ความคิดเห็นที่ 1 ประเด็นการดุลปริมาณน้ำเข้าออก ของเขื่อนภูมิพล ผมเก็บข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี สังเกตค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำเข้าออกนะครับ จริงๆตัวน้ำเข้า-ออก ส่วนการระเหยที่คนพูดกัน ถ้าเอา Heat – Mass transfer มาจับ ปริมาณการระเหยสูงสุดจะจำกัดแค่ปริมาณพลังงานเข้าจากแสงอาทิตย์ สมมุติแสงอาทิตย์ตกมาที่ 340 W/m2 พื้นที่ผิว อ่างเก็บน้ำภูมิพลแค่ 136 ตารางกิโลเมตร เราใช้ ดุลที่ Q = q.A = m.Hvap ตรงนี้ ปริมาณการระเหยตลอด 1 ปี จะอยู่แค่ 634,000 ลูกบากศ์เมตร ก็ 0.634 ล้าน ลบม ตรงนี้ต่างจากความต่างของน้ำเข้าที่ระดับ 2,000 ล้าน ลบม ไปมาก แม้จะคิดเรื่องการล้นฝาย ที่ปริมาณจุสูงสุด 13,460 ล้าน ลบม อัตราล้นเฉลี่ยก็อยู่แค่ 800 ล้าน ลบม/ปี ครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 16:53:14

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าเราลองประเมินการผ่านของน้ำผ่านดิน ตัวเลขจริงๆก็คือส่วนต่างน้ำเข้า – น้ำออก – น้ำระเหย ซึ่งน่าจะอยู่แถวๆ 1000-2000 ล้าน ลบม ต่อปีนั่นเอง ตัวเลขระดับน้ำใต้พื้นดิน จ ตาก ประเมินค่อนข้างยากทีเดียวเพราะมันแตกต่างตามฤดูกาลด้วย แตกต่างตามระยะจากเขื่อนด้วย และการไหลเข้าของน้ำจากต้นทางแหล่งต่างๆ ปรกติอัตราการซึมผ่านในการทำเขื่อน จะมีการเข้าโมเดลกันไว้ ก็คงต้องขอแรงพวกๆเรามาลองหาแกะดูกันเอง เพราะผมคงจะกลับไปลงเรื่องโมเดลภาวะโลกร้อนมากกว่า อัตราการสูญเสียน้ำผ่านการซึมหาย ตรงนี้มีปัจจัยหนึ่งที่ผู้ที่ต่อต้านเรื่องเขื่อนเคยให้ไว้ คือการมีอยู่ของพืชคลุมดิน ก็ป่าไม้นั่นเองละครับ การที่น้ำซึมผ่าน มันก็ต้องออกไประเหย และการระเหย จำกัดที่ปริมาณแสงอาทิตย์ต่อพื้นที่ การมีพืชคลุมดิน เช่นมีป่าอุดมสมบูรณ์ การหายของน้ำจากการระเหยในอาณาบริเวณน่าจะน้อยลง มันก็ดึงน้ำออกจากดินน้อยลง ไหนๆก็ไหนๆเรามาดูปริมาณน้ำท่าของเขื่อนใหญ่อื่นๆในประเทศเรากันดูนะครับเพราะปัญหาเรื่องแล้ง เราดู input, output และ Loss เรารู้ละว่า Loss มันส่งผลเยอะ แต่มันแค่เพราะหายไปเยอะ หรือน้ำเข้าน้อย หรือใช้กันเยอะแน่ ถ้าเราดูปริมาณการใช้น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ก็จะเห็นว่า ปี 2009 มีการใช้น้ำเพิ่มเป็น Peak ขนาดใหญ่ทีเดียว จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 16:55:48

ความคิดเห็นที่ 3 การใช้น้ำของปี 2009 ไม่ใช่การใช้น้ำแค่การเกษตรแต่เป็นการใช้น้ำเพื่อพลังงาน เขื่อนที่มีการปล่อยน้ำมากเป็นพิเศษในปีนั้นคือเขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นเขื่อนที่มีไว้แค่ผลิตกระแสไฟฟ้า ไม่ได้ทดน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร ดูตามข้างล่าง เราจะเห็นการใช้เฉพาะเขื่อนปากมูลมีการผลิตกระแสไฟฟ้าสูงมาก ปริมาณน้ำที่ปล่อยก็ 40,000 ล้าน ลบม ทีเดียว ปริมาณน้ำเข้าที่เห็นผิดปรกติในปี 2000 มันก็มาจากเขื่อนปากมูล ที่ทดระดับน้ำขึ้นมาจากแม่น้ำมูล ตรงนี้มันไม่ใช่ส่วนที่บอกถึงปริมาณน้ำฝนเลย จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 16:56:23

ความคิดเห็นที่ 4 สิ่งที่น่าสนใจของกรณีการที่น้ำเข้าน้ำออกถ้าตัดประเด็นของเขื่อนปากมูลออกไป เอาเข้าจริงๆปริมาณฝนไม่ได้แล้งอะไรเลย แต่ที่แน่ๆ การใช้น้ำของเรามันเข้าใกล้ ระดับปริมาณน้ำเข้า ร่วมกับการซึมหายจากก้นเขื่อน ครับ ผมให้เส้นไว้สองเส้น  - เส้นบนเป็นเฉลี่ยปริมาณน้ำเข้าซึ่งค่อนข้างคงที่  - เส้นล่างเป็นปริมาณการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นสะสมโดยเฉลี่ยประมาณ 500 ล้าน ลบม ต่อปี การเพิ่มขึ้นนี้อาจไม่ใช้แต่เฉพาะภาคการเกษตรแต่เป็นด้านภาคพลังงานด้วย โดยเฉพาะถ้าเราดูกรณีของเขื่อนปากมูลที่มีการปล่อยน้ำมากเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้ว จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 16:57:58

ความคิดเห็นที่ 5 ตรงสรุปสุดท้ายนี้ ผมอยากให้ทุกคนได้ลองกลับมาทบทวนการอ้างทุกสิ่งทุกอย่างว่ามาจากโลกร้อน หรือพูดเอาง่ายๆว่ามันแล้ง ฝนไม่ตกกันนะครับ น้ำ มีลักษณะเป็นทรัพยากร มันมีปริมาณการเข้าและออกจากระบบที่เรียกว่าประเทศไทยค่อนข้างคงที่ ถ้ามันแค่ตกไม่ลงเขื่อน ระดับน้ำก็น้อย แต่สำคัญยิ่งกว่าตกลงหรือไม่ลงเขื่อน ถ้าเราใช้เยอะขึ้น การสะสมเข้าทดแทนมันก็น้อยลง เกิดเป็นวิกฤตอย่างที่เราพบกันอยู่ อนุรักษ์ป่า ต้นน้ำสำคัญ อนุรักษ์ป่าปลายน้ำ กันการซึมและระเหยออกก็สำคัญ และ การควบคุมการใช้ให้น้อยกว่าที่มีเข้ามานั้นสำคัญที่สุด ฝนที่ตกลงในประเทศไทย อย่างไรก็มีอยู่คงที่แค่ 800 ลูกบากศ์กิโลเมตร คงเก็บไว้ได้ก็แค่ 150 ล้าน ลูกบากศ์กิโลเมตร ถ้าเราใช้เกินกว่านี้ เราก็ต้องไปเอาน้ำส่วน 650 ล้านลูกบากศ์กิโลเมตรมาใช้ แต่ท้ายสุดมันก็หมดอยู่ดีครับ ถ้าใช้กันเกินตัวต่อไปละก็ อ้างอิง ปริมาณน้ำท่า http://water.rid.go.th/flood/pics/pp.HTML http://tiwrm.haii.or.th/DATA/REPORT/php/egat_dam.php http://water.rid.go.th/flood/flood/res_table/05052008/p1.JPG ทฤษฏีที่เกี่ยวกับการซึมหายของน้ำ http://en.wikipedia.org/wiki/Darcy's_law http://www.soilvision.com/downloads/docs/pdf/research/geonewssvdec02.pdf http://www.soilvision.com/downloads/docs/pdf/research/G11%20471.pdf http://en.wikipedia.org/wiki/Hydraulic_conductivity http://www.engineeringtoolbox.com/water-dynamic-kinematic-viscosity-d_596.html โมเดลการซึมหายของน้ำในเขื่อนคันจิ http://iahs.info/redbooks/a130/iahs_130_0221.pdf แก้ไขเมื่อ 13 มิ.ย. 53 17:01:39 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 17:00:58

ความคิดเห็นที่ 6 ที่เดือดร้อนกันมากก็คือเกษตรกร ปัญหาการเพาะปลูก น้ำมีไม่พอ ถ้ายังปลูก อีกก็มีแต่จะแย่ลงๆ จากคุณ : Practical x 2 เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 17:16:42

ความคิดเห็นที่ 7 ปีนี้แล้งจริงๆ เลยครับ แถวบ้านผม ชาวนาบางคนยังไม่ได้เพาะต้นกล้าเลยครับ ส่วนคนที่เพาะต้นกล้าได้ก่อนคนอื่น ก็ต้องสูบน้ำเข้านา อาจจะบ่อกักเก็บน้ำของตัวเอง หรือหนองน้ำสาธารณะ แล้งมากๆ จากคุณ : เซ็งอูฐ เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 17:44:57

ความคิดเห็นที่ 8 ฝนมาช้ามากปีนี้ ต่างจังหวัดยังคงแล้งกันต่อไป เขื่อนใหญ่ก็ไม่ปล่อยน้ำเนื่องจากน้ำน้อย  เกษตรกรทำนาปรังไม่ได้ แม้แต่นาปี ปีนี้ยังทำยากเล๊ยย จากคุณ : env42_tay เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 18:09:54

ความคิดเห็นที่ 9 ประเด็นนี้น่าสนใจครับ   ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อนเลยว่าความต้องการพลังงานเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำใหญ่ของประเทศลดลง   มันทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาเลยทีเดียวว่าโครงการเขื่อนที่จะกั้นแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้านั้น   มันจะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำหรือจะช่วยขยายวงปัญหาให้กว้างออกไปกันแน่ แต่ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ Darth Prin ก็คือ  ฤดูแล้งที่ผ่านมานั้นมีปริมาณฝนต่ำกว่าปรกติมาก   จริงอยู่ว่าหากมองกราฟน้ำท่าประจำปีกันแล้ว   ช่วงฤดูแล้งจะป็น recession limb ที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าช่วงฤดูฝนมาก   แต่ปีนี้มันน้อยมากผิดปรกติจริงๆ   ผมมีโอกาสได้ขึ้นไปถึงต้นน้ำหลายสายในภาคเหนือ   บางแห่งแห้งหายไปจนไม่เหลือความชื้นเลยก็มี   ความแห้งแล้งนี้เมื่อบวกกับระบบชลประทานราษฎร์ที่กักน้ำกันสุดชีวิตแทบจะตลอดทุกลำน้ำสาขาเพื่อใช้ในภาคเกษตรกรรม   มันเลยส่งผลโดยรวมถึงปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างหลักด้วย หลายคนบอกว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่มันจะต้องมีปีที่แล้งมากเป็นธรรมดา   บ้างก็บอกว่าเอลนิงโย่รอบนี้รุนแรง   แต่เมื่อมันกำลังจะเข้าเฟสลานิงย่า   ปีหน้าและปีต่อไปคงจะดีขึ้น   แล้วเราก็จะกลับมามีน้ำใช้อย่างสมบูรณ์พูนสุขอีก แต่ผมว่านี่เป็นสัญญาณเตือนที่น่ากลัว   เราน่าจะได้มีการวิเคราะห์กันว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศ   โดยเฉพาะระบบการผลิตภาคเกษตรกรรมมันเปราะบางต่อภาวะฝนแล้งแค่ไหน   ถ้าเกิดภาวะแห้งแล้งอย่างนี้ติดต่อกัน 2 - 3 ปี   เราจะยังมีข้าวพอกินไหม   จะมีกระแสไฟฟ้าพอใช้สำหรับให้ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวไหม   และจะถึงขั้นต้องปันส่วนน้ำประปาหรือเปล่า การปรับตัวอย่างที่คุณ Darth Prin พูดถึงคงอาศัยแค่การเชิญชวนให้เกิดจิตสำนึกไม่ได้      แต่จะต้องแก้โครงสร้างการบริหารจัดการน้ำพ่วงโยงกับภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมทั้งระบบ    น่าเสียดายที่ผมมองหน้านักการเมืองที่บริหารประเทศอยู่ตอนนี้แล้ว   คงไม่มีใครกล้าทำ จากคุณ : Tanis เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 18:14:32

ความคิดเห็นที่ 10 และยิ่งเพราะปัญหาน้ำขาดจะมาจากปัญหาปีก่อนเสมอ ปัญหาก็จะยิ่งทับถมทวีตามเวลาที่ผ่านไป อย่างของ comment ของ Practical x 2 ยิ่งปลูกก็ยิ่งเจ๊งยิ่งน้ำขาด หรือกลัวน้ำขาดก็เลยชิงปลูกก่อนใช้น้ำก่อน ตาม Comment เซ็งอูฐ ก็ยิ่งพากันลงเหว เขื่อนตอนนี้ปล่อยน้ำไปก็ต้องระวังขาดใจตายกัน ระดับน้ำสำรองในเขื่อนใหญ่ๆ Survey มาอยู่ที่ระดับ 30% เฉลี่ย ถ้าปีนี้ ฝนเท่าปีที่แล้ว ปีหน้าน้ำจะขอดก้นกันตั้งแต่เดือนเมษาทีเดียว เพิ่มเติมสำหรับ คห คุณ Tanis ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าปีนี้ฝนมาช้า แต่มันก็ไม่เฉพาะของปีนี้ ฝนมาช้าไม่จำเป็นต้องเกิดภาวะน้ำขาดถ้าการสำรองน้ำทำได้ในปีก่อน ภาวะภัยแล้งมันจะเป็น Cycle 2 ปี คือต้องมีการเก็บกักไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยในปีก่อน แล้วจึงเสริมต่อด้วยภาวะฝนล่ามาช้าครับ แก้ไขเมื่อ 13 มิ.ย. 53 18:26:47 จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 18:23:12

ความคิดเห็นที่ 11 (^^) จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 18:30:56

ความคิดเห็นที่ 12 เรียน จขกท. ซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่ของกระป๋ม ตอนผมได้เรียนวิชาไร่นากับอาจารย์ท่านหนึ่งที่ตัวสูงๆหน่อยที่ท่านเป็นวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษา อธป. ผมเห็นด้วยกับท่านอย่างยิ่งที่ว่า "น้ำเป็นทรัพยากรที่เปลี่ยนไปตามสถานะการณ์และปัจจัยของสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น การสร้างเขื่อนขึ้นมาหนึ่งตัวเราจะออกแบบภายใต้แนวคิดลักษณะหนึ่ง ปีไหนน้ำมาก จะมาขยายเขื่อนก็คงเป็นไปไม่ได้ ปีไหนน้ำน้อยจะลดขนาดเขื่อนก็คงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มนุษย์จะทำได้ก็คือต้องปรับตัวที่มนุษย์ก่อน ปรับที่การใช้น้ำของมนุษย์ก่อน หลายประเทศรวมทั้งยี่ปุ่นมีการปรับปรุงพันธุ์พืชเพื่อให้เหมาะสมกับที่มนุษย์สามารถนำไปเพาะปลูกเพื่อดำรงชีวิตได้ ประเทศยี่ปุ่นสามารถพันธุ์ข้าวและสามารถปลูกข้าวได้ไร่ละมากกว่า 220 ถัง แต่การเกษตรประเทศไทยก็ยังไปไม่ถึงไหน อาจารย์จึงคิดว่าภาคการเกษตรเองก็ควรจะมีปการปรับปรุงมากกว่านี้ ทุกวันนี้เหตุกรณ์ต่างๆได้พิสูจนืแล้วว่าจะพึ่งกรมชลประทานอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้แล้ว ภาคการเกษตรก็ต้องพึ่งตัวเองด้วย" จากคุณ : chekub เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 18:51:23

ความคิดเห็นที่ 13 " การควบคุมการใช้ให้น้อยกว่าที่มีเข้ามานั้นสำคัญ ที่สุด " เห็นด้วยครับ ทำอย่างไรจะเหมาะ ผมยังคง "อยาก" ให้มีการจำกัดปริมาณคน (ไม่เพิ่มไปมากกว่านี้) เพื่อแ้ก้ปัญหา เหมือนเดิม อิอิ อีกปัญหาหนึ่ง ที่ควรทำมากคือการวางผังเมือง ให้จริงจังซะที กำหนดให้ชัดพื้นที่ไหนอนุรักษ์ เป็นป่า เป็นตันน้ำ ส่วนไหนเป็นกันชน ห่างออกมาอีกเป็นแนวควบคุมสิ่งแวดล้อมอะไรก็ว่าไป แล้วก็บังคับใช้กฏหมายกันให้เต็มที่ ไม่ใช่สุดท้ายมั่วแบบ กทม ไม่ใช่มีรีสอท มีสนามกอร์ฟ ติด อช ได้ ฯลฯ จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 20:30:43

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาจำนวนประชากรที่มากเกินไปมั้งครับ แต่ก็ไม่เคยมีรัฐบาลไหนมาควบคุมประชากรนี่ครับยกเว้นในประเทศคอมมิวนิส  หรือ คอมมิวนิส จะเหมาะสมกับโลกสมัยใหม่ก็ไม่รู้นะ จากคุณ : cyberjuf (cyberjuf) เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 20:38:14

ความคิดเห็นที่ 15 ที่เหมาะๆสำหรับทำเขื่อนไม่ค่อยมีแล้วในประเทศไทย  ที่มีก็ทำได้ยาก ปล. ตอบ จขกท  ปีหน้าลานิญญ่า อาจจะมาหนักเลยเผลอจะลากไป 2-3 ปีด้วยซ้ำ จากคุณ : ~รักความรุนแรง~ เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 20:48:32

ความคิดเห็นที่ 16 1. ตกลงว่าเขื่อนปากมูลเนี่ย มันเป็นเขื่อนเก็บกักน้ำ (Storage Dam) หรือ เขื่อนทดน้ำ (Diversion Dam) กันแน่ 2. การบริหารน้ำในเขื่อนที่เรียกว่า Reservoir Operation Study (ROS) มีข้อมูลที่ทำกันในระดับไหน เท่าที่เห็นก็มักจะกะๆ กันหาที่ทำตามหลักเกณฑ์กันน้อยมาก โดยเฉพาะมีท่าน อธช. ท่านนึง ที่ชอบพูดว่า หัวหน้าโครงการว่าทำ Rule Curve หรือเปล่า ซึ่งในความเข้าใจผม Rule Curve เป็นเพียงแค่ Curve หนึ่งในหลายๆ Curve ของ ROS ที่อาจจะไม่เหมาะสมกับสถานการณ์น้ำในปีนั้นก็ได้ 3. เป็นเรื่องที่(น่า)ตลก(ไหมเนี่ย) ที่ กรมชลฯ ตั้งมา 108 ปี ใช้งบประมาณ ปีนึงปีนึงหลายหมื่นล้าน แต่พื้นที่ชลประทาน พูดกันมาว่า 22 ล้านไร่ เป็นสิบปี (พึ่งจะมาลดเมื่อสองสามปีมานี้เอง) เรามีแหล่งน้ำ ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ กระจายอยู่ทั่วประเทศไม่รู้เท่าไหร่ แล้วก็ศรัทธาวิศวกรผู้ออกแบบระบบ ซึ่งก็เป็นระดับอาวุโสและเป็นอาจารย์ผมก็หลายท่าน ว่าท่านออกแบบได้ถูกต้อง ไม่ต้องไปปรับปรุงอะไรมาก ผลก็คือ งบประมาณในการปรับปรุงระบบส่งน้ำ เพื่อให้สามารถส่งน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียน้ำ ปีนึงปีนึงได้กระจิ๊ดเดียว รวมกันทั่วประเทศ ยังอาจจะน้อยกว่าโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่โครงการนึงด้วยซ้ำ แล้วจะให้น้ำไปถึงเกษตรกรอย่างทั่วถึงได้อย่างไร 4. หน่วยงานรัฐ ไม่เคยมีการประสานงานกันในการทำ Intensive farm หรือ การเพิ่มสักยภาพในการผลิตในพื้นที่ให้สูงที่สุด ปล่อยให้ชาวบ้านเดาเอาเอง ว่าปีนี้พืชอย่างนี้ราคาดี ก็โหมปลูก (ข้าวปีนี้เป็นตัวอย่างที่ดี) พอผลผลิตออกมากราคาตก รัฐก็ประกันราคาอีก ผลก็คือ ปลูกมันมากๆ ไว้ก่อน เพิ่มพื้นที่เกษตร (ลดพื้นที่ป่า) ปลูกมากดูแลไม่ไหว ก็ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง เครื่องจักรการเกษตรที่ต้องใช้น้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนทั้งนั้น แล้วจะลดต้นทุนเพื่อไปแข่งกับประเทศอื่นได้ยังไง และข้อสุดท้าย ก็เราๆ ท่านๆ นี่แหละ พื้นที่เหมาะสมกับการเกษตรสามารถส่งน้ำได้ง่าย ก้เอามาทำที่อยู่อาศัยซะนี่ สมัยเด็กๆ ผมหนีโรงเรียนไปเล่นน้ำในบ่อน้ำข้างถนนที่เลยสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าบางมด ที่เป็นท้องนาสุดสายตา หรือไปบ้านญาติ แถวคลองหก ปทุมธานี แต่เดี๋ยวนี้แถวบางมด หานาซักงานยังไม่มีเลย บ้านจัดสรรก็รุกไปถึงคลองห้าแล้ว (แม่ผมมีที่ใกล้ๆ มอเตอร์เวย์ ตั้งสามสิบกว่าไร่แน่ะ) ทำให้ที่สำหรับการเกษตรก็ต้องรุกเข้าไป พร้อมกับทำลายแหล่งต้นน้ำ เสร็จแล้วเหล่าคนเมือง ก็มาโวยวาย แต่ จุ๊ๆ ไอ้ที่บอกว่าน้ำแห้งเขื่อนน่ะ เขื่อนการไฟฟ้า นะครับ ปีนี้ Ft คงขึ้นอีกแหงๆ จากคุณ : Waterman (LN106) เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 21:45:31

ความคิดเห็นที่ 17 ปากมูลนี่ทดน้ำเพื่อการไฟฟ้าอย่างเดียว ไม่ได้มีการใช้เพื่อการชลประทาน ผมไล่ดูตัวเลขตอนแรกยังนึกว่าบรรลัยแล้ว NGO บังคับเปิดเขื่อนหรืออย่างไรน้ำจึงหมด คุ้ยไปคุ้ยมามันใช้แค่ผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว ก็คือเป็นเขื่อนทดน้ำ ที่ว่าน้ำแห้งเขื่อนนี่ไม่ใช่เขื่อนการไฟฟ้าอย่างเดียว มันมีการใช้งานทั้งสองอย่าง แต่ผมก็สงสัยอยู่ละว่า ตัวเลขการใช้ มันรวม ผลิตกระแสไฟฟ้าและผันน้ำเพื่อภาคการเกษตรอยู่ ก็เลยมองไม่เห็นว่าผันน้ำแบบผันทิ้งเพื่อไฟฟ้าอย่างเดียวจะมีสัดส่วนเท่าไร เรื่องนี้ถ้าขุดก็คงเป็นเรื่องยาวได้ทีเดียว เรื่องคุมประชากร กับการทำงานของภาครัฐ อย่าว่างั้นงี้เลย กระทู้นี้ถ้าหากไม่ใช่เพราะโพสในหว้ากอ ผมอาจปรับเนื้อหาลงการเมืองหนักกว่านี้ ด้วยซ้ำ การบริหารจัดการ แค่บอกว่าเป็นวิศวกรรม ก็รู้สึกตัวเอง แถๆอยู่ยังไงไม่รู้น่ะครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 53 22:32:47

ความคิดเห็นที่ 18 แอบกระซิบว่า มีรีสอร์ทและสนามกอล์ฟหนึ่งแถวเขาใหญ่ ผันน้ำจากคอลงชลประทาน เข้ารีสอร์ทตัวเองอย่างผิดกฏหมาย เจ้าของเป็นอดีต .... เชื่อว่าไม่ได้มีแบบนี้ที่เดียว ปัญหาพวกนี้ำทำไมไ่ม่แก้ไขกันนะ จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 53 10:37:54

ความคิดเห็นที่ 19 ผมเห็นด้วยกับ จขกท.ครับ น้ำเข้าไม่ต่างจากเดิม แต่ยอดการใช้นี่ซิ ไม่รู้ว่าการเกษตรใช้น้ำเยอะขึ้นเรื่อยๆ หรือเปล่า ??? หรือว่า ทำเกษตร มากกว่าเดิม(พื้นที่เดิมแต่ใช้ที่ดินทำการเกษตรโดยไม่พัก) จากคุณ : pinestand เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 53 21:08:09