ความคิดเห็นที่ 1 เกร็ดความรู้เรื่องประภาคารที่ได้นำเสนอ     รวบรวมมาจากหลายๆที่ ทั้งในและต่างประเทศ     และจากในฐานะของผู้ที่เคยได้อาศัย ดวงประทีปแห่งท้องทะเลนี้อยู่บ้าง ในช่วงหนึ่ง เนื้อหาในส่วนของต่างประเทศเฉพาะที่ย้อนยุค ได้ยึดตามของ   Dr.Ken  Trethewey  เป็นหลัก      นอกนั้น  รวมถึงภาพประกอบ มาจากหลายที่            ซึ่งจะได้ลงแหล่งที่มา อ้างอิงรวมไว้ในตอนท้ายครับ : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 09:58:46

ความคิดเห็นที่ 2 ประภาคารในแบบสมัยใหม่แห่งแรกในประเทศไทย   ได้มีการสร้างขึ้นในสมัยต้นรัชกาลที่ ๕         โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์   (ช่วง  บุนนาค)  ได้บริจาคทุนทรัพย์ให้ก่อสร้างขึ้นบริเวณสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา  และได้มีคำสั่งถึง พระสยามธุรพาห์  ซึ่งเป็นกงสุลสยาม ณ กรุงลอนดอน จัดซื้อเรือนตะเกียงส่งมาให้      เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.๒๔๑๓  แต่เพราะเป็นที่ดินอ่อนทรุดตัวจึงต้องเสริมสร้างกันอย่างแข็งแรง แล้วเสร็จเปิดใช้งานเมื่อวันที่   ๙  พฤศจิกายน  พ.ศ.๒๔๑๗     โดยให้ชื่อประภาคารแห่งนี้เป็นภาษาอังกฤษว่า  “ Bar of Regent Lighthouse “ เพื่อเป็นเกียรติแก่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ประภาคารสันดอนได้เปิดใช้เป็นประโยชน์การเดินเรือมาช่วงเวลาหนึ่ง    ร่องน้ำสันดอนที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนทำให้ประภาคารห่างจากร่องน้ำ มากขึ้นและได้มีการวางทุ่นไฟหมายร่องน้ำใหม่    ความสำคัญของประภาคารก็ลดลง    ในที่สุด ได้เลิกใช้ประภาคารเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๒ รวมใช้งานมาเป็นเวลากว่า  ๕๕ ปี เรือนตะเกียง  ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ   จังหวัดสมุทรปราการ ภาพจากพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ     www.navy.mi.th/navalmuseum/ : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:00:05

ความคิดเห็นที่ 3 พูดถึงประภาคารหากไม่มีเรื่องราวของ  Pharos of Alexandria  ก็คงจะเหมือนขาหาpอะไรบางอย่างไป    ประภาคารเก่าแก่แห่งนี้ ถูกจัดเป็น  1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลยทีเดียว   มีเรื่องราวเล่าขานกันในที่ต่างๆมากมายถึงความใหญ่โตโอ่โถง  รวมถึงตำนาน ความล้ำลึกของพลังแสงจากประภาคาร  ทั้งจุดจบถล่มทลายของประภาคารก็ยังเป็นเรื่องที่พูดกันในหลายแง่มุม แต่ที่แน่ๆ คือ ณ  ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวเป็นผืนน้ำราบเรียบ  ทุกอย่างจมอยู่ข้างล่าง   มีการสำรวจและเก็บชิ้นส่วนต่างขึ้นมาศึกษากัน เป็นระยะๆ เรื่อยมา หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่กรุงบาบิโลน  ถึงยุคที่อียิปต์ปกครองโดยราชวงศ์ปโตเลมี ( Ptolemy )  สืบต่อมา กษัตริย์ปโตเลมีได้ทุ่มเทสร้างเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) มุ่งหวังให้เป็นศูนย์กลางการค้าและศิลปวิทยา   ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ ของอเล็กซานเดรียที่เป็นเมืองท่าเปิดกว้างมีเรือสัญจรผ่านเข้าออกมาก จึงได้ให้สร้างประภาคารขนาดใหญ่ขึ้น ได้ทรงแต่งตั้งสถาปนิกชาวกรีก ชื่อ  Sostratus เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง  โดยใช้พื้นที่เกาะบริเวณหน้าอ่าวอเล็กซานเดรีย (Bay of Alexandria)   ที่เป็นลักษณะ ทอดยาวต่อเนื่องกับฝั่งได้ด้วยทางแคบๆ ที่มาของ  Pharos  ยังเป็นประเด็นให้คิดกันอยู่ว่า เป็นชื่อเกาะหรือ ?   หรือเป็นคำ“pharos”  ในภาษากรีกซึ่งหมายถึงประภาคาร ถ้าเป็นชื่อเกาะ Pharos   หมายถึงการเรียกประภาคารในเวลาต่อมาว่าpharos               ถ้าไม่ใช่ ก็หมายถึงเป็นคำกรีกที่เรียก   Pharos  of  Alexandria  คือ  ประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย นั่นเอง : แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 16:53:10 จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:00:53

ความคิดเห็นที่ 4 Sostratus  ออกแบบก่อสร้างประภาคารให้เป็นหอสูง  3 ชั้น(Storey) ล้อมรอบด้วยระเบียงใหญ่(?)(colonnade)  เป็นจตุรัสขนาด  110 เมตร ส่วนฐานนี้สูงจากระดับน้ำทะเล  7 เมตร     ชั้นแรกเป็นหอทรงจตุรัสขนาด  30 เมตร สูงขึ้นไป  72 เมตร    ต่อด้วยชั้นที่สองทรงแปดเหลี่ยม เส้นผ่าศูนย์กลาง 17 เมตร  สูงขึ้นไป  35 เมตร      ชั้นที่สามเป็นหอกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง  9 เมตร สูง  26 เมตร   ด้านบนจัดเป็นที่สุมไฟให้ แสงสว่าง   มีรูปเทพ  Poseidon ประดิษฐอยู่บนยอดสูงสุด ในคราวนั้นกษัตริย์ปโตเลมีได้ให้  Sostratus  จัดทำจารึกพระนามไว้ที่ประภาคารให้เห็นเด่นชัด    เพื่อให้ผู้คนได้ตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่ และวิสัยทัศน์ของพระองค์    แต่สถาปนิกผู้นี้ไม่ธรรมดา ..ได้ให้ช่างสลักหินผนังประภาคารเป็นชื่อตัวเองลงไว้ก่อน จากนั้นปิดทับด้วยปูนปั้น (soft cement) ที่จัดทำเป็นจารึกพระนามอย่างสวยงามโดดเด่น  กาลเวลาผ่านไป.. ปูนเสื่อมสภาพหลุดร่วงลง  ผนังหินสีขาวนวลปรากฏรอยสลัก เป็นชื่อ   Sostratus  of  Cnidus    แต่นั้นมา การก่อสร้างใช้ระยะเวลา อยู่ในราว  17 – 20  ปี    สร้างเสร็จใช้งานได้ ในสมัยของกษัตริย์ปโตเลมีที่ 2  (Ptolemy ll   Philadelphus) ประมาณ  280  ปีก่อนคริสตกาล ภาพนี้ของ  Friedrich-Karl Zemke    กูรูประภาคาร ชาวเยอรมัน : แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 53 16:59:06 จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:02:12

ความคิดเห็นที่ 5 : สถาบันเจ้าถิ่น    THE ALEXANDRIA & MEDITERRANEAN RESEARCH CENTER        จัดทำโมเดลเป็น   4  ช่วงอายุ   จากเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงใน  ค.ศ.1303        ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่  เสร็จสิ้นใน  ค.ศ.1326      ในภาพเป็นโมเดลขวาสุด หลังจากนั้นการพังทะลายถล่มลง  ทั้งเกาะก็จมหายลงไปด้วย   : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:03:04

ความคิดเห็นที่ 6 การใช้เชื้อเพลิงติดไฟให้แสงสว่างของประภาคาร ได้วิวัฒนาการมาเป็นลำดับ     จากไม้  ถ่านหิน  มาเป็นน้ำมัน จากวาฬสเปิร์มหรือจากปลาเฮอร์ริ่ง   น้ำมันพืชก็มีการใช้    ที่ทำเป็นเทียนไขก็มีเชิงเทียนเป็นแบบโคมระย้าแขวนไว้       จนมามีน้ำมันก๊าด (Kerosene/ Paraffin)     ต่อมามีการใช้ก๊าซ อะเซทีลีน (Azetylene) กันแพร่หลาย โดยเฉพาะในกระโจมไฟหรือทุ่นไฟ    เนื่องจากมีเครื่องเปิดปิดก๊าซทำงานด้วยแสงประกอบเข้ากับระบบได้   ไม่ต้องใช้คนคอยจุด-ดับ จากภาชนะใส่น้ำมันหลายรูปแบบ  ต้องการความสว่างมากก็เพิ่มไส้ให้มากขึ้น         มาถึงช่วงหนึ่ง  ตะเกียงประสิทธิภาพสูงถูกคิดประดิษฐ์ขึ้น โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวสวิส  Ami  Argand    และเป็นต้นแบบ  Argand Lamp   ที่มีการพัฒนาปรับปรุงให้ใช้กับประภาคารในแบบต่างๆ ต่อมา ตะเกียงน้ำมันยุคหลังมีระบบอัดอากาศช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ  เป็นที่นิยมสำหรับประภาคารที่ต้องการกำลังส่องสว่างสูง เห็นได้ไกล เทียนไขพวงระย้าที่เห็นเป็นของประภาคารในอังกฤษ      มีบันทึกว่าตะเกียงน้ำมันแบบเก่าก็มีจัดติดตั้งเป็นพวงแขวนเช่นกัน กลาง  ตะเกียงน้ำมัน  Argand Lamp  ติดไฟแล้ววางไว้ข้างใน เลนส์เรือนตะเกียงขนาดเล็ก  5th Order Fresnel Lens     ขวาสุด  เป็นตะเกียงน้ำมันก๊าดอัดอากาศ ( IOV )   ทันสมัยขึ้นมาหน่อย    แบบนี้ใช้ในเรือนตะเกียงขนาดใหญ่  ให้แสงสว่างดีมาก : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:04:46

ความคิดเห็นที่ 7 มีไฟให้แสงแล้ว ก็คิดกันต่อว่าทำอย่างไรจะให้มองเห็นได้ไกลๆ     มีการใช้โลหะขัดมันดัดโค้งมาช่วยรวมแสง   ต่อมาก็มีกระจกร่วมด้วย จนมาถึงประมาณ  ค.ศ.1819     Augustin-Jean Fresnel  นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส  ได้คิดคำนวณทำเลนส์ประกอบเป็นเรือนตะเกียงขึ้นมา ทำให้แสงจากตะเกียงภายใน  ส่องสว่างมองเห็นได้ไกลมากกว่าเดิมหลายเท่า          ต่อมาภายหลังจึงเรียกเรือนตะเกียงที่ประกอบขึ้น ด้วยเลนส์นี้ว่า  Fresnel Lens     ซึ่งมีการทำขึ้นหลายขนาด   ลำดับขนาดใหญ่ด้วย   1st  Order  ไปจนถึง  6th Order  ขนาดเล็กที่ใช้ กับกระโจมไฟบริเวณท่าเรือ หรือในแม่น้ำ มีบันทึกถึง  1st Order Fresnel Lens    เป็น  Hyperradiant Lens   ชุดเลนส์ใหญ่ที่สุดชุดเดียวที่มีในประภาคารของสหรัฐฯ   ติดตั้งอยู่ ที่ประภาคาร  Makapu’u  บนเกาะ  Oahu  หมู่เกาะฮาวาย    เส้นผ่าศูนย์กลางเรือนตะเกียง  8 ฟุต  สูงกว่า  12 ฟุต    ใช้ชิ้นแก้วปริซึม จำนวน  1,888  ชิ้น  ประกอบขึ้นบนเฟรมทองเหลือง    ปัจจุบันก็ยังใช้งานอยู่  แต่ปรับเปลี่ยนเป็นใช้ระบบหลอดไฟอัตโนมัติภายในแล้ว   ภาพประภาคาร  Makapu’u  ที่ฮาวาย    เรือนตะเกียงมหึมาหนึ่งเดียวในสหรัฐฯ    เริ่มแรกใช้ตะเกียงน้ำมันอัดอากาศ ติดไฟให้แสง         : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:05:50

ความคิดเห็นที่ 8 มีภาพเรือนตะเกียงของ ประภาคาร  Big Sable Point  รัฐมิชิแกน      ลักษณะใกล้เคียงกับของ ประภาคารสันดอน  (  คห. 2 ) ข้อมูลระบุว่าเป็น   3rd order Fresnel Lens    ถูกถอดลงมาเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ ใน  Ludington   ประภาคาร Big Sable Point  ยังใช้งานอยู่จนปัจจุบัน   แต่เปลี่ยนไปใช้หลอดไฟฟ้าระบบอัตโนมัติ ขนาด  300 มม.  เป็นไฟนิ่งสีขาว เริ่มใช้งานปี ค.ศ.1867  (พ.ศ.2410)    ของเราเริ่มปี พ.ศ.2417     จับคู่มาดูกันจะจะ ..   ทางขวา ฝรั่ง    ทางซ้าย ฝรั่งมาไทย       เลยสันนิษฐานเอาเองว่าของเราน่าจะเป็น  3rd order  Fresnel lens  เช่นกัน : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:06:38

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อมีการใช้เรือกันมากขึ้น   ก็พบว่ามีตำบลที่ ที่ควรมีประภาคารเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย      แสงไฟจากประภาคารที่เห็นจึงอาจทำให้เรือสับสนได้   เพราะจะมองเห็นเป็นไฟติดสว่างอยู่ตลอดเวลาทุกดวงเหมือนกันไปหมด  ( ชาวเรือเรียกว่า “ไฟนิ่ง” ,  Fixed light   )        จึงต้องคิดหาวิธีทำให้ แสงไฟจากแต่ละประภาคารมีความแตกต่าง  ที่เห็นชัดเจน แยกได้ วิธีที่ใช้กันมากคือทำให้เรือนตะเกียงหมุน   ในขณะที่ตัวเรือนตะเกียง ก็จะออกแบบให้มีจุดรวมแสงในแนวระนาบเดียวกันที่ต่างกัน     เมื่อติดไฟไว้ด้านใน แล้วเรือนตะเกียงหมุนไปด้วยความเร็วคงที่ความเร็วหนึ่ง      เรือที่อยู่ห่างออกไปก็จะเห็นไฟสว่างเป็นจังหวะ  ต่างกันไปตามความเร็วรอบการหมุนและ แบบของเรือนตะเกียง     ลักษณะไฟ ( Light Characteristic ) นี้  สามารถออกแบบให้แตกต่างกันได้มากแบบ    ดังที่เราเห็นเป็นไฟติด – ดับเป็นช่วงๆ ที่ไม่เหมือนกัน   ทั้งของประภาคาร และกระโจมไฟ ภาพซ้าย     เรือนตะเกียงกำลังถูกถอดยกลงมาจาก Lantern room  ด้านบน      เพื่อปรับเปลี่ยนระบบการให้แสงของประภาคาร การออกแบบให้มีส่วนจุดรวมแสง (Bull’s eye)  อยู่ใน  8 ด้านของทรงแปดเหลี่ยมเรือนตะเกียง    ทำให้การมองเห็นไฟจากประภาคารนี้ เป็นลักษณะไฟสว่างเป็นช่วงสั้นๆ ติดต่อกันสม่ำเสมอ ที่เรียกว่า  “ไฟวับ” (Flashing)  และความเร็วรอบการหมุนจะบอกค่าเวลาร่วมด้วย ทางขวา เป็นของประภาคาร  Point Arena  ชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย   ถูกออกแบบ  Bull’s eye  ติดกันสองชุด มาประกบกันสองด้านเป็นเรือนตะเกียง ลักษณะไฟของเลนส์นี้จึงน่าจะเป็น   ไฟวับติดต่อกันสองวับ สม่ำเสมอ ที่เรียกว่า  “ไฟวับหมู่ “  (Group flashing)               : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:07:53

ความคิดเห็นที่ 10 ในยุคที่ยังไม่มีไฟฟ้า    กลไกการหมุนของเรือนตะเกียงถูกสร้างขึ้น  เป็นคล้ายๆ ระบบลานที่ใช้แรงโน้มถ่วงดึงตุ้มน้ำหนักขับเคลื่อนให้เฟืองที่ออกแบบไว้ ทำงานได้อย่างสม่ำเสมอแบบนาฬิกา (Clockwork)     งานของนายประภาคารอย่างหนึ่งคือ  ต้องคอยหมุนดึงตุ้มขึ้นตามวงรอบ     รอบเวลาขึ้นอยู่กับ การออกแบบและความสูงของประภาคารร่วมด้วย  โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ  2 ชั่วโมง จากที่ชุดเรือนตะเกียงขนาดใหญ่น้ำหนักมาก   เคยมีการออกแบบให้ชุดเคลื่อนไหวหมุนลอยอยู่บนปรอทเพื่อลดแรงเสียดทาน  อันเนื่องมาจากคุณสมบัติ ของปรอทนั้นเอง    มาระยะหลังทราบว่าปรอทระเหิดเป็นไอ ทำอันตรายต่อมนุษย์ได้   จึงมีการปรับเปลี่ยนกลไกการหมุนเป็นแบบอื่น    การดัดแปลง ของเดิมส่วนมากจะทำได้ยาก   จนบางครั้งอาจถึงกับต้องเปลี่ยนลงมาเก็บไปเลยก็มี ส่วน  clockworks  ที่ขับเคลื่อนเรือนตะเกียงใหญ่ๆ    ก็จะเทอะทะตามขนาดขึ้นไปด้วย       ..  สลิงเส้นเบ้อเริ่ม          ทางขวาใช้โซ่เลยนะนั่น .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:08:50

ความคิดเห็นที่ 11 การออกแบบเรือนตะเกียงเพื่อสร้างลักษณะไฟ มีหลากหลายมาก    บางแบบใช้การบังไฟที่ตัวเรือนร่วมด้วย เป็นการสร้างจังหวะไฟมืด แต่ทุกอย่างรวมทั้งความเร็วรอบของ  Clockworks  ต้องออกแบบให้สัมพันธ์กัน ที่ยกมานี้  เป็นชุดของประภาคารเกาะ  Anacapa  ในรัฐแคลิฟอเนีย     ถูกถอดลงมาไว้ที่เรือนรับรองด้านล่าง ให้ผู้มาเยือนได้ชม เป็น  3rd order Fresnel lens   ภาพถ่ายมีแค่สองมุม   ภาพซ้ายเห็นเลนส์ที่เป็น  Bull’s eye แค่สอง   จริงๆแล้วมี สาม Bull’s eye   เรียงติดต่อกัน    ที่เหลือจะเป็นบังไฟปิดเต็มเรือน ดังที่เห็นในภาพขวามือ เมื่อ clockwork  ชุดนี้ทำงาน (ในภาพเห็นนิดเดียวตรงฐาน)   ไฟที่เห็นออกมาจากประภาคารแห่งนี้คือ    เป็นไฟสว่างวับสามครั้ง แล้วมืดไปชั่วขณะหนึ่ง      เริ่มวงรอบใหม่ก็สว่างวับสามครั้งแล้วมืด  วนไปเรื่อยๆ     ส่วนเวลาก็ตามที่ออกแบบ  clockworks  ไว้ : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:09:48

ความคิดเห็นที่ 12 : ในภาพเป็น  2nd Order  แบบหนึ่ง  มีชื่อเรียกเฉพาะว่า   bi-valve Fresnel lens     เป็นของประภาคาร  white Shoal   ในรัฐมิชิแกน ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่  Great Lakes Shipwreck Museum  รัฐมิชิแกน         .. งามมาก : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:11:06

ความคิดเห็นที่ 13 : ชุดไฟขนาดย่อมลงมาอย่าง  4th order  Fresnel lens    สองชุดนี้  ( 4th ทางยาวโฟกัส  9.8”)  ออกแบบให้รวมอยู่ในโครงสร้างเดียวกัน ทั้งเลนส์และ clockwork     ยกไปวาง ติดไฟไว้ด้านใน  ถ่วงลานให้หมุน  ก็ใช้งานได้แล้ว    ..   สองชุดนี้เห็นความต่างชัดเจนดี   คลาสสิคทั้งคู่  .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:11:45

ความคิดเห็นที่ 14 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20   อะเซทีลีนถูกใช้งานกันอย่างกว้างขวาง  อันเนื่องมาจากการคิดค้นของวิศวกรชาวสวีเดน  Gustaf  Dalen เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ปี  ค.ศ.1912             Dalen  เป็นวิศวกรของบริษัทก๊าซในสวีเดน    มีผลงานที่เกี่ยวกับการใช้อะเซทีลีน เป็นเชื้อเพลิงให้แสงสว่างมากมาย   ตะเกียงอะเซทีลีนของเขาถูกออกแบบให้ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด สามารถติด-ดับต่อเนื่องได้ด้วยการออกแบบการจ่ายก๊าซอย่างชาญฉลาด       และที่ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกคือ เขาได้ประดิษฐ์เครื่องเปิด-ปิดก๊าซทำงานด้วยแสง (sun valve)เครื่องจะดับไฟเมื่อมีแสงสว่างขึ้น   และเปิดติดไฟ ให้แสงได้เมื่อมืดลง       ประดิษฐกรรมของเขาทำให้เป็นที่รู้จักและถูกสั่งซื้อไปใช้งานกันแพร่หลาย  โดยเฉพาะที่เป็นกระโจมไฟ  ทุ่นไฟ  รวมถึงไฟที่ใช้เกี่ยวกับการบิน     ส่งผลให้บริษัท  AGA   ที่เขาทำงานอยู่เติบโตอย่างรวดเร็ว    และเขาก็ได้เป็นประธานบริษัทในเวลาต่อมา มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น   ในปีเดียวกับที่  Dalen ได้รับเกียรติให้เข้ารับรางวัลโนเบลนั้นเอง      เขาเสียนัยน์ตาทั้งสองข้างไปจากเหตุระเบิด ของอะเซทีลีนขณะกำลังทดสอบระบบ     รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี ค.ศ.1912   จึงถูกประกาศในขณะที่เจ้าตัวนอนป่วยอยู่บนเตียง  ..   “ for his invention of automatic regulators for use in conjunction with gas accumulators for illuminating lighthouses and bouys “ http//nobelprize.org : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:14:28

ความคิดเห็นที่ 15 ในบางประเทศบางท้องถิ่นที่มีหมอกลงเป็นประจำ  ประภาคารจะทำหน้าที่ให้สัญญาณหมอกควบคู่ไปด้วย   ยุคแรกๆก็ใช้ระฆังโดยมีคนตีให้สัญญาณ ตลอดเวลาช่วงหมอกลง    ในบางที่ใช้ปืนใหญ่ยิงให้สัญญาณก็มี       ต่อมามีการคิดเครื่องช่วยตีระฆัง ทำเป็น  clockwork  ตั้งเครื่องเป็นสัญญาณได้ ถัดมาใช้เป็นแตร   บางที่สร้างเป็น  Fog station  เป็นอาคารแยกต่างหากออกมา  ติดตั้งกรวยแตรขนาดใหญ่  ส่งสัญญาณได้ไกล       จนมามีไฟฟ้า เครื่องทำสัญญาณหมอกก็เปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ  จนเหลือขนาดกะทัดรัด ประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน ภาพคู่อีกล่ะ  ประหยัด  คห ..   ตัวช่วยตีระฆังสัญญาณหมอก  clockwork  ขาโค้งอ่อนช้อย       กับทางขวา  ใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เต็มๆ ติดข้างบนได้เลย : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:15:51

ความคิดเห็นที่ 16 ถึงปัจจุบัน  ตะเกียงพลังงานแสงอาทิตย์นิยมใช้กันทั่วไป    ทั้งที่ประภาคารเอง  และในบรรดา ไฟเครื่องหมายช่วยการเดินเรืออื่นที่ไม่ต้องมีคนเฝ้า เช่น กระโจมไฟและทุ่นไฟต่างๆ     ข้อดีของตะเกียงพลังงานแสงอาทิตย์นอกจากเป็นพลังงานสะอาดแล้ว  ยังมีความปลอดภัยและความเชื่อถือได้สูง   และสามารถปรับเข้าใช้กับโครงสร้างเดิมได้สะดวกอีกด้วย ตะเกียงพลังงานแสงอาทิตย์มีหลายแบบ หลักๆก็จะคล้ายกัน  มีชุดสวิตช์แสงอัตโนมัติควบคุมการต่อวงจรจ่ายไฟเข้าระบบ    มีทั้งแบบเลนส์หมุน สร้างจังหวะไฟ และแบบเลนส์ครอบอยู่กับที่      หลอดไฟภายในจะสามารถหมุนเปลี่ยนอัตโนมัติ ใช้หลอดที่สำรองไว้ขึ้นมาแทนได้ทันทีที่หลอดเดิมชำรุด   รุ่นที่นิยมใช้กัน มีสำรองหลอดไฟไว้ได้ถึง  5 หลอด   ภาพนี้รวมมิตรศิษย์สุริยา .. ใช้แสงอาทิตย์ล้วน    เปิดให้เห็นชุดหลอดไฟที่หมุนเปลี่ยนอัตโนมัติ      ทางขวาสุดที่เห็นเป็นของใหม่ไฟ  LED     ออกแบบไว้ ชนิดที่ว่าติดตั้งแล้วลืมไปเลย   ไม่ต้องไปแคะแกะเปิดเปลี่ยนอะไรทั้งนั้นตลอดชีพ ..  (คนขายเขาว่า) : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:16:34

ความคิดเห็นที่ 17 ประภาคารบอกแก่ผู้ผ่านทางในเวลามืดด้วยลักษณะไฟที่เป็นของตัวเอง   สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกันไม่ใช่ปัญหา   เหมือนจะให้รู้ว่าจะต้องทำอะไรในลำดับต่อไป เพื่อให้การเดินทางสู่จุดหมายปลายทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อยปลอดภัย ลักษณะไฟและรายละเอียดที่จำเป็นทั้งหมดจะถูกรวบรวมไว้จัดทำเป็นเล่ม  ในส่วนของประเทศไทยหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ จัดพิมพ์ไว้ในชื่อ  ทำเนียบไฟและทุ่นในน่านน้ำไทย  (LIST OF LIGHTS ..)      ในรายละเอียดของประภาคาร  จะบอกพิกัดละติจูดลองจิจูด  ลักษณะและ ความสูงของโครงสร้าง  ความสูงและระยะการเห็นของไฟ   มีชื่อและที่ตั้ง  ตามที่ขึ้นทะเบียนไว้         เป็นบรรณสารการเดินเรือ ที่ผู้มาใหม่ต้องใช้ หลายคนคงเคยเห็นประภาคารในที่ต่างๆ กันมาแล้ว    ลองมาดูประภาคารในแผนที่เดินเรือกัน   การกำกับด้วยตัวเลขและตัวอักษรที่ในแผนที่บอกอะไรบ้าง ที่ยกมาเป็นเกาะไผ่    มีประภาคารอาภากร  ซึ่งสร้างขึ้นมาใช้งานตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๐   นับเป็นประภาคารด่านหน้าฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยที่สำคัญ ตามข้อมูลของกรมอุทกศาสตร์  ประภาคารแห่งนี้สร้างขึ้นจากการสละทรัพย์ร่วมกันของ พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการกระทรวงอื่น  ทั้งฝ่ายหน้าและ ฝ่ายใน  ข้าราชการกระทรวงทหารเรือ  รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันสร้างขึ้น    และเพื่อเป็นการระลึกถึง  พลเรือเอกพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์   จึงได้ขนานนามประภาคารแห่งนี้ว่า  “ อาภากร “  อันเป็นพระนามเดิมของพระองค์ท่าน ชุดตัวอักษรและตัวเลขที่กำกับไว้  (ในวงเหลี่ยมสีแดง) ของประภาคารบนเกาะไผ่ นี้คือ   Fl  5s  156m  31M      บอกรายละเอียดได้ดังนี้ FL   =   ไฟ “วับ”     ,    5s   =   5  วินาที        จึงเป็นการบอกลักษณะไฟ  เป็น  “  ไฟวับ ทุก  5  วินาที  “ 156m       บอกถึงความสูงของไฟจากระดับน้ำทะเลปานกลาง   156  เมตร 31M         บอกถึงการมองเห็นได้ของไฟ     เห็นได้ไกล  31  ไมล์ทะเล : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:17:46

ความคิดเห็นที่ 18 ก่อนที่จะชวนกันไปดูประภาคารที่น่าสนใจกันสักหน่อย     มีเครื่องหมายช่วยการเดินเรืออีกแบบหนึ่งที่เราเคยมีใช้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน  คือ เรือทุ่นไฟ เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๖  ทางราชการได้จัดหาเรือทุ่นไฟไปทอดสมอกำกับร่องน้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าป้อมพระจุลจอมเกล้า  เนื่องจากร่องน้ำเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถใช้ไฟจากประภาคารสันดอนได้   และมีเพิ่มเป็น 3 ลำในเวลาต่อมา     หลังจากนั้น เมื่อมีการสร้างประภาคารสันดอนขึ้นใหม่ใช้งานเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐  ก็ไม่ได้ใช้เรือทุ่นไฟอีกเลย ในหลายประเทศบางพื้นที่มีการสัญจรทางน้ำหนาแน่น  แต่โดยลักษณะพื้นที่ไม่เอื้อต่อการสร้างสิ่งปลูกสร้างในลักษณะประภาคารหรือกระโจมไฟ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของร่องน้ำสันดอนบ่อยๆ    การให้เครื่องหมายช่วยทางเรือจึงเป็นเรือทุ่นไฟ (Lightship) ที่เทียบท่า หรือทิ้งสมอ หรือผูกทุ่นอยู่ เรือทุ่นไฟมีข้อดีที่มีคนคอยดูแลตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา  และสามารถให้สัญญาณช่วยการเดินเรือแบบอื่นได้ รวมอยู่ด้วย ทางยุโรปเหนือมีใช้กันมาก  ภาพในกรุงสต๊อคโฮล์ม  สวีเดน : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:18:39

ความคิดเห็นที่ 19 ต้องออกตัวก่อนว่า ที่จัดเสนอมาให้ชมนี้ มาจากความรู้สึกส่วนตัวว่าน่าสนใจ         จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะชวนมาชมประภาคารกันอย่างเดียวนี่แหละ   แต่พอคิดว่าต้องโพสในหว้ากอ   ทำให้ต้องหารายละเอียดประกอบฉากดังที่ว่ามาข้างบนนั่น   ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเพราะพอมีพื้นภาพอยู่บ้างแล้ว     ที่ยากกลับเป็นที่จะจัดทัวร์นี่เอง  นี่ก็สวย  นั่นก็น่าสนใจ  อันโน้นก็อยากเล่า  อันนี้ก็อยากบอก    .. เป็นว่าดูกันเพลินๆ ไม่มีอันดับเรทติ้งแต่อย่างใดครับ ความน่าสนใจของประภาคาร โดยทั่วไป  อย่างแรกเลยคือลักษณะรูปทรง การใช้งานในพื้นที่         Farol da Guia  ของโปรตุเกสแห่งนี้   ถึงแม้โดยฐานะ จะไม่ใช่ประภาคารโดยสมบูรณ์    แต่มีการก่อสร้างใช้งานช่วยการเดินเรือชายฝั่งแอตแลนติค ในเขตลิสบอน  มาตั้งแต่ ค.ศ.1537     ที่เห็นอยู่นี้เป็น หลังที่  2      ที่สร้างขึ้นแทนที่ใช้งานในปี ค.ศ.1761   หลังจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โปรตุเกสเมื่อปี ค.ศ.1755 ในโปรตุเกสมีประภาคารที่สร้างขึ้นในยุคศตวรรษที่ 18  ที่ยังใช้งานอยู่   และที่มีหลักฐานว่ามีมาก่อนหน้านี้ก็หลายแห่ง    ซึ่งก็พอเข้าใจได้เพราะที่นี่ ในอดีต โปรตุเกสเป็นผู้นำในการเดินเรือและการสำรวจเส้นทางใหม่ๆมาก่อน     ว่ากันว่าในยุคทองแห่งการค้นพบ (Age of Discovery) ของชาวยุโรป ลิสบอน เป็นแหล่งชุมนุมของนักเดินเรือ และช่างแผนที่คนสำคัญๆ ในยุคนั้น บางท่านอาจเคยผ่านตาหรืออาจเคยได้ไปเยือน   Guia Lighthouse  ในมาเก๊ามาแล้ว   ฝีมือชาวโปรตุเกสเช่นกัน  มาสร้างไว้ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 Guia  หมายถึง  giude   และ  Farol  ก็คือ  lighthouse   Farol da Guia  เป็น  Range Rear หรือ ไฟนำ   แต่มีการจัดคนดูแลเช่นเดียวกับประภาคาร    หอสูง 28 เมตร ก่อสร้างด้วยหินปิดกระเบื้องสีขาวเว้น หินเข้ามุมโชว์ผิวธรรมชาติ   มีผู้รู้บอกว่าเป็นงานที่เด่นมากในยุคกลางศตวรรษที่ 18     ตั้งอยู่ชายฝั่งแอตแลนติค (Cascias)  ก่อนที่ผ่านเข้า Tagus     ไปยังกรุงลิสบอนด้านใน       : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:20:16

ความคิดเห็นที่ 20 จากลิสบอน วกขึ้นเหนือ พอหลุดจากโปรตุเกสก็เข้าสู่แคว้น  Galicia  ของสเปน   ที่เมือง  La Coruna  มี อภิมหาประภาคารมรดกโลก (แอบตามกระแส..) ที่เรียกกันมาแต่โบราณว่า  Torre de Hercules  หรือ  Tower of Hercules    ด้วยคนสมัยก่อนเขาเชื่อว่าของใหญ่ๆอย่างนี้ มีแต่เฮอคิวลิสเท่านั้นที่ทำได้ .. หลักฐานระบุได้ว่าสร้างโดยพวกโรมันในประมาณต้นศตวรรษที่ 2    การบูรณะครั้งหลังสุดเมื่อ ค.ศ.1789  ได้ต่อเติมส่วนที่เป็นรูปทรงแปดเหลี่ยมขึ้นไป อีกสองช่วง  เพื่อให้ใช้เป็นประภาคารในแบบใหม่ได้      ทำให้ความสูงทั้งหมดเป็น  55 เมตร     รูปทรงสี่เหลี่ยมช่วงแรกกว้างด้านละ  11.75 เมตร ลักษณะไฟของประภาคาร  Terre de Hercules  เป็น    ไฟสีขาววับเป็นหมู่  4 วับ  ทุก  20 วินาที ภาพอาจจะใหญ่หน่อย .. ก็ของเขาใหญ่จริงๆนิ         ส่วนที่ว่ามรดกโลกนั้น .. คือ .. ยูเนสโก ได้จัดเข้าทะเบียน  World Heritage  เรียบร้อยไปแล้วจ้า : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:20:59

ความคิดเห็นที่ 21 ตัดตรงจากคาบสมุทรไอบีเรียข้ามอ่าวบิสเคย์ไปปลายติ่งตะวันตกของแคว้น  Brittany ของฝรั่งเศส     เขาว่าแถบนั้นเดินเรือยาก  มีประภาคาร หลายแห่ง     ทางตะวันตกของคาบสมุทรนี้สมัยก่อนเชื่อกันว่าสุดแผ่นดินที่นี่     เลยเป็นที่มาของชื่อ  Finistere  จังหวัด(department) หนึ่งใน 5 จังหวัดของ  Brittany         เมือง  Brest  ตรงนั้นเป็นที่ตั้งปกติของ กองเรือแอตแลนติค  ทร.ฝรั่งเศสเขาด้วย ประภาคาร  Petit Minou  ของเมือง  Brest  นี้  จริงๆก็พื้นๆ    พอดีว่ามีเรือรบแล่นผ่าน   สวยดี     เลยลงเอาใจคอเรือรบเรือบินกันโหน่ย .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:21:47

ความคิดเห็นที่ 22 เลาะเลี้ยวเข้าช่องแคบอังกฤษ   ชายฝั่งของฝรั่งเศสเรียงรายไปด้วยประภาคารน้อยใหญ่ไปจนชนแดนเบลเยี่ยมทางตะวันออก-เหนือโน่น อย่างที่ทราบกัน  ฝรั่งเศสไม่ได้เป็นรองใครในด้านศิลปะวิทยาการ   ประภาคารจึงได้แสดงความโดดเด่นออกมาให้เห็นอยู่มากมาย ที่แหลม  Frehel   ทางเหนือของแคว้น  Brittany  ด้านช่องแคบอังกฤษ     ประภาคารถูกสร้างขึ้นใช้งานตามแบบมาตั้งแต่ ค.ศ.1650   มีการซ่อมปรับปรุงเรื่อยมาจนในที่สุดได้ตัดสินใจสร้างใหม่ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1950  โดยได้ควบรวมการทำงานด้านอื่นเข้าไว้ด้วยเป็นลักษณะ Light station    ส่วนตัวว่าน่าจะมีส่วนของงานด้านความมั่นคงร่วมด้วย ที่เห็นทางซ้ายเก่าแก่  นั่นล่ะออริจินัลที่ใช้มาตั้งแต่ 1650  ,     งานดูเคร่งขรึมหนักแน่น  ประจันหน้าไปทางฝั่งอังกฤษอย่างสงบ .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:22:24

ความคิดเห็นที่ 23 ออกจากแหลม  Frehel  พุ่งขึ้นเหนือตรงๆ เข้าช่องแคบ    มีหมู่เกาะที่เรียกกันว่า  Channel Island   กระจายกันไม่ไกลจากคาบสมุทรแคว้นนอร์มังดี หมู่เกาะแห่งนี้มีเกาะขนาดใหญ่  2  เกาะคือ  Guernsey  และ  Jersey    อังกฤษเป็นผู้ดูแลเรื่องประภาคารขนาดใหญ่ให้ทั้งหมด ที่  Guernsey  มีประภาคาร  Les Hanois    สร้างขึ้นบนแนวหินกลางน้ำทางตะวันตกของเกาะ   เป็นจุดบอกแนวตะวันตกสุดของหมู่เกาะและแนวหิน ที่ยกประภาคาร  Les Hanois  แห่งนี้มาให้ชม    เพราะที่นี่เป็นต้นแบบของการก่อสร้างประภาคารที่ใช้หินแกรนิตประสานแบบเข้าเดือย (dovetailed)     James Douglass  ได้ออกแบบตัดแกรนิตเป็นบล๊อคมีเดือย  สามารถเข้าประสานได้ทั้งทางข้างและทางตั้ง   ซึ่งเมื่อเชื่อมด้วยปูนประสานเข้าด้วยกันแล้ว แข็งแรงมาก    เทคนิค Dovetailed  นี้นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของการใช้หินก่อสร้างในลักษณะที่เป็นประภาคารกลางน้ำ  เพราะต้องสู้กับคลื่นลมที่มากกว่าปกติ Les Hanois   สร้างปี ค.ศ.1862   สูง  33 เมตร ,  helideck  ด้านบนสำหรับ ฮ. สร้างขึ้นเมื่อ 1979 ,  ปรับมาใช้ตะเกียงพลังงานแสงอาทิตย์เห็นได้  20 ไมล์ ไฟสีขาววับเป็นหมู่  2 วับทุก  13 วินาที ,   สัญญาณหมอกอัตโนมัติด้วย  Fog detector   ..   ให้สัญญาณ   2  ปู๊น ทุก  60 วินาที  .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:23:15

ความคิดเห็นที่ 24 เลี้ยวอ้อมปลายโต่งนอร์มังดีเลียบเลาะไป   ผ่านอดีตสมรภูมิเลือดอันแสนจะน่าหดหู่   ชายฝั่งตลอดแนวไปถึงคลอง  Caen   ประภาคารดั้งเดิมในแนวรบ พังยับเสียส่วนใหญ่   ที่ราบไปเลยต้องสร้างใหม่ก็มี  ที่พอจะบูรณะซ่อมคืนสภาพได้ก็เยอะ   ที่น่าแปลกคือประภาคาร  Gatteville  ซึ่งอยู่ในจุดที่ “รับแขก” ของฝั่งนอร์มังดีก็ว่าได้     ตั้งอยู่ปลายสุดทางฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรที่ยื่นเข้าในช่องแคบ อังกฤษ   หรืออาจเพราะต่างฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์จากประภาคารแห่งนี้ Gatteville  ที่ใช้งานปัจจุบันสร้างเมื่อปี ค.ศ.1835   ก่อสร้างด้วยหินเปลือยผิว สูง  75 เมตร  ในช่วงการสู้รบได้รับความเสียหายเล็กน้อย   สามารถเปิดไฟ ใช้งานได้ก่อนใครหลังจากนั้น     ปัจจุบันเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด   ที่พักด้านล่างทำเป็นพิพิธภัณฑ์  และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตัวประภาคารได้ด้วย ที่เห็นเป็นหอไม่สูงซ้อนอยู่ด้านหลัง  เป็นประภาคารหลังก่อนนี้  สร้างเมื่อปี 1780 ,    ความสูง  75 เมตรนี้ นับเป็นลำดับ  3 ของโลกเลยทีเดียวเชียวนะ .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:23:56

ความคิดเห็นที่ 25 ชายขอบของแนวปฏิบัติการในวัน  D-Day, 6th June 1944  รหัส  Sword  แนวตะวันออกสุด  อยู่ประมาณก่อนถึงคลอง  Caen   ไม่ไกลนัก ตรงปากคลองมีประภาคาร  Quistreham  ซึ่งไม่ได้รับความเสียหายเลย   เขาว่ากองกำลังอังกฤษรุกเข้ายึดคืนประภาคารจากเยอรมันได้เร็วมาก Quistreham  สร้างในปี ค.ศ. 1905     มีจัดงานฉลองครบรอบ  100 ปีกันไปใหญ่โตเมื่อปี  2005  ที่ผ่านมา    สร้างด้วยหินแกรนิต  สูง  38 เมตร มีเสี้ยวไฟสีแดงรวมแสดงอยู่ด้วย  อำนวยความสะดวกแก่เรือที่ผ่านเข้าออกคลองอีกทางหนึ่ง Quistreham   เป็นประภาคารที่เห็นปุ๊บชอบปั๊บ ..  สวยนะ      พยามค้นภาพจากหลายๆที่จะมาโชว์     แต่ก็ได้แค่นี้เอง .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:24:30

ความคิดเห็นที่ 26 จากฝรั่งเศสพุ่งทะลุช่องโดเวอร์เข้าสู่ทะเลเหนือ    ผ่านเบลเยี่ยมที่มีชายฝั่งน้อยนิดเข้ายังถิ่นของอัศวินสีส้ม เนเธอร์แลนด์     ดินแดนที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ ที่ออกทะเลเหนือ  รุ่งเรืองมาก่อนด้วยท่าเรือทำมาค้าขายกันยาวนาน   ประภาคารแถบนี้ก็เก่าแก่มากมายไม่แพ้ที่อื่นในยุโรป     แต่ด้วยนิสัยพ่อค้าของ ชาวดัชท์ ประภาคารจึงออกมาในรูปที่มองประโยชน์ใช้สอบเป็นหลัก ..(..ว่าเอง)     ประภาคารที่  Egmond aan Zee   อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลเหนือไม่ไกลจากกรุงอัมสเตอร์ดัมมากนัก    สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1834  โครงสร้างก่ออิฐถือปูน ความสูง  28 เมตร   ด้านบนทำเป็น  watch room  เป็นหอสังเกตการณ์รวมอยู่ด้วย     ประภาคารนี้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถานแด่ทหารเรือผู้กล้าท่านหนึ่ง โดยให้ชื่อตามเรือเอก  Van Speyk   จากวีรกรรมของท่านในคราวมีเรื่องกับเบลเยี่ยมเมื่อปี ค.ศ.1831 พื้นที่ราบกว้างไกลริมทะเล ที่ต้องบริหารจัดการน้ำอย่างมืออาชีพ   เมื่อมีประภาคารหอสูง จึงมีการใช้อุปกรณ์ตรวจอื่นพ่วงรวมเข้าไปติดตั้งอยู่ด้วย บางประภาคาร เฮียแกติดอีรุงตุงนังไปหมดทั้งเรดาร์วิทยุดาวเทียมสารพัด .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:25:19

ความคิดเห็นที่ 27 เลยขึ้นไปเยอรมันนิดเดียวก็เจอประภาคารเกาะเมือง  Borkum   เป็นประภาคารขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของโลก ก่อสร้างใช้งานมาตั้งแต่ ค.ศ.1879 อาจเป็นเพราะพื้นที่ชายฝั่งลักษณะลาดกว้าง    ไฟช่วยการเดินเรือเพื่อให้เห็นได้ไกล  จึงต้องก่อสร้างขึ้นไปสูงจากเกาะที่สูงไม่มากนัก ประภาคาร  Borkum  ก่อสร้างด้วยอิฐเป็นส่วนฐานทรงแปดเหลี่ยมปิดกระเบื้องสีน้ำตาล ต่อด้วยหอกลมเป็นอิฐเปลือย   ความสูงรวม  60 เมตร การให้สัญญาณเป็นไฟขาวด้านบน   และมีไฟนิ่งเขียวแดงช่วยนำเรือบริเวณที่ความสูง  46 เมตร อีกด้วย ประภาคารแถบนี้ทรงคล้ายๆกัน   แต่ของ  Borkum  สีมืดทะมึน แปลกตาไปอีกแบบ : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:26:28

ความคิดเห็นที่ 28 แอบย่องเข้าคลอง  Kiel  ไปทะลุออกทะเลบัลติค    บริเวณปากทางเข้าคลองฝั่งทะเลบัลติดนี้มีประภาคารก่ออิฐที่เป็น  Imperial-style ยังคงใช้งานอยู่    ประภาคารแห่งนี้ให้ไฟเขียวเป็นไฟนำเข้าคลองอีกหน้าที่หนึ่ง  (มีกระโจมไฟให้ไฟแดงอยู่ทางซ้ายคลองอีกแห่งหนึ่ง) เยอรมันเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับประภาคารมาก  มีกฏระเบียบที่เกี่ยวข้องดูแลปกป้องอยู่หลายส่วน : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:27:11

ความคิดเห็นที่ 29 กลับลงทะเลเหนือ  ตรงขึ้นเหนือไปคารวะนักรบอาวุโสไวกิ้ง คาบสมุทรสแกนดิเนเวีย      นอร์เวย์เป็นประเทศที่มีชายฝั่งทะเลยาวเหยียด คงไม่ต้องบอกว่าพวกนอร์ดิกรู้จักทะเลดีอย่างไร   ลักษณะชายฝั่งที่เป็น  Fjord  ทำให้การสร้างเครื่องหมายช่วยการเดินเรือเแปลกไปอีกแบบ แต่ที่เอามาให้ชมยังเป็นแบบทั่วไป   วัสดุที่ใช้ทางเหนือนี้ นิยมใช้เป็นหอเหล็ก (cast iron)  เรือนพักต่างๆนิยมใช้สร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ประภาคารแห่งนี้มีชื่อเสียงพอสมควรในยุโรปเหนือ  ก่อสร้างใช้งานมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1857    หอเหล็กสูง  43 เมตร  ด้านบนยังใช้เรือนตะเกียง 1st order Fresnel lens  ให้ไฟสีขาววับเป็นหมู่  2 วับ ทุก  10 วินาที     ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ บริเวณ  Oslofjord  ทางใต้ของประเทศนอร์เวย์ เคยได้ยินว่าพวกสแกนดิเนเวียเก่งเรื่องเหล็กมาก่อน  ,.   ท่าจะจริง  หลังเหล็กนี้เค้าเพิ่งฉลองครบรอบ  150 ปีกันไปนี่เอง    เดิมๆเลยล่ะ : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:27:53

ความคิดเห็นที่ 30 คงต้องกลับล่ะ  เดี๋ยวกลับไม่ถูกจะด๋อยเอา ..   ภาพเยอะโหลดช้า ขออภัยด้วย กลับไปตั้งหลักที่   Eldred Rock  , อลาสก้า  ครับ        เย็นเป็นวุ้นแล้วค่อยว่ากัน .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:28:51

ความคิดเห็นที่ 31 รวมที่มาครับ  ทั้งเรื่องและภาพ ..  กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ   ..  พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ..  www.trinityhouse.co.uk ..  www.terrypepper.com ..  www.unc.edu/rowlett/lighthouse/ ..  www.pharology.eu/Index.html ..  www.lighthousedepot.com ..  www.leuchtturmseiten.de/home.htm?8502 ..  www.leuchttuerme.net/index.php?nav=1000001&lang=1 ..  www.lighthouse.net.au/lights/index.asp ขอบคุณทุกแหล่งข้อมูลด้านบน    และ     ขอบคุณทุกท่านที่เข้าเยี่ยมชมครับ By  Vladimir  Kush : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:29:50

ความคิดเห็นที่ 32 อื้อหือ พรวดเดี๋ยว เลย แหล่มจริงๆ จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:49:47

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : Cocopok เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 10:50:29

ความคิดเห็นที่ 34 ความรู้ทั้งนั้นเลย ^^ จากคุณ : Gu-Oat เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 11:05:56

ความคิดเห็นที่ 35 ปาภาคารสามารถอ้างอานาเขตทางทะเลได้ จากคุณ : ruddy01 เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 11:25:34

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณจร้า กระทู้ดี ดีโหวต ๆ จากคุณ : say a words เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 11:55:43

ความคิดเห็นที่ 37 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:11:50

ความคิดเห็นที่ 38 ไม่มีรูปประภาคารในเมืองไทยบ้างหรือครับ...... .............. จากคุณ : คุณภาค เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:26:09

ความคิดเห็นที่ 39 อยากอ่านอ่ะ แต่วรรคตอนชวนปวดหัวมาก :( จากคุณ : Healing Staff เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:26:28

ความคิดเห็นที่ 40 แจ่มจรัสมั่ก ๆ จากคุณ : gift is a present เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:39:13

ความคิดเห็นที่ 41 ^ ^ ^ ดูจอไวด์ กำลังดีเลยครับ ^^ จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:42:11

ความคิดเห็นที่ 42 ตรงความเห็น 23 เค้าลงไปสร้างกันยังไงครับเนี่ย คลื่นแรงขนาดนั้น จากคุณ : PaND@_BIG เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:49:21

ความคิดเห็นที่ 43 ^ ^ ^1.สูบน้ำทะเลออกไปไว้บนยอดเอเวอร์เรสก่อนแล้ว ค่อยสร้าง 2.สร้างเกาะไปหย่อนไว้ ผมล้อเล่น 555 จริง ๆ ก็ตั้งเขื่อนกันคลื่นแค่นั้นครับ ^^ จากคุณ : เดอะฟักทองอินเตอร์ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 12:51:41

ความคิดเห็นที่ 44 #  38    ..  มีที่ตัวเองถ่ายไว้   ฝีมือไม่ควรออกเน็ทเลยครับ  .. อาย    จะเอาของคนอื่นมาลงก็เกรงใจ #  39  ..  ครับ   ผมก็กังวลตรงนี้เหมือนกัน  ได้พยายามแล้ว    ผมใช้โน้ตบุคทำครับ ออกทางกว้างอย่างคุณเดอะฟักทองฯว่า จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 13:10:29

ความคิดเห็นที่ 45 ชื่นใจกับกระทู้แนะนำสัปดาห์นี้จริงๆครับ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 13:11:14

ความคิดเห็นที่ 46 #35 หลังช้างหรือนั่น : ) จากคุณ : SuicideJumper เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 13:17:44

ความคิดเห็นที่ 47 #35 ใช่ที่โลซิ่นหรือเปล่าครับเนี่ย จากคุณ : catstevens เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 15:05:54

ความคิดเห็นที่ 48 ^__^ จากคุณ : เซ็งอูฐ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 16:19:12

ความคิดเห็นที่ 49 แหลมงอบ จ.ตราด ครับ จากคุณ : netkuff72 เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 18:29:51

ความคิดเห็นที่ 50 ^ ^ ^ แถวบ้านเรียกกระโจมไฟ จากคุณ : Berzelius เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 19:26:06

ความคิดเห็นที่ 51 กระโจมไฟฟารอส ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ปัจจุบัน เทวรูปซูสที่อยู่บนยอดที่หักลงไปในทะเล ยังอยู่ดี แต่ผมหารูปไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่ใต้ทะเล จากคุณ : It_Nice เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 20:50:32

ความคิดเห็นที่ 52 เพิ่มเติมครับ  ..   ในบ้านเราหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเครื่องหมายช่วยการเดินเรือ มีด้วยกัน  4 หน่วยงาน ..  กรมอุทกศาสตร์   รับผิดชอบบริเวณชายฝั่งและเกาะต่างๆในทะเล ..  กรมการขนส่งทางน้ำและพานิชยนาวี   รับผิดชอบบริเวณปากแม่น้ำที่ติดต่อกับทะเล  และท่าเรือชายฝั่ง ..  การท่าเรือแห่งประเทศไทย   รับผิดชอบบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา  และท่าเรือแหลมฉบัง ..  การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย   รับผิดชอบบริเวณท่าเรือนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตาม  # 49, 50   ถ้าเป็นทางการ  ทร.โดยกรมอุทกศาสตร์ จะเป็นผู้กำหนดว่าที่ใดเป็นประภาคารหรือเป็นกระโจมไฟ ตามความเหมาะสม กระโจมไฟเดิมอาจได้รับการพิจารณายกฐานะเป็นประภาคารได้   กลับกันประภาคารก็ปรับเป็นกระโจมไฟได้เช่นกัน อย่างที่ปรับประภาคารเกาะจวง เป็นกระโจมไฟ   และให้กระโจมไฟชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (สัตหีบ) เป็นประภาคาร  เมื่อ 29 มี.ค.47 ภาพสถานีนำร่อง ที่ปากน้ำเจ้าพระยา  Bangkok Bar Pilot Station  ภาพจาก Panoramio.com : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 20:57:05

ความคิดเห็นที่ 53 อ่านแล้วนึกถึงเรื่องนี้ก่อนเลย กัปตันเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกาได้ทำการติดต่อไปยังคู่สายชาวแคนาดาผ่านทางวิทยุสื่อสาร กัปตัน : กรุณาหันหัวเรือของท่านไปทางทิศเหนือ 15 องศาเหนือพื่อเลี่ยงการปะทะด้วย ชาวแคนาดา : เราขอแนะนำให้ท่านเป็นคนหันเรื่อไปทาง 15 องศาใต้เพื่อหลีกเลี่ยงการประทะ กัปตัน : นี่กับตันของกองเรือสหรัฐเป็นคนพูด ให้ท่านเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือด้วย ชาวแคนาดา : ขอปฎิเสธ เรื่อของท่านต้องเป็นคนเปลี่ยนเส้นทาง กับตัน (ตะโกน) : นี่เป็นกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกา USS อับบราฮัม ลินคอน กองเรือของเรามีเรือพิฆาตและเรือลาดตระเวณอย่างละสามลำ และกำลังสนับสนุนทางน้ำอีกนับไม่ถ้วน ขอย้ำอีกครัง ให้ท่านเปลี่ยนเส้นทางไปทาง สิบหาองศาเหนือ ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ เพื่อความปลอดภัยของกองเรือ ชาวแคนาดา : นี่เป็นประภาคาร จะเอายังไงก็บอกมาเลย จากคุณ : angel13th เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 21:18:34

ความคิดเห็นที่ 54 แจมหลังเล็กๆด้วยคนครับ จากคุณ : oro เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 21:46:21

ความคิดเห็นที่ 55 ทำไมของไทยไม่ค่อยสวยเลย แต่ของแหลมงอบก็สวยดี จากคุณ : AloHaBoyZ เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 23:09:33

ความคิดเห็นที่ 56 แจมด้วยคนครับ  ประภาคารสูงสุดในไทย ประภาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ท่าเทียบเรือศุลกากร จังหวัดระนอง จากคุณ : m_stay22 เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 23:33:44

ความคิดเห็นที่ 57 ลองดูตอนกลางคืนบ้างครับ ไปมาเมื่อต้นปี จากคุณ : m_stay22 เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 53 23:34:44

ความคิดเห็นที่ 58 เอามาแบ่งปันกันครับ Lighthouse ที่ Cape Otway อุทยานแห่งชาติ Port Campbell รัฐ Victoria ใต้สุดของออสเตรเลีย หันหน้าเข้าหาขั้วโลกใต้ จากคุณ : st. kilda beach devil ++ เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 09:28:52

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณคุณเข็มแม่เหล็กที่ค้นข้อมูลแล้วนำมาแบ่งปันนะคะ ขอบคุณท่านอื่นที่ร่วมแจมรูปด้วย ชอบจัง จากคุณ : asp_ash เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 14:47:23

ความคิดเห็นที่ 60 แจมด้วยคน ประภาคารที่ Enoshima ประเทศญี่ปุ่นครับ จากคุณ : Drunkenangel เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 15:55:57

ความคิดเห็นที่ 61 ช่วย จขกท. ครับ ประภาคาร แหลมบาลีฮาย พัทยาใต้ครับ จากคุณ : Final Fantasy เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 17:06:39

ความคิดเห็นที่ 62 ประภาคาร ฝั่งพัทยา เมื่อมองจากเกาะล้าน ใช่ซะที่ไหนเล่า จากคุณ : Final Fantasy เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 17:09:13

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณภาพสวยๆ ทุกภาพครับ บ้านเรามีประภาคารและกระโจมไฟ   จากข้อมูลของกรมอุทกศาสตร์  ณ ปัจจุบัน ประภาคาร  14  แห่ง  ,  กระโจมไฟ  72  แห่ง ประภาคารภาคตะวันออก ..  ประภาคารหินสัมปะยื้อ   จ.ชลบุรี ..  ประภาคารชุมพรเขตอุดมศักดิ์   จ.ชลบุรี ..  ประภาคารระยอง   จ.ระยอง ..  ประภาคารเกาะไผ่   จ.ชลบุรี ..  ประภาคารแหลมสิงห์   จ.จันทบุรี ..  ประภาคารแหลมงอบ   จ.ตราด ประภาคารภาคใต้ ..  ประภาคารมัตโพน   จ.ชุมพร ..  ประภาคารหลังสวน   จ.ชุมพร ..  ประภาคารเกาะปราบ   จ.สุราษฎร์ธานี ..  ประภาคารสงขลา   จ.สงขลา ..  ประภาคารตากใบ   จ.นราธิวาส ประภาคารภาคอันดามัน ..  ประภาคารเกาะนก   จ.ตรัง ..  ประภาคารเกาะตะเภาน้อย   จ.ภูเก็ต ..  ประภาคารกาญจนาภิเษก แหลมพรหมเทพ   จ.ภูเก็ต จากกรมอุทกศาสตร์   http://www.navy.mi.th/hydro/aide/XHTML/name_lighthouse.htm มีภาพ ประภาคารตากใบ   จาก  panoramio.com  ครับ แก้ไขลิงค์ครับ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 53 09:10:53 จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 20:14:42

ความคิดเห็นที่ 64 เห็นแล้วคิดถึงที่นี่ครับ จากคุณ : GENTPK เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 20:28:04

ความคิดเห็นที่ 65 กระทู้สาระยอดเยี่ยมมากครับ งั้นขอแจมด้วยซัก 2-3 รูป Point Wilson Lighthouse Port Townsend, WA จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 21:33:52

ความคิดเห็นที่ 66 Battery Point Lighthouse Crescent City, CA จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 21:36:14

ความคิดเห็นที่ 67 Point Pinos Lighthouse Pacific Grove, CA จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 21:43:27

ความคิดเห็นที่ 68 ขออนุญาต จขกท มาชวนไปชมโปสการ์ดและแสตมป์สะสมรูปประภาคารต่อได้ที่กระทู้นี้ครับ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E9528352/E9528352.html จากคุณ : Cherokee1 เขียนเมื่อ : 3 ส.ค. 53 21:48:31

ความคิดเห็นที่ 69 ยอดเยี่ยมครับคุณเข็มแม่เหล็ก ขออนุญาตแจมด้วยภาพประภาคาร บนยอดเขาตังกวน จังหวัดสงขลา ขอบคุณภาพสีจาก ifind.bloggang.com ภาพขาวดำจากอัลบัมรูปเก่าของพ่อ ในชุดวิวสงขลาที่ถ่ายจากเครื่องบินปีกสองชั้น พ่อถ่ายไว้ประมาณปีพ.ศ. 2477 จากคุณ : พรเลิศ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 01:24:00

ความคิดเห็นที่ 70 Portland cape light cape elizabeth, portland,Maine จากคุณ : BE DAZE เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 08:25:40

ความคิดเห็นที่ 71 อันนี้เป็น Maine state quater ที่อยู่ในเหรียญ เป็น Pemaquid Point Lighthouse ที่ Bristol, Maine จากคุณ : BE DAZE เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 08:30:55

ความคิดเห็นที่ 72 ครับ   ภาพของคุณ พรเลิศ  คห 69    บนเขาตังกวน ภาพยุคขาวดำหาดูยากแล้วละครับ  ขอบคุณที่แบ่งปัน   เป็นประภาคารยุคที่ติดตั้งตะเกียงอะเซทีลีน  ซึ่งบ้านเราก็ใช้กันมากโดยเฉพาะที่เป็นกระโจมไฟ   เพราะมีเครื่องเปิดปิดบังคับด้วยแสง (sun valve) ติดใช้งานคู่กัน ไม่ต้องใช้คนจุด-ดับตะเกียง เปิดประวัติจากหนังสือกรมอุทกศาสตร์  เริ่มสร้างกระโจมไฟเขาตังกวน จ.สงขลา  เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๐  ใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด เปลี่ยนเป็นใช้ก๊าซอะเซทีลีนเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๙   เปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๐  จนปัจจุบัน ตะเกียงก๊าซ AGA  ผลงานของ Gustaf Dalen  เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ปี ค.ศ.1912  (ที่กล่าวถึงใน คห.14) แบบเดียวกับที่เห็นในภาพขาวดำของคุณ พรเลิศ   ,   .. ภาพจาก Museum แห่งหนึ่ง เค้าขายด้วยคงแพงน่าดู .. . จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 10:14:20

ความคิดเห็นที่ 73 อ้าวลืมภาพแฮะ .. : จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 10:16:37

ความคิดเห็นที่ 74 อูย ขอบคุณมากเลยค่ะ ภาพสวยๆทั้งนั้นเลย จากคุณ : IzaAII เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 53 20:46:51

ความคิดเห็นที่ 75   ประภาคารภาคใต้ ..  ประภาคารมัตโพน   จ.ชุมพร ..  ประภาคารหลังสวน   จ.ชุมพร ..  ประภาคารเกาะปราบ   จ.สุราษฎร์ธานี ..  ประภาคารสงขลา   จ.สงขลา ..  ประภาคารตากใบ   จ.นราธิวาส มีกองหินโลซินด้วยอีกอัน รูปดังใน คห.35+แถมให้อีกรูป จากคุณ : echo "Platalay"; เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 53 02:57:09

ความคิดเห็นที่ 76   ที่อยู่ของโลซิน http://goo.gl/maps/SGgE จากคุณ : echo "Platalay"; เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 53 02:59:58

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณคุณ echo "Platalay"; ที่เกาะโลซิน เป็นกระโจมไฟ      ซึ่งมีด้วยกัน  3 กระโจมไฟ ในจังหวัดปัตตานี ..  กระโจมไฟแหลมตาชี ..  กระโจมไฟสายบุรี ..  กระโจมไฟโลซิน ตามนี้ครับ  http://www.navy.mi.th/hydro/aide/XHTML/name_lighthouse.htm จากคุณ : เข็มแม่เหล็ก เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 53 09:20:33

ความคิดเห็นที่ 78 ขอตามเก็บความรู้และภาพสวยสวยเรื่อยเรื่อยนะคะ ^_^ จากคุณ : asp_ash เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 53 10:11:38

ความคิดเห็นที่ 79 กระทู้เยี่ยมครับ อยากให้เด็กๆมีโอกาสได้เข้ามาอ่าน ^-^ จากคุณ : วันที่อ่อนไหว... เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 53 20:26:06

ความคิดเห็นที่ 80 Lighthouse Veli Rat, island Dugi otok, Croatia By Ivan Coric http://ivan-c.deviantart.com/art/Waiting-for-the-dark-to-come-127697684 จากคุณ : ดอกไม้ไฟสีน้ำเงิน เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 53 22:13:22

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณครับ จากคุณ : โย่ _เชียงใหม่ เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 10:39:33

ความคิดเห็นที่ 82 Wollongong Australia คิดถึงจัง เครดิต http://www.genkin.org/cgi-bin/photo.pl/lighthouses/aulh0005 จากคุณ : โอมี (Anna_NSW) เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 15:10:28