 |
ความคิดเห็นที่ 5 |
ความสุขที่สัมผัสได้
15 ปีผ่านไป หลังจากคิดพึ่งตนเอง พ่อผายและครอบครัวพบว่า เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายที่ดีขึ้นที่อยากจะเล่าให้ผู้อื่นฟังดังนี้
1. เศรษฐกิจดีขึ้น กล่าวคือ รายจ่ายลดลงชัดเจนทั้งด้านบริโภค และการลงทุนในการผลิต หนี้สินค่อยๆ ลดลงจาก 60,000 บาท จนไม่มีหนี้แล้ว เงินออมค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนมีวัว 60 ตัว ที่ดินเพิ่มจาก 15 ไร่เป็น 85 ไร่ และรายรับเพิ่มขึ้นจากบำนาญชีวิตที่สร้างไว้ทั้งพืชและสัตว์ต่างแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อผาย มีเหลือกิน เหลือแจก และมีเหลือขาย เป็นรายได้เข้าครอบครัวอย่างต่อเนื่อง
2. สิ่งแวดล้อมดีขึ้น กล่าวคือ มีความหลากหลาย พร้อมด้วยสิ่งมีชีวิตนับพันชนิด มีดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ มีน้ำเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้น 6 บ่อจุน้ำได้ 14,000 คิว มีต้นไม้ยืนต้นทั้งผัก ผลไม้ และไม้ใช้สอยกว่า 60 ชนิดนับได้พันกว่าต้น และที่สำคัญมีผักสดๆ กิน ปลอดมลพิษจากยาฆ่าหญ้าและยาฆ่าแมลง
3. สุขภาพดีขึ้น กล่าวคือ กินได้ นอนหลับ ไม่มีหนี้ มีสมุนไพรเป็นทั้งอาหารและยา ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และด้วยวัย 71 ปี ไม่ได้เข้านอนในโรงพยาบาลมามากกว่า 9 ปี
4. ปัญญาดีขึ้น โดยสามารถคิดจนรู้เท่าทัน เรียนรู้ทุกวัน จนพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองได้
5. สังคมดีขึ้น กล่าวคือมีเพื่อนมาก รู้จักคนมาก และคนรู้จักพ่อผายมาก อย่างน้อยมีเครือข่ายกว่า 200 หมู่บ้าน ใน 7 จังหวัด ที่ยังติดต่อไปมาหาสู่กันกว่า 3,000 คน
โรงเรียนชุมชนอีสาน
สิ่งดีๆ ที่เกิดกับพ่อผาย และเครือข่ายในการใช้หลักธรรมะของการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง ผนวกกับหัวใจของความเป็นครู ทำให้พ่อผายร่วมมือกับครูบาคำเดื่อง และครูบาสุทธินันท์ ตั้งโรงเรียนชุมชนอีสานขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้การสนับสนุนของศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก จากสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนาอีสาน เพื่อขยายความคิดและรูปธรรมออกไปอย่างเป็นระบบ เป็นการเปิดโอกาสให้เครือข่ายโดยรอบมาเรียนรู้จากครูบาทั้งสามท่าน พาคิดพาทำจนรู้ เข้าใจ และแตกฉาน สามารถนำชีวิตออกจากวิกฤตได้ในทุกด้านอย่างรวดเร็ว
จากโรงเรียนชุมชนอีสานสู่ วปอ.ภาคประชาชน เพื่อสร้างเครือข่ายพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง 1 ล้านครอบครัว เจริญตามรอยพระยุคลบาท เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ปี 2542 ปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสานได้มาประชุมสัญจรกันต่อเนื่องทุกเดือนไปตามศูนย์เรียนรู้ของปราชญ์ชาวบ้านภาคอีสาน ทำให้เห็นภารกิจร่วมกันว่าต้องขยายเครือข่ายออกไปอย่างกว้างขวางเพื่อแก้วิกฤตของชาติให้ได้ จึงได้วางหลักสูตรวิทยากรกระบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่การพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง หรือเรียกย่อๆ ว่า วปอ.ภาคประชาชน โดยอาศัยผู้นำชุมชนและนักพัฒนาที่สนใจมาเข้าหลักสูตร ฝึกวิธีคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รู้จักตนเอง ผู้อื่น รู้จักการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง พร้อมไปศึกษาดูงานตามสถานีของปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อกลับมาขยายเครือข่ายอย่างกว้างขวาง เป้าหมาย 1 ล้านครอบครัวใน 18 ปีข้างหน้า พร้อมด้วยเด็กรักถิ่น 1 ล้านคน เพื่อสืบทอดพลังของแผ่นดินดังกล่าว และแน่นอนสิ่งเหล่านี้คือความใฝ่ฝันอันสูงสุด และเป็นความภูมิใจสูงสุดในความเป็นคนดีศรีสังคมของแผ่นดินไทย นอกเหนือจากโล่ห์รางวัลมากมายที่สังคมมอบให้
จุดเด่นของศูนย์เรียนรู้ของพ่อผาย สร้อยสระกลาง
1. เป็นศูนย์เรียนรู้ที่เน้นการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง
2. มีการจัดการด้าน การขยายเครือข่ายอย่างชัดเจน ทั้งในระดับกลุ่ม หมู่บ้าน อำเภอ และจังหวัด
3. มีการจัดการสร้างเด็กรักถิ่นมาสืบทอด
4. มีการจัดการด้านกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนออมน้ำ กองทุนวัวควาย กองทุนวัฒนธรรม เป็นต้น
5. มีการพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ๆ อย่างเป็นระบบ
ปรัชญาของเจ้าของบ้าน
อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ แปลว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
หลักสูตรดูงาน
1. ดูงานเฉพาะของพ่อผาย สร้อยสระกลาง ใช้เวลา 3-6 ชั่วโมง
2. ดูงานกลุ่มเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านใช้เวลา 3-5 วัน
ศูนย์เรียนรู้ของพ่อผาย สร้อยสระกลาง
มีผู้มาศึกษาดูงานเป็นจำเดือนละ 10-30 คณะ โดยปี 2542 มีผู้มาศึกษาดูงาน 10,000 คนเศษ รูปแบบการขยายเครือข่ายสู่การพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง มีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ต่อเนื่องไปถึงลูกหลาน เป็นประโยชน์อย่างมากต่อเกษตรกรที่สนใจรวมทั้งนักพัฒนาทั้งภาครัฐและองค์กรเอกชนที่สนใจ พาชาวบ้านเรียนรู้ตามแนวทางพระราชดำริ
กลุ่มต่างๆ ที่น่าจะได้มาศึกษาดูงาน ได้แก่
1. เกษตรกรที่สนใจทั้งชายและหญิง
2. เด็กและเยาวชน
3. ข้าราชการที่สนใจทฤษฎีใหม่
มูลนิธิพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตดี จังหวัดขอนแก่น
ที่มา: http://www.rakbankerd.com/01_jam/thaiinfor/country_info/index.html?topic_id=2818&db_file=
จากคุณ |
:
pooktoon
|
เขียนเมื่อ |
:
29 พ.ค. 53 01:27:41
|
|
|
|
 |