ความคิดเห็นที่ 1 ร่างกายจะใช้พลังงานในรูปคาร์โบไฮเดรต ก่อนพลังงานจากไขมันที่สะสมไว้ครับ ดังนั้น ถ้าเราใช้พลังงานวันละ 2000 Cal (kcal) แต่เรากินแค่ 1800 Cal ก็จะเกิดอาการหิวโหย น้ำตาลไปเลี้ยงสมอง กล้ามเนื้อไม่พอ ทุรนทุราย ต้องหาอะไรมากินอยู่ดี ตรงนี้แหละทำให้การลดน้ำหนักโดยไม่ออกกำลังกาย ยากมากครับ จากคุณ : หม่องวิน มอไซ เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 12:41:34

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ ยาก ก็ ไม่มีคนอ้วนบนโลกนี้ โดยเฉพาะ ผม เชอะ!!แต่ไม่แคร์ เพราะน้องโบว์ น้องจ๊อยส์ บอกผมทุกวันว่า อ้วนทำไมจะดูไม่หล่อ แก้คำผิด นี้ไงเพ้ออีกแล้ว อารมณ์เพ้อๆ!! ของคนกินน้ำตาลเยอะ แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 53 12:44:19 จากคุณ : blue_nova เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 12:43:42

ความคิดเห็นที่ 3 มันยากเพราะร่างกาย ต่อต้านครับ สมมุติว่าถ้าเราอดอาหาร ร่างกายจะเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารครับ ทำให้กินเท่าเดิม แต่ดันได้พลังงานมากขึ้น แถมพอร่างกายขาดสารอาหาร ร่างกายก็จะเรียกร้องให้ตุนใขมันเพิ่มสำหรับการอดอาหารครั้งต่อไป เพราะร่างกายดันไปเข้าใจว่า การอดอาหารคือการที่อาหารหายาก อยู่ในภาวะขาดแคลน ต้องรีบกีนไว้ ตุนไว้ เพราะจะได้มีพลังานสำรอง แถมไอพวกเซลใขมันนี่นะครับ พอมันเพิ่มแล้ว จำนวนเซลมันจะไม่ลดลงนะครับ มันแค่เล็กลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เคยมีประโยชน์กับชีวิต ตอนที่คนยังอยู่ในป่าครับ แต่ปัจจุบัน มันไม่จำเป็น จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 12:44:06

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้ามันทำง่ายยังงั้น ไอเด็กคนนี้มันคงไม่เป็นแบบนี้หลอกครับ จากคุณ : หมวดดิว เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 12:44:26

ความคิดเห็นที่ 5 อย่าปล่อยให้ตัวเองหิว กินให้ครบทุกมื้อ ตอนเช้ากินหนักได้ ที่เหลือกินของแคลอรีน้อยๆ หลอกร่างกายมันไปเรื่อยๆ ได้ผลนะ ถ้าหิวน้ำตาลมากนัก เอากล้วยหอมแช่เย็นราดนมไขมันต่ำและถั่วลิสงกรอบๆ อร่อยชื่นใจ~~~ ป.ล. อาทิตย์หนึ่งตามใจปากสักมื้อ แค่นี้พอแล้ว จากคุณ : Pride เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 12:53:47

ความคิดเห็นที่ 6 กินมื้อย่อยๆ 6 มื้อ ก็ลดครับ ต้องย่อยจริงๆนะครับอย่าหลอกตัวเอง 555 ผมทำอย่างนี้ลดครับ แต่ก็ลดได้ระยะนึงต้องออกกำลังกายอยู่ดี จากคุณ : รอยหยัก เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 13:16:23

ความคิดเห็นที่ 7 สงสัยของคห.3อ่ะค่ะ ... สมมติว่าถ้าเราอดอาหาร ร่างกายจะเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารครับ ทำให้กินเท่าเดิม แต่ดันได้พลังงานมากขึ้น ... ที่เรียนมาตอนประถม บอกว่า คาร์โบไฮเดรต 4Cal ไขมัน 9Cal ฯลฯ หมายความว่า ตามจริงแล้ว ร่ายกายเรา ประสิทธิภาพการให้พลังงานไม่ครบ100%ใช่ไหมคะ คือ กินคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม อาจจะได้แค่ 3 Cal อย่างนี้รึเปล่าคะ รบกวนกลับมาตอบให้ด้วยค่ะ -- หรือใครก็ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ ^^ จากคุณ : ไข่เจียวต้นหอม เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 13:17:35

ความคิดเห็นที่ 8 เค้ายังไม่รวมพลังงานที่ร่างกาย ที่ใช้ในการ ย่อยเพื่อให้ได้พลังงาน หรือเปล่าครับ จากคุณ : [Zero] เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 13:27:22

ความคิดเห็นที่ 9 ผมเคยลองลด ลดได้จริงนะ แต่โคตรทรมาน กินแป้งน้อยแล้วมันจะโหยมาก ๆ หวิว ๆ เหมือนจะเป็นลม แถมยังต้องออกกำลังกายร่วมด้วย แต่ก็ลดได้จริง ตอนที่ลด เคยคำนวณของที่กินคร่าว ๆ ว่าน่าจะแค่ 1200-1500 ต่อวัน และออกกำลังกายิีก ครึ่งชั่วโมงวันเว้นวัน เดือนเดียวหายไปหลายโลอยู่ จากคุณ : [Zero] เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 13:36:31

ความคิดเห็นที่ 10   ถ้าอธิบายด้วยกฎทรงมวลของสสาร ก็ต้องขับถ่ายให้มากกว่าที่ทานเข้าไปครับ :P จากคุณ : หนุ่มสอนราม (หนุ่มสอนราม) เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 13:37:53

ความคิดเห็นที่ 12 ใช้พลังงานให้มากกว่าที่รับพลังงาน น่าจะทำง่ายกว่านะครับ จากคุณ : Sawakato เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 14:17:11

ความคิดเห็นที่ 13 ต้องลดที่นิสัยไม่ใช่ร่างกายเอาแค่เดือนล่ะโลก็พอแล้ว ส่วนตัวผมคิดว่า คนที่กินยังไงก็ยังไม่อ้วนสักที ก็เหมือลูกโปร่งใส่น้ำคือถ้าน้ำ(ไขมัน)ยังไม่เต็มพื้นที่ภายในลูกโปร่ง มันก็ยังไม่บวม(อ้วน) แต่ถ้าเต็มเมื่อไหร่ใส่เท่าไหร่มันก็บวมออกมาเท่านั้น จากคุณ : ART Shotgun เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 14:21:40

ความคิดเห็นที่ 14 เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ถึงได้ลดยากไง หลักๆเลยคือการทำความเข้าใจหลักการทำงานของร่างกายครับ ผมจะสรุปคร่าวๆ ถ้าตรงไหนผิด ผู้รู้แย้งได้เลยนะครับ เพราะงานวิจัยเรื่องนี้มันออกมาถี่มากๆ วิธีการลดความอ้วนให้ได้ผลเร็ว 1. ออกกำลังกาย สิ่งที่คนลดความอ้วนหลีกเลี่ยงทั้งๆที่ได้ผลเร็วที่สุดและประหยัดที่สุด โดยถ้าเน้นที่การเผาผลาญไขมัน ให้ออกกำลังกายแบบคาดิโอ หรือแอโรบิค คือการออกแรงต่อเนื่องโดยที่หายใจต่อเนื่องได้ด้วย ตั้งแต่การทำงานบ้าน ไปถึง การวิ่ง การขี่จักรยาน การเต้นแอโรบิค หรืออื่นๆ ที่หายใจเอาอ๊อกซิเจนไปได้ อย่างต่อเนื่อง 2.สร้างกล้ามเนื้อ การออกแรงสร้างกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน จะทำให้กล้ามเนื้อมี มากขึ้น ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าจะกล้ามโต ไม่สวย ที่จริงไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้ แค่ให้พอมีกล้ามเนื้อบ้าง ร่างกายจะเผาพลังงานตลอดวัน เพื่อรักษากล้ามเนื้อนั้นไว้ หรือพูดง่ายๆ ตรงไหนกล้ามเนื้อมากขึ้น ไขมันส่วนนั้นก็จะถูกเผาให้น้อยลง เพื่อรักษากล้ามเนื้อนั้น ส่วนการออกกำลังเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ จะใช้เวตเทรนนิ่ง หรือการออกแรงแบบกลั้นหายใจ เช่น วิดพื้น ลุกนั่ง ยกน้ำหนักหรือดัมเบล 3.กิน การกินเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ถ้าอยากหุ่นดี อย่าอดอาหาร แต่ควบคุมปริมาณ และสิ่งที่ทานเข้าไป ซึ่งถ้าไม่กิน การออกกำลังกายก็จะเปล่าประโยชน์ เพราะ ร่างกายไม่มีสารอาหารไปซ่อมและสร้างส่วนที่เสียหายไป เพราะฉะนั้นต้องกิน อาหารให้ครบ แต่อาจจะลดในส่วนของไขมัน และเพิ่มโปรตีนกับผักไปบ้าง **ถ้าคุณออกกำลังกายเหนื่อยๆแล้วไม่กิน ไปนอนเลย เท่ากับว่าคุณใช้กล้ามเนื้อ ไปโดยที่ไม่ได้สร้างเพิ่ม ผลที่ได้คือ กล้ามเนื้อหดลง แล้วพอตื่นมาตอนเช้า คุณก็ทนหิวไม่ไหว กินไปมากกว่าเดิม ร่างกายก็จะสะสมไขมันเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ ยิ่งออกกำลังกายยิ่งอ้วน เพราะฉะนั้น กินหลังจากออกกำลังกาย(ก่อนนอน)ด้วย 4.นอน เวลานอน ร่างกายเราจะทำการซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ใช้ไป รวมทั้งสร้าง กล้ามเนื้อใหม่ขึ้นมาเพื่อรองรับการใช้งานมากขึ้น(จากที่เราใช้ในการออกกำลัง) ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้พลังงานมาก ซึ่งสิ่งสำคัญในกระบวนการนี้คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน ซึ่งหมายความว่า ระหว่างที่คุณนอน จะเกิดกระบวน การ Fat Burn ที่ยาวนานที่สุดใน 1 วันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าคุณนอนได้ 8 ชม. ร่างกายจะเผาไขมันต่อเนื่องราว 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น อย่าอดนอน ถ้าพอเข้าใจหลักการทำงานของร่างกายคร่าวๆแล้ว ก็ลองจัดผังชีวิตใหม่ดู กินน้ำมากๆ ออกกำลังกาย กินอาหารให้เหมาะสม นอนให้เพียงพอ แต่ละคนก็ แตกต่างกันไปอีก ลองดูนะครับ อ่อ เรื่องออกกำลังกาย สำหรับคนที่อ้วน จะรู้สึก ท้อ เพราะเหนื่อยมาก ผมแนะนำให้ค่อยๆเป็นค่อยไปครับ เพราะร่างกายรับภาระ หนักกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าเข้าใจร่างกายแล้ว เราจะทำได้เอง และสนุกด้วย จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 14:25:00

ความคิดเห็นที่ 15 ตาม 14 เป๊ะ จากคุณ : zars เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 14:38:43

ความคิดเห็นที่ 16 เพิ่มอีกหน่อย เอาแบบเป็นสูตร จะได้เข้าใจง่ายๆ - ที่บอกว่าให้กอนอาหารหลังจากออกกำลังกาย หมายถึง เมื่อหายเหนื่อยก็กินได้ แต่อย่ากินก่อนนอน 3 ชม. - ดูเป้าหมายตัวเองจริงว่าต้องการลดน้ำหนัก หรือลดความอ้วน มันคนละอย่างกัน ถึงแม้จะอิงๆกันอยู่ก็เถอะ แต่ถ้าเอาน้ำหนักเป็นตัวชี้วัดอย่างเดียว จากที่มาถูกทาง อาจจะกลายเป็นผิดไปได้อีก เพราะการออกกำลังหายทำให้กล้ามเนื้อมากขึ้น ซึ่งกล้ามเนื้อหนักกว่าไขมัน ถ้าจะลดอ้วน วัดที่รอบเอว - การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ให้ต่อเนื่องเกิน 20 นาที (ทางที่ดีควรเกิน 30) อย่างน้อยที่สุด เดินเร็วก็ยังดี เพราะช่วงแรกจะเป็นการเผาคาร์โบไฮเดรต เมื่อ ออกกำลังไปได้สักระยะ หัวใจเริ่มเต้นเร็ว หายใจถี่ขึ้น คาร์โบไฮเดรตเผาแล้วยัง ให้พลังงานไม่พอ ร่างกายก็จะเอาไขมันมาเผา ซึ่งนี่แหละที่ต้องการ - ท้องเราป่องเพราะไขมันอยู่ที่อวัยวะภายในด้วย ไม่ใช่แค่หน้าท้องอย่างเดียว จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 14:38:56

ความคิดเห็นที่ 17 เวลากินข้าวน้อยแล้วหิว เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ-->ส่งสัญญาณไปสมองว่าน้ำตาลต่ำ-->สมองสั่งการให้อยากอาหารเพื่อเพิ่มระดับน้ำตาล ผลคือ หิว แหล่งพลังงานแรกสุดที่ร่างกายจะใช้ คือ น้ำตาลในเลือด(ได้จากการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตจากลำไส้) แหล่งพลังงานต่อมาคือ ไกลโคเจน ตับจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกรณีน้ำตาลที่ดูดซึมมีใช้ไม่พอ แหล่งถัดมาถ้าไม่พออีกจึงเป็น ไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งจะถูกนำไปที่ตับและเปลี่ยนเป็นน้ำตาล แล้วค่อยนำไปใช้อีกที(ซึ่งมี by product ที่อันตรายคือคีโตน ร่างกายไม่ชอบ จึงเก็บไว้ใช้หลังๆ) แหล่งสุดท้ายคือโปรตีน ซึ่งร่างกายไม่ชอบใช้เช่นกันเนื่องจากมี by product เป็นแอมโมเนีย เป็นอันตรายต้องกำจัดออกทางไต ส่วนการออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะใช้ไกลโคเจนส่วนตัว(ที่เก็บไว้ในกล้ามเนื้อเอง)กับน้ำตาลในเลือด ถ้ายังไม่พอจึงกระตุ้นให้หิว ถ้ายังไม่กินอะไรเข้าไป จึงดึงพลังงานจากไขมันมาใช้ กล้ามเนื้อที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากมีการขยายตัวของเซลล์และเก็บสะสมไกลโคเจนมากขึ้น ไม่ได้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์แต่อย่างใด จากคุณ : พ่อแมวอ้วน เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 16:12:22

ความคิดเห็นที่ 18 แหงบๆ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 16:15:40

ความคิดเห็นที่ 19 เฮ้ๆ แบ่ง Give ไปให้คุณพ่อแมวอ้วนบ้างสิ วิทยาศาสตร์แท้ๆเลยนะนั่น จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 23:29:47

ความคิดเห็นที่ 20   คุณสมบัติดี อธิบายได้ยอดเยียมมากครับ ในข้อ 2. และ 4. ผมเพิ่งทราบว่าเป็นอย่างนั้นเอง และผมขอยืนยันอย่าง 100% ว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิคนั้นดีที่สุด ไม่ต้องอะไรเลย แค่ "เดินเร็ว" เป็นเวลา 30 นาที ให้ร่างกายจะร้อนผ่าว และต่อด้วยวิ่งช้า ๆ ให้หัวใจเต้นเร็วสักหน่อย นาน 20 นาที ,,พอแล้วครับ หรือใครจะเสริมเล่น weight ต่ออีกก็จะเยี่ยมเลย อ้อ อีกอย่างนึงนะครับ ,,เมื่อท่านเริ่มออกกำลังกายไปได้สัก 1 สัปดาห์ติดต่อกัน ท่านจะพบความมหัศจรรย์ว่า เมื่อถึงเวลา ร่างกายจะเรียกร้องให้เราทำครับ และเมื่อทำก็จะสดชื่น และสดใสมาก ๆ ,,กลางคืนก็จะนอนหลับสบาย สุขภาพจะดีขึ้น อย่างผมเอง เมื่อก่อนเคยมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ และชีพจรปกติสูง พอออกกำลังกายแบบนี้ได้เพียง 3 เดือน ,,หมอบอกว่าหัวใจเต้นช้าลงอย่างน่าพอใจมาก และอาการเต้นผิดจังหวะหายไป ไม้โผล่มาอีกเลย จากคุณ : James Cook เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 53 23:44:33

ความคิดเห็นที่ 21 แล้วเล่นแบตมินตัน ซักชั่วโมงทุกวันนี่ได้ผมมั้ยครับ พอดีพุงใหญ่มาก *-* จากคุณ : artsmart เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 07:52:43

ความคิดเห็นที่ 23 #20 ใช่แล้วครับ การออกกำลังกายเหมือนกับการเริ่มต้นอะไรหลายๆอย่าง ที่ยาก มากที่สุดตอน 7 วันแรกนี่แหละ พอเข้าที่แล้วก็อยู่ตัว ร่างกายจะดีขึ้นเรื่อยๆ ___________________________________________________________ #21 การเล่นแบตเป็นการออกกำลังกายผสมระหว่างแอโรบิคและอนาโรบิคครับ ก็จะทำการเผาผลาญไขมันและสร้างกล้ามเนื้อไปด้วย แถมยังสนุกกว่าการออกกำลัง แบบทั่วๆไปซะอีก ซึ่งนับว่าเป็นการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยมครับ แต่ว่าต้องระวัง ในเรื่องของการบาดเจ็บครับ ด้วยความที่กีฬามันบังคับให้เราต้องเคลื่อนไหว บ่อยครั้งที่เราจะเจอคนที่ฝืน เช่น ปวดหัวไหล่แต่ยังไหว ปวดเข่าแต่ยังสนุกอยู่ โดยเฉพาะคนที่น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน และร่างกายยังไม่ไม่พร้อมกับการ ออกกำลังกายหนักๆ จะเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย แล้วจะกลายเป็นว่าต้องพักอีก อีกอย่างนึง แบตมินตันจะทำให้กล้ามเนื้อ 2 ฝั่งไม่เท่ากันนะครับ แต่ถ้ารับได้ ก็โอเคครับ ไม่ค่อยมีคนสังเกตหรอก ^^ สิ่งสำคัญในการออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนคือ พยายามรู้ลิมิตตัวเองครับ ใครจะมาว่าอ่อนแอ เหนื่อยง่าย หรือใจเสาะ ไม่ต้องไปสนใจ ให้เวลาร่างกาย ได้ค่อยๆปรับตัวให้พร้อม แล้วมันจะสู้คนอื่นได้เอง ผมนับถือคนที่พยายามลดความอ้วนทุกท่าน โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายที่ สถานที่สาธารณะ เพราะนอกจากจะเหนื่อยมากกว่าคนอื่นแล้ว ยังต้องเข้มแข็ง ทนต่อสายตาหลายๆคนที่มองอยู่ด้วย ใครก็ตามที่อยู่ในสถานะนี้ ผมจะบอกว่า เกินครึ่งหนึ่งที่มองนั้น ชื่นชมครับ จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 10:40:48

ความคิดเห็นที่ 24 #20 "การออกกำลังกายแบบแอโรบิคนั้นดีที่สุด" ผมเห็นแย้งครับ เพราะการออกกำลังแบบแอโรบิคได้ผลแค่ตอนนั้น แต่การออกกำลังแบบอนาโรบิคเพื่อสร้างกล้ามเนื้อจะทำให้เห็นผลแม้เวลาที่ไม่ได้ทำการออกกำลังกายเนื่องจากมันเป็นการเพิ่มเซลล์ที่ใช้พลังงานมากกว่าเดิม อีกทั้งอนาโรบิคยังเพิ่ม basal metobolism ด้วย แต่การออกกำลังแบบอนาโรบิคก็มีข้อเสียเหมือนกันคือต้องใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะเพิ่มระดับ basal metabolism ให้สูงพอ (แต่ถ้าสูงพอละก็ทำตัวปกติก็ใช้พลังงานเพิ่มเท่ากับการแอโรบิคครึ่งชั่วโมงได้เลย) ดีที่สุดคือการทำอนาโรบิคกับแอโรบิคควบคู่กันครับ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 11:41:55

ความคิดเห็นที่ 25 #20,24 ผมมองว่าทั้ง 2 อย่างนั้นมีข้อดีของตัวเองที่เท่าเทียมกันครับ ที่คุณมอนตะทาโร่ บอกไว้ก็ถูกต้องครับ การสร้างกล้ามเนื้อจะเพิ่มการเผาผลาญในชีวิตปกติได้ด้วย แต่การออกแรงแบบแอโรบิคก็เพิ่มอัตราการรับอ๊อกซิเจนให้ร่างกายในระยะยาว ได้เช่นกันครับ ซึ่งก็เพิ่มการเผาผลาญระหว่างวันได้อีกทาง รวมถึงอวัยวะภายใน อย่าปอดและหัวใจยังได้เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น ข้อดีของทั้ง 2 แบบมันกินกันไม่ลงครับ อย่ากระนั้นเลย จัดมันทั้ง 2 แบบ นั่นแหละ 555+ จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 13:46:50

ความคิดเห็นที่ 26 ขอความรู้หน่อยครับ ผมไม่เข้าใจ ระหว่าง แอโรบิค กับ อนาโรบิค ช่วยอธิบายกับ ยกตัวอย่างให้ทีครับ ขอบคุณมากๆ ครับ จากคุณ : อ้วนดำล่ำเตี๊ยสิวเคอะ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 15:39:19

ความคิดเห็นที่ 27 แนะนำให้คุณอ้วนดำล่ำเตี๊ยสิวเคอะ ลงไปวิดพื้นสัก 2 ครับ ระหว่างที่เราดันตัวขึ้น จะกลั้นหายใจแป๊บนึง  นั่นคือ อนาโรบิคครับ การออกกำลังลักษณะนี้ก็จะเป็นพวก ซิตอัพ วิดพื้น ยกน้ำหนัก เล่นเรื่องเล่นที่มีน้ำหนักหรือแรงต้านครับ ส่วนแอโรบิค ก็เป็นการออกกำลังกายที่หายใจได้เรื่อยๆ เช่น วิ่งเหยาะๆ เต้นเบาๆ กระโดนเชือกเบาๆ ซึ่งการออกกำลังกายแบบนี้หายใจได้ตลอด ซึ่งถ้าจะออกกำลัง แบบนี้จะต้องอาศัยเวลานานหน่อยครับ ถึงจะได้ผล รายละเอียดเรื่องเหล่านี้เยอะมากครับ อย่างที่บอกว่าแต่ละคนก็แตกต่างกันไปอีก ซึ่งถ้าคร่าวๆก็พอจะปรึกษาผู้รู้ได้ แต่ลึกๆจริงๆอาจจะต้องถึงกับจ้างโค้ชส่วนตัว ไม่ก็ศึกษาด้วยตนเองครับ(ผมฝึกเองเป็นหลัก) จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 53 15:58:59

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณมากจ้า จากคุณ : แม่น้องอะตอม เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 53 08:32:36