ความคิดเห็นที่ 1 เจ้าของกระทู้เองคิดว่า โรคทางสมองบางอย่าง ทำให้ความดันสมองเพิ่มขึ้นเนื่องจากเนื้อสมองบวม  เช่น เนื้องอกสมอง เมื่อเจาะกระโหลกแล้ว จะเป็นการระบายช่วยทำให้แรงดันสมองลดลง  จะทำให้ผู้ป่วยสบายขึ้น ถ้าโรคนั้นไม่ทำให้เสียชีวิตเสียก่อน         ในปัจจุบันเรามีการเจาะกระโหลกในทางศัลยศาสตร์  เพื่อรักษาโรค เช่น เลือดออกในสมอง  โรคเนื้องอกในสมอง  ถ้าเป็นแค่การเจาะรูเพื่อระบายเลือด เรียกว่า "Burr hole" แต่ถ้าเป็นการผ่าตัดเปิดกระโหลกศีระษะเลย เรียกว่า "Craniotomy " แน่นอนว่าต้องทำภายใต้การระงับความรู้สึกและเทคนิคการปลอดเชื้อ ปัจจุบันมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าการเจาะกะโหลกจะเป็นการทำให้ปริมาณเลือดไหลเวียนเข้าสู่สมองเพิ่มมากขึ้นทำให้สมองแจ่มใสและฉลาดขึ้น -*- http://www.trepanationguide.com/ รูปการเจาะกระโหลกของแพทย์ชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 01:09:02 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 00:55:29

ความคิดเห็นที่ 2 Bloodletting to Drain Illness  การระบายเลือดจากร่างกายเพื่อรักษาโรค http://en.wikipedia.org/wiki/Bloodletting แพทย์ในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า การเจ็บป่วยของร่างกายมาจากเลือดเสียที่คั่งในร่างกายที่เรียกว่า "humour" จึงเป็นเหตุผลที่สตรีมีประจำเดือนเพื่อขับเลือดเสีย การระบายเลือดออกจากร่างกาย ทำโดยการเจาะเส้นเลือดดำ (venesection) นิยมทำบริเวณแขน โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า fleam สึ่งเป็นเหมือนใบมีดเล็กๆ มีด้ามจับ และรองเลือดใส่ชามไว้ เพื่อดูปริมาณเลือดที่ออกมา นอกจากนี้ มีการทำ Bloodletting โดยวิธที่เรียกว่า leeching คือใช้ปลิงดูดเลือดออกด้วย แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 00:56:39 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 00:55:59

ความคิดเห็นที่ 3 เหตุผลที่ทำให้โรคหายเนี่ย นึกไม่ออกจริงๆค่ะ นอกจากในคนไข้ที่ความดันโลหิตสูง ระบายเลือดออกแล้ว อาจจะลดความดันได้(บ้าง) แต่น่าจะเป็นอันตรายต่อร่างกายมากกว่า แต่ไม่อยากบอกเลยว่าเราเคยโดนทำ Bloodletting ค่ะ  ตอนเด็กๆเคยป่วยเป็นไข้สูง แล้วหมอพื้นบ้านเค้าให้เอาหนามชะอม เจาะเลือดทีละนิ้ว ทั้งสิบนิ้วแล้วเค้นเลือดออก เพื่อระบายเลือดเสีย... ขอบอกว่าเจ็บมากๆๆๆๆ แต่ดีที่ไม่เป็นบาดทะยักตายไป เฮ้อ... เครื่องมือที่ใช้ทำ Bloodletting จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 00:57:35

ความคิดเห็นที่ 4 Curing Hemorrhoids with Hot Irons   การรักษาริดสีดวงทวารด้วยเหล็กเผาไฟ http://www.ehow.com/about_5061343_suppository-hemorrhoidal-treatment.html ในยุคศตวรรษที่ 7 มีพระชาวไอริส St. Fiacre’ซึ่งกำลังทุกข์รมานจากอาการริดสีดวงกำเริบ  ได้นั่งลงบนก้อนหินร้อนๆขณะทำสวน และพบว่าอาการของริดสีดวงดีขึ้น “St. Fiacre’s curse” ในคนไข้ที่อาการริดสีดวงกำเริบหนักมากๆ มีอาการปวดบวมเลือดคั่ง หมอสมัยนั้นจะใช้เหล็กเผาไฟนาบไปที่หัวริดสีดวงนั้น >< เป็นไปได้ว่า การใช้เหล็กร้อนจี้บนริดสีดวงที่กำลังอักเสบ เป็นการะบายเอาเลือดที่คั่งบวมออก ก็เลยทำให้อาการดีขึ้นค่ะ (ปัจจุบันใช้การผ่าตัดเอาหัวริดสีดวงออก เรียกว่า "Hemorrhoidectomy") แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 01:10:30 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 00:58:23

ความคิดเห็นที่ 5 Insulin  Coma for Schizophrenia http://priory.com/homol/insulin.htm ใครได้ดูหนัง A Beautiful Mind จงจำฉาก insulin coma นี้ได้ดี เป็นการรักษาผู้ป่วยจิตเภท (schizophrenia) ในช่วงปี 1940 โดยการทำให้ผู้ป่วยชักโดยการฉีด insulin เข้าเส้นเลือด เพื่อทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนชัก จากนั้นจึงปลุกให้ตื่นโดยการให้น้ำตาลทางสายยางหรือการฉีดเข้าเส้นเลือด   การทำเช่นนี้ถึงแม้ว่าจะมีรายงานว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น แต่การเกิด hypoglycemia นั้น เป็นอันตรายถึงชีวิตและการชักบ่อยๆจะทำให้สมองเสื่อมไปเรื่อยๆ  การรักษาด้วยวิธีนี้จึงได้ยุติไป ปัจจุบัน มีการรักษาโรคจิตเภทที่ไม่ตอบสนองต่อยาโดยการทำ  Electroconvulsive therapy (ECT)  เป็นวิธีการที่ ทำให้เกิด การชักโดยใช้ กระแสไฟฟ้า กระตุ้นผ่านสมอง  ซึ่งจะฉีดยาให้ผู้ป่วยหลับก่อนและมีการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อซึ่งจะทำให้ผลข้างเคียงของการชักลดลงค่ะ การให้น้ำตาลแก่ผู้ป่วยหลังการชัก จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 00:59:41

ความคิดเห็นที่ 6 Heroin Cough Syrup for Children http://www.ehow.com/about_5317292_history-cough-medicine.html เมื่อปี 1827 ได้มีการสกัดสาร codeine และ morphine จากฝิ่นได้เป็นครั้งแรก และมีการนำมาผสมในยาแก้ไอสำหรับเด็กอย่างยี่ห้อยอดนิยม ชื่อว่า Mrs. Winslow's Soothing Syrup โดยไม่ทราบว่ามันเป็นยาเสพติด  กว่าจะรู้ถึงพิษภัยและมีการถอนยาออกจากตลาดก็ปลายศตวรรษ ที่ 19 จากนั้นได้มีการสังเคราะห์เฮโรอีนขึ้นมา และมีการผลิตยาแก้ไอสำหรับเด็กที่ผสมเฮโรอีนขึ้นในปี 1898   โดย Bayer Pharmaceutical Company โดยนักวิทยาศาสตร์คิดว่าเฮโรอีนเป็นสารสังเคราะห์จึงไม่เสพติด ยาแก้ไอของ Byer ยังมีวางขายอยู่จนถึงปี 1913 ถึงมีการถอนออกจากตลาดและการใช้สารจำพวกอนุพันธุ์ของฝิ่นถูกจำกัดอย่างเข้มงวดหลังจากทราบว่าทั้ง โคเดอีน มอร์ฟีนและเฮโรอีนเป็นสารเสพติดอย่างร้ายแรง เฮ้อ... กว่าจะรู้ เด็กๆสมัยนั้นไม่รู้ติดกันไปเท่าไหร่ แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 01:12:11 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:00:55

ความคิดเห็นที่ 7 ยาแก้ไอยอดนิยม ผสมฝิ่น จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:01:16

ความคิดเห็นที่ 8 Icepick Lobotomy   http://health.howstuffworks.com/medicine/surgeries-procedures/lobotomy1.htm Lobotomy  เป็นการรักษาอาการผิดปรกติทางสมอง ที่ได้รับความนิยมในช่วงปี 1930-1940 โดยที่แพทย์มีความเชื่อว่า การทำลายการเชื่อมต่อระหว่างสมองส่วนหน้า (frontal lobes)กับส่วนอื่นๆของสมอง จะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตเวชบางอย่างได้ Dr. Walter Freeman แพทย์ชาวอเมริกันใช้วิธีที่จะเข้าถึงสมองส่วนหน้า โดยการสอดแท่งเหล็กแหลมคล้ายที่เจาะน้ำแข็ง เข้าไประหว่างลูกตาและคิ้ว และใช้ค้อนกระเทาะผ่านชั้นกระดูกบางๆ เพื่อเข้าถึงสมอง ทำการบิดแท่งเหล็กเพื่อตัดเส้นประสาท โดยทำทั้งสองข้าง โดยมีผู้ได้รับการรักษาเป็นจำนวนหลายหมื่นคนทีเดียว หนึ่งในคนไข้ของ Dr.Freeman คือน้องสาวของประธานาธิบดี John F. Kennedy ได้รับการรักษาเมื่ออายุ 23 ปี จากสาเหตุ "mood swings that the family found difficult to handle at home" หลังการรักษาเธอกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ไปตลอดชีวิต จนเสียชีวิตด้วยวัยชราเมื่ออายุ 86 ในปี 2005 กาารักษาด้วยวิธีนี้เสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยเมื่อมีการคิดค้นยาทางจิตเวชขึ้นมาในช่วงยุคปี 1960 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:03:10

ความคิดเห็นที่ 9 Tapeworm Diet http://www.tapewormdiet.net/ โฆษณาในยุคคศ.1900ต้นๆ ขายไข่(หรือซีสต์) ของพยาธิตัวตืด  โดยให้พยาธิแย่งอาหารให้ผอม ว่างั้นเถอะ  -*- สโลแกน “Eat! Eat! Eat! And always stay thin!” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าจะผมอจากพยาธิคงก่อให้เกิดผลเสียด้านสุขภาพอย่างรุนแรง นอกจากจะขาดสารอาหารแล้ว อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่างอื่น เช่น ลำไส้อุดตัน เป็นต้น จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:04:29

ความคิดเห็นที่ 10 Malaria as Treatment for Syphilis http://triviaextreme.com/technology/malaria_cures_syphilis.php ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 20 ซึ่งยังไม่มียาที่สามารถรักษาโรคซิฟิซิสได้ เมื่อโรคลามถึงสมอง นั่นคือเสียชีวิต 100% ต่อมาเมื่อ Dr.Julius Wagner-Jauregg ค้นพบ side effect อย่างหนึ่งของเชื้อมาลาเรีย คือมันสามารถฆ่าเชื้อ Treponema pallidum ได้ เพราะในช่วงที่มีการติดเชื้อมาลาเรีย อุณหภูมิในร่างกายที่สูงจากไข้เป็นเวลานานจะสามารถกำจัดเชื้อ spirochaete ตัวนี้ได้ จากการรักษาด้วยวิธีนี้ มีผู้ป่วยเสียชีวิตจากมาลาเรีย 5 % แต่ถ้าเทียบกับการกำจัดเชื้อซิฟิลิสได้ 100% ก็นับว่ายอมรับความเสี่ยงได้ การค้นพบนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel Prize ในปี 1927 ต่อมาเมื่อมีการค้นพบยาปฏิชีวนะ penicillin ซึ่งสามารรถรักษาซิฟิลิสได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาแบบนี้จึงได้ยุติไป ปล. มีการเสนอการรักษาโรคเอดส์โดยใช้เชื้อมาลาเรียนี้ด้วย โดย Dr. Heimlich ผู้คิดค้น  Heimlich's Maneuver  http://blogs.abcnews.com/theblotter/2007/06/dr_heimlichs_ne.html แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 01:28:42 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:05:18

ความคิดเห็นที่ 11 Clysters http://freerangetalk.com/?p=18441 เป็นการรักษาโรคโดยการใส่ยาที่เป็นของเหลวเข้าไปในทางทวารหนักของคนไข้ ซึ่งก็คือ การสวนทวารนั่นเอง โดยจะมีเครื่องมือเป็นท่อเหล็กสอดเข้าไปในทวารหนักต่อกับเครื่องมือที่ปั๊มของเหลวเข้าไปถึงลำไส้ใหญ่ เมื่อผู้ป่วยขับถ่ายออกมากเชื่อว่าเป็นการกำจัดสารพิษออกจาร่างกาย โดยของเหลวที่ใช้อาจจะเป็นน้ำอุ่นธรรมดาหรือผสมตัวยาอื่นๆ   ดูๆไปก็คล้ายการทำดีท็อกซ์สมัยนี้เลยนะคะ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:06:10

ความคิดเห็นที่ 12 จริงๆแล้วยังมีอีกหลายอย่างค่ะ ไว้ค่อยมาเขียนต่อถ้ามีเวลา อ่านแล้วคิดว่าเรายังโชคดีที่เกิดในสมัยที่การแพทย์ก้าวหน้าแล้ว ไม่งั้นต้องเผชิญกับความเสี่ยง ความหวาดเสียวในการรักษาเวลาเจ็บป่วย นี่ยังไม่นับพวกการรักษาโดยเวทมนตร์หมอผีต่างๆอีกนะคะ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:07:01

ความคิดเห็นที่ 13 โหวตจ้า เจ๋ง !!!! จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:11:03

ความคิดเห็นที่ 14 อีกซักห้าสิบปีคงมีคนมานั่งดูวิธีการรักษาของเราสมัยนี้  แล้วรู้สึกแบบเดียวกัน จากคุณ : Mr MOT เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:17:11

ความคิดเห็นที่ 15 สยอง จริงๆ จากคุณ : ด.ญ หนุงหนิง เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:34:36

ความคิดเห็นที่ 16 ตกลงว่า Icepick Lobotomy  นี่มันรักษาได้ผลมั่งมั้ยละครับ       รึว่าเชื่อกันไปเอง จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:42:28

ความคิดเห็นที่ 17 โหวดครับ แต่ละอย่าง ซาดิสได้ใจจริงๆ จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 01:47:26

ความคิดเห็นที่ 18 อยากได้ยาแก้ไอ จากคุณ : DARKSNIPER เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 02:18:37

ความคิดเห็นที่ 19 หนังเรื่องนึงที่ทำให้เรารู้จัก Icepick Lobotomy คือหนังเรื่อง One Flew Over the Cuckoo's Nest เรื่องนี้ได้รางวัลออสการ์ สร้างได้ดีมากๆๆๆครับ http://www.imdb.com/title/tt0073486/ icepick lobotomy ทำให้ผู้ป่วยที่เอะอะโวยวาย หรือก้าวร้าว สงบนิ่งลงได้ แต่จะเหมือนคนปัญญาอ่อนมากกว่า อันนี้ดูจากหนังนะ ... และที่แพร่หลายในช่วงนั้นเป็นเพราะเป็นการทำที่ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ห้องผ่าตัดซับซ้อน จึงสามารถทำได้ในโรงพยาบาลโรคจิตได้แทบทุกแห่ง (อ่านจาก wikipedia เค้าว่างั้น) ลืมบอกไป ชอบเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 02:28:20 แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 02:23:06 จากคุณ : Medic1669 เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 02:20:18

ความคิดเห็นที่ 20 รูปใน คห.2 เค้าเอาหมามาทำอะไรครับ จากคุณ : เวลาที่หายไป เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 02:32:10

ความคิดเห็นที่ 21 นั่นสินะ อยากรู้ด้วยคน คห.2 เอาหมามาขึงพรึดทำอะไร จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 02:35:06

ความคิดเห็นที่ 22 คิดเหมือน 14 พออีก 200 ปี มาดูยุคปัจจุบัน คงขำๆ จากคุณ : tototo เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 03:00:46

ความคิดเห็นที่ 23 หมอผีงิ จากคุณ : เดธซิทีนี้ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 03:14:54

ความคิดเห็นที่ 24 #2 นั่น ถ่ายเลือดหมาเข้าคน แล้วค่อยถ่ายเลือดคนออกหรือเปล่าครับ จากคุณ : pipek (yukraider) เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 04:02:15

ความคิดเห็นที่ 25 เอ่อ..สยองจริง ๆ จากคุณ : gift is a present เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 07:10:34

ความคิดเห็นที่ 26 กรี๊ดดดดดดดดดด สยอง กระทู้แนะนำใหม่แง๋มๆ จากคุณ : cashmamamia เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 07:22:22

ความคิดเห็นที่ 27 ชอบมากกระทู้นี้ จากคุณ : kanoomtan เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 07:39:46

ความคิดเห็นที่ 28 ตอบคำถาม Icepick Lobotomy   ได้ผลจริงไหม? - ตามหลักแล้วสมองส่วน frontal lobe ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว อารมณ์ ความรู้สึก ถ้ามีการทำลายเนื้อสมองจากการทำ Icepick Lobotomy  ผู้ป่วยจิตเวชอาจจะสงบลง ทำให้คิดว่า การรักษานั้นได้ผลค่ะ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่การรักษาที่ถูกต้อง มีรายงานมากมายถึงผู้ป่วยที่แย่ลง มีภาวะปัญญาอ่อน จนไปถึงขั้นเป็นผัก( vegetative state) ส่วนในรูปความเห็น 2 มันคือ"แกะ" ค่ะ พี่น้อง ไม่ใช่หมา พอดีเมื่อคืนง่วงหยิบรูปจากวิกิมามั่วๆ ในรูปผู้ชายคนนี้ได้รับการเอาเลือดออกและได้รับการถ่ายเลือด (blood transfusion) จากแกะค่ะ blood transfusion ของมนุษย์เกิดขึ้นครั้งแรกจากการให้เลือดของแกะสู่คน ในประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษเมื่อสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา มีการบันทึกว่าได้ผลดีกับผู้ป่วยบางคน แต่มีผลเสียกับผู้ป่วยจนถึงแก่ชีวิต (เนื่องจากว่าการให้เลือดสิ่งมีชีวิตคนละ species กัน จะทำให้เกิดปฏิกิริยากันที่ไม่เข้ากันอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า Hemolytic transfusion reaction) ทำให้การให้เลือดจากแกะสู่คนต้องหยุดชะงักลงเป็นเวลานาน กว่าจะมีการคิดค้นการให้เลือดจากคนสู่คนก็อีกร้อยกว่าปีต่อมาโน่นแหละค่ะ  การให้เลือดจากคนสู่คนครั้งแรกเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ โดย James Blundell ซึ่งเป็นทั้งอายุรแพทย์และสูติแพทย์ประจำโรงพยาบาลกายส์ ประเทศอังกฤษ เป็นบุคคลซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการให้เลือดของยุคปัจจุบัน กรมมของแกะ ^ ^ " http://www.corbisimages.com/Enlargement/IH018609.html จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 07:49:09

ความคิดเห็นที่ 31 เจาะกะโหลกนี่เคยอ่านเจอในวันพีซ -*- จากคุณ : ssgarden เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 08:49:42

ความคิดเห็นที่ 32 ผมชอบภาพประกอบมากเลยครับ จากคุณ : อยู่ก็เปลืองไฟไปก็เปลืองน้ำมัน เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 08:52:11

ความคิดเห็นที่ 33 กลับไปมองอีกที มีแกะอยู่ด้วย !!! มองครั้งแรก เห็นแต่เลือดพุ่งเป็นพาราโบลา อย่างสวยงาม อะไรจะขนาดน้าน จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 09:17:34

ความคิดเห็นที่ 34 นึกถึงสตาร์เทรคภาคนึงที่ตัวเอกต้องย้อนเวลากลับมาโลกปัจจุบัน  เดินอยู่ในโรงพยาบาลคนที่เป็นหมอประจำยานเห็นคนป่วยก็ถามว่าเป็นอะไร เค้าบอกจะผ่าตัดเปลี่ยนไต หมออนาคตด่านี่มันยุคมืดรึไงวะ 555 จากคุณ : ผีฟรีคิก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 09:19:11

ความคิดเห็นที่ 35 แสดงให้เห็นว่าการแพทย์มีการพัฒนาขึ้นเป็นเรืองดีครับ จากคุณ : เกิดในที่สว่าง เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 09:31:36

ความคิดเห็นที่ 36   อ่านแล้วสยอง โชคดีจริง ๆ ที่เกิดในยุคนี้ แต่ไม่แน่ต่อไปการผ่าคลอด หรือผ่าตัดของเราอาจจะกลายเป็นการรักษาสุดสยองของการแพทย์ข้างหน้าก็ได้เนาะ อยากรู้จังว่าโรคซิฟิซิสอาการมันเป็นยังไง มีอีกหลานโรคที่ยังไม่รู้จักเลยละ จากคุณ : ปวดม้าม เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 09:33:38

ความคิดเห็นที่ 37 ผมอ่าน คห 4 กับ11   แล้วขมิบตรูดตาม จากคุณ : red-racket เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 09:34:02

ความคิดเห็นที่ 38 ในเรื่องสามก๊ก มีตอนหนึ่งที่โจโฉมีอาการเห็นภาพหลอนของกวนอู และมีอาการปวดหัวรุนแรง จึงได้เชิญหมอฮูโต๋ว ซึ่งเป็นหมอเทวดาในยุคนั้น ให้เข้ามาตรวจดูอาการของโจโฉ หมอฮูโต๋ววินิจฉัยว่าเป็นอาการทางสมอง ต้องทำการเจาะ(ผ่า)กระโหลก ซึ่งโจโฉก็สอบถามถึงวิธีรักษา หมอฮุโต๋วก็อธิบายคร่าวๆว่า จะใช้ขวานเจาะเข้าไปที่กระโหลกของโจโฉ ... โจโฉโวยวาย หาว่าหมอฮูโต๋วเป็นไส้ศึกที่เล่าปี่ส่งมา วางแผนจะลอบฆ่าโจโฉ จึงสั่งประหารหมอฮูโต๋วครับ ... จากคุณ : sanchai0045 เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 09:34:23

ความคิดเห็นที่ 39 เจาะกระโหลกนี่เคยได้ยินว่าของอียิปต์โบราณก็มีทำ เห็นว่าให้พลังของแสงอาทิตย์จาก รา ส่งเข้าไปถึงเพื่อรักษา โคอิดีน และสารประกอบฝิ่นยังมีใช้กันอยู่นะครับในยาแก้ไอน้ำดำ ปลิง: รู้สึกเหมือน คห 34 เลยละตอนอ่านบทความนี้ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 09:42:23

ความคิดเห็นที่ 40 รายการแรก เคยได้ยินมา เขาเรียกว่า ศาสตร์ การเจาะกระโหลก มีบันทึกในจีนด้วย ในสมัย สามก๊กเลย นะ จากคุณ : เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 09:52:29

ความคิดเห็นที่ 41 o_O'' จากคุณ : wrought เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:01:38

ความคิดเห็นที่ 42 แล้วไอ้ตอนเจาะมันจะไม่เจ็บตายไปก่อนเหรอครับ หรือสมัยนั้นก็มียาชาหรือยาสลบแล้ว จากคุณ : Desolation Angel เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:04:00

ความคิดเห็นที่ 43 ^นั่นสิ จากคุณ : ลูกนกตกต้นไม้ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:24:50

ความคิดเห็นที่ 44 แต่ละอย่าง สยอง T_T จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:32:38

ความคิดเห็นที่ 45 ไฟนาบริดสิดวง โอ้แม่เจ้า!!!! จากคุณ : สุดโหดโครตโรแมนติก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:35:46

ความคิดเห็นที่ 46 จากคุณ : wippygal25 เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:38:49

ความคิดเห็นที่ 47 สุดยอดมากครับ หลายอย่างเพิ่งเคยทราบ.... จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:53:18

ความคิดเห็นที่ 48 กระทู้แบบนี้ชอบครับ ให้ความรู้ จากคุณ : ฉันวันนี้ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:55:51

ความคิดเห็นที่ 49 O_O!! หนูโชคดีจังที่เกิดมาในสมัยที่การแพทย์ก้าวหน้า มิฉะนั้น ขึนป่วยมา... เหอะๆ ปล. A Beautiful Mind เรื่องนี้หนูชอบมากๆ หนูว่า John Nash นี่เขาเทพจริงๆ จากคุณ : มหาโจรแห่งบ้านลี้ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:56:27

ความคิดเห็นที่ 50 ด้านหนึ่งก็รู้สึกว่า "ดีแล้ว ที่ไม่ได้เกิดในยุคสมัยนั้น โหดอย่างนี้ เรียกว่าการรักษาได้ยังไง" อีกด้านก็รู้สึกว่า "แล้ว 100-200 ปี ข้างหน้า คนสมัยนั้น มองกลับมาที่การรักษาในของยุคเรา จะรู้สึกอย่างไร" จากคุณ : ksk เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:59:44

ความคิดเห็นที่ 51 เจ็บตัวทั้งขึ้นทั้งล่อง ร่างกายป่วยก็แย่อยู่แล้ว ยังต้องมาเจ็บเพราะการรักษาอีก จะหายหรือตายก็ยังไม่รู้ จากคุณ : เด็กแหนม เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 11:33:19

ความคิดเห็นที่ 52 ที่แน่ๆผมว่าสมัยนี้พยาบาลสวยขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก จากคุณ : สุดโหดโคตรโรแมนติค เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 11:36:13

ความคิดเห็นที่ 53 สยองจริง ๆ ... ถ้าให้รักษาด้วยวิธีการบ้าบอแบบนี้ ผมยอมตายดีกว่า จากคุณ : macenjoy เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 11:41:41

ความคิดเห็นที่ 54 ตอนเด็กๆ แถวบ้านนอกผมเคยเห็นหมอเทวดารักษาด้วยการเป่า เพี้ยง หายเลย แล้วน้ำลายก็เต็มหน้าคนไข้ -*- จากคุณ : Glamosic เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 11:58:17

ความคิดเห็นที่ 55 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:11:11

ความคิดเห็นที่ 56 โชคดีที่เกิดมายุคนี้ ขอบคุณที่นำมาให้อ่านนะค่ะ จากคุณ : townthara เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:11:59

ความคิดเห็นที่ 57 พวกเจาะสมองน่ากลัวอ่ะ ดีแล้วที่การแพทย์พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จากคุณ : nowan เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:29:13

ความคิดเห็นที่ 58 Icepick Lobotomy   - เคยอ่านนิยายเรื่อง"ล่า" ตันฉบับที่ทำเป็นละครโทรทัศน์ (สินจัยเล่นเป็นตัวเอก แม่ของลูกสาวที่ถูกข่มขืนโดยแก็งวัยรุ่น ทำให้เกิดอาการหลอนทางจิต) แพทย์ทางจิตเวชที่ทำการรักษาอาการหลอน/ประสาทของลูกสาวก็เลยต้องตัดเส้นประสาทเชื่อมโยงความทรงจำหรืออะไรทำนองนี้ ลูกสาวก็เลยกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปเลย เรื่องของวิทยาการที่ยังไม่ก้าวหน้าพอจะศึกษาผลกระทบกับสุขภาพที่เคยเจอในสารคดีก็มี 1. น้ำผสมไอโอดีน (หรือธาตุตัวอื่น) ที่มีกัมมันตภาพรังสี นำออกมาขายเพื่อเพิ่มไอคิว หรือเสริมสุขภาพ 2. เครื่องฉายรังสีเอ็กซ์ มีอยู่ในร้านขายรองเท้า เพื่อดูว่ากระดูกเท้ามีรูปร่างอย่างไร จะสวมใส่รองเท้าคู่ไหนได้เหมาะ จากคุณ : Mr. SJ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:35:31

ความคิดเห็นที่ 59 OO จากคุณ : -APEM เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 15:09:57

ความคิดเห็นที่ 60 . . . เห็นภาพการเจาะกระโหลก แล้วนึกถึงหนังเรื่อง Saw เป็นฉากที่ใช้สว่านเจาะกระโหลกจิ๊กซอว์ -*- . จากคุณ : Dying To Be Alive เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 15:12:28

ความคิดเห็นที่ 61 หลอนมากแต่สมัยก่อนสร้างสรรค์ดีนะ คิดวิธีแปลกๆโดยคนไข้ยังกล้าให้รักษา จากคุณ : Godgate เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 15:31:43

ความคิดเห็นที่ 62 การแพทย์สมัยนั้น ... อื่มก็บรรเจิดดีนะค่ะ .. แต่ที่สยองสุดขีด .. ก็ไอ้ไฟนาบริดสีดวงนี้แหละ ... โอ๊ย ..ตายทั้งเป็นจริงๆ จากคุณ : เจ้าหญิงโบราณล้านปี เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 15:45:37

ความคิดเห็นที่ 63 อ่านไม่ไหวคร้าบ อ่านได้แค่การรักษาจิตเภท ที่เหลือ นู๋ยอมแป้ จากคุณ : กิ่งกัลปพฤกษ์ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 16:00:36

ความคิดเห็นที่ 64 ^__^ จากคุณ : เซ็งอูฐ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 16:04:31

ความคิดเห็นที่ 65 โฮกกกกกกกกกกก แต่ละอย่างนิ สยองง่ะ ><" เจาะกะโหลกๆงี้ จ๊อร์จจจจจจจจจจจ จากคุณ : วัตถุต้องสงสัย เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 16:53:20

ความคิดเห็นที่ 66 ไม่กล้าอ่านกันเลยทีเดียวครับ จากคุณ : นายฉิม เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 17:35:43

ความคิดเห็นที่ 67 รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจัง*-* จากคุณ : Mu_jumP เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 18:00:02

ความคิดเห็นที่ 68 รูปซ้าย เจาะกะโหลกกันมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ รูปขวา เจาะกะโหลกันเมื่อปีที่แล้ว จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 18:00:49

ความคิดเห็นที่ 69 เห็นรูปตอนที่เจาะกะโหลกใน #1 แล้วนึกถึงเรื่อง จิน หมอทะลุศตรวรรษเลยค่ะ   เครื่องมือแบบนี้ เจาะแบบนี้เลย โผล่มาตอนแรกก็เจาะให้ดูกันเลยทีเดียว - -" จากคุณ : *~Moku`Moku~* เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 19:17:02

ความคิดเห็นที่ 70   ....ปวดหัวมั้ยครับแนะนำหมอให้คนนี้เลยหมอชั้นหนึ่ง..ฮันนิบาล แลคเตอร์ จากคุณ : นอนยัน เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 19:27:33

ความคิดเห็นที่ 71   คนอีก1000ปี หน้า มาเจอว่ามีผู้หญิงผ่าตัดยัดเอาถุงซิลิโคนเข้าไปตรงหน้าอก ก็ต้องว่าคนยุคนี้เพี้ยน จากคุณ : @VVIEWW เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 20:40:09 A:58.64.62.12 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 72 คนไข้ท่าจะตายมากกว่าหายนะเนี่ย การระบายเลือดเนี่ย จำได้ว่าโรบินฮู๊ดตายเพราะรับการรักษาแบบนี้นี่แหละ ยังมีที่สยองกว่านี้อีก(สำหรับท่านชาย) นั่นคือการรักษานิ่ว วิธีการก็คือแหย่คีมเข้าทางปลายองคชาติ และควานหาก้อนนิ่วแล้วดึงออกมา ดูในสารคดีแล้วน่าสยดสยองจริงๆ เพราะเจ้าก้อนนิ่วก็จับตัวแข็ง มีหนามตะปุ่มตะป่ำรอบๆ ไม่รู้ตอนดึงออกจะเจ็บขนาดไหน ที่สำคัญ ยุคนั้น ช่างตัดผมคือผู้รักษาโรคนิ่วนะครับ จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 21:05:34

ความคิดเห็นที่ 73   แสดง มนุษย์ รู้ว่า สมอง มันมีหน้าที่สำคัญ ตั้งหลายพันปีมาแล้วสิ แต่ดูๆ แล้ว สมอง เป็นส่วนที่มองไม่เห็น ไม่มีการเคลื่อนไหว ทำไมคนสมัยก่อน คิดว่า มันมีความสำคัญ จากคุณ : Orient เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 21:11:56 A:134.2.246.14 X: TicketID:127314

ความคิดเห็นที่ 74 กลัวน่ะ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 22:22:41

ความคิดเห็นที่ 75 #36 อาการของซิฟิลิส มีหลากหลายมาก ตั้งแต่แค่เป็นแผลเฉพาะที่ จนถึงเป็นลามทุกอวัยวะรวมทั้งสมอง อีกทั้งยังมีที่เป็นแต่กำเนิด (congenital shyphilis) อีกด้วยค่ะ ลองอ่านใน http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/std/Syphilis.htm #42 จริงๆแล้ว การแพทย์สมัยก่อนก็มีการใช้ยาระงับความรู้สึกมาแล้วนะคะ อย่างฝิ่นเนี่ย ใช้มาเป็นพันๆปีตั้งแต่ก่อนคริสตกาล แล้วก็มีการใช้ส่วนผสมต่างๆเช่น Dwaleเป็นส่วนผสมของไวน์กับพืชมีพิษต่างๆเช่น ต้นลำโพง ใช้แล้วคงไม่รู้สึกตัวถึงตายไปก็มี  แต่การผ่าตัดในช่วงแรกๆที่เริ่มต้นทำกันก็คงต้องยอมรับว่าคนไข้ต้องทนทุกข์ทรมานมากๆทีเดียวค่ะ  ส่วนเคสที่เจาะกระโหลก บางทีก็คงอาการหนักหรือไม่รู้สึกตัวแล้วก็ได้ค่ะ #68 อาจารย์ขา... อย่าพาทู้เค้าออกทะเลนะ แต่คนในรูปเค้าไม่ได้เจาะกระโหลกแบบนั้นหรอกค่ะ เค้าผ่าเป็นรูปแบบนี้ (กระโหลกไม่มีรูเพราะปิดเรียบร้อย) จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 22:52:57

ความคิดเห็นที่ 76 #72 ใช่ค่ะ ปกติแค่นิ่วในปัสสาวะก็เจ็บเจียนตายอยู่แล้วค่ะ การเอานิ่วออกจากกระเพาะปัสสาวะสมัยก่อยเรียกว่า  Celsan Operation for Bladder Stones ต้องขึ้นขาหยั่ง มีคนจับไว้สองคนดังรูป เพราะมันเจ็บมากกกกก ... จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 22:55:56

ความคิดเห็นที่ 77 ส่วนนี่ก็เป็น แท่งเหล็กที่ใช้เกี่ยวนิ่วออกมา จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 22:57:26

ความคิดเห็นที่ 78 จาก คห.39 แสดงว่าผมไม่ใช่คนเดัยวใช่ไหมที่ชอบกินยาแก้ไอน้ำดำ จากคุณ : SignPost เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 22:57:53

ความคิดเห็นที่ 79 ^ ยาแก้น้ำดำทุกวันนี้ บางสูตรยังมี codeine หรือ opuim ผสมอยู่ค่ะ แต่ไม่ใช้ในเด็กแล้ว ก็จำกัดปริมาณลงมาก สมัยก่อนอย่างในรูปคห.7  เห็นว่าผสมกันเป็นกรัมต่อยาหนึ่งออนซ์เลย -*- เล่าถึงการทำ bloodletting นิดหนึ่ง ถึงจะดูเป็นวิธีที่โหดร้าย แต่ปัจจุบันก็ยังใช้ในการรักษาอยู่นะคะ คือ ใช้ระบายเลือดออกในคนไข้ที่มีภาวะเลือดข้นเกิน (polycytemia) จากสาเหตุต่างๆ เพราะเลือดที่ข้นเกินจะหนืด ทำให้เหนื่อยหอบ เกิดโรคหัวใจหรือสมองขาดเลือดได้ อันนี้ตำแหน่งของการทำ bloodletting ในตำราโบราณ ท่านชายดูแล้วคงหวาดเสียวมิใช่น้อย (จะมีคนอ่านอยู่มั้ยเนี่ย กระทู้นี้ -*- ) จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 23:12:29

ความคิดเห็นที่ 80 อ่านแล้วสยองมากเดลยและก็ขอบคุณ จขกท มากๆ เลยค่ะที่อุต่าห์แปลมาแบ่งปันให้รู้กัน รูปประกอบ สุดยอดดด จากคุณ : Mad Monqui (Mad Monqui) เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 23:16:47

ความคิดเห็นที่ 81 สมัยนี้ก็มีครับ "น้ำหมักผักเน่า" กว่าจะรู้ไม่รู้ว่ามีคนซื้อน้ำผักเน่าราคาแพงไปหยอด ตา หู คอ จมูก มากมายสักเท่าไหร่ จากคุณ : In Black Corner เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 23:38:42

ความคิดเห็นที่ 82 บรึ๋ยยยส์ จิ้นถึงตอนเป็นนิ่วกับริดสีดวงแล้วสุดสยอง จากคุณ : ป่านฉะนี้เธออยู่ดีไฉน เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 23:43:06

ความคิดเห็นที่ 83   79 # จากรูป ผมว่าแค่ถ่ายเลือด เอาแค่แขนขาก็พอมั่งครับหน้ากับส้นเท้าเอาไปทำไม จากคุณ : glamar เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 00:22:31 A:58.9.160.249 X: TicketID:275464

ความคิดเห็นที่ 84 ชอบครับๆๆ จากคุณ : KeeperMan เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 00:50:37

ความคิดเห็นที่ 85 ขอบคุณมากครับน้าหมูเหมียว หุหุ เคยได้ยินมาว่า การทำ blood letting ใช้ได้ในผู้ป่วย heart failure ในสมัยก่อนน่ะครับ ก็คงเป็นการให้ diuretics เพื่อขับน้ำออกน่ะครับ แต่สมัยก่อนไม่มียา ก็เลยเอาเลือดออกมาแทน...พอเอาออกมา afterload ก็น้อยลง ทำให้ pumping ดีขึ้น แล้วก็ทำให้ pulmonary pressure ลดลง ก็น่าจะหายเหนื่อยได้ครับ...จำได้เลาๆ ว่า ทำกันในร้านตัดผม เพราะ barber ก็คือ surgeon เหมือนกัน มีมีดกรีดเลือดออกมา ทำให้สบายตัวได้ เหอๆ...สยองพิกล แต่ถ้าออกมากไป ก็ลด preload ด้วย แล้วยัง hypovolumia ก็คง shock ตายน่ะครับ หุหุ จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 02:08:58

ความคิดเห็นที่ 86 ขอเสนอความสยองอีกอย่างครับ Couching ครับ เมื่อก่อน ต้อกระจกยังไม่มีวิธีการรักษาครับ เครื่องมือเล็กๆ ที่จะผ่าตัดตาก็ไม่มี กล้องจุลทรรศน์ที่จะส่องไปทำผ่าตัดก็ไม่มี แต่คนก็เป็นต้อกระจกกันมานมนานแล้ว วิธีง่ายๆ ก็คือ กระทุ้งต้อนั่นน่ะ ให้ตกลงไปในวุ้นตาซะงั้น ง่ายๆ ตรงๆ ครับ เรียกว่า วิธี couching ครับ แน่นอนว่า ยาชาก็ไม่มีครับ ก็ต้องอาศัย สองคน คนนึงคอยจับหัวไว้ด้านหลัง ไม่ให้หลบไปได้ อีกคนก็ถือเครื่องมือในการทำครับ ใช้เครื่องมือเป็นเข็มแหลมๆ แทงเข้าไปในลูกตา แล้วก็เกี่ยว zonule ให้ขาด เลนส์ต้อกระจก ก็หล่นตุบไปที่วุ้นตา แผลก็ไม่ต้องเย็บครับ เพราะคงไม่มีไหมที่เล็กขนาดเย็บตาได้ ก็ปล่อยมันปิดเองครับ หุหุ จะบอกว่า วิธีนี้ ในบ้านเรายังมีใช้กันอยู่ในชนบทไกลๆเลยนะครับ แต่แทบจะหมดจากโลกนี้แล้วครับ เพราะรพ.เข้าถึงทุกชุมชนแล้ว ลืมอ้างอิงครับ http://www.mrcophth.com/Historyofophthalmology/cataracthistory.htm เพื่อใครอยากเข้าไปอ่านเพิ่มเติม หุหุ แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 53 02:19:39 แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 53 02:17:39 แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 53 02:15:57 จากคุณ : jeafish เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 02:13:57

ความคิดเห็นที่ 87 สะดุดกึ้กที่ คห. 68 นี่ล่ะ 555+ จากคุณ : อาจจะแก่ เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 03:44:46

ความคิดเห็นที่ 88   กระทู้สนุกมากๆ ครับ ผมอ่าน ทุก คห. เลย จากคุณ : กิโยติน เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 05:20:57 A:74.207.250.241 X: TicketID:276906

ความคิดเห็นที่ 89 # 86, 87 ขอบคุณมากๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ  ถ้าเอาเลือดออกในคนไข้ heart failure คงเหมือนได้ diuretics จริงๆนั่นแหละ cataract ที่สุกงอมเนี่ย มันหลุดง่ายจริงๆนะคะ เห็นหมอตาสะกิดนิดเดียวก็หลุด ...  คนสมัยก่อนคงเห็นว่าแบบนี้เหมือนกันก็เลยลองเขี่ยๆดู แต่ก็ไม่รู้จะทำไปทำไมเนอะ ทำแล้วมองไม่เห็นอยู่ดี แล้วก็ทำสดๆเนี่ย ความเจ็บคงไม่ต้องบรรยาย -*- ว่าแต่แอบเคืองนะเนี่ย เรียกเป็นน้าเชียว (ดีไม่เรียกป้า) จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 07:01:05

ความคิดเห็นที่ 90 สมัยก่อน ที่วิทยาการด้านการผ่าตัด การให้ยาสลบยังไม่ก้าวหน้า ยังมีการผ่าตัดที่โหดๆแบบนี้อีกหลายอย่าง แน่นอนว่าขั้นตอนมันเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แต่บางทีก็ต้องทำเพื่อรักษาชีวิต ยกตัวอย่าง เวลาสงคราม สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหามากต่อแพทย์สมัยนั้นก็คือ หัวลูกศรที่หักคาอยู่ในร่างกายทหาร ด้วยความที่มันเป็นเงี่ยงจะเอาออกมาก็ลำบาก จึงมีการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "arrow spoon" ซึ่งคิดค้นโดยหมอชาวอาหรับ Albucasis โดยจะใช้สอดเข้าไปในบาดแผลและเกียวเอาลูกศรออกมา จากนั้นบาดแผลก็จะถูกรักษาด้วยการจี้ด้วยเหล็กเผาไฟร้อนๆ เป็นการห้ามเลือดและกันการติดเชื้อ ซึ่งก็เปรียบเหมือนจี้ไฟฟ้า (electric cautery) ในสมัยนี้ รูปซ้าย “The Wound Man” แสดงตำแหน่งของบาดแผลที่อาจจะเกิดได้ในสงคราม รูปขวา arrow spoon ที่ว่า จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 07:44:39

ความคิดเห็นที่ 91 หวาดเสียว จากคุณ : BB LOVE เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 07:59:21

ความคิดเห็นที่ 92 โอ้ววววววววววววววววววววววววววววววว จากคุณ : nuchnanuch เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 09:06:21

ความคิดเห็นที่ 93 "การระบายเลือดออกจากร่างกาย ทำโดยการเจาะเส้นเลือดดำ (venesection) นิยมทำบริเวณแขน โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า fleam สึ่งเป็นเหมือนใบมีดเล็กๆ มีด้ามจับ และรองเลือดใส่ชามไว้ เพื่อดูปริมาณเลือดที่ออกมา" ภาพจากความเห็นที่ ๒ ไม่ตรงกับความจริงนะครับ ความดันในเส้นเลือดดำ = 0 ความดันในเส้นเลือดแดง = 120/80 มิลลิเมตรปรอท เฉลี่ยโดยประมาณ = 100 มิลลิลิตรปรอท ปรอทหนัก ประมาณ 14 เท่าของน้ำ - เลือดจะพุ่งจากเส้นเลือดแดงขึ้นไปได้สูงถึง = 150 เซนติเมตร ฉะนั้น ภาพที่เห็นนั้น เจาะจากเส้นเลือดแดงครับ ไม่ใช่ venesection แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 53 09:30:51 จากคุณ : มะม่วงกะล่อน เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 09:29:35

ความคิดเห็นที่ 94 ^ ช่างสังเกตมากเลยค่ะ  ใช่แล้วค่า ตามความเป็นจริงต้องเป็นแบบคุณมะม่วงว่าแหละ แต่คิดว่าจิตรกรสมัยก่อนคงอยากให้เห็นภาพเลือดพุ่งมากกว่าค่ะ (เพราะในคห.3 ก็พุ่งเหมือนกัน) ...ภาพนี้เป็นการทำ bloodletting ร่วมกับ blood transfusion ตามที่จิตกรสมัยโบราณวาดไว้ค่ะ http://collectmedicalantiques.com/bloodletting.html ...และถ้าเอาจริงๆถึงเลือดจะมากจากเส้นเลือดแดง ก็ไม่พุ่งเป็นโปรเจคไตล์หรอกค่ะ ^ ^ ถ้าเลือดที่มาจากเส้นเลือดดำคงไหลประมาณนี้ ^ ^ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 11:05:27

ความคิดเห็นที่ 95   โชคดีแล้ว ที่การแพทย์ในยุคที่เราเกิดมาไม่ทรมาณมากเหมือนอดีต แต่อนาคตอาจไม่เจ็บเลย จากคุณ : tottui เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 13:00:11

ความคิดเห็นที่ 96 ^ อนาคต ก็คงมีคนพูดถึงการแพทย์ในสมัยเราแบบนี้สินะ จากคุณ : ซินเดอเรล่า เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 13:54:53

ความคิดเห็นที่ 97 ความเห็นที่ ๙๔ ไม่จริงครับ ... เลือดจากหลอดเลือดแดงพุ่งเป็นลำขึ้นมาเลยครับ ...ถ้าผ่าตัดอยู่ แล้วผิดพลาด เลือดพุ่งใส่หน้าหมอผ่าตัดเลยครับ ... สมัยเป็นนักศึกษาเห็นกับตาเลยครับ ... แต่เป็นหลอดเลือดขนาดเล็ก ...พุ่งไม่สูงเท่าไร แต่ผมเคยคนเห็นถูกแทงที่คอ (ที่สถานีรถไฟ วงเวียนใหญ่) เลือดพุ่งมาสูงกว่าหนึ่งเมตร (คนถูกแทงหกล้มอยู่ที่พื้น) ... ยายแก่ แถวนั้นเป็นลมไปหลายคน แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 53 14:03:35 จากคุณ : มะม่วงกะล่อน เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 14:00:26

ความคิดเห็นที่ 98 ^ ^ ^ จ้า..  พุ่งก็พุ่ง ตามนั้นก็ได้ ...ดมยาเคส  Trauma ,Aorta หรือ Open Heart แทบทุกวัน  เจอประจำเหมือนกัน แต่หมายถึงว่าเป็น imagine ของคนวาดน่ะ อย่าซีเรียส  ไม่อยากจะมา lecture  ในกระทู้ ^ ^ เขียนเพิ่ม ...พูดถึงเรื่องเลือดพุ่ง นึกขึ้นมาได้ เคยดมยาเคส เปลี่ยนถ่ายไต ตอนตัดไตออกจากตัวผู้บริจาค  เลือดพุ่งปรี๊ดถึงเพดาน ยังเป็นรอยมาถึงทุกวันนี้เลยค่ะ  ^ ^ " แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 53 16:33:08 แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 53 15:29:04 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 15:18:53

ความคิดเห็นที่ 99 เสียวสันหลังมากมาย ไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรเลย จากคุณ : moshita เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 15:35:49

ความคิดเห็นที่ 100 มาเยือน จากคุณ : Pixar เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 16:19:54

ความคิดเห็นที่ 101 เคยโดน#3 อยู่ หนนึง ไข้ไม่ยอมลด แม่หมอก็จัดให้เลย 10 นิ้วมือ จะเอาอีก 10 นิ้วเท้าด้วย แต่เราเจ็บมากจนไข้หาย ร้องตลอดเลย ไม่มีใครจะสงสารสักคน ตอนนั้นอยู่อนุบาลเอง และที่โดนประจำทุกๆครั้งที่ป่วย คือ ย่าจะเอาหนามชะอม  บ่งตรงรูทวารอะ เลือดออกเป็นลิ่มๆ เจ็บสุดๆ กลัวจับใจ จากคุณ : พริมภิพัทรา เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 16:33:17

ความคิดเห็นที่ 102 ด๊อกเตอร์ ทางฟิสิกส์ ท่านหนึ่ง ได้กล่าวไว้ว่า  วิทยาการไม่ได้ ก้าวหน้า แบบ Linear ไม่ได้แปลว่า ปัจจุบันก้าวหน้ากว่าอดีต 100 เท่า อนาคตจะต้องก้าวหน้ากว่า ปัจจุบัน 100 เท่า ทฤษฎีใหม่ๆ ในปัจจุบัน มีโอกาสเกิดยากกว่าเดิมมาก เพราะคนรุ่นเก่าได้คิดไว้ครอบคลุมเกือบทั้งหมดแล้ว ดังนั้น ไม่ได้แปลว่า อีก 50 หรือ 100 ปีข้างหน้า เทคโนโลยี จะทันสมัยขนาดว่า ต้องหันมาสยอง ปัจจุบันเลย จากคุณ : Porbeckham07 เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 19:09:46

ความคิดเห็นที่ 103 เคยเห็นการทำ bloodletting ในคนไข้ ต่อนิ้ว ซึ่งขาดจากการถูกเครื่องจักรตัด ซึ่งภายหลังการต่อ ต้องมีการให้ยาละลายลิ่มเลือด และพวก dextran แต่ก็อาจพบภาวะเลือดดำคั่งได้ในปลายนิ้ว ซึ่งความดันของมันจะไปกดหลอดเลือดแดงฝอยไม่ใช้เข้ามาเลี้ยงนิ้วได้ จึงต้องทำการเจาะแล้วรีดเอาเลือดดำออกมาจากปลายนิ้ว จากคุณ : vkp_nirvana เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 19:28:36

ความคิดเห็นที่ 104 #101 แค่คิดยังเจ็บแทนเลยค่ะ หนามชะอมบ่งทวาร ทำไปได้ไง #102 เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ จริงๆก็คิดแบบนี้แหละ แต่เขียนไม่เป็น รู้สึกว่าวิทยาการแต่ละอย่างจะมีจุดก้าวกระโดดหรือจุดเปลี่ยนของมันน่ะค่ะ จากนั้นแล้วมันก็จะก้าวไปช้าๆ อย่างการค้นพบการให้ยาสลบ ทำให้การผ่าตัดเปลี่ยนโฉมหน้าไปมาก ยาสลบ(Vapourizer) ตัวแรกคือ Ether เดี๋ยวนี้มีตัวใหม่ๆที่ดีขึ้น  แต่อีกห้าสิบปีก็คงเปลี่ยนจากนี้ไปไม่มากแล้ว รูป การสาธิตการให้ยาสลบด้วย ether เป็นครั้งแรกในปี 1846 ในผู้ป่วยที่มาผ่าตัดก้อนที่คอ  เปลี่ยนโฉมหน้าวงการศัลยกรรมไปมากมาย ... "Divinum est sedare dolorem" ["It is divine to abolish pain"] . จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 19:33:34

ความคิดเห็นที่ 105 ทักทายพี่หนึ่งครับ :) จากคุณ : Epinephrine เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 22:08:18

ความคิดเห็นที่ 106 คคห. 93, 97 ผมเห็นด้วยกับ จขกท. คุณหมูเหมียวครับ ว่าเป็นรูปอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เฉยๆ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปกรีดเอาเส้นเลือดแดง และตำแหน่งเส้นเลือดแดง ก็อยู่ด้านในของแขน ในรูปกรีดด้านนอกของแขนชัดๆ ปล. ความดันเลือดดำ 40 มม.ปรอทครับ ส่วนความดันเฉลี่ยเลือดแดง 120/80 คิด เฉลี่ย mean arterial pressure จะได้ 93 ครับ จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 23:32:32

ความคิดเห็นที่ 107 ผมว่าอีกซักไม่กี่ปีข้างหน้า คนในอนาคตคงสยองกับวิธีการรักษามะเร็งของเรายุคปัจจุบันครับ "....คนเป็นมะเร็งในยุคนั้น  ต่างก็เจ็บปวดและทุกทรมานทั้งทางกายและทางใจ  ญาติต่างเสียขวัญเพราะโอกาสรอดนั้นต่ำเหลือเกิน   การรักษาในยุคนั้นช่างเป็นวิธีที่น่าสยองขวัญ  เบื้องต้น  หากสามารถทำได้  แพทย์จะใช้มีดคมๆผ่าเปิดช่องท้อง  แล้วควักเอาเนื้อมะเร็งออกมา  ก่อนใช้เข็มเย็บปิด   หรือหากเป็นอวัยวะที่แพทย์ยุคนั้นไม่สามารถทำการผ่าท้องได้  ก็จะใช้รังสีร้อนๆ  ยิงเข้าไปในตัวคนไข้โดยตรง  โดยหวังว่าจะฆ่าเนื้อมะเร็งได้ ซ้ำร้ายกว่านั้น  เมื่อผู้ป่วยเริ่มอาการหนัก  มะเร็งกระจายไปทั่วตัว...พวกเขาอาจจะถูกฉีดด้วยยาพิษ!!!   ยาพิษนี้มีฤทธิในการทำลายเนื้อเยื่อ  แน่นอนว่ามันอาจจะทำลายเนื้อเยื่อมะเร็งได้  แต่ก็ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมานจากการที่เนื้อเยื่อดีของผู้ป่วยถูกทำลายเช่นกัน..." ....เง้อ... ปล.  1.  ผมไม่เจตนาจะให้ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยมะเร็งอ่านแล้วขวัญเสียนะครับ  แค่ยกตัวอย่าง  ยังไงก็เป็นกำลังใจให้กลุ่มคนเหล่านี้ครับ  ^^ 2.  ผมไม่ได้จะว่าคุณหมอทุกท่านที่รักษาทางด้านมะเร็งด้วยนะครับ  ผมเชื่อว่าทุกท่านทำด้วยจิตวิญญาณทางการแพทย์ และใช้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่วิทยาการยุคนี้จะอำนวย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยครับ แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 53 23:49:47 จากคุณ : ไม่งงครับ ไม่งง เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 23:40:25

ความคิดเห็นที่ 108 แหะ แหะ ขอทะลึ่งต่ออีกนิดนะครับ ท่านเจ้าของกระทู้ ความดันเลือดดำ From Wikipedia Normal CVP : (central venous pressure) at Sternum: 0-5 cm H2O ขอบคุณ 110 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 53 14:58:43 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 53 14:57:38 จากคุณ : มะม่วงกะล่อน เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 09:23:59

ความคิดเห็นที่ 109 #108 ถ้าเป็นค่า peripheral venous pressure (PVP)  อย่างถ้าวัดที่ anticubital หรือ dorsum ค่าจะสูงกว่า CVP โดยเฉลี่ยประมาณ 12-14  mmHg ค่ะ (แล้วแต่ reference) .. มีการวัด PVP เพื่อใช้เทียบเป็นค่า CVP เป็น noninvasive technique พบว่าเชื่อถือได้ดี ตัวอย่าง http://www.thefreelibrary.com/Measurement+of+central+venous+pressure+from+a+peripheral+intravenous...-a0135277568 พอแค่นี้เหอะค่ะ ขอบคุณที่มาให้ข้อมูลเพิ่มนะคะ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 12:21:47

ความคิดเห็นที่ 110 อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิครับ กำลังอ่านเพลินๆ ใจเย็นๆ กันก่อน ครับ คุณมะม่วงกะล่อน ก่อนจะโพสต์อีก ขอความกรุณาไตร่ตรองก่อนครับ เพราะอ่าน 108 แล้วเหมือน หาเรื่องนิดๆ จากคุณ : sommass เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 12:46:32

ความคิดเห็นที่ 111 กระทู้นี้อ่านไปซี้ดส์ ไป...อูยยยย จากคุณ : บุรี เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 14:48:01

ความคิดเห็นที่ 112 อ่านแล้วงงว่า  คนสามารถรับเลือดแกะได้ด้วยเหรอ ไม่ตายไปก่อนหรือนี่ จากคุณ : la-la-bell เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 17:45:18