะเดียวกัน ก็สามารถส่งเสริมให้เกิดความรู้ในมุมมองใหม่ๆได้ลอดเวลา อย่าโง่นัก Darth  เอาแค่คุณไม่ยอมรับ จริยธรรม มันก็โง่หนักแล้วครับ (อวิชชาแปลความว่าไม่รู้ หรือโง่นั่นแหละ ) จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 22:28:14

ความคิดเห็นที่ 49 คุณใช้คำว่ายุคมืดของวิทยาศาสตร์ แล้วยกเหตุผลวิบัติมาเสริม ถ้าคุณเป็นนักศึกษาผมนะ ผมจะให้เวลาคุณไปศึกษา ปรัชญาที่แท้จริงของคำว่า science แล้วมาพรีเซ้นต์ใหม่อีกสิบรอบ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 22:31:43

ความคิดเห็นที่ 50 ขอโทษนะครับ คุณ Darth ผมเคยเห็นรูปถ่ายของคุณ และมองจากโหวงเฮ้งคุณแล้ว ก็ไม่โกรธหรอกครับ ที่คุณมีความเห็นที่แตกต่าง เพราะนิสัยตามโหวงเฮ้ง มันก็เป้นสถิติแบบนั้นจริงๆ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 26 พ.ค. 53 22:44:24

ความคิดเห็นที่ 51 ตอบคห 47 ประเด็นที่ผมบ่งชี้ ตามข้างบน (ก่อนหน้าตา Venture มา) ที่บอกว่าเชื่อพุทธแต่ไม่เชื่อปาฏิหารย์ บอกว่าเป็นกุศโลบาย หรืออุบายอะไรก็สุดแท้แต่ ตรงนี้จะเชื่อว่าไม่มีน่ะได้ แต่บอกว่าไม่มีในพุทธไม่มีอันนี้ไม่ได้ และในขณะเดียวกันสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ชั่ง ตวง วัด ซึ่งเป็นทางวัตถุที่ไม่เกี่ยวกับสภาพจำเพาะของบุคคล ที่พวกจิตนิยมเรียกว่าพิสูจน์ได้ทางจิต มันยอมรับเป็นการพิสูจน์ไม่ได้ ต่อให้ผมรู้ผมเห็นผมก็ต้องรู้อยู่ดีว่าความรู้นี้มีได้เฉพาะตัว พิสูจน์ก็คือต้องปฏิบัติ มันก็ต้องออกมาจากฐานของวิทยาศาสตร์ ไปสู่แนวทางของพุทธ นั่นคือถืงรู้ ในเวลาที่สวมหัววิทยาศาสตร์ เราก็ต้องรู้ในวงวิทยาศาสตร์ กล่าวไปข้างนอกก็ต้องเรียกสิ่งนี้ว่าเชื่อ ไปในวงพุทธ ตรงนี้ก็บอกว่ารู้ไม่ได้อีก เพราะตรงนี้ศาสนาพุทธเองก็ห้ามไว้ เรียกว่าการอวดอุตริมนุษยธรรม เหตุผลของการกล่าวถึงพวกสุขวิปัสโกหรือศัพท์อะไรพวกนี้ อธิบายง่ายๆ ตรงนั้นอธิบาย คห 9 - 11 ว่าทำไมศาสนาพุทธจึงสอนเรื่อง อิทธิฤทธิ์ เพราะมันจำเป็นสำหรับคนบางกลุ่ม การสอนให้คนรู้จนสิ้นสงสัยมันไม่ใช่ แต่คือ ปริมาณความรู้ที่จำเป็นที่จะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของความหลุดพ้นแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนแค่เปรียบเทียบกับสิ่งที่เห็นด้วยตาฟังด้วยหูก็พอจะเห็นถึงปริมาณที่มากมายจนรู้สึกเสียเวลาที่จะไปรู้ทั้งหมด บางคนต้องได้ดูได้เห็นสิ่งที่เหนือจากที่เห็นด้วยตาฟังด้วยหู จะเรียกเพิ่มการรู้ด้วยใจก็ว่าได้ ถึงจะเริ่มรู้ว่าปริมาณมันมากมายจนเสียเวลาที่จะไปรู้ทั้งหมด เป็นการให้เหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีสอน และการเห็นเอาว่ามันไม่จำเป็น มันไม่เกี่ยว ไม่จำเป็นต้องมี มันไม่ถูก สิ่งที่ผมพูดเกี่ยวกับการ Flooding หรือ Fallacy of many question ผมอยากบ่งชี้ให้เห็นว่า เพราะพื้นฐานเขาเป็นจิตนิยม เขาไม่สามารถให้เหตุผลทางวัตถุนิยมได้ เขาไม่ยอมรับว่าฐานวัตถุนิยมเป็นฐานของวิทยาศาสตร์ เขาจะให้วิทยาศาสตร์มีจิตนิยมเข้ามา ซึ่งจิตนิยมหรือการเชื่อใน Spirit สิ่งเหนือธรรมชาติ รู้ได้ด้วยใจ ชั่งตวงวัดด้วยสสารบนโลกไม่ได้ มันใช้เป็นหลักฐานยืนยันไม่ได้ จิตนิยมมีได้แค่เหตุผล มันไม่ได้ให้หลักฐาน เพราะหลักฐานมันอยู่แค่จำเพราะในตัวคนที่ปฏิบัติ จิตนิยมเมื่อพยายามหาหลักฐานมาบีบให้วัตถุนิยมมายอมรับ ก็คืออันดับแรก ตราหน้าก่อน พวกวัตถุนิยมต้องไม่รู้เรื่องจิตนิยม แล้วก็โจมตีสรุปเอาดื้อๆตรงนี้ก่อนว่า เพราะคุณไม่เชื่อ คุณไม่ปฏิบัติ แล้วก็โจมตีไปในส่วนที่พิสูจน์ไม่ได้เพื่อให้ยอมรับว่าจิตนิยมกว้างกว่า ทั้งๆที่ตรงนี้เรากำลังพูดในทางวัตถุ สิ่งที่พิสูจน์ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งความกว้างของจิตนิยมมันเกินขอบเขตทางความคิด ซึ่งจะเป็นจริงหรือเพ้อเจ้อ มันก็พิสูจน์ไม่ได้ Fallacy of Many Question ตรงนี้มันก็คือการตั้งโจทย์ปริมาณมากที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ซึ่งมันจริงๆก็เป็นคนละเรื่องกับว่ามันพิสูจน์ว่าจิตนิยมเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอยู่นอกเขตความขัดแย้ง อีกส่วนหนึ่งที่จะเห็นคือการข่มว่ารู้ รู้จริงหรือเปล่ามันก็พิสูจน์ไม่ได้ แล้วก็โจมตีด้วย เอาภาษาไทยก็แล้วกัน อย่างโหงวเฮ้ง อันนี้เป็นการโจมตีไปที่บุคคลแล้ว ไม่ได้โจมตีที่เนื้อหาสาระที่ถกเถียง นั่นคือการถกเถียงนี้เป็นการถกเพื่อเอาชนะไม่ได้เพื่อเอาความเข้าใจ ผมพยายามบ่งชี้ให้ venture เข้าใจว่า 1. สิ่งที่เขาสรุปไปเองอันนี้ผิด ไม่ควรทำ 2. ฐานของพุทธไม่ใช่วิทยาศาสตร์ 3. พุทธมันไม่ต้องอิงวิทยาศาสตร์ สิ่งที่ผมถกกับ venture ไม่ได้คือ วิทยาศาสตร์ทางจิต เพราะผมที่เข้าใจว่ามันเป็น Pseudo Science ใช้หลักฐานที่ไม่ใช่หลักฐานทางวัตถุ มันเป็นลักษณะเดียวกับ Christian Science หรือแม้แต่ Sciencetology ซึ่งถูกออกแบบมาให้คล้ายวิทยาศาสตร์แต่มันไม่ใช่ เพราะมันไม่ใช่ของที่พิสูจน์ออกมาได้ด้วยการชั่ง ตวง วัด สุดท้ายก็เรื่อง พระเจ้าปิศาจสปาเก๊ตตี้ ผมอยากบ่งชี้ว่า การพิสูจน์การมีอยู่ของนรก สวรรค์ อิทธิฤทธิ์ อภิญญา อะไรก็แล้วแต่ มันอยู่ในระดับเดียวกับความเชื่อเรื่อง พระเจ้าปิศาจสปาเก๊ตตี้ คือมันพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็คือมันอาจเป็นและไม่เป็นความจริงถ้าคิดเฉพาะในแนววัตถุนิยม หรือจะเชื่อก็เชื่อไปตราบที่ไม่ไปขัดแย้งกับสิ่งที่พิสูจน์มีหลักฐานแล้วทางวัตถุ อคติที่ผมมี จะเป็นอคติหรือคติ ผมไม่สามารถบ่งชี้กับตัวเอง ที่ผมใช้เป็นมาตรฐานของตัวเอง แต่ผมวิจารณ์คนอื่นเพราะเมื่อเทียบตัวเองมันเห็นเป็นอคติ ซึ่งถ้าจริงๆแล้วมุมมองมันไม่ได้ต่างกัน ก็คือผมอคติไปว่าเขาต่าง ตรงนี้ในแง่ทฤษฏีที่ทาง venture พล่ามมาอธิบายมา มันไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับความเชื่อผมเลย มันมีแค่ตรงที่เขาไม่พอใจที่ผมว่า ผมรำคาญพวกที่ชอบอ้างศาสนา แต่ยังอิงแอบวิทยาศาสตร์ แล้วก็พาลคิดไปเองในหลายๆเรื่อง เพราะพวกที่อ้างศาสนาแต่ยังอิงแอบวิทยาศาสตร์มันก็มีอยู่ คนที่บอกว่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ไม่มีจริง แล้วบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องแต่ง กุศโลบาย นั่นละอิงแอบตัวหนึ่ง เพราะความละอายที่สิ่งที่ตนเชื่อไม่น่าเป็นไปได้ (ซึ่งมันก็แค่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็พาลสรุปไปว่าไม่จริง) ส่วนตา venture นี้เป็นการมองไปอีกเรื่อง คือเขาอิงแอบวิทยาศาสตร์ และกดให้วิทยาศาสตร์ต้องอยู่ต่ำกว่าศาสนาพุทธ แบบของเขา เขาไม่สามารถมองในมุมมองวิทยาศาสตร์ได้ การที่เขาเชื่อในวิทยาศาสตร์ทางจิตทำให้เขาทิ้ง ละเลย รากฐานของการพิสูจน์ทางวัตถุ เขาไม่สามารถเข้าใจหรือแยกแยะได้ว่าเวลาไหนจะสวมหมวกใบใด และเมื่อสวมหมวกวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งที่ถูกต้องเป็นจริง ตามหมวกที่สวมนั้น มีจำกัดอยู่เช่นใด ผมคงใช้วิธีผิดที่จะพยายามให้ venture ไปอ่านดูใหม่ว่าสิ่งที่ผมเขียนมันปฏิเสธสิ่งที่เขาเชื่อหรือ และเพราะมันเป็นความเชื่อมันจะต้องเป็นจริงซะงั้น? จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 09:00:22

ความคิดเห็นที่ 52 ตรูละเบื่อ ตา Darth จริงๆ เรื่องโหวงเฮ้ง มันคือเรื่องของสถิติที่สืบทอดกันมาเป็นพันๆปี ว่าหน้าตาแบบนี้ ต้องมีนิสัยแบบนี้ ซึ่งมันก็คือศาสตร์ด้านหนึ่งที่องค์กรใหญ่ๆทั่วโลกนำมาใช้ในการวิเคราะห์สันดานของคน ถามว่าเป็นฐานของวิทยาศาสตร์ในแนววัตถุนิยมไหม ก็ต้องตอบว่าใช่ สามารถ วัดได้ชัดเจนด้วยสเกล ส่วนเรื่องเห็นด้วยหรือขัดแย้ง ไม่ได้อิงที่บุคคล ซึ่งจะว่ากันตรงๆ คุณมีอคติต่อศาสนาพุทธและจัดเป็นพวกต่อต้าน จริยธรรม อย่างเด่นชัด และไม่แยกแยะคำว่าอิงแอบ วิทยาศาสตร์สามารถนำมาเชื่อมโยงอ้างอิงวิเคราะหืปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติได้  แต่ไม่ทั้งหมด ดังนั้นการนำหลักการวิทย์ไปวิเคราะห์ ผลของความคิดของเจ้าชายสิทธฺธัตถะ จึงเป็นความคิดที่ดี และควรเคารพ เช่น เพราะเหตุใดการนั่งสมธิจึงมีผลต่อหลักการทำงานของสภาวะร่างกาย เพราะเหตุใดความคิดเหล่านั้นจึงเกิดขึ้น ซึ่งมีแต่พวกปัญญาอ่อนและจิตใจคับแคบเท่านั้นที่แยก ความจริงในศาสนาพุทธออกจากความเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิทยาศาสตร์ทางจิต จิตเวชศาสตร์ มีรากฐานมาจากความคิดที่เป็นวิทยศาสตร์เป็นฐาน หลักการสมมุติฐาน เก็บผลการทดลอง วัดผลที่เป็นปริมาณได้ ตัวคุณจมปักเพียงแค่วิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับฟิสิกส์ ก็บอกแล้วว่า ในเมื่อร่างกายกับจิตมันสอดประสานกับอย่างซับซ้อน มันมีความสัมพันธ์กัน มีชีวเคมี ซึ่งก็ยกตย มาให้อ่าน ก็ไม่อ่าน การทำสมาธิทำไมจึงทำให้สภาวะในชีวเคมีเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดความรู้อันใหม่ ที่คนโง่ส่วนใหญ่คิดตามไม่ทัน หรือคิดตามแล้วจะเป็นบ้าได้ หรือแม้แต่เรื่องความฝัน ก็ยังมีการทดลองความเปลี่ยนแปลงของเซลประสาท สภาวะจิตต่างๆ มันสลับซับซ้อนเกินกว่าความรู้ที่คุณมีจะเข้าใจ ดังนั้น อย่าสอดที่จะแสดงความเห็นว่า พุทธอิงแอบกับวิทย์อีกในคราวต่อไป แล้วไปศึกษาวิทยาศาสตร์ทางจิตให้มากๆ ไปปฏิบัติให้เกิดผลทางปฏิบัติภาวนา แล้วอธิบายในเชิงกายภาพ หรือแม้แต่การแผ่เมตตา ในพุทธศาสนาก็ส่งผลต่อสภาวะเซลในร่างกาย การที่คุณมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หรือไม่มีเครื่องมือวิทย์ใดๆที่จะไปจับมาวิเคราะห์ ก็อย่าด่วนสรุป ว่ามันไม่มี แต่ควรตอบว่า " วิทยาการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการอธิบายความจริงที่ ปรากฏ " คุณต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับคำอธิบาย ในขณะที่คุณกล้าด่าผู้อื่น ก่อนจะแถไม่ยอมเลิก จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 12:51:45

ความคิดเห็นที่ 53 ถ้ามองว่าศาสตร์ใดๆในโลกนี้ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ตามสัญชาติญาณการดำรงอยู่ คำสอนในศาสนาพุทธเป็นคำสอนที่ให้ดำรงอยู่เป็นมนุษย์โดยเข้าใจความมีอยู่ของธรรมชาติเพียงพอ ต่อการทนสภาพอยู่ได้ กับสภาวะทั้งหลาย ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้ามองแต่มุมนี้ วิทยาศาสตร์จะดูเป็นเด็กอนุบาลไปเลย แต่ถ้ามองเฉพาะแค่ การอธิบายความจริงที่ปรากฏด้วยวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ชั้นสูง อันนี้มันจะเป็นศาสตร์ที่น่ายกย่อง ถ้ามีใครสักคนปัญญาอ่อนแบบ Darth กล่าวว่า วิทยาศาสตร์ไม่มีความสามารถอธิบายด้วยภาษาวิทยาศาสตร์เหรอ ทำไมต้องมาอิงแอบกับ คณิตศาสตร์ชั้นสูง คงจะมีคนตบกระโหลกกระมัง และนี่คือตรรกะแบบเดียวกับที่ Darth มีอคติต่อพุทธศาสนา ซึ่งก็รู้จักคุณดีว่าเป็นคนไม่มีศาสนา ซึ่งส่วนตัวก็คิดว่ามันเป็นสิทธิส่วนตัว ดังนั้นอย่าใจคับแคบ ที่จะนำหลักวิทยาศาสตร์ไปอธิบายความจริง ทางธรรมชาติที่ปรากฏรอบตัว จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 13:05:46

ความคิดเห็นที่ 54 ในเมื่อคุณก็ยอมรับแล้วว่า ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต มีความสัมพันธ์อย่างไรต่อ สภาวะชีวเคมีของมนุษย์ การทำงานของสมองและเซลประสาทต่างๆทางร่างกาย คุณต้องศึกษาเรื่อง Biochem เป็นฐานของการวิเคราะห์ มิใช่ Physics บางอย่างถ้ามองแต่ว่า ความคิดเป็นแค่นามธรรม โดยขาดการเชื่อมโยง กายกับจิต คุณก็จะแถไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้ามองว่าการปฏิบัติภาวนามีผลต่อสภาวะร่างกายและจิตใจอย่างไร ทำไมจึงเกิดคุณวิเศษ ที่เรียกว่าอภิญญาได้ นั่นแหละ คุณจึงจะเข้าใจ ซึ่งในประเด็นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะเข้าใจ เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา มันมีผลต่อมนุษย์อย่างไรและอภิญญา ในหัวข้อนี้อย่างไร พุทธต่างกับคริสต์มากมาย อย่านำมาเปรียบเทียบกันครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 13:17:39

ความคิดเห็นที่ 55 เฮ้อ... จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 14:44:53

ความคิดเห็นที่ 56 วิทยาการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อการอธิบายความจริงที่ ปรากฏ " ความจริง??????? ความจริงอันไหน อภิญญามีอยู่จริง นรกสวรรค์มีอยุ่จริง เอาหลักฐานมาซิถ้าอ้างว่าเป็นจริงละก็ 52 ประเด็นอยู่ว่ามันไม่เกี่ยวแล้วเอามาใช้ Discredit ผมทำไม แล้วก็นะ 54 พุทธต่างกับคริสต์มากมาย อย่านำมาเปรียบเทียบกันครับ ต่างตรงไหน คริสต์ไม่มีอภิญญา? อธิบายไม่ได้? สรุปว่าพุทธเหนือกว่าคริสต์??? แล้วอะไรละนั่น "ถ้ามีใครสักคนปัญญาอ่อนแบบ Darth " คนที่คุยเถียงกับคนปัญญาอ่อนสงสัยจะบ้า "ซึ่งก็รู้จักคุณดีว่าเป็นคนไม่มีศาสนา" หลักฐาน??? คนดีมีศาสนา คิดแบบนี้ ผมว่า ผมนับถือพระเจ้าปิศาจสปาเก๊ตตี้ลอยฟ้า ดีแล้วละ กลัวเป็นอย่างคุณจริงๆ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 15:02:47

ความคิดเห็นที่ 57 -_-" ไม่คิดแบบวิทยาศาสตร์ ก็ต้องคิดงมงายแบบพวกบ้าศาสนาใช่มั๊ยเนี่ย ไหนใครๆ ในห้องนี้ก็ว่าโลกนี้เป็นสีเทาไง ทำไมมันกลายเป็นขาวหรือดำไปอีกแล้วเนี่ย จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 53 19:42:13

ความคิดเห็นที่ 58 เวลาเราฟังพระที่แตกฉานด้านพุทธศาสน์ เทศ เราไม่ค่อยงงกันหรอกนะ ฟังเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะพุทธศาสน์เป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่ายๆ ท่านพุทธทาส, พระพรหมคุณาภรณ์, ท่าน ว. วชิระเมธี นั่นเป็นเพราะท่านต้องการ "แสดงธรรม"  .. ไม่ใช่ "อวดรู้" เราจึงเข้าใจมันง่ายๆ เพราะธรรมะมันไม่ยาก.. ,,, เออ แล้วพวกที่เอาเรื่องศาสนาไปโยงกับเรื่องการเก็บเลเวลน่ะ ผมไม่ชอบเป็นการส่วนตัวว่ะ .. จะเล่นอะไรก็ให้รู้จักความเหมาะสมบ้าง จากคุณ : paefah เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 10:29:10

ความคิดเห็นที่ 59 ดราม่าแล้ว จากคุณ : Cryptomnesia เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 53 11:32:31