ความคิดเห็นที่ 1 1) ภูเขาที่มีความสูงมากที่สุดในโลกมีชื่อว่าอะไร คำตอบที่ผิดคือเอเวอร์เรสต์ ที่ถูกต้องคือ มอนะเคอา ซึ่งเป็นจุดสูงสุดบนเกาะฮาวาย (Mauna Kea อ่านว่า มอ-นะ-เค-อะ ไม่ใช่ มัวนาเคีย) แม้ยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทลูกนี้สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเอเวอร์เรสต์ นั่นคือเพียง 4,206 เมตร แต่เมื่อวัดความสูงจากตีนเขาที่อยู่ที่ระดับพื้นดินใต้ทะเลจะสูงถึง 10,200 เมตร ซึ่งจะสูงกว่าเอเวอร์เรสประมาณ 1,200 เมตร ถ้าว่ากันด้วยเรื่องของภูเขาแล้ว ข้อตกลงที่ยอมรับกันในปัจจุบันคือคำว่า “สูงสุด” (highest) จะหมายถึงการวัดจากระดับน้ำทะเลไปถึงยอดเขา ส่วนคำว่า “มีความสูงที่สุด” (tallest) จะหมายถึงการวัดการตีนเขาถึงยอดเขา ดังนั้น ในขณะที่เอเวอร์เรสต์เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลกที่ระดับ 8,848 เมตร มันกลับไม่ใช่ภูเขาที่มีความสูงที่สุดแต่อย่างใด การวัดความสูงของภูเขานั้นซับซ้อนกว่าที่ตาเห็น เพราะการมองหายอดเขาเป็นเรื่องง่าย แต่ที่ยากคือการมองหาตีนเขา ยกตัวอย่างเช่น บางคนแย้งว่า ภูเขาคิริมันจาโรในประเทศแทนซาเนียซึ่งมีความสูง 5,895 เมตรนั้นสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์ เพราะมันตั้งอยู่กลางที่ราบในทวีปแอฟริกา ในขณะที่เอเวอร์เรสต์นั้นเป็นเพียงหนึ่งในยอดเขาหลายๆยอดที่โผล่ออกมาจากฐานขนาดมหึมาของเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาที่สูงที่สุดในโลกอันดับรองลงมาอีก 13 ลูก ขณะที่บางคนอ้างว่า วิธีที่สมเหตุสมผลที่สุดคือการวัดระยะทางจากยอดเขาไปจนถึงจุดกึ่งกลางของโลก เนื่องจากโลกใบนี้ไม่ได้กลมดิ๊กอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ออกไปทางวงรีนิดๆ ดังนั้น ระยะทางจากเปลือกโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงจุดกึ่งกลางของโลก จึงมากกว่าระยะทางจากเปลือกโลกบริเวณขั้วโลกไปจนถึงจุดกึ่งกลางของโลกประมาณ 21 กิโลเมตร จึงถือเป็นข่าวดีสำหรับภูเขาทั้งหลายที่ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรที่จะได้มีชื่อเสียงโด่งดังบ้าง (อย่างภูเขาซิมโบราโซในเทือกเขาแอนดีส) แต่ก็หมายถึงการยอมรับว่า แม้แต่ชายหาดในประเทศเอกวาดอร์ก็ยังสูงกว่าเทือกเขาหิมาลัยด้วยเช่นกัน ถึงแม้หิมาลัยจะมีขนาดมหึมา แต่ก็มีอายุน้อยอย่างน่าทึ่ง เพราะตอนที่มันก่อตัวขึ้นมา ไดโนเสาร์เพิ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อ 25 ล้านปีเท่านั้นเอง ในประเทศเนปาล เอเวอร์เรสต์เป็นที่รู้จักในนาม “โชโมลังมา” แปลว่ามารดาแห่งจักรวาล ส่วนที่ทิเบตมันมีชื่อเรียกว่า “ซากามาร์ธา” แปลว่าหน้าผากแห่งนภา ทุกวันนี้มันก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ซึ่งยังคงเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะด้วยอัตราที่ไม่น่าตื่นใจนัก คือปีละไม่ถึง 0.25 นิ้ว และเขาลูกนี้ถูกพิชิตโดยชาวเนปาลที่มีชื่อว่า เทนซิ่ง นอร์เกย์ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “เชอร์ป้า เทนซิ่ง” ผู้ซึ่งเป็นไกด์พา เอ็ดมันด์ ฮิลลารี่ (นักปีนเขาชาวนิวซีแลนด์ผู้ที่มักได้รับการบันทึกว่าเป็นคนแรกที่พิชิตเขาลูกนี้) ไปยังยอดเขาเอเวอร์เรสต์ในปี ค.ศ. 1953 (คือว่า เทนซิ่ง นอร์เกย์ ไปถึงยอดเขาก่อน) ส่วนการตั้งชื่อภูเขาเอเวอร์เรสต์นั้น ก็เพื่อเป็นเกียรติแก่เซอร์ จอร์จ เอเวอร์เรสต์ นักสำรวจชาวเวลส์ ผู้เดินทางไปสำรวจตั้งแต่ตอนใต้ของอินเดียไปจนถึงเนปาลตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:18:44

ความคิดเห็นที่ 2 2) สถานที่ใดแห้งแล้งที่สุดในโลก ทวีปแอนตาร์กติก้าที่ขั้วโลกใต้ พื้นที่บางส่วนของทวีปแห่งนี้ไม่มีฝนตกมาเป็นเวลา 2 ล้านปีแล้ว ในทางเทคนิคแล้ว คำจำกัดความของคำว่าทะเลทรายคือ สถานที่ๆได้รับน้ำฝนไม่ถึง 10 นิ้วต่อปี ทะเลทรายซาฮาร่าได้รับน้ำฝนไม่ถึง 1 นิ้วในแต่ละปี ปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยของแอนตาร์กติก้าก็ไม่ต่างออกไปสักเท่าไหร่ แต่ก็มีพื้นที่ 2 เปอร์เซ็นต์ของทวีปนี้ที่ปราศจากน้ำแข็งและหิมะ รวมทั้งไม่มีฝนตกลงมาเลย พื้นที่บริเวณนี้เรียกว่าหุบเขาแห้ง (Dry Valley) สถานที่แห้งแล้งที่สุดในโลกอันดับรองลงมาคือ ทะเลทรายอะตากาม่าในประเทศชิลี ซึ่งในบางพื้นที่ไม่มีฝนตกมานานกว่า 400 ปีแล้ว และปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยตลอดทั้งปีก็น้อยกว่า 0.004 นิ้ว เมื่อเปรียบเทียบกับทะเลทรายทั้งหมดแล้ว มันจึงครองตำแหน่งทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลกไปโดยปริยาย เรียกได้ว่าแห้งแล้งกว่าทะเลทรายซาฮาร่าถึง 250 เท่าเลยทีเดียว นอกจากแอนตาร์กติก้าจะเป็นสถานที่ๆแห้งแล้งที่สุดในโลกแล้ว มันยังเป็นสถานที่ๆมีน้ำมากที่สุดและมีลมกรรโชกรุนแรงที่สุดในโลกอีกด้วย โดยเราจะพบน้ำจืด 70 เปอร์เซ็นต์ของโลกได้ที่นี่ในรูปของน้ำแข็ง และความเร็วลมก็รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมาเลยทีเดียว ลักษณะพิเศษของหุบเขาแห้งแอนตาร์กติก้าเกิดขึ้นจากสายลมพัดลงเขา (Katabatic wind) ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่ออากาศที่หนาวเหน็บและหนาแน่นถูกพัดลงมาจากภูเขาด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วง ความเร็วลมดังกล่าวอาจรุนแรงได้ถึง 322 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้ความชื้นทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่รูปของน้ำ น้ำแข็ง และหิมะ ระเหยไปจนหมด แม้ว่าแอนตาร์กติก้าจะเป็นทะเลทราย แต่เรื่องน่าขันคือ พื้นที่ตรงส่วนที่แห้งที่สุดของทวีปกลับถูกเรียกว่า โอเอซิส มันมีสภาพคล้ายกับดาวอังคารมากจนนาซ่าใช้เป็นสถานที่ทดสอบภารกิจของยานไวกิ้ง จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:19:35

ความคิดเห็นที่ 3 3) สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคืออะไร มันคือเห็ด และมันก็ไม่ได้เป็นเห็ดสายพันธุ์ที่หายากแต่อย่างใด คุณอาจมีเห็ดโคนญี่ปุ่น (honey mushrooms) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Armillaria ostoyae อยู่ในสวนของคุณก็เป็นได้ โดยมันจะเจริญเติบโตบนซากต้นไม้ที่ตายแล้ว ถ้าโชคดี หวังว่าเห็ดในสวนของคุณคงไม่เจริญเติบโตจนมีขนาดเท่ากับเห็ดที่ได้รับการบันทึกว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ที่วนอุทยานแห่งชาติแมลเฮียร์ในรัฐโอเรกอน โดยเห็ดที่นั่นได้แผ่ขยายตัวเองปกคลุมพื้นที่ถึง 9 ตารางกิโลเมตรและมีชีวิตอยู่มานาน 2,000 ถึง 8,000 ปีมาแล้ว ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้พื้นดินในรูปของผืนใยสีขาวที่พันกันยุ่งเหยิงเป็นจำนวนมาก (เปรียบเสมือนรากของเห็ด) แผ่ขยายชอนไชไปตามรากต้นไม้ ทำให้ต้นไม้เหล่านั้นตาย และโผล่พ้นผิวดินออกมาบางครั้งในรูปของเห็ดโคนญี่ปุ่นหน้าตาไร้เดียงสา เดิมทีนั้นมีการคิดกันว่า เจ้าเห็ดโคนญี่ปุ่นยักษ์แห่งโอเรกอนนี้เจริญเติบโตแยกเป็นกลุ่มๆกระจายไปทั่วทั้งป่า แต่ปัจจุบันนักวิจัยได้ยืนยันแล้วว่า มันเป็นสิ่งชีวิตหนึ่งเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเชื่อมประสานกันอยู่ใต้พื้นดิน จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:20:06

ความคิดเห็นที่ 4 4) อะไรคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุดที่ปลาวาฬสีน้ำเงินสามารถกลืนลงไปได้ ก. เห็ดที่มีขนาดใหญ่มาก ข. รถยนต์ขนาดย่อมหนึ่งคัน ค. ส้มโอหนึ่งผล ง. กะลาสีเรือหนึ่งคน คำตอบคือส้มโอหนึ่งผล เรื่องที่น่าสนใจคือ ลำคอของปลาวาฬสีน้ำเงินมีขนาดแทบจะเท่ากับสะดือของมัน (ซึ่งมีขนาดประมาณจานใส่สลัด) แต่มีขนาดเล็กกว่าเยื่อแก้วหูของมันเล็กน้อย (ซึ่งมีขนาดเท่าจานใส่อาหาร) ตลอดระยะเวลาแปดเดือนในแต่ละปี ปลาวาฬสีน้ำเงินแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย แต่พอย่างเข้าฤดูร้อน พวกมันแทบจะไม่ได้หยุดกินเลย โดยสวาปามอาหารเข้าไปมากถึงวันละ 3 ตัน คุณอาจจะพอจำได้จากชั้นเรียนชีววิทยาว่า อาหารของพวกมันคือพวกสัตว์มีเปลือกสีชมพูขนาดเล็กคล้ายๆกับกุ้ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ตัวเคย (krill) ซึ่งจะถูกกลืนลงกระเพาะของปลาวาฬราวกับกลืนน้ำผึ้งเลยทีเดียว ตัวเคยจะมีมาให้สวาปามครั้งละเป็นฝูง แต่ละฝูงมีขนาดมหึมา โดยอาจหนักได้กว่า 100,000 ตันเลยทีเดียว krill เป็นคำที่มาจากภาษานอร์เวย์ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า kriel ในภาษาดัตช์ หมายความว่า “ลูกปลาน้อย” และทุกวันนี้ยังถูกนำไปใช้แทนความหมายคำว่า “คนแคระ” และ “เรื่องขี้ประติ๋ว” อีกด้วย ดังนั้น การที่ปลาวาฬมีขนาดลำคอแคบๆจึงหมายความว่า มันไม่อาจกลืนโยนาห์ลงไปได้ (โยนาห์คือนักบวชในคัมภีร์ไบเบิลที่ถูกจับโยนลงทะเลเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นตอของพายุรุนแรง แต่พระเจ้าได้ให้ปลาใหญ่ซึ่งก็คือปลาวาฬกลืนลงท้องไปแล้วว่ายไปคายที่ชายหาดเพื่อทดสอบศรัทธาของพระองค์) ปลาวาฬชนิดเดียวที่มีลำคอกว้างพอจะกลืนคนลงไปได้คือปลาวาฬสเปิร์ม แต่เมื่อเข้าไปในตัวมันแล้ว ของเหลวภายในท้องของมันซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากก็ทำให้การรอดชีวิตเป็นไปไม่ได้เลย อย่างในกรณีของ “โยนาห์คนใหม่” ซึ่งสร้างความฮือฮาเมื่อปี 1891 นั้น เจมส์ บาร์ทลี่ย์ อ้างว่าเขาถูกปลาวาฬสเปิร์มกลืนลงไปและถูกลูกเรือของเขาช่วยเหลืออกมาในอีก 15 ชั่วโมงให้หลัง ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง ถ้าไม่นับลำคอแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับปลาวาฬสีน้ำเงินล้วนมีขนาดมหึมาทั้งสิ้น ด้วยขนาดลำตัวยาวถึง 32 เมตร มันจึงเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา (ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าบลูแฮธเคโอซอรัสซึ่งเป็นไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกค้นพบจะตัวใหญ่กว่า) ลิ้นของมันหนักกว่าช้าง 1 เชือกเสียอีก หัวใจมีขนาดเท่ากับรถยนต์ 1 คัน กระเพาะอาหารสามารถจุอาหารได้มากกว่า 1 ตัน นอกจากนี้ มันยังสามารถสร้างเสียงได้มากกว่าสัตว์ชนิดใดในโลก โดยเสียงร้องความถี่ต่ำของมันสามารถตรวจจับได้โดยปลาวาฬตัวอื่นๆที่อยู่ห่างไกลออกไปถึง 16,000 กิโลเมตร แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 15:59:21 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:20:38

ความคิดเห็นที่ 5 5) ชื่อวิทยาศาสตร์ของหมีขั้วโลกคือข้อใด ก. Ursus arctos ข. Ursus martimus ตอบข้อ ข. ฟังดูอาจจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปบ้าง คำว่า Ursus arctos เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของหมีสีน้ำตาล ไม่ใช่หมีขั้วโลกแต่อย่างใด นอกจากนี้ Ursus หมายถึง “หมี” ในภาษาละติน และ arctos หมายถึง “หมี” ในภาษากรีก ดังนั้น หมีจึงไม่ได้ถูกตั้งชื่อตามเขตอาร์กติค แต่เป็นในทางกลับกันต่างหาก อาร์กติคหมายถึง “ดินแดนของหมี” ซึ่งเป็นสถานที่ๆหมีอาศัยอยู่ และเป็นสถานที่ๆหมีอาศัยอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งก็เป็นกลุ่มดาวหมีใหญ่ที่ที่ชี้ไปทางทิศเหนือ ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ของหมีขั้วโลกจริงๆคือ Ursus martimus ซึ่งหมายถึง “หมีทะเล” กลุ่มดาวหมีใหญ่ถูกมองว่าเป็นเหมือนหมีในหลายวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นชาวไอนุในฮอกไกโด ชาวอินเดียนแดงในอเมริกา หรือกระทั่งชาวอังกฤษก็ตาม แม้ว่าหมีขั่วโลกจะเกิดมาอยู่ภายใต้สัญลักษณืของกลุ่มดาวหมีใหญ่ แต่ในทางโหราศาสตร์แล้ว พวกมันล้วนเป็นชาวราศีมังกรเหมือนันหมด เกิดในช่วงปลายเดือนธันวาคมย่างเข้าต้นเดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม พวกมันโปรดปรานยาสีฟันเหลือเกิน มีรายงานบ่อยครั้งว่าหมีขั้วโลกบุกรุกทำลายที่พักนักท่องเที่ยวในแถบบริเวณขั้วโลกเหนือ โดยรื้อเต้นท์และเหยียบย่ำสัมภาระต่างๆเพื่อหาหลอดยาสีฟันเป๊ปโซดินมาดูดกิน นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ชาวเมืองเชอร์ชิลในเขตมาโตนิบามีกรงคอนกรีตไว้สำหรับขังหมีขั้วโลก หมีตัวใดเกิดทะเล่อทะล่าเข้าไปในเมืองจะถูกจับและนำไปขังไว้ที่นั่น บางตัวถูกลงโทษนานหลายเดือนก่อนถูกปล่อยตัวกลับไปยังฝูง แต่ก็จะถูกหมีตัวอื่นข่ม ไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่มีหน้าที่อะไรในฝูงเดิม สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่เก็บศพของค่ายทหารมาก่อน และมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าอาคารดี-20 สามารถคุมขังหมีได้ 23 ตัว หมีขั้วโลกจะไม่กินอะไรเลยตลอดช่วงฤดูร้อน ดังนั้น จึงไม่ต้องให้อาหารอะไรเลยแก่นักโทษหมีบางตัวเลยเป็นเวลาหลายเดือน และพวกมันจะถูกคุมขังจนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นฤดูล่าของพวกมัน ด้วยวิธีนี้ หลังจากถูกปล่อยตัวไป พวกมันจะออกไปหาปลาและไม่กลับมาเมืองเชอร์ชิลอีกเลย ในสมัยโบราณ หมีขั้วโลกที่ถูกจับได้จะถูกเป็นของพระเจ้าปโตเลมีที่ 2 แห่งอียิปต์ (246~308 ปีก่อนคริสตกาล) และถูกเก็บเอาไว้ในสวนสัตว์ส่วนพระองค์ในเมืองอเล็กซานเดรีย ในปี ค.ศ. 57 นักเขียนชาวโรมันชื่อ คัลเพอร์เนียส สิคิวลัส ได้เขียนเรื่องของหมีขั้วโลกต่อสู้กับแมวน้ำในอัศจรรย์ที่อัดแน่นไปด้วยน้ำ นักล่าจะจับลูกหมีขั้วโลกด้วยการฆ่าและถลกหนังแม่ของมัน จากนั้นนำมากางบนพื้นหิมะ เมื่อลูกหมีขั้วโลกจะพยายามไปนอนบนผืนหนังของแม่ มันก็จะถูกจับในที่สุด หมีสีน้ำตาลอยู่ในสายพันธุ์เดียวกับหมีกริซลี่ย์ ซึ่งเป็นชื่อสำหรับเรียกหมีสีน้ำตาลที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ หมีเพศผู้และเพศเมียถูกเรียกว่ boar และ sow แบบเดียวกับที่เราเรียกหมูตัวผู้และตัวเมีย ทั้งที่ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอะไรกันเลย แม้ตอนเกิดหมีจะมีน้ำหนักเพียง 400 กรัม แต่ตอนโตเต็มวัยจะหนักถึงครึ่งตัน คือจะเติบโตกว่าตอนเป็นทารกถึงกว่า 1,000 เท่า แม่หมีจึงไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเวลาคลอดลูก ถ้าคนให้กำเนิดบุตรในอัตราส่วนเท่ากับหมี เด็กทารกที่คลอดออกมาจะมีขนาดเท่าลูกกอล์ฟ (เล็กกว่าลูกเทนนิสอีก) ญาติที่ใกล้ชิดกับหมีที่สุดคือสุนัข แต่ที่แน่ๆ ทารกหมีขั้วโลกเป็นอะไรที่น่ารักที่สุดในโลก น่ารักกว่าลูกหมีแพนด้าเป็นไหนๆ ไม่เชื่อลองดูคลิปข้างล่างสิ http://www.youtube.com/watch?v=xZ6zJrnJNCo แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 14:27:07 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 14:26:35 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 13:06:13 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 12:28:29 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 12:25:08 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:24:25

ความคิดเห็นที่ 6 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:38:43 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:38:05 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:27:48

ความคิดเห็นที่ 7 7) สิ่งประดิษฐ์ใดจากฝีมือมนุษย์ที่สามารถมองเห็นได้จากดวงจันทร์ ลบ 10 คะแนนถ้าคุณตอบว่ากำแพงเมืองจีน เพราะไม่มีสิ่งประดิษฐ์ใดบนโลกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากดวงจันทร์ แนวคิดที่ว่ำแพงเมืองจีนเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นเพียงอย่างเดียวที่มองเห็นได้จากดวงจันทร์นั้น ได้แพร่สะพัดออกไปอย่างกว้างขวาง และก็ได้สร้างความสับสนในเรื่องของดวงจันทร์กับอวกาศเป็นอย่างมาก จริงๆแล้วอวกาศอยู่ไม่ไกลเลย โดยห่างจากพื้นผิวโลกประมาณ 97 กิโลเมตร จากจุดนั้น เราสามารถมองเห็นสิ่งประดิษฐ์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นถนนหลวง เรือที่กำลังแล่นในทะเล รางรถไฟ หัวเมืองต่างๆ ไร่ข้าวโพด หรือแม้แต่อาคารบางหลัง อย่างไรก็ตาม หลังจากหลุดวงโคจรโลกไปได้แค่ไม่กี่พันกิโลเมตร และมองไม่เห็นสิ่งประดิษฐ์ใดๆบนพื้นโลกได้อีกเลย ดังนั้น ถ้าเรายืนบนพื้นผิวดวงจันทร์ซึ่งห่างจากโลกมากกว่า 402,336 กิโลเมตร แม้แต่ทวีปทั้งผืนก็ยากที่จะมองเห็นได้ จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:29:05

ความคิดเห็นที่ 8 8) ใครเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องยนต์ไอน้ำ ก. เจมส์ วัตต์ ข. จอร์จ สตีเวนสัน ค. ริชาร์ด เทรวิธิค ง. โธมัส นิวโคแมน จ. นักวิทยาศาสตร์จากอียิปต์คนหนึ่งชื่อเฮร่อน เฮร่อนได้รับรางวัลข้อนี้ไป เขาสร้างก่อนเครื่องยนต์ในปี 1711 ของนิวโคแมนเป็นเวลาถึง 1,600 ปี เฮร่อนอาศัยอยู่ในเมืองอเล็กซานเดรียประมาณคริสตศักราชที่ 62 นอกจากจะเป็นที่รู้จักในฐานะนักคณิตศาสตร์และนักเลขาคณิตแล้ว เขายังเป็นนักประดิษฐ์ที่มองการณ์ไกลอีกด้วย และแอโรไพล์ (ลูกบอลกลม) ของเขาถือว่าเป็นเครื่องยนต์ไอน้ำตัวแรกที่ทำงานได้จริง ซึ่งใช้หลักการเดียวกับการขับเคลื่อนด้วยแรงดันของก๊าซ โดยไอน้ำจะขับเคลื่อนลูกเหล็กทรงกลมให้หมุนไป 1,500 รอบต่อนาที โชคร้ายสำหรับเฮร่อนที่ไม่มีใครนึกออกว่าจะนำมันไปใช้ประโยชน์อย่างไร สิ่งประดิษฐ์อันล้ำสมัยชิ้นนี้จึงถูกสบประมาทว่าไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าสิ่งประดิษฐ์อันน่าตลกขบขันชิ้นใหม่เท่านั้นเอง น่าประหลาดใจเฮร่อนไม่รู้ว่าได้มีการประดิษฐ์รางรถไฟขึ้นมา 700 ปีก่อนหน้าเขาแล้ว โดยเป็นฝีมือของเพอเรียนเดอร์จอมเผด็จการแห่งโครินธ์ในยุคกรีกโบราณ รางรถไฟที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่า ดิโอคอส (ทางลื่นไหล) มันมีระยะทาง 6 กิโลเมตรพาดข้ามบริเวณคอคอดโครินธ์ โดยเป็นถนนที่ปูพื้นด้วยหินปูนลูกบาศก์ ซึ่งถูกแซะรางคู่ขนานห่างกัน 1.5 เมตร รถเข็นจะวิ่งไปตามรางนี้ และเรือทั้งหลายก็จะถูกนำมาบนรถเข็นเหล่านี้ โดยมีแรงงานทาสเป็นผู้ทำหน้าที่เข็นรถ นี่จึงเป็นคลองบกที่เป็นทางลัดในการเดินทางระหว่างทะเลอีเจียนและทะเลไอโอเนียน ดิโอคอสถูกใช้เป็นเวลานานกว่า 1,500 ปี จนกระทั่งชำรุดทรุดโทรมลงในปี ค.ศ. 900 หลักการของรถไฟจึงถูกลืมเลือนไปนานเกือบ 500 ปี จนกระทั่งเริ่มมีคนคิดจะนำมันมาใช้ในเหมืองในช่วงศตวรรษที่ 14 นักประวัติศาสตร์ชื่อ อาร์โนลด์ ทอยน์บี ได้เขียนสุดยอดบทความที่พยากรณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสิ่งประดิษฐ์ทั้งสองสิ่งนี้ถูกนำไปสร้างอาณาจักรกรีกที่สยายปีกไปทั่วภูมิภาคของโลก โดยมีพื้นฐานอยู่บนเครือขายรางรถไฟ การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ และศาสนาพุทธที่ก่อตั้งขึ้นจากคำสอนของพิธากอรัส เฮร่อนยังเป็นผู้ผลิตตู้จำหน่ายสินค้าแบบหยอดเหรียญอีกด้วย โดยเมื่อหยอดลงไป 4 ดรั๊กม่า ก็จะมีน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลออกมา 1 จอก รวมทั้งประดิษฐ์อุปกรณ์พกพาที่ป้องกันไม่ให้ใครมาดื่มไวน์ที่เราถือไปในงานเลี้ยงด้วย จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:29:45

ความคิดเห็นที่ 9 9) ใครเป็นผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ ไม่ใช่อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ อย่างที่เราร่ำเรียนกันมาในตำรา แต่เป็น แอนโตนิโอ เมอุคชี่ นักประดิษฐ์ชาวฟลอเรนซ์ต่างหาก เมอุคชี่เป็นคนปราดเปรื่องแต่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขามาถึงอเมริกาเมื่อปี 1850 และในปี 1860 เขาก็ได้นำเครื่องต้นแบบของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เรียกว่า เทเลโทรโฟโน (teletrofono) ออกมาแสดงเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็ได้ยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตรชั่วคราวในปี 1871 ก่อนหน้าสิทธิบัตรโทรศัพท์ของอเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ นานถึง 5 ปี ในปีเดียวกันนั้น เมอุคชี่ล้มป่วยลงหลังจากได้รับอุบัติเหตุจากการระเบิดของหม้อต้มไอน้ำของเรือข้ามเกาะสเตเทน และเนื่องจากพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มากนักและประทังชีพอยู่ได้ด้วยเงินบริจาค เขาจึงมีเงินไม่ถึง 10 ดอลล่าร์สำหรับยื่นต่อสิทธิบัตรชั่วคราวในปี 1874 เมื่อเบลล์จดสิทธิบัตรโทรศัพท์ของตนในปี 1876 เมอุคชี่จึงยื่นเรื่องฟ้องร้อง เขาได้ส่งภาพร่างและเครื่องต้นแบบไปยังห้องทดลองที่เวสเทิร์น ยูเนี่ยน แต่บังเอิญเหลือเกินที่เบลล์ทำงานที่ห้องทดลองนั้นพอดิบพอดี เอกสารและเครื่องต้นแบบของเมอุคชี่จึงอันตรธานหายไปอย่างเป็นปริศนา ขณะที่ข้อพิพาทยังคงค้างคาอยู่ เมอุคชี่ก็เสียชวิตในปี 1889 ส่งผลให้เบลล์เป็นผู้ได้รับการยกย่องในงานประดิษฐ์ชิ้นดังกล่าวไปเสียทั้งหมด ไม่ใช่เมอุคชี่ ในปี 2004 สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกานำความยุติธรรมกลับคืนมาบางส่วน โดยได้ร่วมกันผ่านมติว่า “ชีวิตและความสำเร็จของเมอุคชี่ควรได้รับการยกย่อง และผลงานการประดิษฐ์ของเขาก็สมควรได้รับการยอมรับเช่นกัน” สรุปก็คืองานนี้ เมอุคชี่ถูกเบลล์ขโมยผลงานไปอย่างหน้าด้านๆนั่นเอง แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 13:11:04 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:30:37

ความคิดเห็นที่ 10 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:47:22 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:34:05

ความคิดเห็นที่ 11 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:47:50 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:34:23

ความคิดเห็นที่ 12 12) สถานที่หนาวที่สุดในจักรวาล (เท่าที่เคยมีการค้นพบ) อยู่ที่ไหน ที่ฟินแลนด์นี่เอง ในปี 2000 ทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิได้ทำการลดอุณหภูมิโรเดียมชิ้นหนึ่งจนแตะระดับ -273 องศาเซลเซียส (1 ส่วนพันล้านเคลวินคืออุณหภูมิที่ต่ำที่สุดที่มนุษย์เคยทำได้) โรเดียมเป็นแร่หายากซึ่งมักจะถูกนำมาใช้ในการผลิตเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยาสำหรับรถยนต์ สถานที่ๆหนาวที่สุดในจักรวาลลำดับต่อมาคือสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตส์ โดยในปี 2003 ทีมงานของ วูฟกัง เคทเทิร์ล ได้สร้างก๊าซโซเดียมที่เย็นสุดขีดขึ้นมา เคทเทิร์ลได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์ในปี 2001 จากผลงานเรื่องสสารควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นสถานะใหม่ที่ใกล้เคียงกับศูนย์องศาสัมบูรณ์ (ศูนย์องศาสัมบูรณ์ หรือ absolute zero คือ -273.15 องศาเซลเซียส หรือ 0 เคลวิน) สมัยยังเป็นเด็ก ความสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์ของเขาถูกจุดประกายด้วยตัวต่อเลโก้ อุณหภูมิหนาวสุดขั้วที่สร้างขึ้นในห้องทดลองนี้เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก เพราะแม้แต่ในห้วงอวกาศอันไกลโพ้นยังแทบจะหาอุณหภูมิที่ต่ำกว่า -245 องศาเซลเซียสไม่ได้ ยกเว้นเพียงที่เดียวคือที่บูเมอแรงเนบิวล่า (Boomerang Nebula) ซึ่งค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวออสเตรเลียในปี 1979 มันมีรูปร่างคล้ายบูเมอแรง (บางคนก็ว่าหูกระต่าย) บริเวณแกนกลางของมันเป็นซากดาวที่สิ้นอายุขัยซึ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของเราถึง 3 เท่า บูเมอแรงเนบิวล่าพ่นก๊าซออกมาด้วยความเร็วมากกว่า 480,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตลอด 1,500 ปีสุดท้ายที่ผ่านมา ก๊าซที่พวยพุ่งออกมาจากเนบิวล่ามีอุณหภูมิต่ำกว่าห้วงอวกาศโดยรอบ 2 องศาเซลเซียส ก็เหมือนกับการที่ลมหายใจของเราเย็นลงเวลาที่เราเป่ามันออกมาจากช่องปากแคบๆของเรานี่แหละ มันเย็นได้ต่ำสุดถึง -272.15 องศาเซลเซียส (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย แต่ในหนังสือบอกว่า 271 องศาเซลเซียส จะเชื่อใครนั้นก็แล้วแต่ท่านครับ) ซึ่งเป็นอุณหภูมิตามธรรมชาติที่เย็นที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา อุณหภูมิที่หนาวเย็นที่สุดในระบบสุริยะคือ -235 องศาเซลเซียส ซึ่งวัดได้ในปี 1989 โดยยานอวกาศวอยเอเจอร์ 2 บนพื้นผิวของดาวไททัน หนึ่งในดวงจันทร์ของดาวเนปจูน ส่วนอุณหภูมิที่ต่ำสุดตามธรรมชาติที่เคยวัดได้บนโลกมนุษย์คือ -89.2 องศาเซลเซียสเมื่อปี 1983 ตรงบริเวณสถานีวิจัยวอสต็อกของรัสเซียบนทวีปแอนตาร์กติก้า การวิจัยเรื่องอุณหภูมิที่หนาวเย็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาเรื่องตัวนำกระแสไฟฟ้ายิ่งยวด ซึ่งเป็นวัตถุที่มีความต้านทานกระแสไฟฟ้าเป็นศูนย์ แต่ทำงานได้ที่อุณหภูมิต่ำๆมากเท่านั้น ถ้าเราควบคุมตัวนำกระแสไฟฟ้ายิ่งยวดได้ โลกจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยทีเดียว คือคอมพิวเตอร์จะมีอนุภาพเพิ่มขึ้นมหาศาล ขณะที่ต้นทุนค่าไฟฟ้าและก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจะลดลงอย่างฮวบฮาบ นอกจากนี้ สิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือ การขนส่งที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิง ทางเลือกในการมองเข้าไปในร่างกายมนุษย์โดยไม่ต้องใช้รังสีเอ็กซ์ที่เป็นอันตราย และระเบิดอิเล็คทรอนิคส์ซึ่งเป็นอาวุธที่ทำลายระบบอิเล็คทรอนิกส์ของศัตรูได้โดยไม่ต้องฆ่าใครแม้แต่คนเดียว แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 53 01:15:26 แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 53 13:58:30 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 16:15:17 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 16:30:24 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:36:10

ความคิดเห็นที่ 13 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:41:44 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:40:51 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:40:05 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:37:04

ความคิดเห็นที่ 14 14) สสารมีกี่สถานะ ถ้าจะตอบง่ายๆก็ 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว แล้วก็ก๊าซ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สสารมีมากกว่า 15 สถานะ บางสถานะก็พบได้ในห้องทดลอง บนดวงดาวในอวกาศอันไกลโพ้น หรือตอนเกิดบิกแบง ได้แก่ - ของแข็ง (solid) - ของแข็งอสัณฐาน (amorphous solid) - ของเหลว (fluid) - ก๊าซ (gas) - พลาสมา (plasma) - ของไหลยิ่งยวด (superfluid) - ของแข็งยิ่งยวด (supersolid) - สสารเสื่อม (degenerate matter) - นิวโตรเนียม (nutronium) - สสารสมมาตรเข้ม (strongly symmetric matter) - สสารสมมาตรอ่อน (weakly symmetric matter) - ควาร์ก-กลูออน พลาสมา (quark-gluon plasma) - สสารควบแน่นเฟอร์มิโอนิค (fermionic condensate) - สสารควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์ (Bose-Einstein condensate) - สสารประหลาด (strange matter) ถ้าเปรียบเทียบในรายละเอียด (ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นแต่อย่างไร แต่ถ้าใครจำเป็นที่อยากจะรู้รายละเอียดมากขึ้น ก็ไปหาข้อมูลเองได้) หนึ่งในสถานะที่น่าสนใจที่สุดคือ สสารควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์ สสารควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์เกิดขึ้นเมื่อเราลดอุณหภูมิของธาตุลงให้ต่ำมากๆ โดยปกติจะสูงกว่าศูนย์องศาสัมบูรณ์ (-273.15 องศาเซลเซียส) เพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของ 1 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิในทางทฤษฎีที่ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหวนิ่งสนิท เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว เรื่องแปลกสุดๆก็บังเกิด พฤติกรรมที่โดยปกติจะเห็นได้ในระดับอะตอมก็สามารถเห็นได้ในระดับที่กว้างขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเรานำสสารควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์มาใส่ในถ้วยแก้วและรักษาระดับความเย็นไว้ให้เพียงพอ สสารดังกล่าวจะไหลคลานออกมานอกถ้วยแก้วด้วยตัวมันเอง สสารควบแน่นโบส-ไอน์สไตน์ได้รับการพยากรณ์ว่ามีอยู่จริงโดยไอน์สไตน์ในปี 1925 หลังจากศึกษาผลงานของสัตเยนทรา นาถ โบส (Satyentra Nath Bose) แต่ก็ไม่มีใครทำให้สสารดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริงจวบจนกระทั่งถึงปี 1995 ซึ่งส่งผลให้การค้นพบดังกล่าวได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2001 ต้นฉบับงานเขียนของไอน์สไตน์ก็เพิ่งถูกค้นพบอีกครั้งในปี 2005 นี่เอง จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:38:15

ความคิดเห็นที่ 15 15) สถานะปกติของแก้วคืออะไร ของแข็ง คุณอาจเคยได้ยินมาว่า แก้วเป็นของเหลวที่เย็นตัวลง แต่ยังไม่ถึงขั้นตกผลึก และไหลไปช้าๆอย่างน่าอัศจรรย์ นั่นไม่เป็นความจริงเลย แก้วเป็นของแข็งอย่างแน่นอน ในการสับสนุนทฤษฎีที่ว่าแก้วเป็นของเหลว ผู้คนมักจะชี้ไปยังหน้าต่างโบสถ์เก่าแก่ ซึ่งฐานของกระจกนั้นหนากว่าส่วนอื่นๆ จึงคิดว่ามันไหลลงมาจากด้สนบนของกระจก สาเหตุไม่ได้อยู่ที่ว่าแก้วนั้นไม่ได้ไหลอยู่ตลอดเวลา แต่อยู่ที่ว่าบางครั้งช่างกระจกในสมัยกลางก็ไม่สามารถทำให้แผ่นกระจกเนียนเรียบสม่ำเสมอเหมือนอย่างในปัจจุบันได้ เมื่อเหตุการณ์เช่นกันเกิดขึ้น พวกเขาจึงเลือกที่จะติดตั้งกระจกด้วยการวางส่วนที่หนาไว้ที่ฐาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ไม่ยากเลย ความสับสนที่ว่าแก้วเป็นของแข็งหรือของเหลวนั้นมาจากการที่ผู้คนตีความงานเขียนของกุสตาฟ ทัมมานน์ (1861-1938) ผิดพลาดไป นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันผู้นี้ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับแก้วและอธิบายพฤติกรรมของมันว่ามันแปรสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง เขาสังเกตุเห็นว่า โครงสร้างโมเลกุลของแก้วนั้นยุ่งเหยิงและไม่เป็นระเบียบ ไม่เหมือนการจัดวางโมเลกุลในของแข็งซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกัน เขาเปรียบเทียบแก้วเป็น “ของเหลวเย็นยิ่งยวดที่ถูกทำให้แข็งตัว (frozen super-cooled liquid)” แต่การพูดว่าแก้วคล้ายของเหลวนั้นไม่ได้หมายความว่ามันเป็นของเหลว ทุกวันนี้ สสารที่จะเป็นของแข็งได้นั้นถ้าไม่มีโครงสร้างเป็นผลึกก็ต้องเป็นของแข็งอสัณฐาน แก้วจึงเป็นของแข็งอสัณฐาน จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:39:07

ความคิดเห็นที่ 16 16) โลหะชนิดใดเป็นตัวนำที่ดีที่สุด เงิน เงินเป็นตัวนำความร้อนและไฟฟ้าได้ดีที่สุด และยังสะท้อนแสงได้ดีที่สุดในบรรดาธาตุทั้งหมดอีกด้วย แต่ข้อเสียของมันคือราคาแพง เหตุผลที่เราใช้ลวดทองแดงในอุปกรณ์ไฟฟ้าก็เพราะมันเป็นตัวนำที่ดีเป็นอันดับ 2 และมีราคาถูกกว่ามาก นอกจากจะใช้เป็นเครื่องประดับแล้ว ปัจจุบันเงินส่วนใหญ่ยังถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมภาพถ่ายอีกด้วย โดยใช้สำหรับถ่านที่มีอายุการทำงานยาวนานและแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ เงินมีคุณสมบัติพิเศษในการทำให้น้ำปลอดเชื้อ โดยใช้ในปริมาณน้อยมากๆ (แค่ 1 ส่วนใน 100 ล้านส่วน) ความจริงอันน่าทึ่งนี้รู้กันมาตั้งแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว เมื่อเฮโรโดตัสบันทึกเอาไว้ว่า พระเจ้าไซรัสมหาราช กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ทรงเดินทางโดยนำน้ำดื่มส่วนพระองค์ไปด้วย ซึ่งนำมาจากแหล่งลำธารพิเศษ โดยนำมาต้มและบรรจุในภาชนะเงิน ชาวโรมันและชาวกรีกต่างสังเกตเห็นว่าอาหารกับเครื่องดื่มที่ใส่ในภาชนะเงินจะเน่าเสียช้ากว่า คุณสมบัติด้านการต่อต้านแบคทีเรียของเงินถูกนำมาใช้หลายร้อยปีก่อนที่จะมีการค้นพบแบคทีเรียเสียอีก นี่อาจจะอธิบายได้ด้วยว่าทำไมจึงมักจะพบเหรียญเงินอยู่ที่ก้นบ่อน้ำโบราณ ต่อไปนี้คือข้อควรระวังในการใช้ภาชนะที่ทำจากเงิน ประการแรก ในขณะที่เงินฆ่าเชื้อแบคทีเรียในห้องทดลองได้อย่างแน่นอน แต่จะได้ผลกับร่างกายหรือไม่นั้นยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ คุณประโยชน์หลายๆอย่างที่กล่างอ้างกันยังไม่ได้รับการพิสูจน์ โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐห้ามไม่ให้บริษัทต่างๆโฆษณาประโยชน์ในเชิงสุขภาพของเงิน ประการที่สอง โรคที่ชื่อว่า argyria ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับการดื่มน้ำที่มีอนุภาคของเงินเจือจางอยู่ อาการของโรคที่เด่นชัดที่สุดคือ ผิวหนังจะกลายเป็นสีน้ำเงิน (สีน้ำเงินแปลว่า สีที่มาจากการดื่มน้ำที่มีแร่เงินหรือเปล่านะ?) ในทางกลับกัน เกลือเงินที่ใช้แทนที่คลอรีนในสระว่ายน้ำกลับปลอดภัย ขณะที่สหรัฐอเมริกาได้มีการนำเงินมาเป็นส่วนผสมในการผลิตถุงเท้านักกีฬาเพื่อป้องกันไม่ให้มีกลิ่นเหม็น น้ำเป็นตัวไฟฟ้าได้ไม่ดี โดยเฉพาะน้ำบริสุทธิ์ ซึ่งจริงๆแล้วได้ถูกนำมาใช้เป็นฉนวนด้วยซ้ำไป สิ่งที่นำไฟฟ้าไม่ใช่โมเลกุลของ H₂O แต่เป็นสารเคมีที่ละลายในน้ำต่างหาก อย่างเช่นเกลือเป็นต้น น้ำทะเลจึงนำไฟฟ้าได้ดีกว่าน้ำจืด 100 เท่า แต่แย่กว่าเงินถึง 1 ล้านเท่า จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:39:55

ความคิดเห็นที่ 17 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:43:21 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:41:32

ความคิดเห็นที่ 18 18) เพชรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เป็นที่รู้จักกันมีขนาดเท่าไหร่ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4,000 กิโลเมตร และวัดได้ 1 หมื่นล้านล้านล้านล้านกะรัต มันถูกพบเหนือประเทศออสเตรเลียห่างออกไป 8 ปีแสง มันฝังอยู่ข้างในดาวลูซี่ในกลุ่มดาวคนครึ่งม้า (the constellation Centaurus) ลูซี่เป็นชื่อเล่นที่ได้มาจากเพลงคลาสสิคของวงเดอะบีทเทิลส์ที่ชื่อ ”Lucy in the Sky with Diamonds” แต่ชื่อทางเทคนิคของมันคือ ดาวเคราะห์แคระขาว บีพีเอ็ม 37093 เพลงนี้ถูกตั้งชื่อตามรูปภาพที่วาดโดยจูเลียน ลูกชายวัย 4 ขวบของ จอห์น เลนนอน ซี่งเป็นภาพของ ลูซี่ ริชาร์ดสัน เพื่อนของจูเลียนนั่นเอง (ชื่อ “ลูซี่” ยังถูกนำไปตั้งชื่อมนุษย์วานรเพศหญิงที่ถูกค้นพบอีกด้วย) จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:42:18

ความคิดเห็นที่ 19 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:44:02 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:42:53

ความคิดเห็นที่ 20 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:45:20 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:43:47

ความคิดเห็นที่ 21 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:46:49 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:44:18

ความคิดเห็นที่ 22 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:48:11 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:44:47

ความคิดเห็นที่ 23 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:48:46 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 12:46:16 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:45:55

ความคิดเห็นที่ 24 24) แสงเดินทางด้วยความเร็วเท่าไหร่ ไม่แน่นอน มักมีคนพูดกันว่าความเร็วแสงนั้นคงที่ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เช่นนั้น มีเพียงในภาวะสุญญากาศเท่านั้นที่ที่ทำให้แสงเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดที่เกือบ 300,000 กฺดลเมตรต่อวินาทีได้ ในตัวกลางอื่นๆ ความเร็วแสงจะผันแปรไปอย่างมากและมักจะมีความเร็วต่ำกว่าตัวเลขที่อยู่ในใจของทุกคนเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อแสงเดินทางผ่านเพชร ความเร็วจะลดไปครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงประมาณ 128,000 กิโลเมตรต่อวินาที จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการบันทึกความเร็วแสงที่ช้าที่สุด โดยผ่านโซเดียมที่อุณหภูมิ -272 องศาเซลเซียส วัดได้ 61 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น! (ย้ำว่าต่อชั่วโมง ไม่ใช่ต่อวินาที) ช้ากว่าการปั่นจักรยานเสียอีก ในปี 2000 นักวิจัยทีมเดียวกัน (จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด) ได้ทำให้แสงหยุดนิ่งโดยการฉายแสงลงไปยังสถานะโบส-ไอน์สไตน์ (Bose-Einstein Condensate) ของธาตุรูบิเดียม รูบิเดียมถูกค้นพบโดย โรเบิร์ต บุนเซน (1811-1899) ผู้ซึ่งไม่ได้ประดิษฐ์ตะเกียงบุนเซน แต่ชื่อของเขาถูกนำไปใช้ตั้งเป็นชื่อตะเกียง ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับแสงคือคือ มันล่องหนได้ คือเราไม่สามารถมองเห็นตัวแสงเองได้ แต่จะเห็นได้เพียงสิ่งที่มันพุ่งกระทบใส่เท่านั้น ถ้ายิงลำแสงในภาวะสุญญากาศไปยังผู้สังเกตการณ์ในมุมที่เหมาะสม เขาคนนั้นก็จะมองไม่เห็นแสงดังกล่าว ถึงแม้มันจะฟังดูแปลกมาก แต่ก็ค่อนข้างมีเหตุผล เพราะถ้าเรามองเห็นตัวแสงเอง มันก็จะก่อตัวเป็นหมอกรูปแบบหนึ่งระหว่างดวงตาของเรากับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าเรา จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:47:06

ความคิดเห็นที่ 25 25) ภูเขาสูงที่สุดอยู่ที่ไหน อยู่บนดาวอังคาร ภูเขาไฟยักษ์ที่มีชื่อว่า โอลิมปัส (Olympus) ลูกนี้เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในระบบสุริยะ และสูงที่สุดในจักรวาลเท่าที่มีข้อมูลอยู่ในปัจจุบัน ด้วยความสูง 22.5 กิโลเมตรและกว้าง 624 กิโลเมตร มันจึงมีความสูงเกือบ 3 เท่าของภูเขาเอเวอร์เรส และมีฐานขนาดมหึมาที่สามารถครอบรัฐอริโซน่าหรือหมู่เกาะอังกฤษได้มิดเลยทีเดียว ส่วนปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิทซึ่งมีความกว้างประมาณ 72 กิโลเมตรนั้นและลึกเกือบ 3.2 กิโลเมตรนั้น ก็มีขนาดใหญ่พอที่จะกลืนกรุงลอนดอนลงไปได้ไม่ยากเลย ภูเขาไฟโอลิมปัสนั้นจะผิดแปลกจากภูเขาในความคิดของคนทั่วไป เพราะมันดูเหมือนกับที่ราบสูงขนาดมหึมาในท้องทะเลที่แห้งเหือดมากกว่า อีกทั้งด้านข้างก็ไม่ได้ชันเอาเสียเลย ภูเขาลูกนี้มีความชันเพียงแค่ 1-3 องศาเท่านั้น นั่นหมายความว่า เราแทบจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยเวลาปีนเขาลูกนี้ โดยทั่วไปแล้วเราวัดภูเขาโดยพิจารณาจากความสูงของมัน แต่ถ้าเราวัดขนาดของภูเขาโดยไม่แยกภูเขาลูกใดลูกหนึ่งออกจากฐานที่เป็นเทือกเขาเดียวกันละก็ เทือกเขาเอเวอร์เรสจะทำให้ภูเขาโอลิมปัสเป็นภูเขาแคระไปเลย เนื่องจากเอเวอร์เรสเป็นเขาลูกหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาคาราโครัม เทือกเขาฮินดูคุช และเทือกเขาปาร์มี ซึ่งยาวรวมกันเกือบ 2,400 กิโลเมตรเลยทีเดียว จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:47:30

ความคิดเห็นที่ 26 26) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใดในแอฟริกาที่ฆ่าคนมากที่สุด ฮิปโปโปเตมัส โชคร้ายที่พวกฮิปโปชอบอาศัยหากินอยู่ตามแหล่งน้ำจืดไหลเอื่อยที่มีหญ้าปกคลุมรอบๆ ซึ่งก็เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่มนุษย์โปรดปรานเช่นกัน อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อฮิปโปที่กำลังแช่น้ำอยู่ถูกไม้พายเรือหวดโดยไม่ตั้งใจ มันจึงตัดสินใจคว่ำเรือ หรือเกิดจากการที่คนออกมาเดินยามค่ำคืน ซึ่งเป็นเวลาที่ฮิปโปขึ้นจากน้ำเพื่อมาหาหญ้ากิน การถูกฮิปโปที่ตกใจกระทืบตายดูจะเป็นการเสียชีวิตที่ไม่ค่อยสง่างามนัก เคยเชื่อกันว่าฮิปโปอยู่ตระกูลเดียวกับหมู แต่ปัจจุบันนี้พบว่าญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของมันคือปลาวาฬ ฮิปโปแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ธรรมดากับพันธุ์แคระ ฮิปโปธรรมดาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากช้างแอฟริกันกับช้างเอเซีย มีสัตว์จำนวนน้อยมากที่โง่พอจะจู่โจมฮิปโป ฮิปโปเป็นสัตว์ขี้หงุดหงิด โดยเฉพาะตอนมีลูก มันจะจัดการสิงโตด้วยการงับเพียงครั้งเดียวหรือไม่ก็จับกดลงน้ำลึกจนจมน้ำตาย (สิงโตทั้งฝูงยังจัดการกับฮิปโปเพียงตัวเดียวไม่ได้) จัดการกับจระเข้ด้วยการงับจนขาดครึ่ง แม้แต่ถ้าสมมติว่ามันไปเจอกับปลาฉลาม มันก็จะจัดการกับปลาฉลามด้วยการงับหัวฉลามทั้งหัวหรือไม่ก็งาบขึ้นมาจากน้ำแล้วกระทืบจนตาย อย่างไรก็ตาม มันกินมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด ดังนั้น การโจมตีส่วนใหญ่ส่วนใหญ่จึงเกิดขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองหรือเกิดจากความหงุดหงิดของมันเท่านั้น ผิวหนังของฮิปโปหนักได้มากถึง 1 ตัน หนา 3.8 เซนติเมตร (กันกระสุนได้ทุกประเภท) โดยหนักถึง 25 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว มันจะหลั่งน้ำมันเหลวสีแดงออกมาเพื่อป้องกันผิวหนังแห้ง ทำให้คนมากมายคิดว่าเหงื่อของฮิปโปเป็นเลือด และอย่าดูถูกขนาดเทอะทะของมันละ เพราะฮิปโปตัวเต็มวัยวิ่งเร็วกว่ามนุษย์เสียอีก ฮิปโปเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกเพียงชนิดเดียวที่ผสมพันธุ์และให้กำเนิดลูกในน้ำ (เช่นเดียวกับวาฬและโลมา) มันสามารถปิดรูจมูก อุดหู และนอนแช่ในน้ำทั้งตัวได้นานกว่าครั้งละ 5 นาทีเลยทีเดียว ฮิปโปมีลมหายใจที่น่าตกใจมาก เวลาที่มันทำท่าหาว มันจะรเบิดกลิ่นปากมหาประลัยไปรอบตัวเพื่อเตือนว่าให้อยู่ห่างๆมันไว้ ซึ่งถือเป็นคำเตือนที่ดี เพราะเขี้ยวของฮิปโปนั้นคมมาก และการขบกรามเพียงครั้งเดียวก็สามารถหักแขนคุณได้อย่างง่ายดาย ฮิปโปมีฟันเพียง 4 ซี่ มีลักษณะคล้ายงา ฟันปลอมส่วนหนึ่งของ จอร์จ วอร์ชิงตัน ก็ทำมาจากฟันของฮิปโปโปเตมัสนี่แหละ หนังสือ Oxford Companian of Food ระบุไว้ว่า เนื้อส่วนที่อร่อยที่สุดของฮิปโปโปเตมัสคือบริเวณหน้าอก โดยให้นำมาตุ๋นกับสมุนไพรและเครื่องเทศ แต่ถ้าหาไม่ได้ เนื้อบริเวณหลังก็ไม่เลว จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:48:01

ความคิดเห็นที่ 27 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:49:10 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:48:49

ความคิดเห็นที่ 28 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:49:36 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:49:25

ความคิดเห็นที่ 29 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:49:56 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:50:06

ความคิดเห็นที่ 30 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:50:22 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:50:30

ความคิดเห็นที่ 31 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:52:45 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:51:19

ความคิดเห็นที่ 32 32) สิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคืออะไร คำตอบที่ไม่ถูกต้องมีดังต่อไปนี้ มหาพีระมิด กำแพงเมืองจีน และ (สหรับพวกที่รู้เยอะ) หอคอยมูบารัค อัลเคเบีย ในคูเวต คำตอบที่ถูกต้องคือเฟรชคิลส์ เกาะสำหรับทิ้งขยะในนิวยอร์ค หลังจากเปิดใช้งานในปี 1948 ในเวลาไม่นานที่ฝังกลบขยะเฟรชคิลส์ก็กลายเป็นหนึ่งในโครงการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แล้วก็แซงหน้ากำแพงเมืองจีนขึ้นมาเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เฟรชคิลส์มีพื้นที่ 12 ตารางกิโลเมตร เมื่อเปิดใช้งาน เรือ 20 ลำจะบรรทุกขยะลำละ 650 ตันมาทิ้งที่นี่ทุกๆวัน ถ้าเฟรชคิลส์ยังคงเปิดใช้งานตามแผนที่วางไว้ มันจะหลายเป็นจุดสูงสุดของชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของสหรัฐในทันที แต่ถึงกระนั้น ตอนที่ถูกใช้งานมากที่สุด มันก็มีความสูงมากกว่าเทพีเสรีภาพที่สูงถึง 24 เมตรเข้าไปแล้ว แต่ภายใต้แรงกดดันของคนในท้องถิ่น ที่ฝังกลบขยะแห่งนี้จึงปิดทำการลงในเดือนมีนาคม 2001 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องเปิดทำการอีกครั้งเพื่อจัดการกับซากปรักหักพังจำนวนมหาศาลจากตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ แต่ตอนนี้ได้ปิดตัวไปอย่างถาวรแล้วละครับ และกฎหมายใหม่ที่ออกมาก็หมายความว่าจะไม่มีการเปิดใช้มันอีก (ห้ามไม่ให้มีที่ฝังกลบขยะในนิวยอร์ค) ตอนนี้สถานที่ดังกล่าวได้ถูกเกลี่ยให้แบนราบและปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นวนอุทยานและถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:51:49

ความคิดเห็นที่ 33 33) สิ่งมีชีวิตใดมีแนวโน้มที่จะรอดชีวิตจากสงครามนิวเคลียร์มากที่สุด แมลงสาบเป็นคำตอบที่ผิดๆๆ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ทำไมเราส่วนใหญ่ถึงยืนกรานที่จะเชื่อว่าแมลงสาบเป็นสัตว์ที่อึดต่อรังสีนิวเคลียร์ได้มากที่สุด พวกแมลงสาบอยู่บนโลกนี้มายาวนานกว่าเรามาก (ประมาณ 280 ล้านปี) และเป็นที่น่ารังเกียจแทบจะในทุกแห่งหนบนโลกใบนี้ มันเป็นพาหะนำโรคที่ยากจะควบคุมได้ อีกทั้งมันยังมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นสัปดาห์ทั้งๆที่หัวขาดไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเอาชนะมันได้ นับตั้งแต่ผลงานวิจัยอันน่าทึ่งของ ดอกเตอร์ เดนิส วาร์ตัน และ ดอกเตอร์ มาร์ธา วาร์ตัน ได้ปรากฏออกมาในปี 1959 ทำให้เราได้รู้ว่า พวกมันเป็นหนึ่งในแมลงกลุ่มแรกๆที่จะต้องตายถ้าเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นมาจริง นักวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 คนนำแมลงหลากหลายชนิดไปทดสอบกับปริมาณรังสีที่ระดับต่างๆในหน่วย แรด (rad) ขณะที่มนุษย์จะตายเมื่อเผชิญกับรังสีระดับ 1,000 แรด วาร์ตันสรุปว่าแมลงสาบจะตายเมื่อได้รับรังสีในปริมาณ 20,000 แรด แมลงวันผลไม้จะตายที่ระดับ 64,000 แรด ขณะที่ตัวต่อจะตายที่ระดับ 180,000 แรด ส่วนผู้ครองอันดับหนึ่งในการต้านทานรังสีนิวเคลียร์คือแบคทีเรียที่ชื่อ ไดโนคอคคัส เรดิโอดูรันส์ ซึ่งจะทนรัวสีได้ถึง 1.5 ล้านแรดเลยทีเดียว และในกรณีที่ถูกแช่แข็ง มันจะทนรังสีได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า บรรดานักเรียนที่ศึกษาแบคทีเรียชนิดนี้ได้ตั้งฉายาให้มันว่า “แบคทีเรียยอดอึด” มันมีสีชมพูและมีกลิ่นเหมือนกะหล่ำปลีเน่า มันถูกค้นพบในขณะที่กำลังเจริญเติบโตอย่างเริงร่าในเนื้อกระป๋องที่ผ่านการฉายรังสีถนอมอาหารแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็ถูกค้นพบตามธรรมชาติในมูลช้าง มูลลามะ เนื้อปลาและเนื้อเป็ดที่ผ่านการฉายรังสีถนอมอาหาร และแม้แต่หินแกรนิตในทวีปแอนตาร์กติกา เจ้าแบคทีเรียยอดอึดนี้ต้านทานได้ทั้งรังสีและความเย็น และเนื่องด้วยความสามารถในการรักษาดีเอ็นเอไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบภายใต้สภาพแวดล้อมอันสุดขีดเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าจึงเชื่อว่าแบคทีเรียชนิดนี้อาจเป็นกุญแจดอกสำคัญไปสู่การค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร (ไม่ใช่จะส่งมันไปแพร่ขยายตัวและวิวัฒนาการบนดาวอังคารกันหรอกเหรอ) จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:52:26

ความคิดเห็นที่ 34 34) ส่วนใดของพริกที่เผ็ดที่สุด บรรดาพ่อครัวแม่ครัวในโทรทัศน์พากันทำให้เราเชื่อกันว่า ส่วนที่เผ็ดที่สุดของพริกอยู่ที่เมล็ดของมัน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย ส่วนที่เผ็ดที่สุดอยู่ที่บริเวณเยื่อแกนกลางซึ่งมีเมล็ดติดอยู่ เยื่อดังกล่าวมีสารไร้สีและกลิ่นที่ชื่อแคปไซซินในปริมาณมาก และก็เป็นสารตัวนี้นี่เองที่ทำให้พริกมีรสชาติที่แสนเผ็ดร้อน ความเผ็ดร้อนของพริกจะตัดสินกันด้วยมาตรวัดสกอวิลล์ ซึ่งคิดขึ้นในปี 1912 โดย วิลเบอร์ แอล. สโควิลล์ เภสัชกรชาวอเมริกัน ในช่วงแรกๆของการทดสอบ สกอวิลล์นำสารสกัดจากพริกมาละลายในแอลกอฮอล์และเจือจางในน้ำเชื่อม จากนั้นจึงขอให้คณะผู้ทดสอบค่อยๆชิมสารละลายพริกที่เจือจางในน้ำเชื่อมระดับต่างๆจนกว่าจะหายเผ็ดร้อน ซึ่งก็จะได้เป็นระดับความเผ็ดร้อนของพริกชนิดนั้นๆออกมา ตัวอย่างเช่น พริกฮาลาพานโยมีระดับความเผ็ดร้อน 4,500 สกอวิลล์ เพราะต้องนำไปเจือจาง 4,500 ครั้งก่อนจะสูญเสียความเผ็ดร้อนไป ต่อไปเรามาดูตัวอย่างความเผ็ดของพริกที่เรารู้จักกัน เริ่มจากพริกที่ไม่มีความเผ็ดเลย นั่นก็คือพริกหวาน (bell pepper) มีถิ่นกำเนิดแถบเมดิเตอร์เรเนียนและแคลิฟอเนีย มีระดับความเผ็ดที่ 0 สกอวิลล์ มันจึงมักนำไปใช้ประกอบอาหารที่ไม่ต้องการความเผ็ด หรือใช้เป็นส่วนประกอบของสลัดเพราะมีวิตามินซีสูง พริกชี้ฟ้า (cayenne) มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้แถบประเทศกายอานา เป็นพริกที่เผ็ดปานกลาง มีระดับความเผ็ดที่ 30,000-50,000 สกอวิลล์ ต่อมาพระเอกของเรา พริกขี้หนูนั่นเอง พบมากในประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพริกที่ถือว่าเผ็ดมาก วัดระดับความเผ็ดได้ 100,000-350,000 สกอวิลล์ ส่วนพริกเผ็ดที่สุดในโลกคือ บุตโจโลเกีย (bhut jolokia) พบมากในดินแดนห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย โดยเฉพาะที่รัฐอัสสัม นาคาแลนด์ และรัฐอื่นๆใกล้แนวชายแดนติดกับจีนและพม่า จนถึงบังคลาเทศ พริกชนิดนี้มีขนาดยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร รูปร่างค่อนข้างป้อม เปลือกดูยับย่น ส่วนปลายเรียวแหลม เมื่อแก่จัดจะมีสีส้มหรือแดง มันมีความเผ็ดมากจนผู้คนพากันเรียกมันว่า “พริกปิศาจ” ศาสตราจารย์ พอล บอสแลนด์ แห่งสถาบันพริก มหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐนิวเม็กซิโก ได้ทดสอบความเผ็ดของมันและพบว่าพริกบุตโจโลเกียมีคะแนนความเผ็ดร้อนสูงถึง 1,001,304 สกอวิลล์ ทว่ารสชาติของพริกชนิดนี้เป็นที่คุ้นลิ้นของคนท้องถิ่น ชาวรัฐอัสสัมกินพริกบุตโจโลเกียมาช้านาน ทั้งเอามาทำซอสพริก พริกดอง หรือแม้แต่กินสดๆ ขณะที่ทางนาคาแลนด์ ชาวบ้านก็กินมันแทบจะทุกมื้อ (นาคา เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง “สัตว์เลื้อยคลาน”) เพื่อให้เห็นภาพ สารแคปไซซินป่นบริสุทธิ์มีความเผ็ดร้อนถึง 15-16 ล้านสกอวิลล์ มันเผ็ดร้อนมากเสียจนบรรดาเภสัชกรที่ทำการทดลองกับมันต้องทำงานในห้องกันสารพิษ โดยสวมชุดป้องกันเต็มตัว รวมทั้งผ้าคลุมศีรษะที่ปิดมิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เผลอสูดหายใจเข้าไป ปัจจุบันมีพริกอยู่ประมาณ 3,510 ชนิด แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 13:09:14 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:52:57

ความคิดเห็นที่ 35 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:50:44 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:53:23

ความคิดเห็นที่ 36 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:51:08 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:54:03

ความคิดเห็นที่ 37 37) จะจับแมวโยนจากชั้นใดของตึกถึงจะปลอดภัยสำหรับมันมากที่สุด ชั้นไหนก็ได้ที่อยู่สูงขึ้นไปกว่าชั้นที่ 7 ไม่สำคัญว่าระยะทางที่สูงกว่าชั้นที่ 7 จะไกลแค่ไหน ตราบใดที่ยังมีออกซิเจนพอ แมวก็จะเอาตัวรอดได้ แต่ระยะที่มีโอกาสรอดที่สุด คือตั้งแต่ ชั้นที่ 7 ขึ้นไป (ถึงชั้นที่ 10 กว่า) ต่ำหรือสูงกว่านี้ อันตราย แมวก็เหมือนกับสัตว์ขนาดเล็กอีกหลายชนิดซึ่งจะมีความเร็วปลาย (terminal velocity) ที่ไม่ทำให้ตาย (สำหรับแมวจะอยู่ที่ประมาณ 97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เมื่อพวกมันเริ่มผ่อนคลาย ก็จะจัดระเบียบร่างกาย ยืดตัวออก และร่อนลงสู่พื้นดินแบบเดียวกับกระรอก ความเร็วปลายคือจุดที่น้ำหนักของร่างกายเท่ากับแรงต้านอากาศ และความเร็วจะไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป ความแตกต่างของผลลัพธ์ ขึ้นกับแมวสามารถกลับตัวมาอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด (เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของมัน) ทันท่วงทีหรือไม่ แมวต้องอาศัยเวลาในการ พลิกตัวและคลายกล้ามเนื้อ เตรียมรับแรงกระแทก เป็นที่เข้าใจว่า เมื่อตกจากที่ต่ำ แมวไม่มีเวลาจัดตำแหน่งที่เหมาะสม หรือเมื่อตกจากที่สูงมาก กลไกนี้ไม่เพียงพอให้รอด แต่ความสูงระดับกลาง แมวมีเวลาพอเอาตัวรอดได้แน่ แต่ได้มีการบันทึกไว้ว่า มีแมวหลายตัวที่ตกจากตึกสูง 30 ชั้นหรือมากกว่านั้นโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย โดยมีตัวหนึ่งที่รอดชีวิตจากการตกตึกสูง 46 ชั้น! และยังมีหลักฐานอีกด้วยว่า มีแมวตัวหนึ่งถูกโยนออกมาจากเครื่องบินเซสน่าที่ระดับความสูง 243 เมตรแล้วรอดชีวิต! บทความฉบับหนึงในวารสารสัตวแพทย์สมาคมแห่งสหรัฐอเมริกาในปี 1987 ได้ศึกษากรณีที่มีแมวตกจากหน้าต่างตึกสูงในนิวยอร์กจำนวน 132 ครั้ง โดยเฉลี่ยแล้วพวกมันจะตกจากชั้นที่ 5.5 และมีถึง 90 เปอร์เซ็นต์ที่รอดชีวิต ถึงแม้ส่วนใหญ่จะบาดเจ็บสาหัสก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า เหนือชั้นที่ 7 ขึ้นไป อัตราการบาดเจ็บของแมวจะลดลงอย่างฮวบฮาบ พูดอีกอย่างก็คือ ยิ่งแมวตกลงจากตึกสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสรอดมากขึ้นเท่านั้น ส่วนมนุษย์ที่ตกจากที่สูงแล้วรอดชีวิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ เวสน่า วูโลวิช ซึ่งตกลงมาจากระดับความสูงถึง 10,600 เมตร เมื่อผู้ก่อการร้ายทำลายเครื่องบินของสายการบินยูโกสลาเวีย เที่ยวบินที่ ทีซี-10 ที่เธอประจำอยู่ในปี 1972 และจ่าอากาศ นิโคลัส อัลเคเมด ที่กระโดดลงมาจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพสหรัฐอเมริกาที่กำลังลุกไหม่ในปี 1944 ที่ความสูง 5,791 เมตร ถึงแม้วูโลวิชจะขาหักท้ง 2 ข้างและได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง แต่เธอก็รอดชีวิต อันที่จริงแลว เธอปลอดภัยเพราะเก้าอี้ที่เธอนั่งและห้องน้ำที่อยู่ติดกันรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นไป ส่วนอัลเคเมดแทบไม่เป็นอะไรเลย เพราะตกลงบนต้นสนและไถลลื่นไปตามหิมะ หลังจากตกถึงพื้นแล้ว เขาก็นั่งอยู่ที่หิมะนั่นแหละ แถมยังสูบบุหรี่สบายใจเฉิบอีกด้วย แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 53 23:13:53 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:54:26

ความคิดเห็นที่ 38 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:51:30 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:55:11

ความคิดเห็นที่ 39 39) สัตว์ชนิดใดถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเป็นตัวแรกจากโลก แมลงวันผลไม้ นักบินอวกาศจิ๋วตัวนี้ถูกส่งขึ้นจรวดวี 2 ของสหรัฐอเมริกาพร้อมกับเมล็ดข้าวโพด และทะยานขึ้นสู่อวกาศในเดือนกรกฎาคม ปี 1946 แมลงวันผลไม้เป็นสัตว์ตัวโปรดของห้องทดลอง 3 ใน 4 ของพันธุกรรมของเชื้อโรคที่พบในมนุษย์นั้นเข้ากับกับรหัสทางพันธุกรรมของแมลงวันผลไม้ พวกมันนอนหลับทุกๆคืนเช่นเดียวกับมนุษย์ และตอบสนองต่อยาสลบในทางที่คล้ายคลึงกัน และที่เจ๋งที่สุดคือการที่พวกมัยสามารถออกลูกออกหลานได้อย่างรวดเร็ว เราสามารถเห็นแมลงันผลไม้พวกนี้ผลัดเปลี่ยนเจเนเรชั่นใหม่ทั้งรุ่นได้ในระยะเวลาแค่ 2 สัปดาห์ คำจำกัดความของคำว่าอวกาศคือระดับความสูงที่ 100 กิโลเมตรเป็นต้นไป หลังจากส่งแมลงวันผลไม้ไปแล้ว เราก็ได้ส่งต้นมอสส์แล้วก็ลิงตามไปด้วย อัลเบิร์ตที่ 2 เป็นลิงตัวแรกที่ส่งขึ้นไปในอวกาศ โดยออกเดินทางในปี 1949 และไปได้ไกลถึง 134 กิโลเมตร ขณะที่อัลเบิร์ตที่ 1 บรรพบุรุษของมันตายเพราะขาดอากาศหายใจหนึ่งปีก่อนหน้านั้นก่อนที่จะแตะระดับ 100 กิโลเมตรเสียอีก น่าเสียดายที่อัลเบิร์ตที่ 2 ก็ตายเช่นเดียวกัน เนื่องจากเกิดปัญหาขัดข้องกับร่มชูชีพของแคปซูลที่มันโดยสารกลับสู่พื้นโลก ต้องรอจนถึงปี 1951 จึงจะมีลิงที่กลับมาจากอวกาศได้อย่างปลอดภัย ซึ่งก็คืออัลเบิร์ตที่ 6 และหนูผู้ร่วมชะตากรรมอีก 11 ตัว (แม้ว่ามันจะตายในอีก 2 ชั่วโมงให้หลังก็ตาม) ในภาพรวมแล้ว บรรดาลิงที่บุกเบิกอวกาศไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของการมีอายุยืนยาวเลย ยกเว้นแต่เจ้าลิงกระรอกที่ชื่อเบเกอร์ซึ่งรอดชีวิตจากภารกิจของมันในปี 1959 และมีชีวิตต่อมาอีกถึง 25 ปี พวกรัสเซียนิยมใช้สุนัขมากกว่า สัตว์ตัวแรกที่เดินทางไปถึงยังวงโคจรของโลกได้คือสุนขเพศเมียที่มีชื่อไลก้า ซึ่งเดินทางไปพร้อมกับยานสปุตนิก 2 ในปี 1957 แต่ก็ต้องตายเพราะความร้อนจากการเดินทาง สุนัขอย่างน้อยอีก 10 ตัวถูกส่งตัวขึ้นสู่อวกาศก่อนที่ ยูริ กาการิน มนุษย์อวกาศแรกที่ขึ้นสู่อวกาศในปี 1961 โดยมีสุนัข 6 ตัวที่รอดชีวิตกลับมาได้ ในปี 1968 พวกรัสเซียยังได้ส่งสัตว์อีกชนิดหนึ่งขึ้นไปยังอวกาศที่ไกลออกไปอีก นั่นคือ เต่ารัสเซียพันธุ์ฮอร์สฟีลด์ (Horsefield) และมันก็กลายเป็นสิงมีชีวิตชนิดแรกที่ได้โคจรรอบดวงจันทร์ (แถมยังครองตำแหน่งเต่าที่เดินทางได้เร็วที่สุดในโลกอีกด้วย) สัตว์ชนิดอื่นๆที่เดินทางสู่อวกาศนั้นประกอบด้วย ลิงชิมแปนซี (ซึ่งรอดกลับมาได้ทั้งหมด) หนูตะเภา กบ หนู แมว ตัวต่อ เต่าทอง แมงมุม รวมถึงสัตว์พันธุ์อึดที่มีชื่อว่า ปลามัมมิช็อก (mummichog) และในปี 1985 สัตว์จากญี่ปุ่นชนิดแรกที่มีโอกาสได้เดินทางไปยังอวกาศคือ จิ้งจก 10 ตัว ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากหายนะของกระสวยอวกาศโคลัมเบียคือ หนอนพยาธิตัวกลมจากห้องทดลองของกระสวยอวกาศ ซึ่งถูกค้นพบท่ามกลางซากปรักหักพัก จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:55:37

ความคิดเห็นที่ 40 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:51:56 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:56:19

ความคิดเห็นที่ 41 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:55:15 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 14:05:38 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:56:44

ความคิดเห็นที่ 42 42) ใครเป็นคนแรกที่บอกว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ อริสตาชุสแห่งซามอส ซึ่งเกิดเมื่อ 310 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าโคเปอร์นิคัสถึง 1,800 ปี อริสตาชุสไม่เพียงแต่เสนอว่าโลกและดาวเคราะห์ต่างๆโคจรรอบดวงอาทิตย์เท่านั้น เขายังคำนวณขนาดและระยะทางเปรียบเทียบระหว่างโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ รวมทั้งเสนอว่าดินแดนที่อยู่บนท้องฟ้าไม่ใช่สวรรค์ แต่จริงๆแล้วเป็นจักรวาลที่มีขนาดแทบจะไม่จำกัดต่างหาก แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก ตลอดทั้งชีวิต อริสตาชุสเป็นที่รู้จักในฐานะนักคณิตศาสตร์ ไม่ใช่นักดาราศาสตร์ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายผู้นี้มากนัก ยกเว้นก็แต่เขาร่ำเรียนจากสำนักไลเซียมที่เมืองอเล็กซานเดรีย และต่อมาก็ถูกกล่าวถึงโดยสถาปนิกชาวโรมันที่ชื่อวิทรูเวียส ว่าเป็น “ชายผู้รอบรู้เฉลียวฉลาดในวิทยาศาสตร์ทุกแขนง” นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ประดิษฐ์นาฬิกาแดดทรงครึ่งวงกลมอีกด้วย ผลงานชิ้นเดียวของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่คือ ตำราชื่อ On the Sizes and Distances of the Sun and Moon ซึ่งว่าด้วยขนาดและระยะทางของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ น่าเสียดายที่ผลงานชิ้นนี้ไม่ได้กล่าวถึงทฤษฎีของเขาที่ระบุว่าดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง เหตุผลที่เรารู้เกี่ยวกับผลงานต่างๆทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากการตั้งข้อสังเกตเพียงครั้งเดียวในตำราเล่มหนึ่งของอาร์ดีมีดีส ซึ่งกล่าวถึงทฤษฎีของอริสตาชุสเพียงเพื่อแสดงความเห็นคัดค้านเท่านั้น โคเปอร์นิคัสนั้นรู้จักอริสตาชุสอย่างแน่นอน เพราะว่าเขาอ้างถึงอริสตาชุสไว้ในต้นฉบับของหนังสือที่ชื่อ On the Revolutions of the Heavenly Spheres ซึ่งเขาเขียนไว้ด้วยลายมือ อย่างไรก็ตาม เมื่อหนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์ในปี 1514 ทุกคำที่กล่าวอ้างถึงชาวกรีกหัวล้ำสมัยผู้นี้ก็ถูกตัดทิ้งไปจนเหี้ยนเตียน เป็นไปได้ว่าคนที่ตัดส่วนนี้ออกไปนั้นก็คือผู้จัดพิมพ์ เพราะเกรงว่ามันจะทำลายความแปลกใหม่ของเนื้อหาในการค้นพบครั้งนี้ไป จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:57:12

ความคิดเห็นที่ 43 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:52:23 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:57:38

ความคิดเห็นที่ 44 44) คนในยุคกลางคิดว่าโลกของเรามีรูปร่างอย่างไร ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดแน่นอน นับตั้งแต่ประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา แทบจะไม่มีใครหรือที่ไหนที่เชื่อว่าโลกแบนเลย อย่างไรก็ตาม หากคุณพยายามที่จะแสดงหลักฐานว่าโลกแบนราบ สุดท้ายคุณก็จะได้อะไรบางอย่างที่เหมือนธงขององค์การสหประชาชาตินั่นแหละ ความเชื่อว่าโลกแบนไม่น่าจะเกิดขึ้นจนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 นั่นแหละ ต้องโทษหนังสือกึ่งนวนิยายของ วอชิงตัน เออร์วิง ที่ชื่อ The Life and Voyages of Christopher Columbus ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1828 หนังสือดังกล่าวให้ข้อมูลผิดๆว่าการเดินทางของโคลัมบัสนั้นทำไปเพื่อพิสูจน์ว่าโลกกลม ความคิดที่ว่าโลกแบนนั้นถูกเสนออย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในปี 1838 โดยชาวอังกฤษเพี้ยนๆที่ชื่อ ซามูเอล เบอร์ลี โรว์บอตแธม ซึ่งตีพิมพ์บทความหนา 16 หน้าที่ชื่อว่า “Zetetic Astronomy: A Description of Several Experiments Which Prove That the Surface of the Sea Is a Perfect Plane and That the Earth Is Not a Globe” เพื่ออธิบายถึงหลักฐานต่างๆที่พิสูจน์ว่าพื้นผิวของทะเลนั้นราบเป็นระนาบอย่างสมบูรณ์และโลกไม่ได้เป็นทรงกลม จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:58:09

ความคิดเห็นที่ 45 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:53:12 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 16:38:36 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:58:48

ความคิดเห็นที่ 46 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:53:39 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:59:26

ความคิดเห็นที่ 47 47) อายุของสุนัขกี่ปีเท่ากับอายุของมนุษย์หนึ่งปี ไม่ใช่ 7 ปีแน่ๆ ยังไม่พบผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือคนใดที่ช่วยให้เราเปรียบเทียบอายุข้ามสายพันธุ์อย่างง่ายๆได้ แมวและสุนัขอายุ 12 ปีบางตัวมีขีดความสามารถทางร่างกายในระดับที่สูงกว่ามนุษย์อายุ 84 ปีที่กระฉับกระเฉงที่สุด และดูเหมือนว่าจะมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละสายพันธุ์อีกด้วย วิธีที่ดีที่สุดที่ทำได้คือ การใช้สูตรที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมาช่วยประมาณค่าแบบคร่าวๆ โดยสูตรการคำนวณดังกล่าวระบุว่า ลูกแมวและลูกหมาเติบโตเร็วกว่าเด็กทารกมาก แต่จะมีอัตราการเจริญเติบโตลดลงอย่างฮวบฮาบหลังจากอายุครบ 2 ปีแล้ว ดังนั้น แมวอายุ 1 ปีน่าจะเทียบเท่ากับมนุษย์อายุ 16 ปี ขณะที่แมวอายุ 4 ปีน่าจะเทียบได้กัมนุษย์อายุ 32 ปี ส่วนแมวอายุ 8 ปีก็น่าจะเทียบได้กับมนุษย์อายุ 64 ปี อะไรทำนองนั้นแหละ จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 12:59:55

ความคิดเห็นที่ 48 48) สัตว์ชนิดใดมีความยาวมากที่สุดในโลก เสียใจด้วย ไม่ใช่ปลาวาฬสีน้ำเงิน แล้วก็ไม่ใช่เจ้าแมงกะพรุนแผงคอสิงโต (lion’s mane jellyfish) อีกด้วย หนอนริบบิ้น (หรือหนอนเชือกผูกรองเท้า) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Lineus longissimus มีความยาวได้เกือบ 60 เมตร เรียกได้ว่ายาวกว่าปลาวาฬสีน้ำเงินเกือบ 2 เท่า และยาวกว่าเจ้าของสถิติรายก่อนอย่างเจ้าแมงกะพรุนแผงคอสิงโตถึง 1 ใน 3 ส่วน คือเจ้าหนอนริบบิ้นนี้มีขนาดลำตัวยาวกว่าสระว่ายน้ำสำหรับแข่งโอลิมปิกเสียอีก เจ้าหนอนริบบิ้นหรือหนอนเชือกผูกรองเท้านี้ อยู่ในหนอนตระกูลนีเมอร์เทีย (Nemertea) ซึ่งมีมากกว่า 1,000 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์น้ำ พวกมันมีรูปร่างยาวและบาง แม้กระทั่งตัวที่ยาวที่สุดก็อาจจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางแค่ไม่กี่มิลลิเมตร มีข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ว่าเจ้าหนอนริบบิ้นนี้ยาวได้แค่ 30 เมตร ซึ่งน้อยกว่าแมงกะพรุนแผงคอสิงโตพอสมควร แต่ข้อมูลล่าสุดเผยว่า ความสามารถในการยืดตัวของพวกมันนั้นไม่ธรรมดาเลย ได้มีการพบว่าหนอนริบบิ้นหลายตัวยาวได้ถึง 50 เมตรเมื่อยืดตัวออกมาเต็มที่ หลักฐานฟอสซิลชี้ให้เห็นว่า พวกมันมีชีวิตอยู่มาอย่างน้อย 500 ล้านปีแล้ว หนอนริบบิ้นไม่มีหัวใจ เลือดของพวกมันสูบฉีดโดยกล้ามเนื้อ และพวกมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำสุดที่มีปากแยกออกจากทวาร พวกมันเป็นสัตว์กินเนื้อที่ตะกละตะกลาม โดยจะทิ่มท่อเล็กๆที่เหนียวเหนอะและติดตะขออาบยาพิษเข้าใส่สัตว์จำพวกกุ้งขนาดเล็กจนสลบ หนอนริบบิ้นส่วนใหญ่ซุ่มซ่อนในความมืดใต้ท้องทะเล แต่บางตัวก็มีสีสันสดใสอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว พวกหนอนตระกูลนีเมอร์เทียสามารถงอกใหม่ได้ในกรณีที่บาดเจ็บ แต่หนอนริบบิ้นบางสายพันธุ์ก็จะขยายพันธุ์ด้วยการแตกตัวออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วแต่ละชิ้นก็จะกลายเป็นหนอนตัวใหม่ แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 14:22:38 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:00:13

ความคิดเห็นที่ 49 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 22:53:57 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:00:34

ความคิดเห็นที่ 50   สุดยอด อยากโหวต แต่โหวตไม่ได้ มีประโยชน์ จริงๆนะ จากคุณ : pm เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:02:20 A:58.64.111.97 X: TicketID:280064

ความคิดเห็นที่ 51 ขัยนพิมพ์จังเลยค่ะ เยอะมากกกกก ขอบคุณสำหรับเนื้อหานะคะ จากคุณ : BakeryGirl เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:06:13

ความคิดเห็นที่ 52 Mauna Kea ภูเขาที่มีความสูงมากที่สุดในโลก แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 13:23:37 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:21:01

ความคิดเห็นที่ 53 Armillaria ostoyae สิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:23:08

ความคิดเห็นที่ 54 Antonio Meucci ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ตัวจริง จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:26:02

ความคิดเห็นที่ 55 plasma หนึ่งในสถานะของสสาร จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:28:11

ความคิดเห็นที่ 56 Heron ผู้ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:30:37

ความคิดเห็นที่ 57 largest diamond in galaxy โคตรเพชรตัวจริงเสียงจริง จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:34:42

ความคิดเห็นที่ 58 Olympus ภูเขาที่สูงที่สุดในระบบสุริยะ แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 16:35:33 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:44:18

ความคิดเห็นที่ 59 เวร ลืมรูป จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:44:44

ความคิดเห็นที่ 60 Fresh Kills Landfill สิ่งก่อสร้างด้วยฝีมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ่ายเมื่อปี 1990 (ทุเรศที่สุด) แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 13:53:35 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:50:55

ความคิดเห็นที่ 61 แต่จะปรับปรุงให้เป็นแบบนี้ในอนาคต จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:52:28

ความคิดเห็นที่ 62 #49 งั้นผมก็บอกว่าฝูงวาฬมั้งก็ได้หนะสิ จากคุณ : Ploeauer เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:53:22

ความคิดเห็นที่ 63 แต่บังเอิญวาฬมันไม่มาเป็นฝูงน่ะสิ ถ้าจับมารวมกันเป็นฝูงแล้วให้มันแผดร้องพร้อมกันจะถือว่าไม่ได้เป็นเสียงที่เกิดจากธรรมชาติทันที จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:57:40

ความคิดเห็นที่ 64 Deinococcus radiodurans แบคทีเรียยอดอึด จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:58:23

ความคิดเห็นที่ 65 ลืมรูปอีกแล้ว จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 13:58:46

ความคิดเห็นที่ 66 Bhut Jolokia Pepper (หรือ Naka Jolokia) พริกที่เผ็ดที่สุดในโลก เผ็ดว่าพริกขี้หนู 3-10 เท่าแหนะ (ขึ้นอยู่กับชนิดพริกขี้หนู) แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 22:37:04 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 22:35:57 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 14:03:10

ความคิดเห็นที่ 67 เดี๋ยวกลับมาอ่านนะครับ ไปอาบน้ำก่อน อ่าน #1 ไป อืมม จริงๆด้วยแฮะ ขึ้นอยู่กับว่าวัดจากอะไร ไม่เคยคิดเลยนะเนี้ย จากคุณ : Heimdall เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 14:08:01

ความคิดเห็นที่ 68 สุดยอดดดดดดดดดดดดดด.......... เก็บเข้าคลังกระทู้อย่างด่วนเลย จากคุณ : Paultinus เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 14:08:45

ความคิดเห็นที่ 69 Lineus longissimus หรือ bootlace worm สัตว์ที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 14:12:37

ความคิดเห็นที่ 70 แมงกะพรุนแผงคอสิงโต สัตว์ที่มีความยาวมากที่สุดในโลกอันดับ 2 ตัวที่ยาวที่สุดยาวเกือบ 40 เมตร จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 14:16:30

ความคิดเห็นที่ 71 กะโหลกฮิปโปกับฟันอันแข็งแรงของมัน จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 14:41:55

ความคิดเห็นที่ 72 ว่ากันว่าในทุกๆปีที่แอฟริกา ฮิปโปฆ่าคนมากกว่าจระเข้เสียอีก จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 14:43:25

ความคิดเห็นที่ 73 เสร็จเมื่อไหร่ผมขอเซฟไว้อ่านนะครับ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : A Song for xx เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 14:54:30

ความคิดเห็นที่ 74 ^__^ จากคุณ : เซ็งอูฐ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 14:57:33

ความคิดเห็นที่ 75 อ่านข้อ 9 แล้วรู้สึกอย่างไร ถ้าฮีโร่เป็นเพียงไอ้โง่ จากคุณ : T_Plus+ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 15:39:04

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบคุณ จขกท ครับ ที่เอาความรู้มาเสริฟถึงบ้านเลย โหวตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต ^^ จากคุณ : pangka เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 15:43:08

ความคิดเห็นที่ 77   #24 มันจะไม่แย้งกะทฤษฏีของไิอสไตเหรอครับ เห็นบอกว่าไม่ว่าจะวัดยังไงความเร็วแสงก็จะเท่าเดิมนี่ครับ จากคุณ : แมวกินปลา เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 16:10:36

ความคิดเห็นที่ 78 คห 73 เขียนเสร็จแล้วครับ หรืออยากอ่านอีก อิอิ จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 16:20:48

ความคิดเห็นที่ 79 โค้กช่วยขจัดรอยเลือดได้ ความจริงคือ ผิด ! ปล. เราใช้ไฮโดรเยน (แบบที่มันเป็นฟองฟู่) ค่อย ๆ หยดมันลงที่ผ้า รอจนฟองฟู่หาย ทำซ้ำเรื่อย ๆ จนหมดคราบค่ะ จากคุณ : คิน * คาเนะ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 17:06:51

ความคิดเห็นที่ 80 Boomerang Nebula สถานที่หนาวที่สุดตามธรรมชาติในจักรวาล (เท่าที่รู้กันในตอนนี้) หนาวแค่ไหนนะเหรอ ก็แค่ -272.15 องศาเซลเซียส (หรือ 1 เคลวิน) เท่านั้นเอ๊งงงงงง แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 53 01:23:08 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 17:07:30

ความคิดเห็นที่ 81 ด้วยความเคารพครับผม แต่เอาเนื้อหาในหนังสือของเขามาลงเยอะแยะแบบนี้ ไม่ทราบว่าละเมิดลิขสิทธิ์หรือเปล่าครับ เพราะหนังสือที่แปลภาษาไทยเขาก็มีวางขายอยู่ด้วยเช่นกัน จากคุณ : เพชรปู เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 17:27:44

ความคิดเห็นที่ 82 สงสัยเรื่องลิขสิทธิ์เช่นกันครับ การนำเนื้อหาในหนังสือที่วางขายอยู่มาเผยแพร่แบบนี้น่าจะต้องขออนุญาตก่อนนะ จากคุณ : หมีอ้วนขนนิ่มสมัครอมยิ้มมาเฮฮา เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 18:09:29

ความคิดเห็นที่ 83 ลบเหลี่ยมตรงไหนวะ จากคุณ : จาบู้ ณ cmu เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 18:28:48

ความคิดเห็นที่ 84 ว้าว  อยากได้หนังสือเล่มนี้ขึ้นมาทันที  เดี๋ยวต้องไปหามาสะสมแล้วล่ะ จากคุณ : เทมปุระ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 18:39:10

ความคิดเห็นที่ 85 รูจมูก 4 รูของมนุษย์ในข้อ 36 ผมว่ามันกำปั้นทุบดินไปนะ แน่นอนว่าถ้านับ choana ก็ต้องแปลว่ามี 4 รูจริงแหละ เพราะchoana คือปลายอุโมงค์ของรูจมูกเราก่อนเข้าโพรงหลังจมูก (nasopharynx) ถ้าจะเล่นลิ้นนับอย่างงี้ ผมว่า คนเรามี 2 ปาก เพราะมีโพรงด้านในก่อนเข้าคอหอยอีก 1 ก็ได้สิ จากคุณ : natefang เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 19:10:14

ความคิดเห็นที่ 86   ถือว่าเป็นการโปรโมทหนังสือ อย่างน้อยก็ทำให้ผมอยากไปซื้อเล่มนี้ จากคุณ : *-* เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 19:10:36 A:58.11.46.59 X: TicketID:214406

ความคิดเห็นที่ 87 ซื้อที่ไหน อยากได้หนังสือๆๆๆๆ จากคุณ : นักเรียนหรือกรรมกร เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 19:10:52

ความคิดเห็นที่ 88 ไฟแดงมาจากไหนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : นักเรียนหรือกรรมกร เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 19:11:27

ความคิดเห็นที่ 89 อ่านเพลิน เป็น ชม. เลย ><" จากคุณ : Bearlandia เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 20:21:30

ความคิดเห็นที่ 90 ข้อ 37 เรืองโยนแมวลงจากที่สูงเค้าเอาสถิติมาจากไหน อย่าบอกนะว่าทดลองโยนจริง O_o!! จากคุณ : เชอรี่แช่เหล้า เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 20:37:45

ความคิดเห็นที่ 91 เป็นหนังสือที่น่าอ่านจริงๆ แต่ไม่เคยคิดจะหยิบมาเปิดอ่านเลย เพราะรู้สึกว่าชื่อหนังสือ มันเกรียน ใครคิดชื่อวะเนี่ย แต่เห็นรีวิวแล้ว สงสัยต้องไปหยิบมาสักเล่ม จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:13:15

ความคิดเห็นที่ 92 โหวตแบบไม่ต้องคิด อ่านเพลินมากเลยครับ จากคุณ : ^ Moriarty ^ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:50:06

ความคิดเห็นที่ 93 fruit fly (Drosophila melanogaster) คือ แมลงหวี่ครับ ไม่ใช่แมลงวันผลไม้ แปลตรงตัวไปนิด =[]= มันเป็นสัตว์โมเดลตัวหนึ่ง ในการทดลองทางพันธุศาสตร์ ^^ แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 53 21:59:18 จากคุณ : Meta-Anima เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 21:54:10

ความคิดเห็นที่ 94 อ่านแล้ว...สงสาร Antonio Meucci ทึ่งกับฮิปโปเทมัส สยองกับหนอนยักษ์ และศรัทธาเจ้าของกระทู้ อิอิ จากคุณ : thasiwat เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 22:48:43

ความคิดเห็นที่ 95 หนังสือหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำอย่างนายอินทร์ ร้านซีเอ็ด บีทูเอสก็น่าจะมี แต่ของผมซื้อจาก 7eleven ละเมิดรึเปล่าไม่รู้ แต่ก็ทำให้หนังสือมันน่าสนใจมากขึ้นมิใช่รึ อย่าลืมนะว่ายังไม่ได้ลงเรื่องน่าสนใจอีกหลายเรื่อง และที่เอามาลงส่วนใหญ่ก็ย่อลงมาแล้ว ถ้าอยากรู้มากขึ้นก็ลองเดินไปเซเว่นแถวบ้านแล้วซื้อมาซักเล่มนึง แค่ร้อยกว่าบาท ไม่แพงหรอก มันเป็นหนังสือเล่มสีแดงๆ มีตัวการ์ตูนไอน์สไตน์อยู่ตรงกลาง แล้วลบเหลี่ยมไอน์สไตน์ในที่นี้ มันไม่ได้ไปลบเหลี่ยมไอน์สไตน์ตัวจริงซักหน่อย มันลบเหลี่ยมคนที่คิดว่าตัวเองรู้เยอะตะหากล่ะ (โดยแทนด้วยคำว่า "ไอน์สไตน์" เท่านั้นเอง อย่าซีเรียส) จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 22:51:57

ความคิดเห็นที่ 96 คห1 นามสกุลของเซอร์จอร์จ ออกเสียงว่า "อีฟเรสต์" อะครับ ไม่ใช่เอเวอเรสต์ จากคุณ : น้องลูกหมู เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 22:58:46

ความคิดเห็นที่ 97   บางข้อก็ให้ความรู้ที่ดีนะ แต่บางข้อเหมือนเป็นการเล่นลิ้นเล่นคำยังไงไม่รู้ จากคุณ : BacKyard เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 53 23:10:56

ความคิดเห็นที่ 98 สนุกมาก ชอบๆ ขอบคุณครับ ไว้กลับบ้านแล้วค่อยไปหาซื้อมาอ่าน เรื่องวิทยาศาสตร์พวกนี้ สมควรที่จะรู้ข้อเท็จจริงให้มากที่สุด แต่ว่าในหนังสือ เรื่องพวกนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วหรือยังครับว่าถูกต้อง จากคุณ : kruto เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 10:06:57

ความคิดเห็นที่ 99 ดูเผิน ๆ อาจเหมือนละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ในทางกลับกันผมว่ากระทู้นี้ช่วยกระตุ้นให้ผู้ที่สนใจไปหาซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านนะครับ จากคุณ : macenjoy เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 11:07:29

ความคิดเห็นที่ 100 สนุกมากๆเลย เดี๋ยวบ่ายๆลองไปดูร้านหนังสือดีกว่า จะซื้อมาอ่านซักเล่ม จากคุณ : เกียงอุยศิษย์มังกรหลับ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 11:40:51

ความคิดเห็นที่ 101 ตอนแรกไม่คิดจะหยิบ เพราะเห็นชื่อหนังสือแล้วรู้สึกแปลกๆ แต่พออ่านรีวิวในนี้แล้ว เย็นนี้ไปเสาะหาโดยพลัน จากคุณ : BK_unz เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 12:31:21

ความคิดเห็นที่ 102 มนุษย์ที่ตกจากที่สูงที่สุด แล้วไม่ตาย ไม่ใช่อาโนลด์หรือ เรื่องอะไรน้า จำได้ว่าพี่แกดิ่งลงมาจากเครื่องบิน คู้่เข่าห่อตัว เอามือกุมหัวไว้ ตกลงมาโหม่งกระแทกหลังคารถ แล้วลุกมาเดินเฉยเลย --" (อันนี้มุกนะ ^^) จากคุณ : น้องหยิก เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 12:36:36

ความคิดเห็นที่ 103 เสียดายที่หนังสือดีๆ แต่ตั้งชื่อไม่น่าหยิบอ่านซะเลย แต่เนื้อหาน่าสนใจมาก กระทู้นี้น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้นะ จากคุณ : บ้านสามกอ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 12:47:35

ความคิดเห็นที่ 104   แสดงว่าในหว้ากอนี่เข้าใจผิดเรื่องแมลงสาบกันเยอะมาก จากคุณ : . (yatiko) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 13:08:11

ความคิดเห็นที่ 105 คห 96 ขอบคุณครับสำหรับคำอ่านที่ถูกต้อง แต่เราจำเป็นต้องไปอ่านตามฝรั่งให้ถูกต้องเป๊ะๆหรือเปล่า? ก็ในเมื่อไม่เห็นมีฝรั่งหน้าไหน ยกเว้น ทอด ทองดี กับ แอนครูว์ บิ้กส์ (เท่าที่รู้จักกัน) เรียก Bangkok ว่า "บางกอก" ตามคนไทยเลยซักคน แล้วตั้งแต่อดีตพวกเราก็ไม่เคยเรียกชื่อเก่าของเมืองหลวงเราว่า "แบงค็อก" ด้วย ขนาด พ กับ ป, ท กับ ต แล้ววรรณยุกต์ต่างๆเค้ายักแยกไม่ออกเลยอ่ะ ถ้าเรียกเอเวอร์เรสต์ว่า "อีฟเรสต์" คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักไหมหนอ แบบนี้ภาษาอื่นก็ต้องเอาด้วย อย่าง Albert Einstein ต้องอ่านเป็น "อัลบั๊ต ไอนชไตน" ตามหลักภาษาเยอรมัน Antonio Meucci ต้องอ่านเป็น "อันตอนโย เมอุต(ต ไม่ใช่ ค)ชี่" ตามหลักภาษาอิตาเลียน หรือ โอซะกะ นะโงะยะ เคียวโตะ หกไกโด โทะโยะตะ ฮนดะ มะซึดะ นิสซัง ชิงกันเซ็ง ซะมุไร นินจะ เกะอิชะ (หรือ เกชะ) แบบคนญี่ปุ่นไปเลย ซึ่งล้วนแล้วเป็นคำที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ (คำว่า "ญี่ปุ่น" เองก็ห้ามใช้ ต้องพูดให้ถูกต้องตามหลักภาษาจีนที่มาเป็นล่ามให้เราว่า " (ย)รื่อเปิ่น" ด้วย) อย่าไปซีเรียสเลยครับ เพราะพวกต่างชาติมันยังไม่แยแสว่าจะพูดภาษาไทยได้ถูกต้องตามอักขระหรือเปล่า แล้วเราทำไมต้องออกเสียงภาษาต่างประเทศให้ถูกต้องเอาใจพวกต่างชาติกันด้วยเล่า ที่ออกเสียง มอ-นะ-เค-อะ เพราะมันเป็นคำใหม่ คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก หรือท่านๆจะออกเสียง มัวนาเคีย ตามหนังสือไปก็ได้ ไม่ว่ากัน (ถ้าอยากเรียกตามพวกฝรั่งที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า "มาว-นะ-เค-อะ" ก็ได้ แต่พวกฝรั่งไม่มีใครเรียก "มัวนาเคีย" แบบในหนังสือหรอกนะ) แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 13:21:30 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 13:12:08

ความคิดเห็นที่ 106 มาขอบคุณ จขกท. ครับ จากคุณ : นัวร์ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 13:31:21

ความคิดเห็นที่ 107 เล่มนี้ผมก็ซื้อมาอ่านแล้วครับ ดีมากๆเลย แม้ว่าบางอันจะดูไม่น่าเชื่อก็ตาม จากคุณ : unholy เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 13:32:35

ความคิดเห็นที่ 108 12) สถานที่หนาวที่สุดในจักรวาลอยู่ที่ไหน ที่ฟินแลนด์นี่เอง -------------------------------------------------------------- ข้อนี้ขอท้วงหน่อย จะรู้ได้อยางไรว่าหนาวสุดในจักรวาลในเมื่อ มนุษย์ยังไปได้ไม่พ้นระบบสุริยะของตัวเองเลย จากคุณ : La Divinite เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 13:57:27

ความคิดเห็นที่ 109 ไม่น่าจะตั้งชื่อว่า ลบเหลี่ยมไอร์สไตน์เลย...... เพราะไม่เห็นมีตรงไหนที่สามารถแย้งทฤษฏีของไอร์สไตน์ได้แม้แต่อันเดียว........... แต่เนื้อหาน่าสนใจ ถูกบ้างผิดบ้างก็ให้ได้ใช้ความคิดมากขึ้น...ไปหามาอ่านบ้างดีกว่า จากคุณ : Night Claw เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 14:04:03

ความคิดเห็นที่ 110 ^^  ... จากคุณ : apple_meppo เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 14:08:34

ความคิดเห็นที่ 111 ผมอ่านแล้ว จำได้ว่า ผู้แปลเขียนชื่อทฤษฎีอันเลื่องชื่อผิด แหมอุตสา่ห์เอาชื่อเขามาเป็นชื่อหนังสือ จากคุณ : สหายสายธาร เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 14:50:50

ความคิดเห็นที่ 112 ด้วยความเคารพ เกี่ยวกับเรื่องหน่วยของอุณหภูมิ ถ้าเป็น relative temperature จะใช้ องศาเซลเซียส (oC) กับ องศาฟาเรนไฮน์ (oF) ถ้าเป็น absolute temperature จะใช้ เคลวิน (K) ไม่มีองศา (o) และองศาแรงกิ้น (oR) จากคุณ : Attjoe เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 14:52:49

ความคิดเห็นที่ 113 เห็นด้วยครับ ใช้คำไทยให้ถูกต้องก็สุดหรูแล้วครับ *-* จากคุณ : artsmart เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 15:04:10

ความคิดเห็นที่ 114   จากคห.45 "ผึ้งมีวิวัฒนาการในการสร้างภาษาอันซับซ้อนเพื่อสื่อสารกันว่ามีน้ำหวานที่ดีที่สุดอยู่ตรงไหน โดยอาศัยดวงอาทิตย์เป็นจุดอ้างอิง ที่น่าทึ่งก็คือ พวกมันยังสามารถทำเช่นนั้นได้แม้กระทั่งในวันที่มีเมฆครึ้มหรือในตอนกลางคืนก็ตาม โดยอาศัยการคำนวณตำแหน่งของดวงอาทิตย์ที่อยู่อีกซีกหนึ่งของโลก นั่นหมายความว่า จริงๆแล้ว พวกมันสามารถเรียนรู้และเก็บข้อมูลเอาไว้ได้ แม้ว่าจะมีสมองเล็กกว่ามนุษย์เรา 1.5 เท่าก็ตาม" ปล.  คุณจขกท.ได้มาแก้ไขแล้วเป็น1.5ล้านเท่าค่ะ ปล.2   ไม่ชอบชื่อหนังสือเลยไม่ซื้อแน่ๆ "ลบเหลี่ยมไอน์สไตน์" งั้นเหรอ ที่เอามาเขียนนี่มันแย้งทฤษฎีของไอน์สไตน์ตรงไหน แล้วไอน์สไตน์ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองรู้ดีทุกเรื่องซะหน่อย แม้ว่าเราอ่านหนังสือนี้จบกี่รอบๆ เราก็ไม่คิดว่าเราจะมีอะไรไปลบเหลี่ยมเค้าได้อยู่ดีนะ แต่ไงๆก็ว่าจะยืมเพื่อนอ่านแน่นอนค่ะ(ถ้าเพื่อนไม่ซื้อเราก็จะยืมห้องสมุด) ขอบคุณที่เอามาลงนะ^^ ได้รู้เรื่องใหม่ๆเยอะแยะเลย เป็นหนังสือที่น่าสนใจมาก ทั้งชื่อหนังสือและเนื้อหา ควรค่าแก่การหามาอ่าน แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 20:15:09 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 53 15:17:30 จากคุณ : ตจว.เจียมตัว (decentcitizen) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 53 15:04:42