ความคิดเห็นที่ 1 การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคต่างๆ นั้น ได้ทำกันมานานแล้ว ทั้งในยุโรปและเอเชีย ตัวอย่าง  มีการขุดพบเครื่องมือการผ่าตัดในสมัยกรีก โรมัน รวมทั้ง  มีหลักฐานยืนยันจากการขุดพบโครงกระดูกว่า ชาวอินเดียนแดงสามารถผ่าตัดเจาะกะโหลกศีรษะเพื่อรักษาโรค แต่การผ่าตัดในยุคก่อนนั้นมักจะเป็นการผ่าตัดเล็ก (minor surgery)   ส่วนใหญ่แล้วจะรักษาโรคกันด้วยใช้สมุนไพรหรือตำรับยาต่างๆ (การผ่าตัดที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดได้แก่ก่ารทำ Trepanation หรือการเจาะกระโหลก http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9534610/X9534610.html) รูปผิดค่ะ -*- แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 53 00:32:16 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:31:35

ความคิดเห็นที่ 2 ประมาณ 2000 ปีก่อนพุทธกาล มีการทำผ่าตัดกะโหลกศีรษะที่แตกยุบในภูมิภาคทางเอเชีย เช่น ในประเทศจีนและอินเดีย  ส่วนในประเทศจีนมีหลักฐานการผ่าตัดเพื่อแก้ปากแหว่ง และการทำหมัน (ตอน) ในเพศชาย เพื่อใช้เป็นขันทีในราชสำนัก เป็นต้น หมอของจีนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านศัลยกรรมของจีนที่เรารู้จักกันดี ก็ได้แก่หมอฮูโต๋ นั่นเอง ในรูป ฮูโต๋ผ่าตัดให้กวนอูซึ่งถูกลูกเกาทัณฑ์อาบยาพิษของข้าศึกที่ไหล่ซ้าย โดยการผ่าเนื้อที่ไหล่แล้วเอายาใส่ และเย็บเนื้อให้เป็นเหมือนเดิม โดยกวนอูไม่แสดงอาการเจ็บปวดให้เห็น กวนอูได้สรรเสริญว่าฮัวโต๋เป็นหมอเทวดา ฝ่ายฮัวโต๋ได้ชื่นชมกวนอูว่า เป็นคนไข้ที่อดทนต่อความเจ็บปวดได้ดี จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:32:33

ความคิดเห็นที่ 3 รูปวาดเครื่องมือผ่าตัดของชาวอียิปต์ ถูกค้นพบในปิรามิด มีหลายอย่างเหมือนกันนะเนี่ย คีม กรรไกร ใบมีด ครบหมด จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:32:56

ความคิดเห็นที่ 4 เครื่องมือผ่าตัดของชาวโรมันในศตวรรษที่ 2 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:33:35

ความคิดเห็นที่ 5 ในประเทศทางยุโรปยุคกลาง  ศัลยกรรมเริ่มทำกันอยู่ในหมู่ ช่างตัดผม (Barber surgeons)อาจจะเป็นเพราะว่าเครื่องมือของช่างตัดผมนั้นคม เหมาะสำหรับการผ่าตัด  การผ่าตัดเป็นแบบง่ายๆ เช่น ผ่าตัดฝี หนอง ถอนฟัน ทำแผล ทำ Bloodletting  ดามกระดูกที่แตกหรือหัก คนทำการผ่าตัดในตอนนั้น ไม่ถือว่าเป็นศัลยแพทย์ ต่อมาเมื่อมีการศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติม จึงได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นแพทย์ ในรูปพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ทรงเป็นสักขีพยานให้กับการลงนามรวมตัวของช่างตัดผมและหมอผ่าตัด Barbers & Surgeons Unite ในปี 1540 (ต่อมาได้หมอผ่าตัดได้มีการแยกตัวและตั้งราชวิทยาลัยศัลยแพทย์ขึ้นในปี คศ.1800) จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:34:24

ความคิดเห็นที่ 6 Barber surgeon ที่ได้รับการยอมรับต่อมาว่าเป็นบิดาแห่งการผ่าตัดยุคใหม่ก็คือ  ชาวฝรั่งเศส  Ambroise Pare ปาเรเป็นหมอทหารประจำอยู่ในกองทัพ ได้รับความรู้ความชำนาญจากการทำบาดแผลในสงคราม เป็นผู้ประดิษฐ์คีมจับหลอดเลือด และผูกหลอดเลือด เพื่อห้ามเลือดในขณะผ่าตัด อันเป็นวิธีที่ศัลยแพทย์ยังใช้กันอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ รูปวาดแสดงการทำงานของ Barber surgeons จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:37:16

ความคิดเห็นที่ 7 ในศตวรรษที่ 16-17 อาจจะนับได้ว่า เป็นยุคที่มีการผ่าตัดใหญ่กันมากขึ้น "Opus Chiruricum" (1565), รูปวาดโรงพยาบาลในสมันเรเนซองส์  มีทั้งหมอที่กำลังตรวจร่างกายคนไข้ และหมอที่กำลังทำการผ่าตัด จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:37:59

ความคิดเห็นที่ 8 การผ่าตัดในยุคก่อนเทคนิคการปลอดเชื้อ ที่ทำกันมากที่สุดอย่างหนึ่งคือการทำ amputation ภาพวาดแสดงให้เห็นการตัดระยางค์ (amputation) ในยุคแรกๆ หมอผ่าตัดจะใช้มือซ้ายของเขาเสมือน tourniquet (ที่รัดห้ามเลือด) สำหรับกดเพื่อไม่ให้เลือดออกมาก รวมทั้งกดเส้นประสาทเพื่อบรรเทาการเจ็บอีกด้วย แผลผ่าตัดจะถูกทาด้วยสมุนไพร และคลุมบาดแผลไว้ด้วยกระเพาะปัสสาวะของสัตว์ 15th Century Amputation จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:38:21

ความคิดเห็นที่ 9 ความเจ็บปวดคงไม่ต้องพูดถึง บางทีคนไข้คนหนึ่งต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงหลายคนช่วยกันตรึงไว้ รูป "A General System of Surgery" (1743), by Laurence Heister จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:38:47

ความคิดเห็นที่ 10 รูปที่แสดงให้เห็นว่าการผ่าตัดในสมัยนั้นไม่มีเทคนิคการปลอดเชื้อ (sterile technique)เลย อยากผ่าก็ผ่า อยากตัดก็ตัดเลย - - " จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:39:06

ความคิดเห็นที่ 11 การผ่าตัดใหญ่ที่ทำกันในสมัยนั้นอีกอย่างก็คือ การตัดเต้านม (mastectomy) ซึ่งมีการใช้จี้เผาไฟเพื่อห้ามเลือด แต่ก็ทำกันไม่มากนัก จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:39:24

ความคิดเห็นที่ 12 World’s First SuccessfulAbdominal Surgery, Christmas Day, 1809 การผ่าตัดในช่องท้องที่ทำสำเร็จเป็นรายแรกของโลก (ก่อนหน้า ปี 1809 มีการผ่าตัดในช่องท้องบ้าง แต่ทุกรายเสียชีวิตด้วยอาการติดเชื้อในช่องท้อง) เป็นการผ่าตัดเนื้องอกในรังไข่ (ovarian tumour) ซึ่งทำโดย Dr. Ephraim McDowell ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน ที่ Danville, Kentucky ผู้ป่วยเป็นผู้หญิงวัย 34 ปี ซึ่งทนเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากท้องที่ใหญ่โตผิดปกติ ตอนแรกแพทย์ประจำตัวของเธอคิดว่าเธอตั้งครรภ์  ...ตามคำร้องขอของคนไข้ Dr. McDowell ได้ทำการผ่าตัดช่องท้องของเธอโดยใช้เวลา 25นาที ตัดก้อนเนื้องอกที่มีน้ำนักถึง 22.5 ปอนด์(10.2กิโลกรัม)ออกมา ... หลังผ่าตัดคนไข้ใช้เวลาเพียง 5 วัน ก็ลุกเดินได้ และเธอมีชีวิตยืนยาวต่อมาอีก 32 ปี การผ่าตัดคราวนั้นกระทำโดยยังไม่มีเทคนิคการปลอดเชื้อรวมถึงการให้ยาสลบที่ดีพอเลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 53 00:57:50 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:41:57

ความคิดเห็นที่ 13 จะเห็นได้ว่าการผ่าตัดในยุคนั้น ติดขัดอยู่ที่อุปสรรคสำคัญ 3 ประการก็คือ 1.Bleeding (เลือดออก) การลงมีดผ่าตัดย่อมต้องมีเลือดออกแน่นอน ยิ่งกรีดลึกเลือดยิ่งออกมาก ยิ่งถ้าโดนเส้นเลือดใหญ่ก็ถึงกับหน้ามืดจนถึงขนาดเสียชีวิตกันเลยทีเดียว 2.Infection (การติดเชื้อ) ในสมัยก่อนการผ่าตัดแม้จะเป็นการผ่าตัดเล็ก แต่ก็พบปัญหาว่าแผลที่ผ่าลงไปมักจะอักเสบและเป็นหนองเสมอ พบว่ามีการอักเสบลุกลามจนถึงขั้นติดเชื้อในกระแสโลหิต (septicemia) จนผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก 3.Pain (ความเจ็บปวด) จะเห็นว่าการผ่าตัดก่อนจะมียาสลบ มักจะทำกันแค่ผ่าตัดภายนอก เพราะมีความเจ็บปวดมาก แค่กรีดมีดลงบนเนื้อก็เจ็บแล้ว ตัดแขนตัดขานั้นก็เจ็บปวดมาก แต่บางทีก็ต้องทำเพื่อรักษาชีวิต การจะผ่านอุปสรรคใหญ่ทั้ง  3 อย่างนั้น ต้องอาศัยวิทยาการแขนงอื่นมาช่วย ทำให้การผ่าตัดก้าวหน้าไปได้ รูปวาดแสดงการผ่าตัดของชาวกรีก ยุคศตวรรษแรก แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 53 00:59:34 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:44:28

ความคิดเห็นที่ 14 การห้ามเลือดและการให้เลือด อุปกรณ์ในยุคแรกๆนอกจากการกดหรือพันห้ามเลือด ก็มีการใช้จี้ (cautery) ซึ่งยุคแรกๆก็เป็นจี้เหล็กเผาไฟให้ร้อน ใช้ทำลายเนื้อเยื่อรอบๆเพื่อหยุดยั้งเลือดออก รวมถึงคาดว่าจะช่วยทำลายเชื้อโรคจากความร้อนด้วย ในยุคต่อมาเมื่อมีการคิดค้นอุปกรณ์การเย็บ (Ligature)ใช้เย็บปิดผาดแผลหรือผูกเส้นเลือด ทำให้การห้ามเลือดทำได้ดีขึ้น แต่ยังติดปัญหาเรื่องแผลติดเชื้ออยู่ดี การใช้จี้ในยุคแรกๆ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:45:37

ความคิดเห็นที่ 15 ส่วนการให้เลือดทดแทนในมนุษย์เกิดขึ้นครั้งแรกจากการให้เลือดของแกะสู่คน ในประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษเมื่อสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา มีการบันทึกว่าได้ผลดีกับผู้ป่วยบางคน แต่ส่วนใหญ่มีผลเสียถึงแก่ชีวิต  (เนื่องจากว่าการให้เลือดสิ่งมีชีวิตคนละ species กัน จะทำให้เกิดปฏิกิริยากันที่ไม่เข้ากันอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า Hemolytic transfusion reaction) ทำให้การให้เลือดจากแกะสู่คนต้องหยุดชะงักลงเป็นเวลานาน การให้เลือดจากคนสู่คนครั้งแรกเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ โดย Dr. James Blundell บิดาของการให้เลือดของยุคปัจจุบัน  ต่อมามีการคิดค้นน้ำยาที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัวระหว่างการจัดเก็บและการค้นพบหมู่เลือดโดย Karl Landsteiner การให้เลือดระหว่างมนุษย์ด้วยกันจึงทำได้ปลอดภัยสูงสุด เคสแรกที่ให้เลือดจากคนสู่คนสำเร็จ เป็นเคสหญิงที่มีอาการตกเลือดหลังคลอด ( postpartum hemorrhage) ผู้ให้เลือดคือสามีเธอเอง  โดย James Blundellใช้ไซริงค์ดูดเลือดจากตัวผู้ให้มาสู่ผู้รับเลือด จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:46:32

ความคิดเห็นที่ 16 การค้นพบเทคนิคการปลอดเชื้อ( Aseptic Technique) ในปีคศ.  1847  Dr. Ignaz Semmelweiss สูติแพทย์ของเวียนนา ได้นำเทคนิคการปลอดเชื้อมาใช้ครั้งแรก เขาแนะนำให้ล้างมือและเครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนเสื้อผ้าทั้งของแพทย์และของผู้ป่วยเองให้สะอาด และแช่มือในน้ำยาคลอรีน การค้นพบของเขาได้ช่วยชีวิตของหญิงที่คลอดบุตรในโรงพยาบาลกลางของกรุงเวียนนาไว้มากมาย puerperal fever การติดเชื้อหลังคลอดซึ่งคร่าชีวิตคุณแม่สมัยก่อนไปมากมาย จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:47:03

ความคิดเห็นที่ 17 ต่อมาอีกประมาณ 20 ปี  นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Louis Pasteur พบว่าเชื้อจุลินทรีย์เป็นตัวทำให้เกิดหนองและการอักเสบ และแพทย์ชาวอังกฤษ Joseph Lister  ได้นำกรดคาร์บอลิกหรือที่รู้จักกันในนามของ ฟีนอล (phenol) มาเป็นยาฆ่าเชื้อโรคในบาดแผล จากนั้นมาโรคติดเชื้อในทางศัลยกรรมลดลงไปมากมาย เมื่อมีการค้นพบยาปฏิชีวนะอย่าง penicillin  โดย Alexander Fleming ในปี 1928  และมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ศัลยแพทย์ก็คลายความกังวลเรื่องแผลติดเชื้อไปอย่างมาก จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:47:34

ความคิดเห็นที่ 18 สำหรับจุดก้าวกระโดดที่ทำให้เกิดการศัลยกรรมในยุคใหม่อย่างแท้จริง ก็คงเป็นการค้นพบยาสลบหรือยาระงับความรู้สึก ซึ่งทำให้การผ่าตัดอย่างการผ่าตัดอวัยวะภายในนั้นดำเนินไปได้ เขียนมาเท่านี้ก็ยืดยาวพอสมควร สงสัยเรื่องยาสลบไว้ต่อคราวหน้าดีกว่า รูปการให้การระงับความรู้สึกครั้งแรก?.... The First Anaesthetist? "The Creation of Eve" by Paolo Caliari (1528-1588) "And the Lord God caused a deep sleep to fall upon Adam, and he slept" Genesis 2:21 จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:49:11

ความคิดเห็นที่ 19   กระทู้ผ่าตัด  แต่ผมมาเพื่อปาด จากคุณ : นกฮูกผจญภัย เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:53:43

ความคิดเห็นที่ 20   กระทู้ดีครับ ขยันจริง ๆ โพสซะดึกเลย แต่ว่าผ่าตัดสมัยก่อนโหดมากจริง ๆ  ผ่าตัดโดยไม่ใช้ยาสลบนี้ เอาปืนยิงผมให้ตายดีกว่า จากคุณ : นกฮูกผจญภัย เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 00:59:36

ความคิดเห็นที่ 21 กระทู้คุณหมูเหมียว ..... เสียว     ทุกกระทู้เลยนะครับ จากคุณ : WATCHAROB_KJ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 01:18:10

ความคิดเห็นที่ 22 รักคุณหมอหมูเหมียวที่สุดดดด ชอบมากกระทู้แบบนี้ อ่านแล้วอยากเป็นศัลยแพทย์จริงๆ จากคุณ : kanoomtan เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 05:34:12

ความคิดเห็นที่ 23 คห.2 นั่งผ่าตัด ในขณะที่เล่นโกะไปด้วย อะไรจะเหี้ยมเกรียมขนานนั้น จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 05:52:32

ความคิดเห็นที่ 24 เยี่ยมเลย อ่านแล้วสนุกดี ชอบครับ จากคุณ : ลาบเลือดน้ำตกซกเล็ก เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 10:13:38

ความคิดเห็นที่ 25 ได้ความรุ้เยอะมากมาย แต่ก็น่ากลัวปนสนุก จากคุณ : ปวดตับเพราะตั้งชื่อ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 15:47:01

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณค่ะคุณหมูเหมียว ปกติแก้มไม่ค่อยมาห้องนี้ แต่อ่านกระทู้นี้เพราะอยากเป็นหมอดมยาเหมือนคุณค่ะ :) จากคุณ : เด็กหญิงแก้มตัวน้อยๆ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 16:30:14

ความคิดเห็นที่ 27 ชิลน่าดูเลยนะกวนอูถึงกับนั่งเล่นหมากรุกเลยทีเดียว แต่กรีกนี่วิธีลดความเจ็บปวดน่าสนใจจริงๆ จากคุณ : สุกี้แห้งรวมมิตร เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 17:26:02

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้เยอะเลย ผ่าตัดด้วยยาสลบนี่ถือเป็นการปฏิวัติทางการแพทย์เลยทีเดียว จากคุณ : A Song for xx เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 17:49:21

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมติดตามตอนต่อไป จะเล่าเรื่องการให้ยาสลบตั้งแต่ในอดีตกาล... ตอนแรกว่าจะเขียนต่อเลย แต่กระทู้ก็ยาวไปละ เป็นกำลังใจให้น้องแก้มนะคะ ตั้งใจเรียนตอนนี้ให้ดี วันข้างหน้าก็แล้วแต่เราชอบค่ะ อยากเรียนต่ออะไรก็ได้ดังใจ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 19:26:05

ความคิดเห็นที่ 30 . . . ระทุกข์ เอ๊ย ระทึก ทุกกระทู้ ใจไม่แข็งพอยังมีกะใจมานั่งอ่าน อ่านไปสั่นไป เฮ้อ... ขอบคุณมากๆสำหรับความรู้ดีๆค่ะ แล้วจะติดตามตอนต่อไปค่ะ . . . จากคุณ : ผักบุ้งตาสวย เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 20:00:17

ความคิดเห็นที่ 31 ชอบมาก ๆ เลยละครับ^^ ติดตามและตามติด จากคุณ : ปวดตับเพราะตั้งชื่อ เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 53 20:28:26

ความคิดเห็นที่ 32 ชอบมาก ๆ เลยค่ะเรื่องหมอ ๆ นี่ คนสมัยก่อน ทนกันได้ยังไงก็ไม่รู้อ่ะ  แค่คิดจะเอามีดกรีดแค่นิ้วยังทำใจไม่ด้ายยย เลย >< จากคุณ : สวยชั่วกัลปวสานอมตะนิรันด์กาล เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 06:06:29

ความคิดเห็นที่ 33 น่ากลัวๆๆ จากคุณ : น้าวัชร-จัดให้ เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 53 11:32:38

ความคิดเห็นที่ 34 ทำไมเค้าต้องตัดเต้านมกันด้วยอ่ะ สมัยนั้นอ่ะค่ะ จากคุณ : ROBOTหุ่นยนต์ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 02:11:31