ความคิดเห็นที่ 1 พระธาตุที่ว่าคืออะไร ต้องรู้องค์ประกอบก่อนถึงพอจะบอกได้ว่าสามารถเกิดขึ้นโดยทั่วไปได้หรือไม่ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 17:11:37

ความคิดเห็นที่ 2   ลูกศิษย์พยายามจะบอกเป็นนัยๆว่า นี่คือ พระอรหันต์ ที่ยังมีชีวิตอยู่ จากคุณ : นั่งดูนกเล่นน้ำ เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 17:23:07

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วแต่ความเชื่อ ... จากคุณ : isiss12 เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 17:27:05

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมก็หาคำอธิบายไม่ได้ครับ รอท่านอื่น เกรงแต่จะเป็นผู้ที่ต้องการผลประโยชน์จากความศรัทธาของหลวงตา ปั้นเรื่องขึ้นมา โดยที่หลวงตาไม่ได้รับรู้ด้วยเนี่ยสิ จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 17:31:30

ความคิดเห็นที่ 5 ก็ ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่า พ่อผมเล่าว่า เมื่อก่อนมีพระรูปนึงทักว่า จะมีสิ่งดีๆเข้ามาหา ให้เตรียม ผอบ ไว้ พ่อผมก็เตรียมไว้ แล้วพอไปเปิดดู เจอพระธาตุ 8 เม็ด ครับ พ่อบอกว่ามาเอง ผมก็ดู มันก็ 8 เม็ดจริงๆ แต่รู้สึกมันเหมือน กระดูก หรือ หินเล็กๆ ที่ขัดขนเงาหน่อยๆ แต่ตอนนี้ผมเฉยๆมากครับ เวลาไปเจองานพระธาตุ มันมีเยอะเกินกว่าที่จะเป็นพระธาตุได้ครับ จากคุณ : ปลาวัวตัวอวบอัด เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 17:42:08

ความคิดเห็นที่ 6 มันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ความรู้ปัจจุบันยังไปไม่ถึง เช่น เรื่อง ญาณ ที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ ก็นึกว่าไม่มีจริง จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 18:36:46

ความคิดเห็นที่ 7   ศรัทธา กับ เหตุผล  มันสวนทางกัน จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 18:42:48

ความคิดเห็นที่ 8 ผมว่าถึงพิสูจน์ไปคนก็จะเลือกเชื่อในสิ่งตัวเองคิดว่าเป็นจริงอยู่ดีแหละครับ อย่างกรณีผ้าห่อพระศพแห่งตูริน ที่ตรวจค่าครึ่งชีวิตของ C-14 แล้วพบว่ามีอายุน้อยเกินกว่าจะเป็นผ้าห่อพระศพได้ แต่สุดท้ายก็มีคนเลือกที่จะเชื่ออยู่ดี โดยเอาเหตุผลต่างๆมาอ้างว่า ชิ้นส่วนที่ตรวจมีการปนเปื้อน หรือวิทยาศาสตร์ปลอมแปลงผลหวังหักหน้าคริสตจักร จากคุณ : แมวซ่อมคอมไม่เป็น เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 19:04:01

ความคิดเห็นที่ 9   เอาเวลาไปสงสัย ไปศึกษา สิ่งที่เป็นประโยชน์ดีกว่า จากคุณ : icon เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 19:08:12 A:61.7.185.49 X: TicketID:206093

ความคิดเห็นที่ 10 คำตอบสำหรับคุณ Nexus พระธาตุคือ หินและเพชรค่ะ   เท่าที่เคยอ่านเจอว่าทำไมสังขารหรือแม้แต่เล็บ  ผม ชานหมาก จึงกลายเป็นพระธาตุนั้นจำได้ประมาณนี้ค่ะ  (เคยสงสัยมากเพราะเมื่อสิบกว่าปีก่อนเคยเห็นสังขารของหลวงพ่อองค์หนึ่งซึ่งละสังขารไปแล้วแต่ไม่เน่าเปื่อย   หน้าผากและคอครึ่งหนึ่งกลายเป็นหินสีขาวนวลๆ  ตอนที่ไปเห็นนั้นตอนนั้นท่านละสังขารไปเกือบปีแล้ว   ช่วงนั้นก็เลยหาหนังสือในห้องสมุดมหาวิทยาลัยอ่านเยอะมาก) เนื่องจากเนื้อหนังเลือดและกระดูกที่เป็นรูปร่างนี้คือ ธาตุดินน้ำลมไฟ   ถ้าแยกย่อยลงไปจนถึงหน่วยที่เล็กที่สุดแล้วจะมีพลังงานยึดโยงกันไว้อยู่  ผู้ที่บรรลุฌานขั้นสูงสุดจะมีพลังงานที่บริสุทธิ์สามารถแปรธาตุดินให้เป็นหินและเพชรได้ค่ะ จากคุณ : ศศิวิมล เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 19:26:42

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่มีการพิสูจน์ เพราะไม่มีใครกล้าเอามาให้พิสูจน์ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 19:43:48

ความคิดเห็นที่ 12   มีคลิปตอนแปรสภาพมั้ย ถ้าไม่มีคลิป ก็ลูกศิษย์ลูกหานั่นแหละครับ ตัวการสำคัญ จากคุณ : โปเยโปโลเย เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 20:19:15 A:124.122.101.95 X: TicketID:273003

ความคิดเห็นที่ 13 คนค้นคน จากคุณ : โควี เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 20:34:54

ความคิดเห็นที่ 14 นึกแล้วว่าวิทยาศาาสตร์ต้องไม่มีทางเืชื่อในเรื่องของศาสนา ต้องให้หาหลักฐานเท่านั้น เช่น  ต้องมีคลิปวีดีโอ  ต้องมีกล้องวงจรปิด ต่อให้มีมาให้ดู  ก็ต้องบอกว่า ตัดต่ออยู่ดี  เพราะในใจไม่เชื่อมาแต่ต้นแล้ว แต่ถ้าบอกว่าให้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ตามแนวทางที่ศาสนาบอก วิทยาศาสตร์จะไม่ทำตามเด็ดขาด  เพราะคิดว่า มันไร้สาระ สรุปว่า  วิทยาศาสตร์จะไม่มีทางเชื่อเรื่องแบบนี้เด็ดขาด เพราะมันผิดหลักทางวิทยาศาสตร์ที่ตนได้เรียนมา  รับรู้มา ไม่รู้นะ........ ไม่ทราบว่านักวิทย์ทั้งหลายเคยเห็นฟันของหลวงตาที่อยู่กับ ท่านประชารึยัง (พล.ต.อ.ประชา  พรหมนอก)   และอีก 1 ซี่  อยู่กับเสี่ยสมหมาย (ร้อยเอ็ด) ถ้าเห็นก็คงอธิบายลำบากพอสมควร  ว่าเป็นได้ยังไง แต่ไม่ต้องถามผมนะว่า  ไหนภาพ  เพราะผมก็ไม่มีให้ดูเช่นกัน รู้แต่ว่า  เค้าสร้างเจดีย์ (น่าจะเสร็จแล้ว) ไว้ที่ร้อยเอ็ดเพื่อบรรจุแล้ว เพราะกลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้วเช่นกัน (ในสภาพเป็นซี่ฟันนี่แหละ) จากคุณ : อ้ายเซียงจ่อย เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 21:40:46

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องบางเรื่องมันอยู่เหนือเกินกว่าที่วิทยาศาสตร์จะเข้าใจและพิสูจน์ได้ครับ แต่คนจำนวนมากก็เลือกที่จะไม่ยอมรับในความจริงข้อนี้ ก็มัวแต่จะจับผิดโน่นผิดนี่แล้วตีความตามที่ตนต้องการกันให้ได้ อัฐิของครูบาอาจารย์ที่บ้านผม เคยมีชิ้นนึงตอนได้มาเป็นกระดูกแบบธรรมดาๆ แต่พอเวลาผ่านไปเอามาเปิดดูอีกที ก็กลายสภาพเป็นพระธาตุไปแล้วก็มี หรือเกศาของครูบาอาจารย์หลายๆท่านที่ได้มา ตอนรับมาก็เป็นเส้นผมธรรมดาเอาเก็บไว้ในผอบ เวลาผ่านไปก็กลายเป็นพระธาตุไปแล้วเช่นกัน แต่ไม่มีรูปภาพให้เอามาเปรียบเทียบซะด้วยสิ เพราะไม่ได้ถ่ายภาพเก็บไว้ ได้รับมาก็เอาไว้ในห้องพระตลอด แก้ไขเมื่อ 28 ก.ค. 53 21:55:44 จากคุณ : Kudo Kai เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 21:48:02

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าตอบแบบวิทย์ ผมเชื่อว่าจิตควบคุมกายครับ ดังนั้นบุคคลที่สามารถควบคุมจิตในระดับขั้นที่แตกต่างจากปุถุชนทั่วไปได้ ก็น่าจะมีกายเนื้อที่ต่างไปจากบุคคลธรรมดาเช่นกัน เดาล้วนๆ จากง่วนเชียง จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 22:03:39

ความคิดเห็นที่ 17 อะไรที่องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถพิสูจน์ในเงื่อนไขของวิทยาศาสตร์ได้ ก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่จริง นะครับ อย่างมงาย ในวิทยาศาสตร์ครับ ศาสตร์ในโลกนี้ยังมีอีกมาก จากคุณ : Excess เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 22:08:20

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าผมไม่ได้เป็นคนเก็บพระธาตุ ผมก็ยังไม่เชื่อ 100% แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ 100% เช่นกัน ถ้าหากว่าผมเป็นคนเก็บเศษผม แล้วเปิดมาเป็นพระธาตุจริิง ก็ต้องยอมรับว่าวิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์เราจะศึกษาไปถึงหรือไม่ ยังไงตอนนี้ผมก็ต้องถือว่าฟังหูไว้หูก่อน เพราะยังไม่ได้สัมผัสกับตัวเอง จากคุณ : ผมไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนธรรมดา เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 22:21:26

ความคิดเห็นที่ 19 ประเด็นนี้คงหาข้อสรุปได้ยาก ได้เพียงแค่วิเคราะห์ความน่าจะเป็น ในเชิงวิทยาศาสตร์เท่านั้นแหละครับ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 53 00:52:15 จากคุณ : toon26 เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 22:47:13

ความคิดเห็นที่ 20 ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง "เขาว่ามา"  ทั้งนั้น คนที่เป็นเจ้าของจริง ๆ ก็ไม่เคยออกมายืนยัน (คนที่ได้ ฟันของหลวงตาไป) จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 00:38:38

ความคิดเห็นที่ 21 องค์ความรู้ในวิทยาศาสาตร์ ปัจจุบันยังไม่เพียงพอ ต่อการอธิบายครับ เพราะคนที่จะอธิบายได้  ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง กระบวนการทำงานของจิต การทำงานของกายเมื่อบรรลุธรรมระดับอริยบุคคล ระดับอรหันต์ก่อน ว่ามีผลต่อร่างกายอย่างไร พระอรหันต์คือบุคคลที่ดำรงขันธ์ อยู่แบบไม่มีทุกข์อีกแล้ว ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ละอาสวะกิเลสได้จบสิ้นแล้ว ดังนั้น ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายจึงมาเทียบกับบุคคลทั่วไปไม่ได้ ใช้กฏเกณฑ์แบบคนธรรมดาๆไม่ได้ครับ ซึ่งตรงนี้วิทยาการจากประเทศตะวันตกยังไปไม่ถึง ยังล้าหลังจากภาคปฏิบัติในพุทธศาสนาอีกมาก   ยกเว้นแต่ นักวิทยาศาสตร์ที่มีความรู้เรื่องระดับฮอร์โมนในร่างกาย ชีวเคมี เข้าใจ กลไกการทำงานของร่างกายที่ได้ผลจากสภาวะจิตที่เหนือกว่าปุถุชน เข้ามาปฏิบัติให้บรรลุระดับอริยบุคคลก่อน จากนั้น จึงทำการทดลอง ชั่งตวง วัด ด้วยเครื่องมือที่ต้องคิดค้นขึ้นมาใหม่ อาจจะใช้เวลาร้อยปี หรือ พันปีข้างหน้าก็ได้ครับ สิ่งเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องขี้โกงตามที่นักวิทย์หลายคนแสดงความเห็นออกมา  ดังนั้น ควรสรุปว่า องค์ความรู้ในวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังพัฒนาไม่พอต่อการอธิบาย จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 00:42:56

ความคิดเห็นที่ 22 ก็เอาพระธาตุที่ว่ามาเขา Lab ตรวจสอบดูสิครับ หรือเอาง่ายๆก็อย่างเช่นเอาผมที่โกนมา (พระสายพระป่าน่าจะโกนทุกวันโกนใหญ่) เอามาเก็บไว้ใน Lab แล้วแบ่งมา Test ทุกวัน เดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ ปัญหาไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้ ปัญหาคือไม่มีการพิสูจน์ต่างหาก จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 01:12:32

ความคิดเห็นที่ 23 คาดว่า พิสูจน์แล้ว ณ.ขณะนี้ ก็ไม่สามารถอธิบายได้อยู่ดีครับ เหมือนเห็นเลข 1........10 เรารู้ว่ามีอะไรตรง ....... แต่เราก็บอกไม่ได้ว่าคืออะไร มายังไง จากอะไร เห็นแต่ผลของมัน ซึ่งผมก็สนับสนุนให้มีการพิสูจน์นะ แต่ก็น่าจะไม่ง่าย หรือก็ไม่สเถียร เพราะเรื่องจิตนี่มันไม่ได้อยู่ในมิติที่ 3 การควบคุมตัวแปร ในตอนนี้จึงไม่สามารถคุมได้ทั้งหมด ทั้งเรื่องศรัทธา หรือจิตและการปฏิบัติของผู้ร่วมทดลอง การทดลอง ณ ตอนนี้จึงคาดว่าไม่น่าจะประสบผลครับ แต่ผมก็เชื่อว่าซักวันวิทยาศาสตร์ ต้องสามารถสืบค้นไปถึงครับ เพราะมนุษย์เราคิดได้มากกว่าจุดเดิมทุกวัน แต่จะใช้เวลาอีกเท่าไหร่ จะทันในช่วงขีวิตนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ครับ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 03:50:54

ความคิดเห็นที่ 24 พอขอพิสูจน์ก็โดนหาว่าลบหลู่ แล้วแบบนี้จะทำยังไงดี จากคุณ : Dequardo เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 04:08:08

ความคิดเห็นที่ 25 ความจริงมีเพียงสิ่งเดียว อยู่ที่ว่าจะมองมุมไหน เถียงไปคงไม่จบ อย่างทฤษฏีของแสง หาเจอทั้งในรูปของคลื่น และอนุภาค ก็เถียงกันไป สุดท้ายก็ต้องมีทวิภาพของแสง ตั้งมารองรับ ความจริงมีเพียงสิ่งเดียว จากคุณ : <NaturaL M> เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 07:23:58

ความคิดเห็นที่ 26 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 08:59:31

ความคิดเห็นที่ 27 อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้ อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน คริ... คริ... จากคุณ : LordJelly เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 09:47:22

ความคิดเห็นที่ 28   เอามาให้ดูคร่าวนะครับ ใช้วิจารณญานเอาเองนะครับว่าความเชื่อหรือความจริง โฆษณา http://www.evrmemories.com/cremation-diamonds-s/81.htm http://news.hunsa.com/detail.php?id=10476 บทความ Sintered glass–ceramic from municipal solid waste incinerator ashes M. Aloisi, A. Karamanov *, M. Pelino Department of Chemistry, Chemical Engineering and Materials, University of L’Aquila, Monteluco di Roio, 67040 L’Aquila, Italy Available online 18 September 2004 Abstract In the present study, the sinter-crystallization behavior of a glass from municipal solid waste incineration ashes was investigated. The crystallization kinetics were estimated by DTA at different heating rates and the formed crystalline phases were evaluated by XRD. The sintering was studied at different heating rates and at different holding temperatures by dilatometry, measuring the % of linear shrinkage, while the structure of the sintered samples was observed by SEM. The bending strength and the Young modulus were evaluated after heating at 5 and 20K/min and 1h holding at 1123K. The DTA show two overlapped crystallization peaks, corresponding to 440 and 430kJ/mol activation energies of crystallization. The XRD highlight that the crystallization starts by pyroxene formation, followed by anorthite and gehlenite. The sintering of the glass particles is inhibited by the crystalline phase formation and stops after the formation of 10% of crystal phase. Higher densification may be obtained by applying fast heating rate (20 K/min), which also improves the mechanical properties. ที่มา http://docs.google.com/viewer?a=v&q=cache:Yx072EI33AgJ:www.ipc.bas.bg/PPages/Karamanov/23-2004JNCS.pdf+Sintered+glass%3Fceramic+from+municipal+solid+waste+incinerator+ashes&hl=th&gl=th&pid=bl&srcid=ADGEEShkXX4bynqOPwDRtyoiuV2ZN1WEt7-FiNRFNMKI3P3i6vUGjHlI2Yo9n95y7clwOr6b47-H-4Uo7jLqXZYCtu966cJjSpneuV3TO6EMTrBpmtV1UdYIRP3RCA5ptKd9is7jodxm&sig=AHIEtbSaC42JPB1MG4t5x8SaEC4ti_LZ7Q จากคุณ : สามจุด เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 10:31:42 A:119.42.85.62 X: TicketID:271428

ความคิดเห็นที่ 29   หลอมกระดูกเป็นเพชร อจ.จุฬาฯไม่แน่ใจจะทำได้จริง บริษัทหัวใส อ้างใช้เทคโนโลยีชั้นสูงจากสวิส แปรกระดูกคนตายเป็นเพชรให้ลูกหลานไว้ดูต่างหน้า อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ ชี้เป็นไปได้ยาก ไม่เช่นนั้นต้องใช้ต้นทุนสูง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเพชรแห่งหนึ่ง เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของการผลิตเพชร โดยได้จดลิขสิทธิ์ผลิตเพชร "Memorial Diamond" จากอัฐิของผู้ล่วงลับ โดยผ่านกระบวนการชั้นสูงและเทคนิคเฉพาะ เพื่อเปลี่ยนจากอัญมณีที่เคยเป็นเพียงเครื่องประดับให้กลายเป็นเครื่องยึด เหนี่ยวจิตใจ ซึ่งเพชรที่ได้นั้นไม่ใช่เพชรเทียม ดร.ยงยศ มนตรีนุสรณ์ เจ้าของบริษัทที่ผลิตเพชรจากอัฐิ กล่าวว่า กระดูกในร่างกายมนุษย์โดยทั่วไปจะมีน้ำหนักโดยรวมประมาณ 2 กิโลกรัม การนำกระดูกมาผลึกเป็นเพชร ต้องใช้กระดูก 500 กรัมขึ้นไปถึงจะทำได้ และสามารถสกัดคาร์บอนออกมาได้จากอัฐิทุกคุณลักษณะ ซึ่งในอัฐิของคนเราที่ผ่านกระบวนการเผาเป็นขี้เถ้าแล้ว จะมีปริมาณคาร์บอนถึง 2-5% สามารถนำมาผ่านกรรมวิธีตกผลึกให้กลายเป็นเพชรได้ "ตั้งแต่ทำมา 5-6 ปี ทำผลึกเพชรได้หลากหลายขนาด ตั้งแต่เป็นชิ้นเล็กๆ จนถึงมากสุด 1 กะรัต เพชรของเราจะมีตั้งแต่สีใสไปจนถึงเพชรสีฟ้า เราสามารถสกัดคาร์บอนที่มีความบริสุทธิ์สูงจากอัฐิด้วยขบวนการพิเศษ และใช้คาร์บอนนี้เท่านั้นมาผลิตเป็นเพชรได้ และจะเหลือสารอื่นๆ ที่ไม่ใช่คาร์บอนอยู่ด้วยน้อยมาก ด้วยอัตราส่วนของธาตุโบรอนที่ปนอยู่ในสารอื่นนี้แหละ ที่จะทำให้เกิดเป็นเฉดสีฟ้าตามธรรมชาติ" ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เพชรที่ผลิตจากอัฐินั้นเป็นเพชรสังเคราะห์คือ เพชรแท้ที่เกิดจากวิธีการผลิตที่เลียนแบบวิธีการเกิดเพชรแบบธรรมชาติ หรือสังเคราะห์ขึ้นมา จะมีคุณลักษณะเหมือนกับเพชรที่เกิดตามธรรมชาติ โดยมีขบวนการผลิตเริ่มจากตรวจดูปริมาณคาร์บอนในกระดูกว่ามีเท่าไร และทำการสกัดคาร์บอนด้วยวิธีทางเคมีและความร้อน เพื่อขจัดสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกไป และทำให้อัตราส่วนคาร์บอนที่ผสมอยู่ เพิ่มขึ้นมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายจะผลิตเพชรสังเคราะห์ด้วยขบวนการที่มีความร้อนและความดันสูง ใช้เวลาในผลิตประมาณ 5-6 เดือน ด้าน รศ.ดร.วุฒิชัย พาราสุข ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คาร์บอนในกระดูกที่เผาแล้วมีเพียง 2-5% ซึ่งถือว่าน้อยมาก ไม่สามารถทำเพชรเป็นกะรัตได้ เพราะกระดูก 1 กิโลกรัม สามารถผลิตเป็นเพชรได้เพียง 0.2 กรัมเท่านั้น ในแง่วิทยาศาสตร์จากอดีตจนถึงปัจจุบันยังไม่มีการทำในลักษณะนี้ หากใครสามารถนำเถ้าถ่านมาทำเป็นเพชรได้ ก็คงทำกันมานานแล้ว "ในประเทศไทยเวลาเผาศพ เตาเผามีความร้อนสูงและไฟแรงเกินไป กระดูกที่เผาจะกลายเป็นขี้เถ้าและไม่มีคาร์บอนมากพอที่จะสามารถผลึกเป็นเพชร ได้ หรือถ้าหากทำได้ ผมเชื่อว่าต้องมีต้นทุนที่สูงมาก และต้องใช้เวลานั้นการทำที่ค่อนข้างนาน และทางผู้ผลิตคงมีขบวนการอื่น เช่น ผสมสารเคมีบางตัวจนเป็นเพชรสังเคราะห์ได้ ลักษณะของเพชรแท้จะมีสีใส และเกิดจากคาร์บอนเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้ที่เพชรจากอัฐิจะมีสีฟ้า เพราะในกระดูกมีธาตุโบรอนปนอยู่ แต่ในปริมาณที่น้อยมากๆ" รศ.ดร.วุฒิชัยกล่าว. ที่มา http://www.thaipost.net/x-cite/210509/4980 จากคุณ : สามจุด เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 10:36:05 A:119.42.85.62 X: TicketID:271428

ความคิดเห็นที่ 30 มีบางบริษัทที่ทำเป็นเพชรเหมือนกัน แบบที่โฆษณาที่จริงจะใช้เถ้ากระดูกเป็น Seed ในการสร้างเพชร หรือถ้าจะใช้เป็นเพชรทั้งหมดเลยก็เผาที่อุณหภูมิต่ำแล้วเก็บไอระเหยคาร์บอนออกมาตกผลึกครับ ส่วนที่โฆษณาเยอะๆ ในเน็ต และราคาไม่แพงนั่น มันไม่ใช่คาร์บอน ผลึก Cremation Jewelry ไม่ใช่เพชร ผลึกส่วนใหญ่นั่นเป็นผลึกของสารประกอบแคลเซียมในเถ้ากระดูก เผาที่อุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน มีตัวเร่งปฏิกิริยาหน่อย แล้วปล่อยให้เย็นลงช้าๆ ก็เป็นผลึกได้ครับ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีสูง หรือไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดลึกลับอะไร และไม่ใช่มีบริษัทเดียวที่ทำได้ ทำกันได้โดยทั่วไปมีนับร้อยบริษัทที่รับจ้างทำ ลักษณะการเกิด คล้ายๆ Anorthite ที่เป็นผลึกแคลเซียมในเครื่องปั้นดินเผา Bone China นั่นก็เกิดจากการเผาเถ้ากระดูกเหมือนกัน จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 13:00:54

ความคิดเห็นที่ 31 กะแล้วว่าเดี๋ยวต้องมีคนมาโพสเรื่องบริษัทรับทำ เผากระดูกเป็นเพชร 555 ผมว่ามันคนละเรื่องกับพระธาตุนะครับ มันไม่แปลกที่กระดูกจะกลายเป็นเพชรนะผมว่า แต่แปลกตรงที่ แปรสภาพโดยไม่เกิดการเผาและเพิ่มลดจำนวนได้เอง ตรงนี้มากกว่า จากคุณ : 801s เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 13:53:15

ความคิดเห็นที่ 32 ใครมีพระธาตุเอามาโชว์เลย  หรือถ้ามีมากก็แบ่งมาพิสูจน์กันบ้าง คนเคร่งศาสนา น่าจะเป็นคนมีน้ำใจ อีกอย่างก็บอกว่ามันแบ่งตัวได้ คงไม่ลดน้อยลงหรอกมั้ง ถ่ายรูปมาเลยก็ได้ ดูซิมันจะเหมือนกันมั้ย ก็เพราะไอ้แบบนี้แหละเอเชียเรา มันถึงโดนฝร้่งเอาเป็นเมืองขึ้น สูบทรัพยากรไปใช้จนประเทศมันสบายจนปัจจุบัน เพราะชายไทยอ่อนแอ สาวไทยถึงหาแต่ฝรั่ง เฮ้อ เกี่ยวมั้ยวะ จากคุณ : precham เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 23:49:22

ความคิดเห็นที่ 33 วิทยาศาสตร์ยังให้คำตอบได้ไม่แน่ชัด ไม่เคยทราบข้อมูลว่ามีการทดลองเรื่องนี้เพียงใด ดังนั้นในแง่นี้จึงตอบได้ยาก เบื้องต้นอาจต้องรู้ก่อนว่าพระธาตุมีลักษณะอย่างไร ทางองค์ประกอบ คุณสมบัติ ผมคิดว่าพระธาตุไม่ใช่เพชรหรือคริสตัลนะครับ แต่อย่างที่ว่าวิทยาศาสตร์ถ้าใช้กระบวนการที่เหมาะสม ก็สามารถแปรเถ้ากระดูกให้เป็นเพชรได้ เป็นตัวอย่าง ดังนั้นกระบวนการทางจิตซึ่งอยู่นอกการพิสูจน์ทางกายภาพในปัจจุบัน(แน่ล่ะก็จิตเป็นเรื่องของสิ่งที่มีอยู่อย่างเป็นนามธรรม) ที่เหมาะสม ก็น่าจะสามารถทำให้กระดูกหรือวัตถุกลายสภาพเป็นพระธาตุได้ (กลไกผมไม่ทราบแต่อาจจะเกี่ยวกับพลังของฌาน สมาธิขั้นสูง ที่เป็นการเพ่งอารมณ์ไปที่กาย ฯลฯ) แต่อย่างที่ว่า เรื่องนี้ก็เหมือนเรื่องอภิญญา เรื่องฤทธิ์ จะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อแก่นของศาสนาพุทธ ต่อการปฎิบัติธรรม การวิปัสสนาให้เกิดปัญญา ดังนั้นไม่ต้องไปคาใจเลยก็ได้ครับ ให้รับฟังไว้เฉยๆ ไม่เกิดอคติ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ค. 53 01:58:45 จากคุณ : EvaAngelion เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 53 01:55:50

ความคิดเห็นที่ 34 หลายอย่างที่เกิดขึ้นในทางพุทธศาสนา ไม่สามารถพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ได้ เรื่่องบางเรื่องมีก่อนที่พระพุทเจ้าเราจะตรัสรู้  เช่น เรื่องญาณ การข้ามภพชาติ แต่ผมศรัทธาและเชื่อในพระพุทธองค์ เพราะมีสิ่งมากมายที่ท่านรู้ แต่ท่านไม่บอกพุทธบริษัท เพราะมันมิใช่ทางพ้นทุกข์ และหลายเรื่องที่พระองค์ท่านตรัสรู้เมื่อสองพันกว่าปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างไอน์สไตน์ เพิ่งจะหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ไม่กี่สิบปีนี้ จากคุณ : More Original Me เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 53 11:36:29