ความคิดเห็นที่ 1 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 51) พลาตินัม คือ ทองคำขาว ? 52) อาร์เซนิก คือ สารหนู ? พลาตินัม (Platinum) ไม่ใช่ ทองคำขาว ส่วน อาร์เซนิก (Arsenic) ไม่ใช่ สารหนู พลาตินัม เป็นธาตุ (สารบริสุทธิ์) มี ถพ. สูงกว่าทองคำ แข็งกว่าทอง และมันวาวในตัวเองเมื่อขัด (ไม่ต้องชุบเงา) พลาตินัมจัดว่าเป็น "ทองขาว" ชนิดหนึ่ง (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน) และ ทองขาว ก็ไม่ใช่ ทองคำขาว ทั้ง พลาตินัม หรือ ทองขาว หรือ ทองคำขาว คนละความหมาย ทองขาว หมายถึงโลหะมีราคาสีขาวแกมเทา มีหลายชนิด พลาตินัม เป็นเพียงชนิดหนึ่ง ส่วน ทองคำขาว (White Gold) เป็น สารละลายที่เป็นของแข็ง โดยที่ใช้ในวงการเครื่องประดับเป็น 18 K White Gold มีส่วนประกอบคือ ทองคำ75% + เงิน 5% + พาลาเดียม 20% อาร์เซนิก เป็นธาตุ (สารบริสุทธิ์) อาร์เซนิกบริสุทธิ์ เป็นโลหะ (แต่ในธรรมชาติอยู่ในรูปแร่ เป็นสารประกอบ) ส่วน สารหนู (ที่เราใช้) เป็น สารประกอบของ อาร์เซนิก เช่น อาร์เซนิกไตรออกไซด์ เป็น สารหนูที่ใช้ตามบ้าน ( อ้างอิง : http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp http://palladiumcoins.com/jewelry.html http://en.wikipedia.org/wiki/Colored_gold ) ทองขาว น. 1. (โบ) โลหะสีขาวแกมเทา บุเป็นแผ่นรีดเป็นลวดได้ อาจหมายถึง โลหะนิกเกิล หรือโลหะแพลทินัม ก็ได้; 2. ส่วนประกอบส่วนหนึ่งของ จานจ่ายไฟในเครื่องยนต์ของรถยนต์ ทําหน้าที่เป็นทางเดินของ กระแสไฟฟ้าแรงตํ่า และทําให้กระแสไฟฟ้าแรงตํ่าขาดวงจรเพื่อ ให้เกิดกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่คอยล์ (coil) เป็นผลให้มีประกายไฟฟ้า ขึ้นที่ปลายเขี้ยวของหัวเทียนในจังหวะที่ถูกต้อง. ทองคำขาว น. โลหะเจือชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นของแข็งสีเงินเป็นเงางาม บุให้เป็น แผ่นหรือรีดให้เป็นเส้นลวดได้ ประกอบด้วยทองคําเจือโลหะอื่น เช่น เงิน นิกเกิล สังกะสี แพลเลเดียมเพื่อให้ได้สีเงินคล้ายแพลทินัม มัก ใช้ทําเครื่องรูปพรรณ. (อ. white gold). รูป Arsenic Metal จาก Americanelements.Com แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 01:20:49 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:37:16

ความคิดเห็นที่ 2 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 53) เราสามารถมองเห็นไอน้ำได้ สสารสีขาวของก้อนเมฆ หรือสิ่งที่พุ่งจากพวยกาน้ำร้อนคือ ไอน้ำ ? ก้อนเมฆ คือ ละอองหยดน้ำ ขนาดเล็กมาก และเบามาก เทียบเคียงได้กับ ละอองฝอยจากสเปรย์ แต่เล็กกว่า (สังเกตว่า ละอองจากสเปรย์จะตกช้ากว่าหยดน้ำ) ส่วน ไอน้ำ เป็นคำเรียก น้ำ ในสถานะของ แก๊ส ซึ่งละลายในอากาศ และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ( อ้างอิง: http://geo.sc.chula.ac.th/espcu/board/pdf/2307485/ATM-SC-week8-cloudJan10.ppt ) รูปจาก Cmmap.Org แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:19:13 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:38:13

ความคิดเห็นที่ 3 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 54) ทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน กล่าวว่า มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง ? ถ้า คน วิวัฒนาการมาจาก ลิง(ปัจจุบัน) ทำไมลิงยังเป็นลิง ! เพราะที่ถูกคือ คน วิวัฒนาการมาจาก บรรพบุรุษของลิงและคน ส่วน ชาร์ลส์ ดาร์วิน ก็ไม่เคยกล่าวเช่นนั้น และทฤษฎีของเขา ว่าด้วย การคัดเลือกโดยธรรมชาติ กำหนดทิศทางการอยู่รอดของลูกหลานที่หลากหลาย เราสามารถตีความได้ว่า มนุษย์กับลิงอาจเคยมีบรรพบุรุษร่วมกัน ลิง (ทั้ง ลิงมีหาง และ ลิงไร้หาง) ที่ดำรงเผ่าพันธุ์ในช่วงยุคนี้ ไม่มีสปีชีส์ใดเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ เอปทุกชนิดในปัจจุบัน วิวัฒน์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด (เช่นเดียวกับ นกฟินน์แต่ละสปีชีส์ เคยมีบรรพบุรุษร่วม ซึ่งสปีชีส์นั้นอาจสูญพันธุ์แล้ว นกฟินน์ทุกสปีชีส์ในปัจจุบัน วิวัฒน์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด) มี ไพรเมตสปีชีส์หนึ่ง เป็นต้นบรรพบุรุษของ เอป ทั้งหลาย (ลิงไร้หาง วานรมนุษย์ มนุษย์วานร และมนุษย์) (ซึ่งวิวัฒน์แยกกันกับ ลิงมีหาง มานานก่อนหน้า) แล้วแตกแขนงเป็นหลายสาย บางสายวิวัฒน์เป็นลิงไร้หางไปต่างหาก บางสายวิวัฒน์เป็นวานรมนุษย์ต่างหาก (สูญพันธุ์แล้ว) บางสายวิวัฒน์เป็นมนุษย์วานรพวกหนึ่งต่างหาก (สูญพันธุ์แล้ว) และสายย่อยหนึ่งวิวัฒน์ต่างหากเป็น มนุษย์วานรอีกพวก ซึ่งลูกหลานของสายนี้ ที่วิวัฒน์มาเป็นมนุษย์ในภายหลัง ( อ้างอิง: http://en.wikipedia.org/wiki/Timeline_of_human_evolution http://en.wikipedia.org/wiki/On_the_Origin_of_Species ) แผนผังความเกี่ยวข้องใน subtribe Hominini (tribe เป็นระดับย่อยระหว่าง family กับ genus) รูปจาก Commons.Wikimedia.Org แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:19:31 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:41:08

ความคิดเห็นที่ 4 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 55) ยูริ กาการิน คือมนุษย์คนแรกในอวกาศ ? เห็นจะไม่ถูกเสียทีเดียว ! แม้ ยูริ กาการิน เป็นมนุษย์คนแรกที่ออกไปในอวกาศด้วยยานอวกาศ จนถึงระดับวงโคจรในอวกาศ แต่ไม่ใช่คนแรกที่ไปถึงเขตอวกาศ เป็น โจ คิตทิงเจอร์ (Joseph Kittinger) ต่างหาก ตามข้อกำหนดอย่างเป็นทางการโดย International Aeronautical Federation (FAI) บริเวณ อวกาศใกล้ (Near Space) คือ ความสูงตั้งแต่ 65,000 ฟุต (20 กิโลเมตร) ถึง 62.5 ไมล์ (100 กิโลเมตร) จากระดับน้ำทะเล (ซึ่งเป็นบริเวณที่เครื่องบินทัวร์อวกาศราคาประหยัดไปถึง) และถ้าเลยออกไปถึง 200 กิโลเมตร คือบริเวณที่เหล่าดาวเทียมโคจรกันอยู่ และมนุษย์คนแรกที่เข้าสู่อวกาศในบริเวณนั้นคือ โจ คิตทิงเจอร์ เป็นทหารอเมริกันที่ทดสอบการกระโดดร่มสูง เมื่อ 1960 โดยขึ้นไปกับบอลลูน ติดถังออกซิเจนไปด้วย บอลลูนพาเขาขึ้นไปถึง 96,760 ฟุต (29.49 กิโลเมตร) (เลยระดับที่เครื่องบินในปัจจุบันบินกันถึง 3 เท่า) แล้วก็กระโดดร่มลงมา ตอนกางร่ม ความเร็วขณะหล่น มากถึงความเร็วเสียง ถือว่าทำลายสถิติหลายอย่างด้วย (นอกจากนี้ ข้อมูลเพิ่มเติม ไม่ยืนยันความถูกต้อง ลือกันว่า ก่อนโซเวียตส่งกาการินไป เคยส่งมนุษย์อวกาศ 2 คน คนหนึ่งเสียชีวิตก่อนถึงจุดหมาย อีกคนกลับลงมาได้ แต่ลงประเทศจีนแล้วถูกจับ โซเวียตไม่เผยแพร่ข่าวออกมา) ( อ้างอิง: http://en.wikipedia.org/wiki/Near_space http://en.wikipedia.org/wiki/Joe_Kittinger ) แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:21:45 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 53 03:56:15 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:42:03

ความคิดเห็นที่ 5 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 56) น้ำที่หมุนวนไหลลงไปในท่อ ในซีกโลกเหนือกับซีกโลกใต้ วนกันคนละทิศ ? น้ำหมุนวนทวนหรือตามเข็มนาฬิกา ขึ้นอยู่กับ ลักษณะของโถ และท่อ ( อ้างอิง: รายการ Megaclever) ส่วน Coriolis force ที่ทำให้เกิด Coriolis Swirl มีผลเฉพาะ พายุ และ กระแสน้ำในมหาสมุทร ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเป็นหน่วยที่เล็กกว่ามาก รูปดัดแปลงจาก Oceanmotion.Org แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:25:08 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:43:30

ความคิดเห็นที่ 6 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 57) ขั้วโลกเหนือหนาวพอกับขั้วโลกใต้ ? 58) จุดหนาวที่สุดของโลก (ตามธรรมชาติ) ที่ขั้วโลกพอดี ? ขั้วโลกทั้งสองหนาวไม่เท่าากัน และ อุณหภูมิต่ำสุดของโลก ที่บันทึกได้ ไม่ใช่ ขั้วพอดีเป๊ะ ! ขั้วโลกใต้หนาวกว่าขั้วโลกเหนือประมาณ 35 องศาฟาเรนไฮต์ เพราะ ขั้วโลกใต้ เป็น แผ่นดิน แต่ ขั้วโลกเหนือ เป็น (พื้นทะเลที่กลายเป็น) น้ำแข็ง (ที่ผิวหน้า) ประการแรก ของแข็งถ่ายเทพลังงานดีกว่าของเหลว (พื้นดินดูดและคายพลังงานดีกว่า ถ้าร้อนจะร้อนกว่า ถ้าเย็นจะเย็นกว่า) ประการสอง น้ำแข็งซึ่งโปร่งแสงพื้นดินกว่า ทำให้แสงแดดทะลุน้ำแข็งลึกกว่า ช่วยให้ร้อนขึ้นอีกนิด สถิติอุณหภูมิต่ำสุดของโลก ที่บันทึกได้ -89.2 องศาเซลเซียส ที่ สถานีวิจัยวอสตอก ห่างจากขั้วใต้ 1300 กม. (21 กรกฎาคม 1983) สำหรับ สถิติอุณหภูมิจาก สถานีวิจัยขั้วโลกใต้อมุนด์เซน-สกอต ที่ขั้วโลกใต้พอดี อุณหูมิต่ำสุด ของขั้วโลกใต้ ที่บันทึกได้ -82.8 องศาเซลเซียส (-117 องศาฟาเรนไฮต์) 23 มิถุนายน 1982 อุณหูมิสูงสุด ของขั้วโลกใต้ ที่บันทึกได้ -13.6 องศาเซลเซียส (7.5 องศาฟาเรนไฮต์) 27 ธันวาคม 1978 ( อ้างอิง: http://en.wikipedia.org/wiki/South_pole http://en.wikipedia.org/wiki/Vostok_Station ) รูปจาก Academic.Emporia.Edu แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:25:57 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:44:40

ความคิดเห็นที่ 7 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 59) ตาของมนุษย์มองเห็นได้ไกลที่สุดประมาณ 1,000 กิโลเมตร ? คุณคิดไม่ถึงแน่ ! ส่วนวัตถุที่ไกลสุด ที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เท่าที่ทราบคือ กาแล็กซีแอนโดรเมดา ไกล 2.54 ล้านปีแสง หรือเท่ากับ 18921 ตามด้วย 0 อีก 12 ตัว หน่วยเป็นไมล์ ซึ่งในค่ำคืนที่มืดมิด มนุษย์สามารถมองเห็นได้ เพราะแม้ไกลมาก แต่ขนาดใหญ่ยักษ์ เส้นผ่านศูนย์กลาง 220,000 ปีแสง (และความสว่างปรากฏ 3.44 แมกนีจูด) จึงมี ระยะขนาดเชิงมุม (และความสว่าง) มากพอ ให้เห็นด้วยตาเปล่าได้ ถ้าสังเกตดี ในสถานที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ที่ถูก ระยะที่ตามองเห็น ขึ้นกับ ขนาดของวัตถุ ดังนั้นคำถามที่ถูกคือ ตาของมนุษย์เห็นได้ละเอียดแค่ไหน คำตอบคือ ขนาดเชิงมุม ประมาณ 0.3-0.4 ลิปดา ขึ้นกับ ประเภทการแยกแยะ ความสว่าง ความยาวคลื่นแสง สมรรถภาพผู้สังเกต ( อ้างอิง: ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล. เปิดโลกวิทยาการ-ไขปัญหาวิทยาศาสตร์ http://www.clarkvision.com/imagedetail/eye-resolution.html ) รูป กาแล็กซีแอนโดรเมดา จาก Seanic.Net แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 01:35:03 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 53 15:48:34 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 53 00:37:48 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:45:14

ความคิดเห็นที่ 8 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 60) ดาวเหนือเป็นดาวที่สว่างที่สุดในท้องฟ้ายามค่ำ (ไม่นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์) ? สับสนแล้ว ! การเป็นที่รู้จักทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า ดาวเหนือเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้า แต่ที่จริง ดาวเหนือเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างเป็นอันดับที่ 47 (ไม่นับดวงอาทิตย์) เหตุผลเดียวที่ ดาวเหนือ ดูสำคัญ เพราะบังเอิญอยู่ในตำแหน่งตรงกับขั้วฟ้าเหนือพอดี ประกอบกับสว่างกว่าดาวอื่นใกล้เคียงเท่านั้น ซึ่งเพราะดาวเหนือไม่สว่างนี้เองจึงใช้กลุ่มดาวที่หาง่าย (เพราะสว่างและการเรียงตัวเป็นเรขาคณิตชัดเจน) ช่วยชี้ตำแหน่ง ส่วนดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้าคือ ดาวซิริอัส (ไม่นับดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์) ยังมีสิ่งน่าสนใจอื่นที่ไม่คนส่วนใหญ่รู้หรือยังเข้าใจผิดอีกหลายประการเกี่ยวกับดาวเหนือ เช่น ดาวเหนือไม่ใช่ดาวดวงเดียวแต่เป็นระบบดาวฤกษ์สามดวง, ดาวเหนือไม่ได้อยู่ที่ขั้วฟ้าเหนือพอดี แต่ห่างจากจุดหมุนขั้วฟ้าประมาณ 1 องศา, ดาวเหนือจะไม่อยู่ในตำแหน่งเดิมตลอดไป เพราะการหมุนของโลกมีการส่ายเหมือนลูกข่าง (แต่ช้ากว่ามาก) จากการคำนวณตามหลักฐานแผนที่ดาวโบราณจนถึงปัจจุบัน ในอดีต ดาวทูแบน เคยเป็นดาวเหนือแทน ดาวโพลาริส (ดาวเหนือปัจจุบัน) ในอนาคต ดาววีก้า จะมาเป็นแทน และจนกว่าจะครบรอบประมาณ 26,000 ปี ดาวเหนือดวงเดิมจึงกลับมาที่ขั้วฟ้าเหนืออีกครั้ง ดาวเหนือมีกลุ่มดาวสังกัดอยู่เช่นกันคือ กลุ่มดาวหมีเล็ก โดยดาวเหนืออยู่ที่ตำแหน่งปลายหางของหมี ดาวดวงอื่นในกลุ่มที่ไม่สว่างนักจึงมักไม่ถูกเอ่ยถึง ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) รูปจาก Racine.Ra.It แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:26:14 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:45:46

ความคิดเห็นที่ 9 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 61) กลุ่มดาวจระเข้ (หมีใหญ่) ใช้หาดาวเหนือได้เสมอ เพราะเห็นได้ตลอด ? เรียนมาไม่ครบ ! กลุ่มดาวต่างๆ มีการหมุนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นบางเดือนไม่เห็นกลุ่มดาวจระเข้เลยตลอดทั้งคืน แต่โชคดีที่มีอีกกลุ่มดาวที่หาง่ายพอกันอยู่ตรงข้ามกันพอดี เมื่อกลุ่มดาวหนึ่งตกเป็นเวลาที่อีกกลุ่มจะขึ้นสลับกันเสมอ นั้นคือ กลุ่มดาวค้างคาว (แคสสิโอเปีย) ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) รูปจาก universallinkonline.com แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:26:51 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:47:48

ความคิดเห็นที่ 10 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 62) ฤดูร้อนเพราะโลกเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ? 63) ฤดูกาลเกิดจากระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ? (Season are caused by the Earth's distance from the Sun ?) เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันมากที่สุด คนส่วนใหญ่เข้าใจกันว่าฤดูร้อนเกิดจากการที่โลกเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และฤดูหนาวมีอากาศหนาวเกิดจากการที่โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ จริงอยู่ที่ว่าโลกเรานั้นมีบางช่วงที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และบางช่วงที่ถอยห่างจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีเช่นเดียวกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ แต่วงรีนี้เป็นวงรีที่มีความรีน้อยมาก หรือกล่าวได้ว่าเกือบเป็นวงกลม ดังนั้นระยะห่างจากโลกถึงดวงอาทิตย์ของสองช่วงนี้จึงแตกต่างกันน้อยมากซึ่งแทบไม่มีผลต่ออุณหภูมิเลย ยิ่งกว่านั้น ยังพบว่า ในฤดูหนาวโลกกลับอยู่ใกล้จากดวงอาทิตย์มากกว่าในฤดูร้อนเสียอีก แปลกใหม? กลไกสำคัญที่ทำให้เกิดฤดูกาลที่แท้จริงคือ ความเอียงของโลก โลกมีแกนเอียง 23.5 องศากับแนวตั้งฉากกับระนาบของระบบสุริยะ ดังนั้นจึงมีบางช่วงที่โลกหันซีกโลกเหนือเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ ส่วนซีกโลกใต้ก็หันเอียงออกจากดวงอาทิตย์ ช่วงนี้เองที่เป็นฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ เนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์ส่องพื้นผิวโลกในส่วนที่เป็นซีกโลกเหนือในปริมาณมากกว่า มุมที่แสงแดดตกกระทบพื้นดินก็เป็นมุมมากกว่า และกลางวันก็ยาวกว่ากลางคืน ยกตัวอย่างประเทศไทย โลกหันประเทศไทยเข้าหาดวงอาทิตย์โดยตรงในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงพฤษภาคม ในขณะที่ทางประเทศออสเตรเลียเป็นช่วงฤดูหนาว เนื่องจากแสงแดดตกกระทบพื้นดินเป็นปริมาณน้อยกว่า และมีช่วงเวลากลางวันสั้นกว่าเวลากลางคืน เมื่อย่างเข้าช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม โลกหันด้านใต้เข้าหาดวงอาทิตย์แทน ฤดูกาลก็สลับกัน ช่วงนี้เป็นฤดูร้อนของทางซีกโลกใต้และเป็นฤดูหนาวของทางซีกโลกเหนือ คริสต์มาสที่ประเทศออสเตรเลียไม่มีหิมะ ไม่ต้องใส่ชุดหนาๆ แต่ผู้คนไปเที่ยวตามชายหาด ปักต้นคริสต์มาสบนหาดทราย ฉลองคริสต์มาสและเล่นน้ำทะเลตามประสาหน้าร้อน ที่จริงแล้วคุณรู้หรือไม่ ระยะห่างระหว่างจุดที่โลกและดวงอาทิตย์ห่างกันที่สุด และใกล้ที่สุดนั้น ไม่มากนักหรอก และคุณเคยรู้ไหม ขณะที่ซีกโลกหนึ่งเป็นฤดูหนาวนั้น อีกซีกโลกหนึ่ง เป็นฤดูร้อนในเวลาเดียวกัน ! ที่จริงนั้น ฤดูเกิดจากการที่แกนโลกเอียงต่างหาก แกนโลกของเรา เอียงทำมุมประมาณ 23.5 องศา จากแนวขั้วเหนือ-ใต้ของโลก ในฤดูร้อน ซีกโลกเหนือทำมุมฉาก กับดวงอาทิตย์มากกว่า และจำนวนชั่วโมงในหนึ่งวัน ก็มีมากกว่า ทำให้รับความร้อนมากกว่า ก็ทำให้ฤดูร้อนนั้นร้อน ในฤดูหนาว ซีกโลกเหนือทำมุมฉาก กับดวงอาทิตย์น้อยกว่า และจำนวนชั่วโมงในหนึ่งวัน ก็มีน้อยกว่า ทำให้รับความร้อนน้อยกว่า ก็ทำให้ฤดูหนาวนั้นเย็น และนี่ก็เป็นเหตุผลให้อีกซีกโลกหนึ่งนั้น มีฤดูกลับกันกับอีกซีกโลกเสมอ นี่ก็เป็นอีกตัวอย่าง ว่าการสรุปข้อมูลเอาเอง จากการอุปมาอุปมัยนั้น ทำไมจึงถือว่า ไม่ถือเป็นการสรุปแบบวิทยาศาสตร์ ! ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html และ Philip Plait. Top 5 Cosmic Myths http://space.com/scienceastronomy/top5_myths_020903-1.html แปลโดย http://203.114.105.84/virtual/Physicals/skywatcher/Top5myths.html ) รูปจาก Learner.Org แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:27:25 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:56:01

ความคิดเห็นที่ 11 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 64) หางของดาวหางเกิดจากการเคลื่อนที่ของดาวหางเอง ? คงเพราะ ดูจากรูปของดาวหางชวนให้คิดเช่นนั้น เพราะหางของดาวหางดูแล้วเหมือนกับเปลวไฟที่พุ่งจากท้ายของจรวด ทำให้นึกไปว่าดาวหางคงเคลื่อนที่ด้วยแรงผลักเหมือนจรวดยิงเร็วฉิวจนต้องสะบัดหน้าตาม มักมีคนถามอยู่เสมอๆ ว่า "มันวิ่งเร็วไหม?" "จะดูทันหรือ?" แท้จริงแล้วหางของดาวหางไม่ได้เกิดจากการเคลื่อนที่ของดาวหาง แต่หางของดาวหางนั้นเกิดจากลมสุริยะซึ่งเป็นกระแสธารของอนุภาคประจุไฟฟ้าพลังงานสูงที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ หัวของดาวหางมีองค์ประกอบเป็นน้ำแข็งและฝุ่นเป็นส่วนใหญ่ เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ได้รับความร้อนและลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ ทำให้น้ำแข็งในหัวของดาวหางเกิดการระเหิดเป็นก๊าซและพ่นออกมาจากรูเล็กรูน้อยในหัวดาวหาง และน้ำแข็งและฝุ่นก๊าซเหล่านี้ก็ถูกลมสุริยะพัดออกไปตามทิศทางของลมสุริยะ ดังนั้นเราจึงเห็นว่าหางของดาวหางนั้นมีทิศทางชี้ไปทางตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เสมอ ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) รูปจาก Physics.Hku.Hk แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:28:15 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:57:47

ความคิดเห็นที่ 12 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 65) ดวงอาทิตย์เป็นลูกไฟดวงใหญ่ มีเปลวไฟจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงติดบนพื้นดินทุกแห่งหน ? เด็กน้อยมักเข้าใจเช่นนั้น ! ดวงอาทิตย์ไม่ใช่ลูกไฟแบบถ่านติดไฟ พื้นผิวดวงอาทิตย์ที่เห็นไม่ใช่พื้นดินหรือลาวา และไม่มีเปลวไฟแบบที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงกับออกซิเจนแบบบนโลก พลังงานของดวงอาทิตย์เป็นระเบิดปรมาณูล้วนๆ เกิดจากปฏิกิริยาฟิวชั่นของแก๊สไฮโดรเจน ทั่วทั้งพื้นผิวซึ่งเป็นแก๊ส มีระเบิดปรมาณู (ที่รุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูในสงครามโลก) เกิดขึ้นตลอดเวลา ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) รูปการระเบิด เห็นได้ชัดที่พื้นผิวดวงอาทิตย์ จาก Universeshots.Tumblr.Com แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:29:25 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:58:24

ความคิดเห็นที่ 13 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 66) องศาเคลวิน ? ไม่มีหน่วยนี้ ! อุณหภูมิสัมบูรณ์ของพลังงานความร้อนนั้นมีหน่วยเป็น เคลวิน ไม่ใช่ องศาเคลวิน อุณหภูมิต่ำสุดที่เป็นไปได้คือ 0 เคลวิน หรือ -273 องศาเซลเซียส ดูเหมือนกับคำว่าองศาเคลวินถูกนำไปใช้กันอย่างผิดๆ อาจใช้บ่อยกว่าคำว่า เคลวิน เสียอีก แม้แต่ฝรั่งเองยังหลงอยู่บ่อย ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html http://en.wikipedia.org/wiki/Kelvin_(unit) ) คำว่า องศา เป็นค่าระดับสัมพัทธ์ คือได้จากการเทียบเคียง เช่น เทียบกับจุดเปลี่ยนสถานะของน้ำ แต่ เคลวิน เป็นค่าระดับสัมบูรณ์ คือปริมาณจริงที่สสารเก็บพลังงานไว้ แสดงว่า ที่ 0 เคลวิน สสารไม่มีพลังงานเลย เรียก ศูนย์สัมบูรณ์ (ซึ่งไม่มีในธรรมชาติ) และไม่มี ติดลบ เพราะพลังงานต่ำสุด คือไม่มีพลังงานเลย (ไม่เหมือน องศาเซลเซียส ที่เป็นแค่ค่าเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของน้ำ จึงติดลบได้) ชื่อนี้ตั้งภายหลัง เพื่อเป็นเกียรติแก่ Lord Kelvin (William Thomson) บิดาแห่งอุณหพลศาสตร์ ผู้คำนวณค้นพบ ศูนย์สัมบูรณ์ หรือสภาวะที่สสารไร้พลังงานอย่างสิ้นเชิง แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:30:26 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 21:59:19

ความคิดเห็นที่ 14 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 67) เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นหรือตก มองเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่กว่าปกติ เพราะแสงจากดวงอาทิตย์ถูกหักเหโดยบรรยากาศโลก ? 68) ดวงจันทร์ขณะใกล้ขอบฟ้าดูใหญ่กว่าปกติเพราะชั้นบรรยากาศทำหน้าที่เป็นเลนส์ขยาย ? (The Moon look bigger on the horizon because the air acts like a lens, manifying it ?) สอนกันผิดๆ ! คนส่วนใหญ่เคยเห็นดวงจันทร์ (และดวงอาทิตย์) ขณะใกล้ขอบฟ้าดูเหมือนใหญ่กว่าขณะอยู่เหนือศีรษะ แต่เข้าใจผิด ไม่ใช่ผิดเพียงสาเหตุ แต่ผิดตั้งแต่เรื่องขนาดปรากฏ ที่จริงไม่ได้ใหญ่กว่าเลย ! สามารถพิสูจน์ได้ (แนะนำให้ทำการทดลองกับดวงจันทร์แทนเพราะปลอดภัยต่อสายตามากกว่า หากทดลองกับดวงอาทิตย์ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน แต่ต้องใช้อุปกรณ์กรองแสงที่มีประสิทธิภาพด้วย) คืนเดือนเพ็ญหรือใกล้ๆ เพ็ญ ใช้ไม้บรรทัดหรือวัตถุอะไรก็ได้ (หรือใช้กล้องถ่ายรูปก็ได้) ชูให้สุดแขน เปรียบเทียบ (หรือถ่ายรูป) ขนาดดวงจันทร์ขณะอยู่ใกล้ขอบฟ้าไว้ก่อน จากนั้นอีก 2-5 ชั่วโมง (ดวงจันทร์ขึ้นสูงเกือบกลางศีรษะ) มาเทียบใหม่อีกครั้ง (สุดแขนเช่นเดิม) ภาพดวงจันทร์ทั้งสองภาพมีขนาดปรากฏเท่ากันทุกประการ เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ ที่สมองของมนุษย์ ตีความผิดพลาดนั่นเอง ! เกิดจากสิ่งต่างๆ บริเวณขอบฟ้า เช่น หลังคาบ้าน ต้นไม้ ช่วยเสริมให้ภาพดวงจันทร์ที่ขอบฟ้าดูขนาดใหญ่เกินจริง เรียกภาพลวงตาแบบนี้ว่า Framing Effect ในขณะที่ดวงจันทร์ที่อยู่มุมเงยสูงๆ ไม่มีอะไรอยู่เคียงข้างจึงดูเหมือนกับดวงเล็กลง (เหตุผลเดียวกับที่ คนที่เคยดูเครื่องบินโดยสารที่รันเวย์ของสนามบินก็รู้สึกว่าเครื่องบินนั่นมีขนาดเล็ก แต่เมื่อเห็นรถบันไดเข้าไปเทียบและมีคนเดินออกมาจึงได้ทราบว่าเครื่องบินลำนั้นช่างใหญ่โตมโหฬารเสียจริงๆ ) ประสาทสัมผัสของคนเรามักถูกสิ่งแวดล้อมหลอกเอาอยู่เสมอ แต่กล้องถ่ายรูปที่เราใช้ทดลองมีความแม่นยำและซื่อตรงกว่าจึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี ที่กล่าวว่าบรรยากาศของโลกหักเหแสงของดวงอาทิตย์นั้นก็มีส่วนจริง แต่ผลของการหักเหคือทำให้ตำแหน่งและสีของดวงอาทิตย์คลาดเคลื่อนจากที่จริงเท่านั้น (กล่าวคือ ขณะเห็นดวงอาทิตย์ตก ที่จริงดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว แต่ดูเหมือนใช้เวลานานกว่าการเคลื่อนที่เหนือศีรษะ และการเห็นดวงอาทิตย์ตกสีแดงส้ม เพราะแสงช่วงสีแดงเข้าตามากกว่าแสงช่วงสีน้ำเงิน ) ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html และ Philip Plait. Top 5 Cosmic Myths http://space.com/scienceastronomy/top5_myths_020903-1.html แปลโดย http://203.114.105.84/virtual/Physicals/skywatcher/Top5myths.html ) รูปจาก AstronomyOrg แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:29:58 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 53 02:01:45 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:00:13

ความคิดเห็นที่ 15 ผิดแล้ว ที่ .. 69) โฆษณาว่า "ต้องรออีกกี่ ปีแสง" ? นี่ก็ไม่มี ! คำว่า "ปีแสง" เป็นหน่วยของระยะทาง ไม่ใช่หน่วยของเวลา ปีแสง = ระยะทางที่แสงเดินทางในเวลาหนึ่งปี ดังนั้นจึงมีแต่คำว่า "ไกลหลายปีแสง" หรือ "นานหลายปี" เท่านั้น ด้วยเหตุที่มีคำว่า "ปี" อยู่ด้วยจึงมักมีผู้เข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นหน่วยของเวลา ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) แสงเป็น เครื่องมือมาตรฐานใช้ วัดระยะระหว่างดาว ที่เหมาะสม นอกจาก เพราะ ความเร็วสูง ที่ทำให้ได้ระยะไกลเหมาะสม แล้ว ในแง่การสังเกตจักรวาล ก็ทำได้เพียงสังเกต แสง (และรังสี) จากวัตถุในจักรวาล อีกด้วย รูปจาก light-years.info แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:31:21 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:02:42

ความคิดเห็นที่ 16 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 70) ดูอาทิตย์เที่ยงคืน ก็ต้องไปนอร์เวย์ ? ไม่จำเป็น ! ขอเพียงพื้นที่นั้นอยู่ที่ละติจูดสูงกว่า 66.5 หรือต่ำกว่า -66.5 องศา ก็มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืน ในกลางฤดูร้อนได้ ทั้งนั้น ( ศึกษาเพิ่มเติมประกอบเกี่ยวกับกลไกของฤดูกาล ที่หัวข้อ "ฤดูร้อนเพราะโลกเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดจริงหรือ" ) ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) รูปซ้อนหลายภาพเหลื่อมเวลากัน จาก Alaska-in-pictures.Com แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:33:23 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:03:20

ความคิดเห็นที่ 17 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 71) ทฤษฎีสัมพันธภาพ โดยไอน์สไตน์ ? มีที่ไหนกัน ! ไอน์สไตน์ไม่เคยเขียนทฤษฎีชื่อนี้ ที่ถูก ทฤษฎีนี้ชื่อ Theory of Relativity แปลว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพ" ต่างหาก สองคำนี้มีความหมายต่างกัน ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp ) สัมพัทธ์ ว. ที่เปรียบเทียบกัน เช่น ความเร็วสัมพัทธ์ ความชื้นสัมพัทธ์. (ป., ส.). สัมพันธ, สัมพันธ์, สัมพันธน์ ก. ผูกพัน, เกี่ยวข้อง, เช่น เขากับฉันสัมพันธ์กัน ฉันญาติ ข้อความข้างหลังไม่สัมพันธ์กับข้อความข้างหน้า. (ป., ส.). แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:40:21 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:38:36 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:04:13

ความคิดเห็นที่ 18 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 72) สุริยุปราคาคือปรากฏการณ์ที่เงาดวงจันทร์ไปบังดวงอาทิตย์ ? ใช้ภาษาผิด ! คนมักพูดกันแบบนี้ ที่จริงแล้วสิ่งกลมๆ ดำๆ ที่ไปบังดวงอาทิตย์เวลาเกิดสุริยุปราคา นั่นคือดวงจันทร์จริงๆ (ไม่ใช่ เงาดวงจันทร์) เงาดวงจันทร์ ต้องมองจากนอกโลก โดยเป็นสิ่งอ้างอิงพาดบนผิวโลก ทำให้บริเวณที่ถูกเงาพาดเกิดความมืดชั่วขณะ (และคนที่มองเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ก็คือคนที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว) เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจถูกต้องดีอยู่แล้วว่าอะไรบังอะไร แต่คงเพราะเห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับความมืดกระมัง พอพูดหรือเขียนออกมาทีไรมักมีคำว่าเงาออกมาอยู่บ่อยๆ เรียกว่าผิดเพราะลมปากพาไปแท้ๆ วงกลมสีดำที่บังดวงอาทิตย์ในปรากฏการณ์สุริยุปราคา คือดวงจันทร์ ไม่ใช่เงาดวงจันทร์ พูดผิด ก็ผิดความหมาย ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) รูป เงาของดวงจันทร์ ทอดลงบนผิวโลก จาก Mcglaun.Com แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:40:48 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:05:34

ความคิดเห็นที่ 19 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 73) คืนเดือนหงายคือคืนที่ดวงจันทร์เป็นรูปเสี้ยวหงาย คืนเดือนคว่ำคือคืนที่ดวงจันทร์เป็นรูปเสี้ยวคว่ำ ? สับสนแล้ว ! เดือนหงาย หมายถึง คืนที่เห็นดวงจันทร์ คำที่ตรงข้ามกันคือ เดือนมืด หมายถึง คืนที่มองไม่เห็นดวงจันทร์ ส่วนเดือนคว่ำไม่มี ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html http://en.wikipedia.org/wiki/Lunar_phase ) รอบการปรากฏเดือนหงายและเดือนมืด เรียก ดิถี (phase of moon ) รูปจาก Commons.Wikimedia.Org แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:41:23 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:12:50

ความคิดเห็นที่ 20 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 74) ดาวประจำเมืองคือ ดาวที่อยู่กับที่ อยู่ทางทิศเหนือ เรียกอีกชื่อว่าดาวเหนือ ? นี่ก็สับสน ! ดาวประจำเมืองคือดาวศุกร์ที่เห็นในช่วงหัวค่ำ ปรากฏอยู่บริเวณทิศตะวันตก อาจเฉียงเหนือหรือใต้ได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทิศเหนือ และไม่ใช่ดาวเหนือ ดาวเหนือก็คือดาวเหนือ คนละดวงกัน เข้าใจว่าคงเพราะดาวประจำเมืองมีคำว่า "ประจำ" อยู่นี่เอง ทำให้คนมักเข้าใจผิดว่าเป็นดาวที่ประจำอะไรสักอย่าง จึงไพล่ไปนึกถึงดาวเหนือซึ่งมีตำแหน่งประจำขั้วฟ้าเหนือ ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) ที่ถูก ดาวประจำเมือง คือ ดาวศุกร์ ที่ปรากฏทิศตะวันตก ตอนหัวค่ำ ดวงเดียวกับ ดาวประกายพรึก ปรากฏทิศตะวันออก ตอนเช้ามืด รูปถ่ายโดย J. Powell แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:41:56 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:16:29

ความคิดเห็นที่ 21 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 75) ฝนดาวตกเกิดจากการที่ธารสะเก็ดดาวจากดาวหางเคลื่อนที่เข้ามาใกล้โลก แรงดึงดูดของโลกจึงดึงดูดสะเก็ดดาวเข้ามาสู่โลกกลายเป็นดาวตก ? ผิดแล้ว ! แม้ดาวตกได้รับอิทธิพลจากแรงดึงดูดของโลกเข้ามาเป็นสำคัญ แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สะเก็ดดาวจำนวนมาก (ที่ตกค้างจากดาวหางทิ้งไว้) ตกลงสู่โลก เป็นฝนดาวตก เกิดจาก เส้นทางโคจรของโลก ไปตัดกับธารสะเก็ดดาวเอง เมื่อโลกเคลื่อนที่ฝ่าเข้าไปในธารสะเก็ดดาว สะเก็ดดาวจึงเข้ามาสู่บรรยากาศโลกกลายเป็นดาวตก แรงดึงดูดของโลกแม้มีอยู่จริง แต่มีผลต่อการทิศทางการเคลื่อนที่ของสะเก็ดดาวน้อยมากจนแทบตัดออกไปได้เลย ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html http://en.wikipedia.org/wiki/Meteor_shower ) รูป ฝนดาวตก จาก Astronomy.Com แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:42:20 แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 53 22:26:54 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:17:55

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับ มีคนมาต่อยอดแล้ว เห็นด้วยที่ให้ฟอร์เวิร์ดเมลตั้งอีกกระทู้แยกไปอีกโครงการไปเลย แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 53 22:24:31 จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:21:20

ความคิดเห็นที่ 23 ข้อมูลทางดาราศาสตร์ #59-#65 + #67-#75 ยืนยันตามนั้นครับ เสริมให้ 67+68 การที่บรรยากาศของโลกหักเหแสงของดวงอาทิตย์ทีขอบฟ้านั้น จริงๆแล้วมีผลทำให้สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้แม้ดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าลงไปแล้วจริงๆประมาณครึ่งองศา แต่เราก็ยังเห็นเหมือนกับพระอาทิตย์ยังไม่ได้ลับขอบฟ้าลงไป ซึ่งมีนัยยะที่ต้องใช้ในการคำนวนเพื่อหาเวลาขึ้นตกของดวงอาทิตย์ด้วย จากคุณ : nOnG_WinZ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:33:47

ความคิดเห็นที่ 24 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 76) ฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโต มาจากกลุ่มดาวสิงโต ต้องมองไปทางกลุ่มดาวสิงโต เพราะจะเห็นดาวตกจำนวนมากที่กลุ่มดาวสิงโต ? ฟังมาผิด ผิดหลายชั้น ! เมื่อผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า "ดาวตกพุ่งจากจุดเดียวกัน เรียกว่า เรเดียนต์ .." บางคนตีความผิดว่า ดาวตกมีอยู่ที่จุดเดียว ? (หรือมีมากที่จุดเดียว ?) หรือยิ่งกว่านั้นคือ ดาวตกนี้มาจากกลุ่มดาวนั้น ? แม้ว่าชื่อฝนดาวตกตั้งตามกลุ่มดาวที่เป็นจุดศุนย์กลางเรเดียนต์ แต่ไม่ได้หมายความว่า เกิดจากกลุ่มดาวนั้น หรือมีดาวตกมากที่กลุ่มดาวนั้น ที่จริงแล้ว ฝนดาวตกไม่ได้มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับกลุ่มดาวที่อ้างแต่อย่างใด และเห็นได้เกือบทั่วฟ้า ประการแรก การอ้างถึงกลุ่มดาวเป็นการอ้างอิงตำแหน่งทางดาราศาสตร์ โดยขณะโลกเคลื่อนที่ฝ่าธารฝุ่น บังเอิญที่กลุ่มดาวนั้นปรากฏเป็นฉากหลังอยู่ไกลลิบ เช่น กรณีฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโต มีธารฝุ่น (ที่ดาวหางเทมเพล-ทัตเทิลทิ่งไว้) อยู่กลาง มีโลกอยู่ฝั่งหนึ่งกำลังจะฝ่าธารฝุ่นเข้าไป มองจากโลกมีกลุ่มดาวสิงโตอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ประการที่สอง จากประการแรกเราจึงเห็น ดาวตกมีทิศทางเหมือนว่าต่างกำลังออกมาจากกลุ่มดาว กล่าวคือ ทุกสะเก็ดดาวที่ลุกไหม้ตกลงเป็นมุมเฉียง ถ้าวาดภาพในใจ ลากเส้นต่อหางดาวตกย้อนกลับไปทุกเส้น จะพบว่า ทุกเส้นจะตัดกันที่จุดหนึ่ง คล้ายเป็นรัศมีจากจุดศูนย์กลาง เช่น ฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโต หมายถึง ฝนดาวตกชุดนี้มี "จุดศูนย์กลางของรัศมี" ที่กลุ่มดาวสิงโต แต่ตำแหน่งที่เห็นดาวตกด้วยตาเปล่าขึ้นอยู่กับ ( อ้างอิง: เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) รูป ฝนดาวตก Leonids ปี 1998 จาก Astronomical and geophysical observatory, Comenius University จาก Daa.Fmph.Uniba.Sk แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:42:45 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:34:27

ความคิดเห็นที่ 25 ใช้ผิดแล้ว .. 77) Astronomy กับ Astrology ? ระวัง ! คำคู่นี้มีผู้เข้าใจผิดนำไปใช้สลับกันอยู่บ่อยๆ Astronomy คือ ดาราศาสตร์ ส่วน Astrology คือโหราศาสตร์ ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:43:42 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:35:59

ความคิดเห็นที่ 26 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 78) ในอวกาศไม่มีแรงโน้มถ่วงอยู่เลย ? (There is no gravity in space ?) เรามักเคยเห็นภาพยนตร์หรือภาพถ่ายนักบินอวกาศลอยละล่องไปมานอกโลก และเคยได้ยินคำว่า "ไร้แรงโน้มถ่วง" (Zero-g หรือ Zero gravity) กันบ่อยๆ จึงทำให้คิดกันว่า ที่นอกโลกหรือในอวกาศนั้น ไม่มีแรงโน้มถ่วง ที่จริงแล้ว แรงโน้มถ่วงเกิดจากแรงดึงดูดระหว่างมวล ซึ่งลดลงไปตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น (ยกกำลังสอง) แต่ไม่มีทางลดลงจนเหลือศูนย์ได้ (เพียงแต่เข้าใกล้ศูนย์ แต่ไม่ถึง) กล่าวอีกนัย ทุกที่ที่มีวัตถุอยู่ ย่อมมีแรงโน้มถ่วงเสมอ การที่เห็นนักบินอวกาศ (หรือยานอวกาศของเขา) ลอยล่องไปมานั่น ที่จริง กำลังตกอย่างอิสระมายังโลก (ช้าๆ) พร้อมกับ กำลังโคจรรอบโลก ผลลัพธ์ของการเคลื่อนที่ทั้งสอง รวมกันแล้ว เรียกว่า การเคลื่อนที่วิถีโค้ง (โปรเจคไทล์) แบบที่ ทิศโค้งไปตามวงโคจรรอบโลก มากกว่า ทิศตกเข้าสู่โลก และขณะนักบินอวกาศกำลังโคจรรอบโลกที่ความสูง 250 ไมล์จากผิวโลก (หรือประมาณ 400 กิโลเมตร) อยู่นั้น แรงโน้มถ่วงมีขนาดประมาณ 90% เมื่อเทียบกับผิวโลก (แต่เมื่อยานอวกาศกลับมาสู่ผิวโลกพวกเขาก็กลับสู่สภาพเดิม ไม่สามารถหลีกหนีหรือลอยไปไหนมาไหนได้) สรุปคือยังมีแรงโน้มถ่วง แต่เมื่อมีแรงอื่นรวม ช่วยให้แรงลัพธ์มีทิศไม่เหมือนทิศของแรงโน้มถ่วง ( อ้างอิง : Philip Plait. Top 5 Cosmic Myths http://space.com/scienceastronomy/top5_myths_020903-1.html แปลโดย http://203.114.105.84/virtual/Physicals/skywatcher/Top5myths.html ) รูปจาก Principlephysics.Com แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:47:03 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:45:23 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:37:26

ความคิดเห็นที่ 27 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 79) ดาวตก ลุกไหม้เพราะ แรงเสียดทานขณะผ่านชั้นบรรยากาศโลก ? (Meteors are heated by friction as they pass through the atmosphere ?) ใช้ศัพท์ไม่ถูกต้อง ! ดาวตก (meteors หรือผีพุ่งไต้) อาจเป็นเศษฝุ่น หิน ก้อนน้ำแข็ง หรือก้อนโลหะ ที่บังเอิญมีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลก เมื่อมันผ่านชั้นบรรยากาศของโลก ความร้อนที่เกิดขึ้นทำให้มันเกิดการลุกไหม้ เห็นเป็นทางได้ไกล หลายร้อยกิโลเมตร และถ้าเผาไหม้ไม่หมดก็เหลือเป็นเศษ เรียกว่า อุกกาบาต (meteorite) แต่ความร้อนไม่ได้เกิดจากแรงเสียดทานอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด มิฉะนั้นผิวของยานอวกาศกลับเข้ามายังโลกด้วยความเร็วราว 25 มัค ก็คงลุกไหม้หมด แต่ที่จริง ขณะอุกกาบาตกำลังผ่านชั้นบรรยากาศที่ความเร็วกว่า 15 กิโลเมตรต่อวินาที เกิดแรงอัดอากาศอย่างรุนแรง เมื่ออากาศถูกอัดก่อให้เกิดความร้อนขึ้น เช่นเดียวกับความร้อนที่เกิดขณะสูบลมล้อรถจักรยาน ความร้อนเกิดจากความดันอากาศที่อยู่ตรงหน้า (ram pressure) ต่างหาก ไม่ใช่เกิดจากแรงเสียดทาน ! ( อ้างอิง : Philip Plait. Top 5 Cosmic Myths http://space.com/scienceastronomy/top5_myths_020903-1.html แปลโดย http://203.114.105.84/virtual/Physicals/skywatcher/Top5myths.html http://www.nasa.gov/worldbook/s_exploration_worldbook.html ) แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:47:24 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 53 01:38:25 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:40:23

ความคิดเห็นที่ 28 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 80) ก้อนอุกกาบาตยังคงร้อนมากเมื่อตกถึงผิวโลก ? (Meteorites are still very hot when the hit the ground ?) ตรงกันข้ามเลย ! เราคงคิดกันว่า เมื่ออุกกาบาตที่ถูกเผาไหม้ขณะผ่านชั้นบรรยากาศตกผิวถึงโลก ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาคงจะยังมีอุณหภูมิสูง ซึ่งที่จริงซับซ้อนกว่านั้น อากาศร้อนที่ทำให้เกิดการลุกไหม้อยู่ตรงหน้าของก้อนดาวตกนั้น ที่จริงแล้วไม่ได้ไหม้ถึงแกนในของก้อนอุกกาบาต ขณะที่ดาวตกกำลังตกด้วยความเร็วสูงเหนือเสียงนั้น ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ช็อคที่ความเร็วเหนือเสียง ที่เรียกว่า ซูปเปอร์โซนิค (แบบเดียวกับเครื่องบินความเร็วเหนือเสียง) การลุกไหม้เกิดขึ้นเฉพาะที่ผิวของดาวตกเท่านั้น ซึ่งการที่พลังงานความร้อนเปลี่ยนแปลงเป็นการเผาไหม้และแสงสว่าง ทำให้ความเร็วของดาวตกลดน้อยลงด้วย เมื่อความเร็วลดลงจนต่ำกว่าความเร็วเหนือเสียง การช็อคของอากาศและการเผาไหม้ก็สิ้นสุดลง ซึ่งถ้ายังเผาไหม้ไม่หมดก็ตกลงที่ความเร็วประมาณไม่กี่ร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น และใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่าจะตกลงบนผิวโลกในที่สุด อย่าลืมว่า ก้อนอุกกาบาตเหล่านี้โคจรในอวกาศมานานมาก โดยแกนของมันมีอุณหภูมิต่ำมาก และส่วนที่เผาไหม้ไป ก็เป็นแค่ผิวเท่านั้น ดังนั้น เมื่อตกถึงผิวโลก ไม่เพียงแต่ไม่ร้อนหลายครั้งที่ค้นพบอุกกาบาตยังมีสภาพเป็นน้ำแข็งด้วยซ้ำ ! (ส่วนใหญ่กว่าผู้เชี่ยวชาญไปถึงจุดตก ก็มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิอากาศแล้ว) ( อ้างอิง : Philip Plait. Top 5 Cosmic Myths http://space.com/scienceastronomy/top5_myths_020903-1.html แปลโดย http://203.114.105.84/virtual/Physicals/skywatcher/Top5myths.html ) รูป อุกกาบาตที่ Peekskill ปี 1992 โดย Pierre Thomas แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:48:03 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 22:55:33

ความคิดเห็นที่ 29 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 81) สู่สหัสวรรษใหม่ ปี 2000 ? สหัสวรรษที่ 3 เริ่มเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.2001 ไม่ใช่ปี 2000 เนื่องจากปี ค.ศ.เริ่มต้นที่ ค.ศ.1 ไม่ใช่ ค.ศ. 0 ดังนั้น การขึ้นสหัสวรรษใหม่จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ของปี 1001, 2001, 3001.. ในทำนองเดียวกัน การขึ้นศตวรรษใหม่จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ของปี 101, 201, 301.. ด้วย ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:48:54 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 23:02:36

ความคิดเห็นที่ 30 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 82) ซื้อกล้อง "ตัวนี้เห็นได้ไกลกี่กิโลเมตร" ? กล้องโทรทรรศน์ กล้องส่องทางไกลหรือกล้องสองตา วัดกำลังขยายเป็น "เท่า" เช่น 32 เท่า หมายถึงกล้องตัวนี้สามารถดึงภาพให้ใกล้เข้ามา 32 เท่า ซึ่งกล้องดึงภาพจากทุกระยะเข้ามา 32 เท่าๆ กันหมด ต้นไม้อยู่ห่าง 32 เมตรก็เห็นในกล้องเหมือนกับอยู่ข้างหน้าแค่ 1 เมตร ภูเขาอยู่ห่าง 32 กิโลเมตร ก็ดูเหมือนอยู่ใกล้ 1 กิโลเมตร ดาวที่อยู่ไกล 320 ปีแสง ก็ดูใกล้เหมือนกับดาวอยู่ห่าง 10 ปีแสง ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 384,000 กิโลเมตร ถ้าเอากล้องตัวนี้มาส่องดู ก็เหมือนกับอยู่ใกล้ 384,000/32 หรือ 12,000 กิโลเมตร ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html ) รูปจาก Funsci.Com แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:49:28 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 23:08:04

ความคิดเห็นที่ 31 ผิดแล้ว ที่ .. 83) นักดูดาวสมัครเล่นพูด "ผมใช้กล้องชมิดท์" ? กล้องโทรทรรศน์ชนิดที่เป็นที่นิยมมากชนิดหนึ่งในหมู่นักดูดาวทั่วโลกคือ กล้องแบบชมิดท์แคสสิเกรน (Schmidt-Cassigrain) แต่เราเรียกกล้องชนิดนี้ย่อๆ ว่า "กล้องชมิดท์" ไม่ได้ กล้องชมิดช์ เป็นกล้องที่มีการแก้ไขความคลาดเคลื่อนลักษณะหนึ่ง ไม่มีเลนส์ตาสำหรับมอง แต่มีช่องด้านข้างกล้องสำหรับติดและถอดแผ่นเพลตแทน หรือไม่ก็มีสายไฟออกมาสำหรับให้ต่อเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้สำหรับถ่ายภาพโดยเฉพาะ ราคาแพงมาก ส่วน แคสสิเกรน เป็นชื่อรูปแบบการโฟกัส ถ้าภาพ (แสง) สะท้อนแสงออกมาโฟกัสนอกกล้อง ต้องบอกด้วยว่า ใช้รูปแบบโฟกัสแบบไหน เช่น แคสซิเกรน เป็นต้น หากเรียกกล้องแบบชมิดท์แคสสิเกรน ควรเรียกตรงๆ ว่า "ชมิดท์แคสสิเกรน" หรือเรียกย่อว่า "กล้องเอสซีที" (SCT) มากกว่า ( อ้างอิง: วิมุติ วสะหลาย. เว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย http://thaiastro.nectec.or.th/library/error/error.html http://hs.uni-hamburg.de/EN/Oef/Stw/anderson/Move%20to%20Bergedorf.htm http://astro.ljmu.ac.uk/courses/phys134/scopes.html ) รูป กล้อง Schmidt ตัวแรก (1930) โดย Bernhard Schmidt จาก Hs.Uni-hamburg.De แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:49:55 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 53 01:59:25 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 23:17:34

ความคิดเห็นที่ 32 ข้อ 67,68 ที่เห็นดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าในตอนเย็นเป็นผลของ Framing Effect ข้อ 59 ความไกลของที่ตามองเห็นขึ้นอยู่กับขนาดของวัตถุ ดังนั้นต้องระบุว่าตาของมนุษย์เห็นได้ละเอียดแค่ไหนจะถูกต้องมากกว่า ซึ่งคำตอบคือประมาณ 50 ลิปดา หรือเกือบๆ 1 องศานั่นเอง http://en.wikipedia.org/wiki/Eye จากคุณ : PanJ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 23:29:18

ความคิดเห็นที่ 33 ดวงจันทร์ไม่ได้โคจรรอบโลกครบ 1 รอบ ในเวลา 1 เดือน หรือ 29.53 วัน คาบเวลาที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกจริงๆ เมื่อเทียบกับจุดคงที่ในอวกาศ คือ 27.32 วัน ส่วนเวลา 29.53 วัน เป็นเวลาที่ดวงจันทร์โคจรครบ 1 รอบ เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดภาพ (เฟส) ต่างๆ กันของดวงจันทร์ สาเหตุที่เวลา 1 เดือนยาวนานกว่าเวลาที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกจริงๆ ก็เนื่องมาจากว่าโลกไม่ได้อยู่กับที่ แต่พาดวงจันทร์โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ด้วยในทิศทางเดียวกันกับที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก เมื่อมองจากโลก จะเห็นทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เปลี่ยนตำแหน่งบนท้องฟ้าไปเรื่อยๆ จากตะวันตกไปทางตะวันออก ดังนั้นสมมติว่าให้เริ่มต้นในวันเดือนดับ ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์อยู่ตรงกับดาว A บนท้องฟ้า เมื่อดวงจันทร์โคจรรอบโลกครบ 1 รอบ เมื่อเทียบกับตำแหน่งของดาว (คือกลับมาถึงตำแหน่งของดาว A) ในเวลา 27.32 วันแล้ว ในช่วงเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ก็จะเคลื่อนที่ไปทางตะวันออกของท้องฟ้าด้วยเช่นกัน ไม่ได้อยู่ที่ดาว A เหมือนเดิม ทำให้ดวงจันทร์จะยังไม่ได้อยู่แนวตรงกับดวงอาทิตย์และยังไม่เป็นเดือนดับ ดวงจันทร์จึงต้องเคลื่อนที่ไปอีกประมาณ 2 วัน จึงจะไปทันดวงอาทิตย์และเกิดเดือนดับอีกครั้ง เวลา 1 เดือนจึงยาวกว่าเวลาที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกครบ 1 รอบ ถ้ายังไม่เข้าใจ ลองนึกภาพนาฬิกาแบบเข็ม ดวงอาทิตย์เป็นเข็มสั้น ดวงจันทร์เป็นเข็มยาว หน้าปัดคือท้องฟ้า ส่วนตัวเลขและจุดบนหน้าปัดคือดาวฤกษ์ซึ่งอยู่คงที่ สมมติว่าตั้งเวลาเริ่มต้นที่ตอนเที่ยง เข็มยาวกับเข็มสั้นตรงกันพอดี ลองหมุนไปครบ 1 ชั่วโมง เข็มยาวจะหมุนครบ 1 รอบแล้ว แต่ในเวลาเดียวกันเข็มสั้นก็ขยับไปที่เลข 1 เท่ากับว่าตอนนี้เข็มยาวกับเข็มสั้นยังไม่ตรงกัน เข็มยาวจึงต้องหมุนไปอีกเล็กน้อย ประมาณ 5 นาทีเศษๆ จึงจะไล่เข็มสั้นทัน นั่นคือเวลาที่เข็มทั้งสองจะซ้อนกันอีกครั้ง จะนานกว่าเวลาที่เข็มยาวเดินครบรอบ แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 53 12:24:06 แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 53 23:49:27 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 53 23:47:40

ความคิดเห็นที่ 34 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 85) ลิงชิมแปนซี มีจำนวนเส้นขนมากกว่ามนุษย์ ? ผิด ! ขนของชิมแปนซี แค่ ยาวกว่า ใหญ่กว่า และสีจางกว่า เท่านั้น แต่นับแล้ว โดยเฉลี่ย มนุษย์มี hair follicles มากกว่า ชิมแปนซี ด้วยซ้ำ ( อ้างอิง: http://en.wikipedia.org/wiki/Human#Anatomy อ้างถึง Why Humans and Their Fur Parted Way โดย Nicholas Wade, New York Times, 19 สิงหาคม 2003 ) ถ้าขนของมนุษย์ยาว ก็คงเป็นอย่าง ผู้เป็นโรคทางพันธุกรรม Hypertrichosis (werewolf syndrome) รูปจาก Telegraph.Co.Uk แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:52:10 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 53 01:37:33 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 01:16:48

ความคิดเห็นที่ 35 เรื่อง  ดาวตก เสียดสี จนเกิดความร้อน  เป็นการเข้าใจผิด nasa ยืนยันด้วยนะครับ ก็รบกวน จขกท เพิ่มไปใน reference น่าจะดูน่าเชื่อถือกว่าเดิมครับ http://www.nasa.gov/worldbook/s_exploration_worldbook.html จากคุณ : Professor เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 01:26:19

ความคิดเห็นที่ 36 ขอเสริมให้มีกระทู้ สรุปด้วยครับ เนื่องจาก บางทีเถียงกันไปกันมา บางจับใจความไม่ได้ ว่า อันไหนดีๆม่ดี ถูกไม่ถูก ถ้ามีกระทู้สรุปแยกไป อีกกระทู้หนึ่ง มันจะเป็นกระทู้ ที่เยี่ยมมากกกกกกกกก ครับ จากคุณ : โลกต้องตะลึง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 06:39:06

ความคิดเห็นที่ 37 ^ ^ ถ้ามีกระทู้สรุปเดี๋ยวก็มีคนไปค้านที่กระทู้นั้นอีก เพราะโลกนี้มีทฤษฎีใหม่ๆเกิดขึ้นตลอด การค้นคว้าและวิจารณญาณประจำตัวคือเครื่องสรุปที่ดีที่สุดครับผม จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 07:55:13

ความคิดเห็นที่ 38 โชคดีที่ตอนเรียนจนจบมัธยม ทั้งอาจารย์และคนรอบข้างสอนเกินครึ่งในนี้มาแล้ว จากคุณ : หมอแมว เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 08:56:28

ความคิดเห็นที่ 39 สงสัยว่าทำไมถึงใช้ Wiki ในการอ้างอิงแทนที่จะเป็น Ref. ในนั้น จากคุณ : fumine (Fumine) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 12:37:36

ความคิดเห็นที่ 40 ตามนุษย์ทำไมมองเห็นได้เพียง 50 ลิปดาหละครับ  ทั้งที่ดวงจันทร์ก็มีขนาดประมาณ 30 ลิปดาเท่านั้น จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 13:22:13

ความคิดเห็นที่ 41 ตอบ 36, 37 ผมเห็นว่า 2 กระทู้นี้แหละ เป็นกระทู้สรุป ถ้ามีข้อสงสัยเป็นเรื่องๆ ก็แตกกระทู้ทำวิจารณ์และสรุปเป็นเรื่องๆ แล้วมาแก้ในกระทู้นี้ ง่ายกว่าครับ (จากที่เคยลองพยายามทำ ชมรมต้านเมลลวง ขอบอกว่า การหา แนวร่วม และข้อสรุป ในเรื่องต่างๆ มีความสำเร็จต่ำมากครับ) ในเมื่อยังไม่มีข้อสรุปที่ดีกว่า นี้ก็คือสรุป นั่นแหละ อันที่จริง พื้นฐานวิทยาศาสตร์ก็อย่างนี้ ไม่ใช่หรือ "เชื่อในสิ่งที่มีหลักฐานดีที่สุด จนกว่าจะมีหลักฐานใหม่ที่ดีกว่า" ตอบ 38 ที่จริง ผมเช่นกันกับหมอแมวครับ ^_^ แต่จากที่สังเกต กระทู้หว้ากอ และสอนเด็กนักเรียน เกือบทั้งหมด เข้าใจผิดๆ ทั้งนั้น ตอบ 39 พยายามอยู่ครับ บางทีแหล่งอื่น ก็หายไปจากระบบ หรือไม่แน่ใจว่า คนเขียนเอามาจากแหล่งไหน ไม่ได้เชิงอรรถ ถ้าใครทราบ รบกวนบอกด้วย จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 15:40:36

ความคิดเห็นที่ 42 ตอบ 40 นั่นสิครับ ค้นแล้ว ทั้งสองแหล่งอ้างเช่นนั้นจริง "ตาของมนุษย์เห็นได้ละเอียด ประมาณ 50 ลิปดา (เกือบ 1 องศา)" "Angular Diameter ของ ดวงจันทร์ 29.3 – 34.1ลิปดา เท่านั้น" คงมีบางอย่างผิดพลาด ใครพอบอกได้บ้าง มาคิดตามการสังเกตจริง เราน่าจะเห็นได้ละเอียดกว่า 50 ลิปดา เพียงแต่คุณภาพไม่ดีนัก เพราะเรานับ จุดสว่างสุดในกระจุกดาวลูกไก่ ได้   ภาพขยายจากกล้องฯ ก็มี 6 จุดใหญ่จริง แต่เราไม่เห็นละเอียดว่า มีดวงเล็กดวงน้อยอีกมาก หรือว่า 50 ลิปดา เขาหมายถึง เป็นขนาดที่เห็นชัด แต่ขนาดที่เห็นสามารถได้ เล็กกว่านั้น ปัจจัยอีกอย่างคือ แต่ละคนเห็นได้ไม่เท่ากัน มันก็เหมือนสถิติโลก ที่มนุษย์ที่เก่งสุดกระโดดได้เท่านั้น แต่ค่าเฉลี่ยคนทั่วไป ไม่ใช่ อยากทราบว่า ขนาดเชิงมุมปรากฏ เล็กที่สุด ที่มนุษย์เห็นได้ ในแง่ คนตาดีสุดเท่าที่บันทึกไว้ หรือ ในแง่ค่าเฉลี่ย หรือพิสัย ก็์ได้ - - - คืบหน้าจากทู้ที่แตก ขอบคุณทุกคน โดยเฉพาะยิ่ง คุณ PanJ ที่ช่วยสืบค้นและแสดงความเห็นนะครับ พิจารณาตามความจริงที่ช่วยกันวิเคราะห์ อ้างอิงนี้น่าจะใช่ที่สุด แก้ไขแล้ว - - - แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 01:32:58 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 16:28:55

ความคิดเห็นที่ 43 สนุกดีจัง ผมก็เข้าใจผิดหลายเรื่องเลยนะเนี่ย เด็กสายศิลป์ หุหุ ไว้จะเอาไปเล่าให้เด็ก ๆ ฟังอีกที ขอบคุณมากครับ จากคุณ : only 1 meter , เพียง ฉัน มีเธอ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 53 21:25:24

ความคิดเห็นที่ 44 ผมสายวิทย์ครับ ก็เข้าใจผิดเหมือนกัน จากคุณ : sommass เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 00:47:33

ความคิดเห็นที่ 45 ผิดแล้ว ที่ว่า .. 86) สัตว์ที่มีน้ำหนักมากที่สุด ที่โลกเคยมีมาคือ ไดโนเสาร์ ? เป็น วาฬสีน้ำเงิน ต่างหาก หนักกว่า ไดโนเสาร์ (ที่ใหญ่สุด เท่าที่พบ) แม้ ความยาวจากปลายหัวถึงปลายหาง วาฬสั้นกว่า (แต่ไดโนเสาร์ก้ไม่ใช่ สัตว์ ที่ยาวสุดอยู่ดี) สัตว์น้ำมีโอกาสหนักได้มากกว่า เพราะน้ำช่วยพยุงน้ำหนักมหาศาลไม่ให้อวัยวะกดทับกันเอง มีหลายเกณฑ์พิจารณาความใหญ่ของสิ่งมีชีวิต อาจยึดวิธีวัด เช่น ความยาว พื้นที่ ปริมาตร หรือน้ำหนัก และยึด รูปแบบชีวิต เช่น กลุ่มสิ่งมีชีวิต โคโลนี สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ตัวเดียว หรือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว กลุ่มสิ่งมีชีวิต ใหญ่ที่สุด คือ แนวปะการังนอกชายฝั่งออสเตรเลีย Great Barrier Reef ยาว กว่า 2,000 กม. สิ่งมีชีวิต เป็นโคโลนี ใหญ่ที่สุดเป็น เห็ด คือ honey mushrooms (Armillaria ostoyae) (ข้อ 3 กระทู้ก่อน) ใน Malheur National Forest พื้นที่ กว่า 8.9 ตร.กม. สิ่งมีชีวิตเดี่ยว ใหญ่ที่สุดนั้น พืชใหญ่กว่าสัตว์ พืชใหญ่สุดเท่าที่รู้จักกัน  คือ ต้น Coast Redwood ชื่อ Lindsey creek tree ประเมิน ปริมาตร กว่า 2,500 ลบ.ม. หนัก กว่า 3,600 ตันย่อ (ฟ้าผ่าตายปี 1905) ใหญ่ที่สุดที่ยังมีชีวิต คือ ต้น Giant Sequoia ชื่อ General Sherman tree ประเมิน ปริมาตร กว่า 1,487 ลบ.ม. หนัก กว่า 2,000 ตันย่อ ในแวดวงของสัตว์ ใหญ่ที่สุดทั้งน้ำหนักและขนาด คือ วาฬสีน้ำเงิน หรือ blue whale (Balaenoptera musculus) (ภาวะเสี่ยงสูญพันธ์ EN) เป็นตระกูล วาฬแท้ หรือ วาฬกรองกิน (baleen whale) เต็มวัย ยาว กว่า 33 เมตร หนัก กว่า 180 เมตริกตัน หรือ กว่า 200 ตันย่อ ส่วน ไดโนเสาร์ จำพวกที่ใหญ่สุด อยู่ใน ซับออร์เดอร์ Sauropoda (ไดโนเสาร์กินพืชเชิงกรานแบบกิ้งก่า) ในกลุ่ม giant titanosaurians เช่น (3 อันดับแรก เรียงจาก หนักสุด ลงไป) (ประเมินน้ำหนักโดยประมาณ) Bruhathkayosaurus 139 ตัน Amphicoelias 122.4 ตัน Argentinosaurus, Futalognkosaurus, Puertasaurus 73-88 ตัน รูปเทียบขนาด วาฬ และไดโนเสาร์ กับมนุษย์ ดัดแปลงจาก Commons.Wikimedia.Org แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:55:46 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 53 03:43:31 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 53 03:40:41 จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 03:39:51

ความคิดเห็นที่ 46 ( อ้างอิง: http://en.wikipedia.org/wiki/Largest_organism อ้างถึง http://botit.botany.wisc.edu/toms_fungi/apr2002.html http://nps.gov/seki/shrm_pic.htm http://zilkha.com/superlativetrees.html ) ( อ้างอิง: http://en.wikipedia.org/wiki/Blue_whale อ้างถึง http://acsonline.org/factpack/bluewhl.htm ) ( อ้างอิง: http://en.wikipedia.org/wiki/Dinosaur_size อ้างถึง https://scientists.dmns.org/sites/kencarpenter/PDFs%20of%20publications/Amphicoelias.pdf ซึ่ง Kenneth Carpenter อ้างถึง Paleontology and Geology of the Upper Jurassic Morrison Formation โดย John R. Foster และ Spencer G. Lucas และ Dinosaurs, dragons, and dwarfs: The evolution of maximal body size โดย G.P. Burness และ T. Flannery และอ้างอิง: http://en.wikipedia.org/wiki/Bruhathkayosaurus อ้างถึง SV-POW! showdown: sauropods vs whales (Weblog) โดย M. Wedel ) รูป วาฬสีน้ำเงิน ภาพถ่ายทางอากาศ และกะโหลกเทียบกับมนุษย์ ดัดแปลงจาก Commons.Wikimedia.Org จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 03:41:56

ความคิดเห็นที่ 47 มาช่วยดันกระทู้ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 08:12:24

ความคิดเห็นที่ 48 ดันๆๆ จากคุณ : bbiggy เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 09:13:50

ความคิดเห็นที่ 49 ดันด้วยครับ จากคุณ : POZZ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 10:07:25

ความคิดเห็นที่ 50 ยอดเยี่ยมมากครับ จากคุณ : อยากรู้เจิ๊น เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:32:29

ความคิดเห็นที่ 51 ดันด้วย 5555++++ จากคุณ : ไรแว๊บอะ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:45:09

ความคิดเห็นที่ 52 ... มาลงชื่อ เด๋วกลับมาอ่านต่อ จากคุณ : ดาราวิปลาส เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:47:04

ความคิดเห็นที่ 53   ชอบมาก ๆ เลยค่ะ ?? จากคุณ : กุ๊กไก่ไม่ขันมาหาฉันจะกระต๊าก เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 14:58:42 A:222.123.54.5 X: TicketID:191399

ความคิดเห็นที่ 54 ของพี่เขาดีจริงๆ จากคุณ : Sarra (Sarra002) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 15:06:48

ความคิดเห็นที่ 55 ทู้ดีมีประโยชน์ จากคุณ : discover_darkside เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 15:30:26

ความคิดเห็นที่ 56 แจ่ม จากคุณ : มหาโจรแห่งบ้านลี้ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 16:13:32

ความคิดเห็นที่ 57 ดีมากจริงๆครับ จากคุณ : chongkho เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 16:35:50

ความคิดเห็นที่ 58 เข้าใจง่ายดีครับ และไม่ค่อยมีพวกปาดให้เกะกะลูกตาด้วย จากคุณ : Silent-Viper เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 16:47:49

ความคิดเห็นที่ 59 มันเกิดจากการใช้คำผิดจนพูดติดปากเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดซะทีเดียว เช่น คนชอบเรียก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่า มาม่า เป็นต้น จากคุณ : ak47_gong เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 17:17:50

ความคิดเห็นที่ 60 กล้องชมิดช์ เป็นกล้องที่มีการแก้ไขความคลาดแบบนึง ส่วนแคสสิเกรน เป็นชื่อของรูปแบบการโฟกัส พอบอกว่าเป็นกล้องชมิดช์สั้นๆ มันก็อธิบายไม่หมดว่า มีรูปแบบการโฟกัสแบบไหน ก็น่าจะเข้าใจได้ว่ามีการโฟกัสแบบพื้นฐาน ถ้ามีการสะท้อนแสงกลับออกมาโฟกัสภายนอกกล้อง ก็ควรจะต้องบอกด้วยว่า เป็นการใช้รูปแบบโฟกัสแบบไหน เช่น แคสซิเกรนเป็นต้น แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 53 19:19:55 จากคุณ : Ontjung เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 19:12:32

ความคิดเห็นที่ 61 ดีค่ะ ได้ความรู้ดีจัง ขอบคุณมากๆ จากคุณ : ยมทูตลูเคีย เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 19:34:11

ความคิดเห็นที่ 62 อ่านจบแล้วค่ะ โหวตไป ขอบคุณเจ้าของกระทู้ และอีกหลายๆ คห. ที่ช่วยแก้ไขปรับปรุงด้วยค่ะ จากคุณ : Pahom เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 20:48:52

ความคิดเห็นที่ 63 สวดยอดมากครับ จากคุณ : SuchiZa เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 20:55:53

ความคิดเห็นที่ 64 คห.63 เดี๋ยวไปดื่มน้ำสวมกัน จากคุณ : แมนมณี เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 22:02:13

ความคิดเห็นที่ 65 คห.64 ไปด้วยคน จากคุณ : softii-z เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 22:15:29

ความคิดเห็นที่ 66 เนื้อหาแน่นมากกกก จากคุณ : Dolphin In Love เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 22:54:05

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณ สำหรับทุกคนที่ให้ความรู้ครับ เด๋วจะกลับมาให้กิฟ จากคุณ : Heimdall เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:24:49

ความคิดเห็นที่ 68 ยังไม่จบนะ แค่อยากมาปั่น เอ้ย! ต้อนรับ เชิญแจมตามลำบาก ขอบคุณทุกความช่วยเหลือ ทุกโหวต และทุกกำลัง สำหรับท่านที่ แนะนำแก้ไข หรือ ให้ความรู้เพิ่มเติม (ตั้งแต่ คห.ที่ 60 เป็นต้นไป) ขอยกยอด ให้กิฟถูกใจ ไปเดือนหน้า (กิฟหมดจ๊ะ) ส่วนการดัปเดท ยังคงเรื่อยๆ เมื่อข้อมูลพร้อม สำหรับท่านที่อยากลง ข้อเท็จจริงมักเข้าใจผิด บ้าง รันเลขข้อต่อได้เลยนะ (ถึงรันถูกผิดก็ไม่เป็นไร) แถมรูป Big Bang Theory model จาก The birth of the universe, The kingfisher young people's book of space จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 01:51:04

ความคิดเห็นที่ 69 จัดมาอีกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จากคุณ : โลกต้องตะลึง เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 12:45:34

ความคิดเห็นที่ 70 อืมมผมเข้าใจผิดมาหลายเรื่อง ขอบคุณครับ จากคุณ : rbko เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 13:33:18

ความคิดเห็นที่ 71 รู้สึกว่ามีหนังสือเล่มนี้อยู่ที่บ้านนะ เนือหาเหมือนกันเป๊ะเลย ชื่อ เรื่องผิด ๆ ที่คิดว่าถูก จากคุณ : ๛กอล์ฟ เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 14:17:59

ความคิดเห็นที่ 72 ความคิดเห็นที่ 17     71) ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ ? มีที่ไหนกัน ! ไอน์สไตน์ไม่เคยเขียนทฤษฎีชื่อนี้ ที่ถูก ทฤษฎีนี้ชื่อ Theory of Relativity แปลว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพ" ต่างหาก ............................. เล่นคำง่ายๆเลยนะครับนี่  อ่านไปอ่านมามันก็แค่การเล่นคำไปมา จากคุณ : Deadhunt เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 18:15:57

ความคิดเห็นที่ 73 ^ ^ รูป คห 68 เริ่ดมาก จากคุณ : ก็อดแฮนด์ เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 18:17:21

ความคิดเห็นที่ 74 มาเก็บความรู้ครับ นี้ผมเข้าใจผิดๆหลายเรื่องเลยนะเนี่ย จากคุณ : zeromaster เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 21:20:27

ความคิดเห็นที่ 75 #4 กล้ามากนะครับ ถึงกระโดดลงมาได้ แค่คิดก็เสียวแล้ว ช่วงที่กางร่มแรงกระชากมันจะขนาดไหน แถมร่มต้องหนาขนาดไหนถึงจะไม่ขาด จากคุณ : ความจำสั้นสันหลังยาว เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 53 00:23:47

ความคิดเห็นที่ 76 ชอบมาก  โหวตๆๆ จากคุณ : Bluedonut เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 53 08:26:11

ความคิดเห็นที่ 77   ขอบคุณครับ หลายๆ เรื่อง เข้าใจดีขึ้น จากคุณ : คนเดินผ่านทาง เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 53 15:09:12 A:203.144.220.243 X: TicketID:261619

ความคิดเห็นที่ 78 ไม่โหวตไม่ได้สะแล้ววว จากคุณ : Kross_ISC เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 53 20:32:49

ความคิดเห็นที่ 79 กำลังเพลินเลย จากคุณ : lordhunter เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 53 21:00:01

ความคิดเห็นที่ 80 ขอบคุณมากค่ะ เนื้อหาสุดยอดเลย   อ่านแล้ว อยากไปดูดาวขึ้นมาทันที   เรื่องทางดาราศาสตร์เนี่ย ข้อมูลผิดพลาดกันเยอะมากค่ะ จากคุณ : fm@co เขียนเมื่อ : วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 53 21:14:28

ความคิดเห็นที่ 81 ยังสงสัยเรื่อง white gold มันไม่ใช่ทองขาวเหรอ แล้วที่มาทำแหวนมันเป็น ทองขาว หรือทองคำขาว หรือ แพลตินั่ม? จากคุณ : sarawut_birdy เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 11:19:17

ความคิดเห็นที่ 82   เยี่ยมจริงๆ จากคุณ : หยินหยางรวมเป็นหนึ่ง เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 16:27:10

ความคิดเห็นที่ 83   เสริม #14  ตอนเด็กผมเคยคิดเหมือนกันว่า ทำไมบ้านเราดวงจันทร์มันไม่ดวงโตเท่าที่เคยดูในทีวี (ในทีวีมักถ่ายให้เห็นแต่ภาพดวงจันทร์ ที่ไกล้ขอบฟ้า) ทำให้ตอนนั้นคิดว่า ถ้าอยากเห็นดวงจันทร์ดวงโต ต้องรอดูตอนมันอยู่ไกล้ขอบฟ้า....พยายามดูมาจนโตจึงเริ่มมีความคิดว่า ดวงจันทร์ดูจากบ้านเรามันคงเล็กตลอดแบบนี้แหละ - -* จนถึงเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาผมจึงได้รู้เพิ่มเติมว่ามันเท่ากันตลอด ไม่ต้องไปหวังให้มันโต - - -  ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ - - - จากคุณ : Aoitori เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 22:31:40

ความคิดเห็นที่ 84 อ่านสนุกและได้ความรู้ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 08:13:32

ความคิดเห็นที่ 85 ช่วยเอาไปเผยแพร่ต่อครับ.. จากคุณ : granun เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 12:37:10

ความคิดเห็นที่ 86 สุดยอดมากๆครับ ผมไม่รู้ความจริงในทู้นี้ น่าจะเกินครึ่ง ขอบคุณมากๆสำหรับกระทู้ดีๆครับ จากคุณ : หัตถาครองพิภพ เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 17:24:24

ความคิดเห็นที่ 87 ขอบคุณมากครับ ผมเศร้าใจตรงที่วาฬเนี่ย มันอยู่ของมันดีๆ มันจะสูญพันธ์ได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะคน ทำไม่เรื่องแค่นี้ UN จัดการไม่ได้ หรือว่ามันไม่สำัคัญ อ้อ..งงนิดๆ เหมือนได้ยินมาว่า ฉลามวาฬตัวใหญ่ที่สุด ตกลงอะไรใหญ่กว่ากันครับ? จากคุณ : หน่วยต่อสู้อากาศยาน เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 17:43:28

ความคิดเห็นที่ 88 ตอบ 81 แก้เพื่อให้เข้าใจชัดขึ้นแล้วครับ ทั้ง 3 คำ เป็นคนละความหมาย ตอบ 87 คำถามดีครับ เป็นอีก หนึ่งความเข้าใจผิด ฉลามวาฬ เป็น ปลามีขากรรไกร ในตระกูลย่อย ปลากระดูกอ่อน (ฉลามและกระเบน) เป็น ปลาที่ใหญ่ที่สุด แต่ วาฬสีน้ำเงิน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่วิวัฒนาการลงทะเล เป็นทั้ง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุด และ สัตว์ที่ใหญ่ที่สุด สรุปว่า วาฬสีน้ำเงิน ใหญ่กว่า ฉลามวาฬ รูปจาก Commons.Wikimedia.Org ป.ล. กำลังทำเพิ่มนะครับ จากคุณ : Prof.Sirius เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 03:08:27

ความคิดเห็นที่ 89 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 53 11:47:30