ความคิดเห็นที่ 1 หึหึห ผมรู้หลักการผมก็ไม่บอกใครหรอก เสร็จ จะ ละ โลน...... แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 53 01:08:37 จากคุณ : SuperTee (itCrazy) เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 01:08:28

ความคิดเห็นที่ 2 ***     ในปัจจุบันนี้เรายังไม่มีหลักฐานหรือบันทึกที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนเลยนะครับว่า  ผู้คนสมัยโบราณสามารถเหาะเหิรเดินอากาศแลมีวิชาอาคมต่างๆ  เพราะการรับรู้เรื่องทำนองนี้มักจะตกทอดสืบทอดกันมาแบบปากต่อปากหรืออยู่ในเรื่องราวของนิทานพื้นบ้านไม่ก็วรรณกรรมมากกว่า  ดังนั้นเราจึงยังหาข้อพิสูจน์จากเรื่องราวในทำนองนี้ไม่ได้ครับ     คิดให้ง่ายขึ้นนะครับถ้าคนสมัยก่อนสามารถเหาะเหินได้จริง  เราก็คงจะไม่ต้องพึ่งพา ช้าง ม้า วัว กระบือ เกวียนในการเดินทางกันแล้ว  เพราะเวลาจะเดินทางหรือยกกองทัพไปไหนก็แค่เป่ามนต์เพี้ยง~เดียว  เสกกองทัพให้เป็นทหารติดปีกเหาะข้ามคูน้ำแลกำแพงเมืองของข้าศึกได้เลย  รถศึกเอย เครื่องยิงหินเอย ปืนใหญ่เอย ไม้กระทุ้งประตูเมือง เอยก็ไม่ต้องใช้กันแล้ว  จากนั้นเสกมนต์อีกหนึ่งเพี้ยงให้ทหารสามารถล่องหนได้แล้ววิ่งเอามีดไปจามหัวแม่ทัพนายกองของข้าศึกเพื่อเผด็จศึกแบบง่ายๆ       แลด้วยกองทัพติดปีกล่องหนแบบนี้น่าจะทำให้คนที่มีวิชาดังกล่าวสามารถสร้างกองกำลังเพื่อใช้ในการครอบครองโลกได้ไม่ยาก  แต่ทว่าทำไมในยุคปัจจุบัน  ผมจึงยังไม่เคยได้ยินประวัติศาสตร์ของชนชาติไหนก็ตามในโลกนี้บันทึกเรื่องกองทัพติดปีกหรือล่องหนไว้เลยล่ะครับ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 02:15:12

ความคิดเห็นที่ 3 โดยส่วนตัวแล้ว "เจไดหนุ่ม" คิดว่าเวทมนตร์วิเศษสำหรับคนไทยในสมัยก่อนก็คือ "วิทยาศาสตร์" นี่แหละครับ  เพราะวิทยาศาสตร์มิใช่หรือชาวไทยจึงได้รู้จักถึงพลานุภาพของ "ปืนไฟ" แล "ปืนใหญ่" ว่าร้ายกาจกว่าคันศรแลลูกธนูเพียงใด  เพราะวิทยาศาสตร์มิใช่หรือเราจึงได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการพิมพ์ การถ่ายภาพ การไฟฟ้า การประปา การบิน การรถไฟ การเดินเรือ แลระบบอุตสาหกรรม  จนเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับบรรดาประเทศต่างๆ (May the Spoil be with you) ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน จากคุณ : เจไดหนุ่ม เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 02:24:06

ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่านะ ทุกวันนี้เราอยู่ได้กับวิทยาศาสทั้งหมดเลย ลองดูเครื่องใช้อำนวยความสะดวกทั้งหลาย ที่ใกล้ตัวเรา แล้วเราต้องยอมรับกับความเป็นจริงว่าเราขาดมันไม่ได้ แต่ถ้าเราขาดไสยศาส เราอยู่ในโลกนี้ได้สบาย....... จากคุณ : เอียงซ้าย เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 02:41:25

ความคิดเห็นที่ 5 อาจจะเพราะ เพราะบุคคลที่สืบทอดวิชาเหล่านี้ไม่มีการถ่ายทอดเป็นหนังสือไว้ ซึ่งโซนแถบบ้านเราไม่ค่อยนิยมการบันทึกหนังสือสอนซํกเท่าไร เพราะเป็นความรู้ของสำนักใครสำนักมันกลัวว่าจะมีการเอาไป ทำให้การสืบทอด รุ่นต่อรุ่นต้องพบกับปัจจัยที่ว่าผู้เรียนไม่เก่งเท่าอาจารย์ ทำให้วิชาหายไปบางส่วน หรือผู้เรียนเก่งมาก แต่อาจารย์มีขีดจำกัดในการสอน แล้วผู้เรียนไม่สามารถค้นคว้าเพิ่มเิติมได ไม่มีการบันทึกองค์ความรู้ดั้งเดิมไว้ เพื่อที่รุ่นหลังสามารถต่อยอดได้โดยไม่ต้องลองผิดลองถูกแบบเดียวกับวิทยาศาสตร์ ดังนั้นความก้าวหน้าทางแขนงไสยศาสตร์นั้นจึงได้แต่เสื่อมถอยจนถึงขั้นสูญหาย ส่วนที่ว่าทำไมไม่ศึกษาต่อ  ผมว่าคนที่สนใจเรื่องนี้ในโลกใบนี้เยอะนะ แต่ไม่มีใครที่ทดลองแล้วประสพความสำเร็จเลยยังไม่มีการประกาศล่ะมั้ง จากคุณ : garun studio เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 03:32:53

ความคิดเห็นที่ 6 อาจเป็นเพราะปัจจัยหลายๆอย่าง ที่ในอดีตและปัจจุบันต่างกัน แต่เราก็ไม่มีหลักฐานว่าทำได้จริง(แอะ หรือว่ามีกัน) ส่วนตัวเชื่่อว่าสมัยก่อนน่าจะได้จริงนะเรื่องแบบถอดจิตไปพบกัน อะไรประมาณนี่ แต่คงต้องเป็นคนที่ฝึกตนมาก บำเพ็ญเพียรถึงขั้นสูง ซึ่งสมัยนี่ไม่น่าจะมี แล้วก็เรื่องแบบเล่นของน่ะ น่าเชื่อว่าเคยมีและอาจยังมีอยู่แต่ได้หายไปซึ่งสมัยก่อนมีมาก หรือประเทศเพื่อนบ้านเรายังมีอยู่ เค้าใช้ศาสตร์อะไรกัน เรื่องเหลือเชื่อที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูทธไม่ได้(ตอนนี่)หรือตลอดไป ขอโทษที่นอกเรื่องมาซะไกล แบบอยากรู้ จากคุณ : หิ้งห้อยในแสงตะวัน เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 03:48:46

ความคิดเห็นที่ 7 เรื่องเหาะเหินเดินอากาศไม่รู้ แต่เรื่องเสกของนี่ไม่แน่ใจว่าคุณหมายถึงเสกอะไร เสกให้จากไม่มีเป็นมีขึ้นมา หรือว่า เสกของเพื่อทำพิีธีกรรมหรือวัตถุมงคลอะไรทำนองนี้ ถ้าเป็นอย่างหลัง ตามที่เข้าใจน่าจะ เป็นเรื่องของการใช้จิต โดยมีวัตถุเป็นสื่อกลาง ซึ่งวัตถุนั้นจะมีสิ่งเป็นตัวแปรหรือเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้ เช่น - ชื่อ ตัวอย่างเช่นการปลุกเสกชิ้นส่วนของต้นไม้ ที่มีชื่อเป็นมงคลต่างๆ - ส่วนประกอบของสัตว์ ที่มีลักษณะที่เชื่อว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้ เช่นเขียวหมูป่า เขี้ยวเสือ เชื่อว่าเป็นส่วนที่แข็งแกร่งและใช้ล่าเหยื่อ นำมาปลุกเสกทำเครื่องรางที่ให้ผลด้านคงกระพันชาตรี - สิ่งของ หรือส่วนประกอบของคน หรือศัตรู เช่น เส้นผม เสื้อผ้า ใช้เป็นสื่อกลางที่ผู้ประกอบพิธีกรรม จะสามารถส่งความ มุ่งร้าย มุ่งทำลาย ก็แล้วแต่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ผลแค่ไหนขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของผู้ประกอบพิธีกรรมว่า เชื่อมั่นเพียง มีความเข้มแข็ง หนักแน่น เพียงใด คือขณะที่ประกอบพิธีกรรมมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำให้เกิดผลนั้นๆ คนเราแม้ปกติแม้เพียงจะทำให้จิตใจอยู่กับสิ่งที่ทำ ณ จุดๆเดียว ซัก 5 นาทีก็ยังยาก เพราะมันจะเฉลียวใจคิดนั่นคิดนี่ ว่าอย่างนั้นดีไหม อย่างนี้ดีไหม เปลี่ยนรูปแบบเป็อย่างนี้ดีไหม ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่กับพวกนี้ คนที่ประกอบพิธี ไม่มีความว่อกแว่กเลย จึงไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ และ แต่ละคนที่ทำได้ก็ทำได้ไม่เหมือนกัน บางคนมีจิตเมตตาแรงกล้าและธรรมชาติเป็นเป็นคนที่อารมณ์เมตตาแจ่มใสอยู่ตลอด ก็เด่นในเรื่อง พิธีกรรม หรือวัตถุที่มุ่งสร้างความเป็นเสน่ห์ เมตตามหานิยม ส่วนคนที่มีจิตเข้มแข็ง นิ่งสงบ ก็จะไปทางปกป้องคุ้มกันอันตราย ตามความเข้าใจของผมก็ประมาณนี้มั้งครับ จากคุณ : dogedid เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 06:21:04

ความคิดเห็นที่ 8   ถ้ารู้หลักการ  ป่านฉะนี้คงมีสอนในมหาวิทยาลัยแล้วครับ  คงไม่มีรถยนต์ให้ใช้หรอก แต่จริงหรือที่คนสมัยก่อนเหาะเหินเดินอากาศได้    ได้ข่าวว่าจะรบกันที  เดินเท้าเป็นเดือนๆ จากคุณ : AIM-9X เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 06:23:13

ความคิดเห็นที่ 9   หากคนสมัยก่อน ทำได้แบบที่ จขกท ว่ามา ผมว่า "เขมร" น่าจะได้เป็นมหาอำนาจ โลกแล้วหล่ะ เห็นว่ามนต์ดำแรงกล้ามากมิใช่ ฤ ปัญหาคือ มันไม่เึคย มีจริง มันคือการคิดไปเอง จินตนาการไปเอง เพราะคนสมัยก่อนว่างงานมากกว่าคนสมัยนี้ ไม่มีอะไรทำ สมองเลยคิดไปเรื่อย ผมว่าการประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ เหาะเหินเิดินอากาศหรอก ผมว่า วิทยาศาสตร์ เนี่ยแหละทำให้โลกเจริญ และเป็น มหาอำนาจอย่างแท้จริง จากคุณ : จริงๆ เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 07:31:15 A:83.170.92.9 X: TicketID:272004

ความคิดเห็นที่ 10 มันมีซะเมื่อไหร่ล่ะ ฮ่วย จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 08:13:23

ความคิดเห็นที่ 11 จริงๆแล้วไม่อยากให้ไปคิดว่าจริงหรือไม่จริง เรื่องพวกนี้ผมว่ามันเป็นศิลปะนะ ถ้าศึกษาและสะสมในแง่นั้นผมว่าสนุกมากเลย ^^ ที่บ้านผมก็มีหนังสือ ที่เขียนด้วยลายมือทั้งเล่ม บางเล่มก็เป็นภาษาขอมทั้งเล่ม เก็บสะสมไว้เป็นปึ๊งๆ เลยตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ แล้วก็รุ่นผม แต่ตัวผมจะเน้นไปทางเครื่องรางของขลังมากกว่า มีเป็นตู้เลย จากคุณ : dogedid เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 09:17:26

ความคิดเห็นที่ 12   อืม จากคุณ : ผมเอง เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 09:20:16 A:183.89.207.118 X: TicketID:277035

ความคิดเห็นที่ 13 โลกเรามี นาโนเเมชชีน ล่องลอยอยู่ในอากาศมาตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต คนโบราณเข้าใจในภาษา(code)ของหุ่นจิ๋วพวกนั้น จึงออกคำสั่งเป็นภาษาหรือคาถาออกไปแบบภาษาคำสั่งคอมพิวเตอร์ เช่นท่อง "  นะ มะ ชะ "   แล้วทำให้ล่องหน เพราะหุ่นจิ๋วมาหักเหแสงออกไป หรือท่องว่า   "หาย ไว ไว นะ " หุ่นจิ๋วก็จะเข้าไปรักษาคนป่วยถึงในระดับเซล แต่ผลจากการใช้ความจำโดยไม่มีการบันทึกเป็นตัวอักษร จึงทำให้มันหายไปตามการเวลา และต่อให้จำcodeได้ ก็คงใช้งานไม่ได้เพราะเราอาจจะท่องเป็นแรพโย้ จึงทำให้นาโนแมชชีนเหล่านั้น ล่องลอยอยู่ในอากาศต่อไปโดยเฝ้ารอซึ่งการทำงานอีกครั้ง   หรือซักวันอาจจะมีคนท่องคำมั่วๆขึ้นมาได้ แล้วมันทำงานอีกครั้ง แถมดันเป็นคำสั่งทำความสะอาดโลกจากมดปลวกอย่างเรา งานนี้อาจมีเฮ เหมือนในหนัง  the day the earth stood still ก็ได้ ********** คงรู้นะว่า ผม เดา ล้วนๆ จากคุณ : katasaro เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 09:20:33

ความคิดเห็นที่ 14   ยังมีอะไรอีกมากที่เราไม่รู้ แต่มีอยู่จริง วิทยาศาสตร์ยังให้คำตอบได้จิ๊ดหนึ่ง ที่ว่ารู้ก็ยังไม่รู้จริงและปรับแก้อยู่ไปมา เมื่อก่อนกินไข่ว่าไม่ดี เดี๋ยวนี้ว่ากินได้ ไม่เป็นไร เมื่อก่อนดีดีทีว่าไม่ดี เดี๋ยวนี้ว่าไม่อันตราย เมื่่อก่อนว่าไดโนเสาร์เคลื่อนไหวช้า อืดอาด เดี๋ยวนี้ว่าเร็ว ไมโครเวฟ นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังเถียงกันว่าอันตรายหรือไม่ จากคุณ : 2010 เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 09:40:33 A:61.19.66.243 X: TicketID:259615

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องอย่างนี้ พูดกับคนที่ไม่เคย"ศึกษาและปฏิบัติ"ธรรมในพระพุทธศาสนา พูดให้ฟังไปก็เปล่าประโยชน์ครับ(เน้นนะครับว่าปฏิบัติ ไม่ใช่อ่านแล้วคิดเอาเองว่ารู้เรื่องอย่างโน้นอย่างนี้นะครับ) เพราะคนเราหลายๆคนมักคิดว่าอะไรที่ตนทำไม่ได้คนอื่นก็ต้องทำไม่ได้เช่นกัน คือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลไปแล้วก็สรุปไปว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นนิทานอย่างโน้นอย่างนี้ เอาง่ายๆแค่เรื่องฌาน เจโตปริยญาณ หรือ ญาณหยั่งรู้วาระจิตใจของผู้อื่นได้ ผมได้พบกับตัวมาแล้ว และก็ไม่ใช่แค่จิตวิทยาแบบที่อ้างกันครับ แต่อ่านแบบว่าเราคิดอย่างไร ก็ตอบมาอย่างนั้นได้เลย ซึ่งครูบาอาจารย์หลายๆท่านนั้นสามารถทำได้แต่ท่านไม่ทำให้คนภายนอกรู้ก็เท่านั้น เพราะพวกท่านไม่อยากให้ผู้คนมาศรัทธาพระพุทธศาสนาเพราะเรื่องฤทธิ์ พวกท่านต้องการให้คนมาศรัทธาพระพุทธศาสนาเพราะธรรมต่างหาก เรื่องฤทธิ์เรื่องฌาน เป็นของสำหรับผู้มีจิตใจและคุณธรรมสูงครับ หากปุถุชนคนธรรมดาผู้มีกิเลสหนาได้มาก็ได้ไม่นานครับ เพราะกิเลสจะเป็นตัวทำให้ของเหล่านี้เสื่อมลง ฉะนั้นหากคนที่เขาทำได้เขาเอาฌานเหล่านี้มาหาผลประโยชน์ส่วนตนแล้วไม่นานฌานเหล่านี้ก็จะเสื่อมลงไปครับ ฉะนั้นผู้ที่ได้ฌานจึงต้องฝึกฝนและขัดเกลาจิตใจตนเองตลอดครับ ซึ่งท่านเหล่านั้นจะรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำครับ เคยมีพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้าว่า พราหมณ์ถามว่า "ถ้าธรรมของพระพุทธเจ้าดีจริงเป็นของแท้จริง ทำไมคนทุกคนที่ได้ยินถึงได้ไม่บรรลุธรรมกันทุกคนเล่า?" พระพุทธเจ้าทรงถามกลับว่า "หากมีคนบอกทางให้ท่านไปถึงเมืองๆหนึ่งได้ แต่ท่านก็ไม่ได้ออกเดินทาง ท่านจะไปถึงเมืองๆนั้นหรือไม่" พราหมณ์บอกว่า "หากฟังอย่างเดียวคิดอย่างเดียวแต่ไม่ออกเดินทาง ก็ไม่มีทางไปถึงหรอก" พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า "ผู้ที่ไม่ออกเดินทางแม้ว่าจะฟังบรรยายเส้นทางเดินซักกี่รอบหากไม่ออกเดินทางแล้วก็ย่อมไปไม่ถึงที่หมายหรอก ธรรมมะของตถาคตก็เช่นเดียวกัน หากผู้ใดฟังแล้วไม่ได้ปฏิบัติตามก็ย่อมไม่ได้บรรลุมรรคผลเช่นกัน" ก็เหมือนกันนั่นล่ะครับ คนที่เคยแต่ได้อ่าน ได้ยิน หรือได้ฟัง อย่างเดียว จะไปรู้อะไรกับเรื่องเหล่านี้ล่ะครับถ้าหากไม่ปฏิบัติ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่วิทยาศาสตร์จะเข้าใจได้ครับ ปลาที่อยู่แต่ในน้ำจะรู้ได้อย่างไรว่าบนบกมีต้นไม้ มีนกบินอยู่ในอากาศ มีสายลมพัดผ่าน ปลามันก็รู้จักแต่พวกสาหร่าย กระแสน้ำ เท่านั้นล่ะ สายลมที่พัดผ่านเป็นอย่างไรมันยังไม่รู้เลย นกบินในอากาศเป็นอย่างไรปลามันไม่รู้ไม่เคยเห็น มันก็หาว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เป็นความจริงไปเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 53 09:53:26 จากคุณ : Kudo Kai เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 09:50:49

ความคิดเห็นที่ 16   เทคโนโลยีมนุษย์สูงขึ้นเทคนิคพวกนี้เลยค่อยๆหายไปครับ เพราะพวกนี้ต้องใช้ความพยายามในการฝึกสูง ต้องมีบุญเก่าประกอบ ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ เขมรเก่งเรื่องนี้ แต่ประเทศอื่นก็มี อย่างพ่อมดเมอร์ลิน เซียนของจีน เขมรเลยครองโลกไม่ได้ ได้แต่ครองแถวๆภูมิภาคนี้ แต่เมื่อไทยมีคนเก่งอย่างพระร่วง ก็สามารถสู้ไสย์เขมรได้ จนตีเขมรแตกเหลือแค่ในปัจจุบัน จากคุณ : gure เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 09:51:53 A:125.27.208.161 X: TicketID:111025

ความคิดเห็นที่ 17 การแสดงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง    เห้ออออ... จากคุณ : payakaphan222 เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 10:22:08

ความคิดเห็นที่ 18 จริงเขาว่า ถ้ามีจริง เขมร ก็เป็นมหาอำนาจของโลกไปแล้ว จากคุณ : เอียงซ้าย เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 10:22:14

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ ^ มิน่าล่ะ ทักกี้ถึงไปจังมือกับเขมร จากคุณ : plan two เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 11:06:11

ความคิดเห็นที่ 20 เล่นกล+ใช้ตัวช่วย+สะกดจิตหมู่ จากคุณ : T7Promoter เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 11:10:46

ความคิดเห็นที่ 21 อาจจะเป็นมายากลสมัยก่อน จากคุณ : FlyingChicken เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 11:16:20

ความคิดเห็นที่ 22   #15 ที่คุณพูดมาทั้งหมดมันก็ถูก วิทยาศาสตร์ (หรือแม้แต่พระพุทธเจ้า) สอนให้พิสูจน์ก่อนที่จะเชื่อ ถ้าเราเอาตัวเราเองพิสูจน์เรื่องการหายตัวเหาะเหินเดินอากาศด้วยฌาน ผมไม่แน่ใจว่าอีกกี่สิบปีหรือจวบจนผมสิ้นอายุขัย ผมจะทำมันได้สำเร็จหรือไม่ และคนอื่นๆ ก็คงไม่แน่ใจแบบผมว่าเค้าจะทำมันสำเร็จหรือไม่ การให้คนที่คุณอ้างว่าทำสำเร็จแล้ว มาทำให้ดูมันก็เป็นการย่นระยะเวลาและสร้างความเชื่อมันในการพิสูจน์ ซึ่งก็เป็นผลดีต่อคนที่ต้องการพิสูจน์ เคยมีตาแก่ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งอ้างว่ามีวิชาการต่อสู้เทพ แค่แตะคน คนก็ล้มหงายตึงแล้ว ถ้าผมอยากให้ตาแก่คนนั้นสู้กับบัวขาวเป็นการพิสูจน์ว่าบัวขาวจะล้มหงายตึงจริงหรือไม่ แต่ตาแก่คนนั้นมองบัวขาวหัวจรดเท้าแล้วปฏิเสธทันควัน และบอกว่าให้ลองฝึกแบบแกเลย ฝึกสำเร็จเดี๋ยวก็รู้เอง ไม่ต้องพิสูจน์หรอก เป็นคุณ คุณจะเชื่อตาแก่คนนั้น และยอมฝึกแบบแกหรือไม่ล่ะ ป.ล. #15 คุณเคยเจอมากับตาคุณเองคุณเลยเชื่อ แต่ผมไม่เคยเจอ แล้วทำไมผมต้องไปเชื่อตามคุณ? จากคุณ : JeZeus เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 11:26:18

ความคิดเห็นที่ 23 ตลก ตาแก่เจอเขาจริง มอบเลย 5555555 จากคุณ : เอียงซ้าย เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 11:45:23

ความคิดเห็นที่ 24   JeZeus ลืม ปล.บร๊ะเจ้าไหมล่ะ หรือป่าวครับ จากคุณ : observermode เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 12:06:48

ความคิดเห็นที่ 25 สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาษาอังกฤษเรียกมายากลด้วยคำว่า illusion (ภาพลวงตา) นั้นเป็นเพราะสิ่งที่นักมายากลทำให้ผู้ชมเห็นนั้น ผู้ชมได้เห็นจริงๆ ในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงครับ การที่มีคนเห็นว่าคุณเหาะได้ ไม่ได้หมายความว่าคุณเหาะได้ ยกตัวอย่างเช่นนินจาในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น (จริงๆ น่าจะเรียกว่า "ชิโนบิโนะโมโนะ" ตามที่เรียกกันสมัยนั้น) ก็มีเทคนิคพรางตัวที่พิสดารจนใครๆ ที่ไม่รู้เทคนิคต่างพากันร่ำลือไปว่าคนเหล่านี้หายตัวไปได้โดยไร้ร่องรอย แต่ใช่ว่าคนที่เป็นชิโนบิจริงๆ จะหายตัวไปได้เสียเมื่อไหร่ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 12:15:40

ความคิดเห็นที่ 26 ถามว่าใช้หลักการอะไร  ตอบตามเหตุผลข้อเท็จจริงก็คือใช้หลักศรัทธา โดยใครที่มีอาการยึดถือใดๆชัดเจน เช่น ศรัทธาเชื่อมั่นทุกเนื้อหาในคัมภีร์ทางศาสนาอย่างเต็มเหนี่ยว ยึดถือปักใจกลัวสิ่งเร้นลับใดๆอย่างมาก ยึดเหนี่ยวจิตใจไปกับความเชื่อใดๆอย่างเต็มหัวใจ ฯลฯ  ต่อให้สิ่งนั้นจะไม่เป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ผู้นั้นก็ย่อมรับรู้มันได้ !! เหตุผลความจริงที่ควรชี้ชัดต่อกัน และควรฝึกหยุดละความโกรธความหลงของตนเองแล้วหันมาพิจารณายอมรับความจริงกันได้แล้ว ก็คือ เป็นภาวะรับรู้อย่างเป็นตุเป็นตะเป็ฯจริงเป็นจัง ซึ่งเป็นอาการทางจิตเวช มีหลายระดับอาการ ตั้งแต่เป็นลักษณะของคนปกติทั่วๆไปจนถึงบุคคลที่มีอาการทางจิตรุนแรง นอกจากหลักจิตเวชศาสตร์ที่ยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว หลักพระปฏิจจสมุปบาทในหลักข้อเท็จจริงที่ว่าอุปาทานเป็นปัจจัยสู่ภพหรือภาวะใดๆขึ้นมา ย่อมยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวชัดเจน  ถ้าศรัทธาพุทธศาสนาอย่าให้เกิดอาการทางจิต เพราะจะยิ่งห่างไกลหลักพุทธศาสนาและปัญญาไปทุกที จากคุณ : ผู้ศึกษา เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 13:32:26

ความคิดเห็นที่ 27   ถ้าพิจารณาดีๆๆ ไม่ว่าจะเป็น การเสกผึ้งต่อ ไปต่อยข้าศึกของนักรบไทย(ทำจริงๆๆก็ได้) การไช้ดาบฟ้าฟื้นยิงฟ้าผ่าไส่ข้าศึก (แน่นอนวางระเบิดก่อนได้^^เอาแลนไมเครมอวางไว้พอข้าศึกเข้าระยะก็กดซ้าทำลายขวัญข้าศึกได้โดยตรง) หรือแม้กระทั่งขงเบ้งหายตัว เป็นการใช้ชัยภูมิได้เหมาะสม มีหุ่นขี้ผึ้งหลายๆๆตัวก็ทำได้แล้วครับ เล่นเอากองทัพ2แสนของสุมาอี้หนีทัพ2หมื่นของขงเบ้งแทบไม่ทัน^^ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 13:48:08

ความคิดเห็นที่ 28 #22 คุณไม่เชื่อตามผมนั้น นับว่าคุณทำถูกต้องแล้วครับ เพราะแสดงว่าคุณเป็นคนมีปัญญาที่จะพยายามพิสูจน์ก่อนจึงจะเชื่อ ไม่ได้เชื่อในทันที และผมต้องการเพียงบอกว่าเรื่องเหล่านี้ต้องเจอและรู้ด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเชื่อได้ ดังนั้นผมบอกว่าผมได้พบกับเรื่องเหล่านี้มาแล้วด้วยตัวผมเองผมจึงเชื่อ และที่คุณพูดมาก็ถูกเช่นกัน แม้แต่ตัวผมเองต่อให้พยายามปฏิบัติจวบจนสิ้นอายุขัย ผมก็ไม่แน่ว่าจะทำได้เช่นกัน แต่อย่างน้อยๆการปฏิบัติธรรมที่ผมทำอยู่นั้นก็เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานมากกว่าที่จะไปสนใจเรื่องญาณพวกนี้ ก็อย่างที่ผมบอกนั่นล่ะครับ เต่าเป็นสัตว์ที่สามารถอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เมื่อมันลงน้ำไปเล่าเรื่องบนบกให้ปลาฟัง ปลาฟังมันก็ไม่สามารถเข้าใจได้เพราะความรู้ของมันมีแต่เรื่องของสิ่งที่อยู่ในน้ำเท่านั้น เมื่อมันไม่สามารถเข้าใจได้มันก็บอกว่าเต่าพูดอะไรไม่รู้เรื่อง คนบางกลุ่มก็เปรียบเสมือนปลาคือ เมื่อมีคนมาพูดเรื่องบางอย่างที่เหนือขอบเขตความรู้ของตนเอง พอมีเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้เพราะมันอยู่นอกเหนือขอบเขตความรู้ของตน คนเหล่านั้นก็อาจจะหาว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องโกหกเพ้อเจ้อไปได้เช่นกัน ส่วนเรื่องคนแก่ชาวญี่ปุ่นนั้น หากแกพูดแบบนั้นจริงๆโดยไม่ลองกับตัวผมๆคงไม่ฝึกหรอกครับ ผมต้องขอให้โดนกับตัวเองด้วยก่อนแล้วถ้ามันเป็นของจริงผมค่อยเชื่อ แต่เชื่อแล้วก็คงไม่ฝึกเพราะมันไม่ได้ช่วยให้ผมพ้นทุกข์ไปได้เลย ปล. เหล่าครูบาอาจารย์ที่ผมอ้างถึงนั้น ไม่มีท่านใดที่สามารถหายตัวหรือเหาะเหินเดินอากาศได้ครับ(เท่าที่ทราบนะ) และได้ยินมาว่า ปัจจุบันไม่มีผู้ที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างสมัยพุทธกาลแล้วเช่นกัน จากคุณ : Kudo Kai เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 15:16:43

ความคิดเห็นที่ 29 จริงๆก็คือสภาพแวดล้อม แสงสีสมัยนี้มันเยอะ จะให้มาฝึกสมาธิให้มีจิตแกร่งเหมือนคนสมัยก่อนนั้นยาก บ้างก็ไม่มีเวลา บ้างก็ไปติดนู่นนี่ หลงแสงสีกันเยอะ ความสามารถในการฝึกจิตจึงไม่มี บารมีจึงไม่เกิด จากคุณ : ร้อนนักรักซะเลย (tkung13) เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 16:49:45

ความคิดเห็นที่ 30   ถ้าผมบอกว่าชาวหว้ากอเกือบทุกคนทำได้  แต่ไม่แสดงออก ไม่บอกให้ใครรู้  เนื่องจากผิดหลักคำสอน  #15 จะเชื่อผมไหมล่ะ ว่าแต่ #15 ไม่ควรนำเรื่องพวกนี้มาเปิดเผยนะ ถ้าชาวโลกรู้เข้ามันจะยุ่ง  และยังผิดคำสอนที่พระอาจารย์ท่านห้ามไว้ จากคุณ : AIM-9X เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 17:08:35

ความคิดเห็นที่ 31 #15 เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่วิทยา ศาสตร์จะเข้าใจได้ครับ ปลาที่อยู่แต่ในน้ำจะรู้ได้อย่างไรว่าบนบกมีต้นไม้ มีนกบินอยู่ในอากาศ มีสายลมพัดผ่าน ปลามันก็รู้จักแต่พวกสาหร่าย กระแสน้ำ เท่านั้นล่ะ สายลมที่พัดผ่านเป็นอย่างไรมันยังไม่รู้เลย นกบินในอากาศเป็นอย่างไรปลามันไม่รู้ไม่เคยเห็น มันก็หาว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เป็นความจริงไปเท่านั้น ======================== เพราะไม่เข้าใจและไม่มีความรู้ในวิทยาศาสตร์ต่างหาก เลยไม่รู้ว่าในโลกอีกฝั่งหนึ่ง เขาเจาะลึกลงไปขนาดไหน จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 18:12:12

ความคิดเห็นที่ 32 โอ้...... เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ ที่ผมตั้งกระทู้นี้มาเพื่ออยากรู้หลักการในทางวิทยาศาส   ก็เลยมาตั้งที่ห้อง วิทยาศาส  เพราะเราๆท่านๆก็คงไม่ทันได้เห็นกับตา แต่เราได้ยินมาจาก คำสอน คำเทศ ผู้แก่ผู้เฒ่า ซึ่งก็ได้ยินได้ฟังกันมาเป็นทอดๆ เช่นกัน เพราะฉนั้นเรารุ่นหลัง ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ได้กับวิทยาศาสล้วนๆ(แต่ไม่ได้ไปลบลู่ สิ่งที่เชื่ออยู่นะ) ก็อยากจะรู้ อยากจะศึกษา ในทางวิทยาศาส โดยไม่ต้องเอาความเชื่อ ความศัทธา มาเกี่ยวของ เพราะเรื่องแบบนั้นมันพิสูทธ ไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งในความคิดส่วนตัวผม ว่ามันไม่มีทางเป็นไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งๆที่มนุษต์รุ่นหลังๆมา จากรุ่นสู่รุ่นเป็น พันๆปี ยังวิวัฒนาการเอาเหล็กเป็นตันๆ ลอยฟ้าได้ อยู่คนละซีกโลกยังเห็นหน้า คุยกันได้ ถ้าสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมามีจริง ปานนี้ก็คงพัฆนาไปมากแล้ว คงไม่ศูนย์หายไปจากโลกนี้หลอก สรุป..ก็เลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาว่า    1.มีจริงหรือไม่ ถ้าไม่มีจริงก็จบ (ไม่ต้องต่อความยาว สาวความยืด)    2.ถ้าเคยมีจริง ก็ให้หาเหตุหาผล ในความเป็นจริงตามหลักวิทยาศาส ว่าเขาทำได้ยังไง แล้วทำไมปัจจุบันจึงศูนย์หายไป แลัวหลักฐานต่างๆมีหลงเหลือบางไหม ก็แค่นี้ละครับ      ขอบคุณครับ......................... จากคุณ : เอียงซ้าย เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 18:36:50

ความคิดเห็นที่ 33 #31 ต้องขอโทษด้วยครับที่จุดนั้นใน#15 ผมเขียนขาดตกส่วนที่สำคัญไป นั่นคือ เรื่องของปลากับเต่า เต่าเป็นสัตว์ที่อยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ ส่วนปลานั้นอยู่ได้เฉพาะในน้ำ ดังนั้นเมื่อเต่าเอาเรื่องของสิ่งต่างๆบนบกมาบอกเล่าปลาที่อยู่ในน้ำ ปลาย่อมไม่เข้าใจเพราะมันสามารถเข้าใจได้เฉพาะเรื่องของสิ่งที่อยู่ในน้ำเท่านั้น ซึ่งถ้าเปรียบเรื่องนี้ในกระทู้นี้ก็คงเปรียบได้ว่า ปลา = ผู้ที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์(สิ่งที่อยู่ในน้ำ) เต่า = ผู้มีความรู้ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์(สิ่งที่อยู่ในน้ำ)และความรู้ที่นอกจากไปจากวิทยาศาสตร์(สิ่งที่อยู่บนบก) สิ่งที่ปลารับรู้ได้นั้นคือสิ่งที่อยู่ในน้ำซึ่งมันบอกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในน้ำนั้นมีจริง แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าสิ่งที่อยู่บนบกที่เต่าเอามาบอกนั้นมันก็มีจริงเช่นเดียวกัน จะบอกว่าไม่มีจริงเลยเพราะตนไม่เคยเห็นเลยนั้นมันก็ไม่ได้หรอกครับ เพราะ วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถบอกได้เลยว่า "ในธรรมชาติทั้งหมดนั้นมีอะไรอยู่บ้าง" จากที่ผมลองอ่านดูเห็นว่าพลาดจุดนี้ไปและเป็นจุดทำให้อีกหลายๆคนอาจจะอ่านแล้วพลาดในสิ่งที่ผมต้องการบอกไปได้ จึงขอมาแก้ไขไว้ตรงนี้ด้วย จากคุณ : Kudo Kai เขียนเมื่อ : 4 ก.ค. 53 23:13:41

ความคิดเห็นที่ 34 ผมเห็นหัวกระทู้ขำข้าวกระเด็นเลย ขอภัย ผมก็เสกได้นะ แต่คาถาผมใช้ได้เฉพาะเพศตรงข้าม อิอิ จากคุณ : wutt1980 เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 02:44:50

ความคิดเห็นที่ 35 แค่หลักการนะ เหาะเหินเดินอากาศ ...  ทำตัวให้เบากว่าอากาศ หรือสัมผัสอากาศแล้วใช้มันผยุงตัว หายตัว...  หักเหแสงที่ผ่านมายังตัวเราออกไปให้หมด เสกของ...  เปลี่ยนสสารในระดับโมเลกุลให้เป็นสิ่งที่เราต้องการ หลักการอ่ะนะ....  ทำได้ไม่ได้  ไม่รู้  5555+ จากคุณ : ฟาฬ เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 10:03:42

ความคิดเห็นที่ 36   ผมคิดถึงตะขาบพยนต์ จากคุณ : ฟพ เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 14:57:37 A:210.203.191.195 X: TicketID:248569

ความคิดเห็นที่ 37   ผมว่าอาจเป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาแล้ว จากการพูดทำให้เกินจริงไป เหาะเหินเดินอากาศ - อาจจะเพราะคน ๆ นี้เดินทางได้รวดเร็ว อาจมีพาหณะเช่นม้าที่แข็งแรงวิ่งเร็วแล้วต้องการเวลาพักน้อย หรือคนๆ นี้อาจใช้ทางลัดเช่นเดินตัดป่า โดยอาศัยความชำนาญสูงในการเดินผ่านป่าทึบ เดินทางปกติอ้อม ๆ อาจใช้เวลาสัก 6-7 วัน แต่คนนี้อาจจะแค่ 2-3 วัน ก็เลยเร็วเหมือนเหาะเหินเดินอากาศได้ จากคุณ : fresh butter เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 16:30:30

ความคิดเห็นที่ 38   ใช้กสิณดินสิครับ ทำให้อากาศแข็ง ;) จากคุณ : CuTTy 555 เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 16:56:39 A:113.53.23.37 X: TicketID:259743

ความคิดเห็นที่ 39 วิชาเสกของเข้าท้องผมก็ทำได้ครับ เพราะผมพึ่งไปได้ได้สุดยอดวิชามา 1 วิชา ครับ  เรียนไม่ยากเท่าไร เน้นร่างกายต้องแข็งแรงเท่านั้น ศาสตร์แห่งวิชาที่สุดยอดของผมนั้นได้แก่  "วิชาเสกเด็กเข้าท้องสาวๆสวยๆ" รับรองผลครับ ไม่เชื่อสาวๆมาพิสูจน์ได้ครับ ไปละฟิ้ววววววววววววววววววว แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 53 17:41:54 จากคุณ : ตาตี๋ตกต้นตาล เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 53 17:40:00

ความคิดเห็นที่ 40   นาย JeZeus แล้วพระเจ้าของคุณนะ ทุกวันนี้ไม่ออกมาช่วยโลกสักทีละครับ มีอำนาจออกปานนั้น คนจะได้เลิกฆ่ากันโดยเอาศาสนามาอ้างสักที คนทั้งโลกจะได้เลิกนับถือศาสนาอื่นๆแล้วหันมานับถือศาสนาเดียวกันเลยเพราะมีตัวอย่างพิสูจน์ให้เห็น ไอ้เรื่องหายตัวเหาะได้เนี่ย ผมไม่รู้ว่าจริงเปล่านะครับ แต่ผมตอบได้แค่ว่า เรื่องพวกนี้เราได้รับถ่ายทอดจากอาจารย์ มันก็รับมาหมดทั้งแนวคิดอะไรทั้งหลายละ คนที่ไม่ทะเยอทะยานมากมักจะทำอย่างเป็นธรรมชาติและมักจะสำเร็จ แต่พวกที่ทำเพื่อหวังผลโดยที่เขาไม่ด้ต้องการเลยประมาณว่าเป็นผลพลอยได้นะ ทำไปทั้งชีวิตก็ไม่สำเร็จ หรือเสื่อมอย่างที่เขาบอกนั้นละ ผมว่าคนอย่างคุณทำไปทั้งชีวิตก็ไม่สำเร็จหรอกครับ แล้วก็พาดพิงอ้างน้นอ้างนี่ต่อไป สังเกตสิครับ ส่วนใหญ่เรื่องที่เล่ากันมาซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจริงเปล่า เช่นพวกอ่านความคิดในใจได้จะเป็นพระที่เคร่งทั้งนั้น และข้อห้ามของพระคือห้ามอวดอุตริอะไรเนี่ยละ คือห้ามแสดงอิทธิฤทธิ ดังนั้นคุณจะไปให้พระเคร่งๆที่ทำได้จริงๆมาแสดงเพื่อพิสูจน์นะ มันเอาแต่ใจตัวเองวะ ที่ผมกล้าพูดแบบนี้เพราะผมเคยผ่านการบวชในเวลาสั้นๆมาแล้ว แต่ผมสัมผัสได้ถึงความเลิศอะไรบางอย่าง มันอธิบายออกมาไม่ได้แต่รู้สึกได้ว่าเรื่องพวกนี้มีอยู่จริง ถ้าผมยอมทุ่มทั้งชีิวตบวชตลอดไปอาจจะเจออะไรดีกว่านี้เยอะก็ได้ แต่บังเอิญผมมันกิเลสหนาไง ยังเลือกชีวิตทางโลกอยู่ ว่าแต่พระเจ้าของคุณจะล้างโลกจริงๆเหรอครับ ? เพราะคนไม่เชื่อในพระเจ้า? จากคุณ : อีกครั้ง เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 53 13:41:15 A:124.120.196.113 X: TicketID:118563

ความคิดเห็นที่ 41   ว่าแต่คุณเคยเจอพระเจ้าของคุณแบบตัวเป็นๆยังครับ เอามาพิสูจน์ให้ดูทีสิ ถ้าไม่เห็นผมก็จะไม่เชื่อตามคุณเหมือนกันนั้นละ ทำไมต้องเชื่อละ จากคุณ : อีกครั้ง เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 53 13:46:21 A:124.120.196.113 X: TicketID:118563