ความคิดเห็นที่ 1 เริ่มจากเลิกสอนแบบท่องจำ จากคุณ : MoMelyz เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 19:43:24

ความคิดเห็นที่ 2 ให้เด็กรู้ว่าเรียนจบไปแล้ว ได้งานทำอะไร เด็กเกือบทั้งหมดไม่รู้ว่าเลยเรียนจบมาแล้ว จะทำงานอะไรได้บ้าง เพิ่มการทดลองวิทยาศาสตร์ในชั้นมัธยม วิทย์ที่มีแต่ท่องจำมันน่าเบื่อ เป็นส่วนหนึ่งทำให้คนไม่เห็นคุณค่า นอกจากไว้ใช้สอบ จากคุณ : นายขนมหวาน เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 19:43:38

ความคิดเห็นที่ 3 คนไม่ใช่ ยังไงก็คงไม่ใช่... ต่อให้ขุนให้ตายก็คงเสียเปล่า... จากคุณ : haman_zaa เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 19:46:43

ความคิดเห็นที่ 4 เงินเดือนนักวิทยาศาสตร์สตาร์ทสักแสนนึง ขี้คร้านจะแข่งกันแอดมิด เงินตัวเดียวครับ จบ จากคุณ : star_seeker เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 19:46:47

ความคิดเห็นที่ 5   ขึ้นอยู่กับดัชนีที่เลือกมาใช้ในการชี้วัดความสนใจในวิทยาศาสตร์ด้วย แต่ก่อนอื่น ต้องทำให้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องสนุกสำหรับเด็กให้ได้ก่อนแหละ จากคุณ : oryze เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 19:50:39

ความคิดเห็นที่ 6 บริษัทคอนเซ้ารับคนจบใหม่คณะวิทย์เริ่มต้นที่ 10,000 บาท!  เลี้ยงได้แต่ตัวเอง แม่ แฟน น้อง ไม่ต้องห่วง ลำบากแน่นอน จากคุณ : grampus01 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 19:50:42

ความคิดเห็นที่ 7 ละครหลังข่าวน้ำเน่า 3 5 7 เลิกให้หมด ให้ดูสารคดีวิทยาศาสตร์  ศิลป   ประวัติศาสตร์ แทน จากคุณ : Fastcat4100 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:04:29

ความคิดเห็นที่ 8 เข้าใจทฤษฎีของสิ่งที่เกิด ดีกว่าำจำสูตรได้ครับ ขออภัยที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล เอาเป็นว่าผมจำสูตร ตารางธาตุ ไฟลั่ม ฯลฯ ไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว และไม่ชอบด้วย ( ม.4 ทำ GPA ผมตกเพราะไปเรียนวิทย์คณิตตามเพื่อน ม.5 ย้ายสายให้ไวเพราะไม่ไหว ) แต่กลับชอบเข้ามาอ่านอะไรๆ ในห้องนี้ เพราะมันมองเห็นภาพปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ชัดกว่าครับ ( ถึงจะพากันออกทะเลบ่อยๆ ก็เหอะ ) ถ้าขั้นพื้นฐาน ให้เด็กมันมองเห็นว่าวิทยาศาสตร์น่าสนใจ แบบที่ผมชอบเข้ามาหาอะไรอ่านในห้องนี้ได้แล้ว เดี๋ยวก็คงมีบางคนรู้สึกว่า " นี่ละตัวเรา " แล้วก็จะเข้าไปลงลึกเรื่องสูตรต่างๆ เองครับ คือให้เขามีแรงบันดาลใจก่อน ขออภัยที่ไม่พูดเรื่องเงินนะครับ เพราะวัยเด็กเล็กๆ หรือวัยรุ่น บางทีหลายๆ คนก็เลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ได้สนใจเรื่องอนาคตการทำงานเลย ( เหมือนผมที่เลือกเีรียนรัฐศาสตร์เพราะชอบศึกษาเรื่องการเมือง + ประวัติศาสตร์ แต่ไม่มีความคิดอยากเป็นนักการเมืองแม้แต่น้อย อยากเป็นข้าราชการประจำมากกว่าครับ ) ปล.ส่วนวิทยาศาสตร์มันไม่ใช่ตัวผม เป็นแค่ความรู้เสริมเฉยๆ อะ T_T จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:04:51

ความคิดเห็นที่ 9 เอิ่ม..... http://fail.in.th/2010/08/bangkok-planetarium-fail/ จากคุณ : ซ่อนนาม เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:04:57

ความคิดเห็นที่ 10 อาจารย์เคยบอกว่าเด็กสมัยนี้มีความอยากรู้ต่ำ ไม่มีแรงจูงใจให้อยากรู้อยากเห็น เราว่าวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นแค่ศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างเดียวนะ แต่เราว่าเป็นศาสตร์ที่สำคัญสำหรับมวลมนุษยชาติเลยทีเดียว ฮ่าๆ ไม่ได้ช่วยอะไรในกระทู้นี้เล้ย  - - จากคุณ : IzaAII เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:05:38

ความคิดเห็นที่ 11 ประเทศเจริญทางวิทยาศาสตร์แล้วอย่างอเมริกาเด็ก ม.ปลายเขาก็ไม่ได้สนใจวิทยาศาสตร์กันมากนักเท่าไหร่นะ  แต่เด็กที่คนสนใจก็มีเยอะ ปนๆกันเหมือนเมืองไทยนั้นละครับ เพียงแต่ที่นั้นระบบการสอนเขาสอนให้เราคิดเป็น ทีนี้ถ้าเด็กคนไหนสนใจวิทย์ มันก็จะทำให้ เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคิดเป็น รู้จักสังเกตุ ตั้งสมมุติฐานตามขั้นตอน เกิดความรู้ใหม่ๆ ไม่แปลกที่อะไรใหม่ๆฝรั่งมักจะคิดออก อะไรประมาณนี้ไม่ใช่เรียนแต่กับตำราอย่างเดียว  ถ้าจะแก้ แก้ที่ระบบการศึกษาก่อนเลย ซึ้งคงจะเป็นเรื่องยาก จากคุณ : คุณหลอกดาว เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:13:47

ความคิดเห็นที่ 12 คนฉลาดเค้าก็ไปเป็นหมอ วิศวกร นักการเมือง เจ้าของกิจการ กันหมด คนไม่ฉลาดก็รู้ตัว ไม่เรียนวิทยาศาสตร์ สู้ จีน ฝรั่ง ไม่ได้ เพราะนั้นเค้ามีทุน  มีงานรองรับ ถึงมีคนฉลาดเรียนวิทยาศาสตร์ จบออกมาก็ไปทำงานต่างประเทศอยู่ดี จากคุณ : starbless เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:13:51

ความคิดเห็นที่ 13   การเรียนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก ไม่ใช่ไปสอนให้เค้าทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์นะคะ อย่าเข้าใจผิด วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องรอบตัวเราแทบจะทุกอย่างเลยทีเดียว การจะให้เด็กสนใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น ต้องมีวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่การเอาความรู้ไปบอกเด็ก แต่ต้องช่วยให้เด็กได้ค้นพบข้อเท็จจริงด้วยตนเองโดยที่เราเป็นผู้ที่ช่วยตั้งคำถามให้เขาคิดและให้เขาได้ลงมือปฏิบัติจริงและทำการทดลองจริงๆ (โดยส่วนตัวแล้วเราก็ค้นหามาตลอดว่าจะสอนเด็กให้รักวิทยาศาสตร์อย่างไร จนกระทั่งได้มารู้จักกับ MAD SCIENCE นี่แหละคือคำตอบที่ค้นหา) จากคุณ : แหนม เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:20:04 A:183.89.78.132 X: TicketID:270759

ความคิดเห็นที่ 14 สอนวิชาไหนๆ ก็สอนให้สนุกได้ อยู่ที่ว่าสอนเป็นหรือเปล่า วิทยาศาสตร์สนุกดีออก สมัยเรียนประถม ผมอ่านหนังสือทักษะวิทยาศาสตร์ วิชาเรียนวิทยาศาสตร์ ม.ต้น ผมทำสอบไม่เคยเกินห้านาที เพราะอ่านเจอมาหมดทุกอย่างแล้ว  ในรูปแบบที่สนุกกว่ามากมายก่ายกอง  ไม่ต้องมีการทดลอง ไม่ต้องมีของมาเล่น  มันอยู่ที่การจัดเนื้อหาให้มันน่าสนใจ และเป็นจริง จับต้องได้ เห็นได้ เข้าใจได้ง่าย จากคุณ : NaCl เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:22:45

ความคิดเห็นที่ 15 เงินมา งานก้เดินครับ จากคุณ : ปูม้า16 (ปูม้า_16) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:22:56

ความคิดเห็นที่ 16   คนเก่งปกครองยากน้ะ ตัวเอง สู้หลอกว่า หากไม่กราบ จะบาปและต้อง ตกนรก ผีแดรกตับ แค่นี้ ก็ทิ้งวิทย์กันหมดแล้ว จะวิทย์ ทำแมวไร แค่กราบก็รอดแล้วกรู จากคุณ : พบกันวันละหน เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:23:45 A:94.23.80.175 X: TicketID:272004

ความคิดเห็นที่ 17 ต้องสอนวิทยาศาสตร์ให้สนุกครับ แล้วเด็กจะสนใจเอง จากคุณ : MysteriousSlave เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:29:48

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นนักวิทย์ เรียนก็ยาก เงินก็น้อย ใช้เวลาก็มาก พอหันไปดูเพื่อนที่จบตรีธรรมดา ผ่านไป 5 ปี มันมีเก๋งคันงาน คนคนสวยนั่งเคียงข้าง เงินเคียงครึ่งแสน ในขณะที่เรายังนั่งปั้นแต่ง เขียนราบงาน และเฝ้ารอการสอบแต่ละนัดอย่างใจจดจ่อ เิงินก็แทบจะไม่พอ ไหนจบแล้ว เข้าราชการก็เงินไม่มาก เข้าเอกชนก็ยากเพราะคนเรียนก็เยอะ จริงๆแล้ว ปัญหาคือเงินตัวเดียวเท่านั้นจริงๆ ต่อให้ไทยทำหลักสูตรได้ดีแค่ไหน แต่คนที่เก่งๆ ก้จะโดนเงินดูดไปซะหมด ยกเว้นพวกที่ต้องใช้ทุน จากคุณ : Neo_zeeout เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:44:00

ความคิดเห็นที่ 19 ขอแอบไม่เห็นด้วยกับคุณ TonyMao_NK51 วิธีการสอนแบบนั้นมันเหมาะกับสอนเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร พอมาถึงระดับ ม.ปลาย ขึ้นไป มันก็ต้อง ท่องจำสูตร เน้นทำโจทย์เข้าว่า อยู่ดี สนใจที่เรียนในห้อง เรียนในห้องรู้เรื่อง  แต่ไม่ทบทวน ไม่ท่อง ไม่จำ ก็เท่านั้น เดี๋ยวมันก็ลืม ยังไงก็ต้องท่องสูตร ท่องทฤษฏี หลักการต้องแม่นอยู่ดี ไม่งั้นยิ่งขึ้นไปสูงๆ ฐานไม่แน่น จะล้มเอากลางคันง่ายๆเอา สื่อการสอน ความน่าสนใจ มันมีผลในช่วงในไม่เกิน ม.ต้น เท่านั้น (ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญ แต่บอกว่ามันมีขอบเขต) หลังจากนั้น มันขึ้นอยู่กับตัวเด็กแล้วว่า สนใจ สิ่งนั้นจริงหรือไม่ ในทางปฏิบัติ การที่จะแน่นหลักการได้ มีแต่ การฝึกฝนด้วยตัวเองเท่านั้นครับ สื่อการสอน รูปแบบการสอน จะช่วยตรงนี้ไม่ได้ จากการที่ผมได้เรียนกับเด็กซ้ำๆหลายๆปี ทำให้ผมรู้ว่า เด็กสมัยนี้ ไม่ใช่ไม่สนใจ เพราะทั้ง สื่อการสอน รูปแบบการเรียนที่แปลกใหม่ แหล่งเรียนรู้ใหม่ๆ ทุกวันนี้มีมากพอแล้ว แต่ปัญหาคือ เด็กสนใจแล้วไม่จำ สนใจแต่งูๆปลา รู้แต่ผิวเผิน แต่ไม่รู้ลึกจริงๆ (และไม่มีความพยายามที่จะรู้) เหมือนพวกชอบอ่านข้อมูลตามเวปบอร์ดนั่นแหละ มันจะไม่ต่างจากรู้ fwd mail คือรู้ข่าวสารที่ได้รับการประมวลผลมาแล้ว แต่ไม่พยายามรู้ถึง 'แก่น' ของมัน รอให้คนอื่นป้อนเข้าปากตลอด เด็กจะขาดการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเองไป พอเจอโจทย์ยากๆเข้าเลยทำไม่ได้ จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:48:22

ความคิดเห็นที่ 20 คห.19 เห็นคำว่า " ระดับพื้นฐาน " ไหมครับ เด็กไืทยยังมีคนประเภทผมเยอะครับ คือเข้าเรียน ม.ปลายแบบไม่รู้ว่าใช่ตัวเองหรือเปล่า ซึ่งพอเข้าไปแล้วมีแต่ผลเสีย อย่างแรก GPA ตก อย่างที่สอง คุณจะมีแต่ความทรงจำร้ายๆ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ว่ามันจะต้องมีแต่สูตร ตารางธาตุ ฯลฯ จนยากจะเข้าใจ แล้วทีนี้ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ ก็จะหนีทันทีแม้ว่าในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยากจะเข้าใจเสมอไปก็ได้ ผมกำลังพูดถึงการปลูกฝังตั้งแต่เล็กๆ นั่นละครับ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะเกิดการแบ่งแยกกันไปเอง ว่าวิทยาศาสตร์ใช่ตัวคุณหรือเปล่า ( แน่นอนว่าผมไม่เคยสนใจเลยว่าอะไรใช่ไม่ใช่ตัวผม เพิ่งมาคิดได้ตอนย้ายแผนสมัย ม.5 นั่นละครับ ) นี่คือระบบคัดคนครับ ถ้าเขาคิดว่า " ใช่ " โดยมากก็จะไม่ท้อเรื่องการจำสูตร ตารางธาตุ ฯลฯ พอใกล้เข้า ม.ปลาย เขาคงคิดได้เองว่า เขาสมควรจะเรียนวิทย์ - คณิตไหม? ขออภัยที่ผมให้ความสำคัญกับ " มิติด้านจิตใจ " มากเป็นพิเศษนะครับ ถ้าใจบอกว่าใช่ สูตรยากแค่ไหนมันก็อยากจะเ้ข้าใจครับ แต่ถ้าใจบอกไม่ใช่ ทุกอย่างก็จบตั้งแต่เริ่ม เด็กคนนั้นจะได้ไม่เสียเวลา เสียโอกาสในการไปพัฒนาความสามารถในด้านที่ตัวเองถนัดด้วยครับ ( ซึ่งเรื่องแบบนี้ มีแต่เจ้าตัวที่เข้าใจ คนอื่นจะไปบังคับเขาก็ไม่ได้ ) นอกจากนี้ ต่อให้เขาไม่ใช่ เขาก็จะไม่เกลียดวิทยาศาสตร์ในระดับที่ว่าหนีไปเลย ไม่สนใจเลย แต่เขาอาจจะสนใจในฐานะเป็นการประดับความรู้ ( แบบที่ผมชอบมาหาอะไรอ่านแถวๆ นี้ ) ก็ได้ึีัครับ ซึ่งสนใจบ้างแต่ไม่ถึงกับรู้ลึก ผมว่้าก็คงดีกว่าไม่สนใจเลยนะครับ ถ้ามองในแง่องค์รวมคุณภาพประชากร หุๆ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 53 21:00:26 แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 53 20:58:14 จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 20:56:57

ความคิดเห็นที่ 21   ใจที่รักวิทยาศาสตร์ต้องเริ่มสร้างให้เค้ามาตั้งแต่ช่วงวัยเด็กเล็ก เด็กประถม ถ้าเรามีเทคนิคในการสอนที่ดี เด็กก็จะมีความสุขในการเรียนและรักวิทยาศาสตร์มาก(มากจริงๆ) แล้วมันจะต่อยอดไปจนกระทั่งเค้าโตเอง เรื่องนี้มันต้องเริ่มปลูกฝังตั้งแต่เด็ก และถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ก็อย่าเอาเรื่องเงินมาเกี่ยวเลยค่ะ มันอยู่ที่ความเสียสละของคน ถ้าเรามัวแต่รอให้ใครสักคนเอาเงินมาจัดการ ประเทศชาติก็คงไม่เจริญหรอกถ้าไม่มีคนเสียสละบ้าง จากคุณ : แหนม เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 21:08:13 A:183.89.78.132 X: TicketID:270759

ความคิดเห็นที่ 22   เห็นด้วยกับคุณTonyMao_NK51 ค่ะ จากคุณ : แหนม เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 21:11:01 A:183.89.78.132 X: TicketID:270759

ความคิดเห็นที่ 23 หว้ากอทำให้ผมรักวิทยาศาสตร์และตั้งใจเรียนมากขึ้น จากคุณ : chikivcharl เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 21:19:18

ความคิดเห็นที่ 24   คำถามโลกแตก ตอบยากจริงๆ แต่แวบแรกที่อ่านขอตอบว่า "ให้มาเข้าห้องหว้ากอสิ แล้วจะรู้ว่า อะไรๆก็เป็นไปได้ 555555" ขอชมนะ เพราะห้องนี้เปิดความคิดอย่างแท้จริง อยากจะคิดอะไรก็คิดได้ ถามอะไรก็ถามได้ เพราะการเป็นนักวิทยาศาสตร์มันต้องเริ่มจากการตั้งคำถามแบบคนในห้องนี้ล่ะ ส่วนถ้าสาวไปถึงโครงสร้างระดับประเทศ..เฮ้อ เจ้แก่เกินจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ จากคุณ : avatar เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 21:33:00 A:110.168.95.133 X: TicketID:277001

ความคิดเห็นที่ 25   จริงๆเด็กสนใจนะครับ อย่างเช่นเรื่องเพศศึกษา ขนาดปิดๆกันแทบตาย  แล้วเป็ฯยังไงล่ะ จากคุณ : อย่ารู้เลยว่าฉันเป็นใคร เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 21:34:23

ความคิดเห็นที่ 26 อยากดูสารคดี หรือแม้แต่รายการที่ให้ความรู้ เปิดทีวีด้วยความหวัง แต่ความเป็นจริง คือ เจอแต่ละคร หรือรายการบันเทิงซะส่วนใหญ่ ถ้าไม่นับพวกติดจานนี่ แทบจะไม่มีอะไรน่าสนใจ หรือรายการที่นำเสนอส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ซักเท่าไหร่เลย จากคุณ : ชาร้อน ในแก้วใส เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 21:44:34

ความคิดเห็นที่ 27   ผมว่าใครอยากเรียนอะไรก็เรียนไปครับ ห้ามบังคับ ไปเรียนธุรกิจ เีรียนกฏหมาย เรียนอะไรที่หาตังค์กันให้หมดดีกว่าครับ วิทยาศาสตร์ถ้าไม่รัก ไม่อยากเรียนอย่ามาเรียนเลย เสียเวลา เปล่าประโยชน์ อีกอย่างถ้าพวกไม่รักมาเรียน จบไปก็ห่วยแตกไร้สาระ ไม่สร้างประโยชน์ใดๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาเรียนครับ เงินเดือนนักวิทย์น้อยมากๆอยู่แล้ว จะมาเรียนยากๆกันไปทำไม เรียนอย่างอื่นเหอะครับ ทำเงินดีกว่า เรียนง่ายกว่า จะมาโง่นั่งเรียนวิทย์ไปทำไมไม่ทราบ ถามจริงๆ จากคุณ : นักวิทย์ไม่ต้องการ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 22:27:28 A:125.24.101.214 X: TicketID:265193

ความคิดเห็นที่ 28 สื่อมันก็สะท้อนอยู่แล้ว มีละครเรื่องไหนบ้างที่เชื่อมโยงแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ แล้วหนังล่ะ ผี ตลก รัก ไสยศาสตร์.... นี่แหละสังคมไทยที่แท้จริง จากคุณ : สมบัติดี เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 22:29:51

ความคิดเห็นที่ 29 ทดลองเยอะๆ ไม่รู้สิคะ ตอบง่ายไปเปล่า แค่คิดว่าตอนเด็กๆ ชอบเวลาที่มีการทดลอง แต่โรงเรียนก็ชอบไม่มีงบ ไม่มีอุปกรณ์ (แล้วศึกษาภัณฑ์กับค่าเทอมมหาโหดของโรงเรียนเอกชนที่เก็บเราไปมัน...??) ทำให้ไม่ได้ทดลอง ไอ้วิชาวิทยาศาสตร์แบบที่ไม่มีแลปจริงๆให้ดู ใครมันจะอยากเรียน ใส่สารนี้ บอแรกส์เปลี่ยนสี น้ำตาลเปลี่ยนสี ถ้าเห็นด้วยตา เด็กคนไหนก็ต้องสนใจอยู่แล้ว แต่นี่มีแต่หน้าหนังสือให้อ่าน ใครจะไปสน จากคุณ : SICKHEART เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 22:34:47

ความคิดเห็นที่ 30 ฉายสารคดีเรื่อง ดวงอาทิตย์ บ่อยๆ ครับ ที่บอกว่า ต่อไปอีกประมาณหลายพันล้านปี ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นดาวยักษ์แดง โลกจะร้อนจนเราอยู่ไม่ได้ และอาจถูกกลืนไปเป็นส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์ ให้เด็กๆ ได้ดู จะได้รู้สึกกลัวว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์ และให้ความหวังว่า มนุษย์จะมีทางรอด โดยฉายสารคดีและนิยายวิทยาศาสตร์ ที่มีการสร้างนิคมในอวกาศ หรือเดินทางไปตั้งหลักแหล่งที่ดาวดวงอื่น และทำสารคดีเรื่องการค้นคว้าทดลองหาความรู้ และสร้างสรรค์เทคโนโลยี ที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบาย มาฉายทางทีวีบ่อยๆ จากคุณ : ผลึกความคิด เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 22:38:11

ความคิดเห็นที่ 31 เห็นด้วยกับคห.23 ตั้งแต่เข้าหว้ากอ ทำให้เรารักวิทยาศาสตร์และตั้งใจเรียนมากขึ้น ตอนแรกม.1ไม่ได้สนใจวิทยาศาสตร์เลยสักนิด พอเริ่มเข้าหว้ากอตอนม.3ทำให้รู้สึกชอบวิทยาศาสตร์ไปเลย และเลือกเข้าสาย วิทย์-คณิต แล้วก็ เชื่ออะไรก็มีเหตุผลมากขึ้น ไม่ใช่ใครบอกอะไรมาก็เชื่อไปซะหมด ตอนนี้ก็มีความสุขมาก และคิดว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 53 23:07:27 จากคุณ : peppermint candy (Esperiza) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 23:04:50

ความคิดเห็นที่ 32   ที่เด็กสนใจน้อยลงเป็นเพราะ ... ธุรกิจ "บันเทิงแบบไทย ๆ " สอนให้คนโง่ และต้องเป็นคนดีที่โง่ ๆ อย่างที่ผมเคยตั้งกระทู้ไว้ครั้งหนึ่ง ว่าการ์ตูนฝรั่งทำให้เด็กสนใจวิทย์ฯ หรือไม่ อย่าง Ironman, Spiderman เป็นต้น ที่ตัวเอกเป็นนักวิทยาศาสตร์ จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 23:20:25 A:125.24.43.216 X: TicketID:281166

ความคิดเห็นที่ 33 ก่อนอื่นเลยเลิกทำให้วิชาวิทยาศาสตร์กลายเป็น"ศาสนาวิทยาศาสตร์" วิทยาศาสตร์คือสิ่งที่จับต้องได้ เถียงได้ตั้งข้อสงสัยได้ แต่นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนทำให้มันเหมือนศาสนาห้ามสงสัยห้ามเถียง ถ้าสงสัยไปอ่านทฤษฏีสักสิบเที่ยวก่อน ผมก็คนนึงล่ะที่เรียนสายวิทย์ตอนม.ปลายแล้วเริ่มเสื่อมศรัทธา(ถึงยังชอบอยู่ก็ตาม) แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่อะไรที่เราคาดหวังไว้ มันไม่ใช่อะไรที่คิดใหม่ทำใหม่แสวงหาความจริง หรือการค้นพบอะไใหม่ๆ เหมือนสมัยยุคที่วิทยาศาสตร์ต้องต่อสู้กับศาสนจักรที่ครอบงำความคิดคนยุคนั้น แต่กลายเป็นให้ท่องจำทฤษฏีโดยห้ามสงสัย ไม่ต่างจากที่ศาสนจักรทำไว้ในยุคก่อนเลยสักนิด สุดท้ายตอนขึ้นมหาลัยผมเลยเบนไปทางศิลป์แทนเนี่ยแหละ เนื่องจากผมชอบทั้งสองศาสตร์อยู่แล้ว(และส่วนตัวผมว่าสงอศาสตร์นี้ก็มีอะไรคล้ายๆกันด้วย) จากคุณ : bloodsoap_cdaz เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 23:38:44

ความคิดเห็นที่ 34 เป็นนักวิทย์ เรียนก็ยาก เงินก็น้อย ใช้เวลาก็มาก  <---- เห็นด้วยค่ะ  อันดับแรก คือ มันยาก แล้วเด็กสมัยนี้ พอยากก็ไม่เอา ชอบอะไรที่ง่าย ๆ แล้วก็ยากซะเปล่า จบมา สมมติรับราชการ เงินเดือนเท่าคนที่จบสายอื่นที่เรียนง่ายกว่าเลย จากคุณ : isiss12 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 53 23:53:49

ความคิดเห็นที่ 35 ส่วนตัวไม่ได้คิดว่า การจะให้เด็กสนใจวิทยาศาสตร์ กับการทำอาชีพนักวิทยาศาสตร์ เกี่ยวข้องกันครับ คนที่สนใจวิทยาศาสตร์ ไม่จำเป็นต้องจำกัดว่าต้องเรียนคณะวิทยาศาสตร์ครับ จะเรียนคณะอักษร คณะนิเทศ หรือคณะอะไรก็ตาม ก็สามารถสนใจวิทยาศาสตร์ได้ครับ ------------------------------------------------------------------------- ถ้าจะถามว่าจะทำอย่างไรให้เด็กไทยสนใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น อีกวิธีที่ทำได้ก็คือ ต้องสร้างนักวิทยาศาสตร์ที่เป็น "ไอดอล" ให้ได้ครับ เพราะเด็กไทยยุคนี้เป็นพวกคลั่งไคล้ไอดอลตามกระแสขั้นรุนแรง ดูอย่างการเรียนภาษาเกาหลีก็ได้ ก่อนหน้านี้ซักยี่สิบปีถ้าลองถามว่า มีเด็กไทยซักกี่คนที่นึกอยากเรียนภาษาเกาหลี ตอบได้เลยว่าแทบจะนับหัวได้ แต่หลังจากการเข้ามาของซีรีส์เกาหลี นักร้อง K-pop ฯลฯ เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าเด็กไทยจำนวนมากเห่อกระแสเกาหลี ไปเรียนภาษาเกาหลีกันตรึมเลย หรือแม้แต่ในวงการกีฬา ตอนภราดรยังฮอตๆ ปรากฎว่าเด็กไทยหันมาเล่นเทนนิสกันเยอะกว่าเดิมเลยเหมือนกัน ทำเอาโรงเรียนสอนเทนนิสรวยไม่รู้เรื่องไปตามๆ กัน จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 00:19:33

ความคิดเห็นที่ 36 เด็กไม่เข้าใจวิธีคิดแบบผู้ใหญ่ แต่ถ้าสอนให้จำ วิธีคิดแบบผู้ใหญ่เด็กจำได้ ในความคิดผม ผู้สอนต้องเริ่มต้นที่การคิดแบบเด็กๆเกรียนๆ แล้วสอนให้เด็กเข้าใจวิทยาศาสตร์ โดยใช้วิธีสอนแบบเกรียนๆแต่ไม่ไร้สาระ น่าจะเข้าท่า เอ่อ แม้ในขณะที่เขียนจบนี้ ผมก็ยังนึกไม่ออก ว่าจะสอนสาระให้เด็กด้วยวิธีเกรียน ได้อย่างไร จากคุณ : ZGMF-X10A เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 00:29:08

ความคิดเห็นที่ 37 โอ้ คห.35 มองขาดเลยครับ ตอนนี้เราสร้างสภาวะให้เด็กอยู่ในสถานะ จำยอมต้องเรียน แต่ไม่ได้ทำให้เด็กอยากเรียนแต่อย่างใด เด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ ตรงที่เด็กไม่เข้าใจความสำคัญ ในการได้งานทำ ไม่เข้าใจความสำคัญของเงิน เด็กไม่เข้าใจสังคมแห่งความเป็นจริง ที่มีแต่ อิจฉา ริษยา อำนาจ และความเห็นแก่ตัว ---------------------------------------------------------------- แต่ผู้ใหญ่ พยายาม พูดถึงสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เด็กเข้าใจความจำเป็นในการเรียน ซึ่งคงจะเด็ก กลุ่มน้อยเท่านั้นที่เข้าใจได้ ---------------------------------------------------------------- เราต้องสร้างแรงจูงใจ ในแบบที่เด็กต้องการ ไม่ใช่ในแบบที่ผู้ใหญ่ต้องการ อย่างเรื่องภาษา การคลั่งไคล้ดารา มีผลในการใฝ่เรียนภาษา ในเด็ก ส่วนผู้ใหญ่ จะเรียน เพื่อ งาน และ เงิน เป็นเหตุผลหลักมากกว่า --------------------------------------------------------------- คงต้องเริ่ม จากสิ่งที่เด็กสนใจแล้วสอดแทรกเข้าไป และต้องมีการศึกษาอย่างจริงจัง เช่น เด็กคลั่งเกมส์ การสอดแทรกการใฝ่รู้ ก็อาจจะเป็น เควสสาระ หนึงใน 10 เควส แบบเนียน เป็นเควสเนื้อเรื่อง ซะ 7 เควส ไร้สาระ 2 เควสเกียวกับ วิทยาศาสตร์ 1 หรือกล่าวคือ การมีสอดแทรก สาระ ลงในทุกสื่อที่เด็กสนใจ อย่างละนิดหน่อย และต้องแทรกแบบเทาๆไม่ให้เด็กฉุกคิดว่านี่้ เป็นเควสสาระทางวิทยาศาสตร์ ต้องไม่ใช้ วิธีปัญญาอ่อน เช่น ศึกษาพบเด็กคลั่งเกมส์ ก็ไม่ต้อง สนใจพฤติกรรม ที่ลงลึกกว่านั้นคือเหมือนแค่ศึกษาแต่เปลือกแล้ว ก็สร้างเกมส์สาระ สีขาว ขึ้นมา 1 เกมส์ ประกาศให้ประชาชนทั่วไปรับทราบ เพื่อเป็นผลงาน แก่ตัวข้า เกมส์ ทั้งเกมส์มีแต่สีขาว ที่มากเกินไปจนชวนอ้วก แล้วก็ออกมาตรการบังคับ ให้อยู่แต่ในโลกสีขาว จากคุณ : ZGMF-X10A เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 00:46:28

ความคิดเห็นที่ 38 ลดการปิดกั้นความคิด การแสดงออกที่เหมาะสม และพยายามให้ความสำคัญของเหตุและผลให้มากขึ้น อยากให้เด็กเป็นยังไง เริ่มที่ผู้ใหญ่นี่แหละครับ จากคุณ : งั่ม เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 12:40:06

ความคิดเห็นที่ 39 "ดูข่าวช่องเก้าเค้าบอกว่าเด็กไทยปัจจุบันสนใจวิทยาศาสตร์น้อยลง" Comment: จริงเหรอครับ สมัยก่อนก็ไม่มีเรียนวิทยาศาสตร์กับ แล้วเด็กมันจะชอบน้อยลงได้ยังไง มาตอบคำถามกันดีกว่า ทำยังไงให้เด็กชอบวิทยาศาสตร์? ก็นำเสอนวิทยาศาสตร์ให้สนุกสิครับ ใครๆก็ชอบความสนุกกันทั้งนั้น ทำยังไงให้สนุกก็ทำให้ดูตื่นตาตื่นใจ ทำให้ดูแปลกให้เด็กสงสัยแล้วค่อยอธิบายเนื้อหาทีหลัง อันนี้ต้องใช้ศิลป์เข้าสู้ครับ ลองดูรายการ MegaCleaver ไม่ก็ Spong มันก็สนุกดีใช่ไหมครับ จากคุณ : Jc2000 เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 15:03:44

ความคิดเห็นที่ 40 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 16:57:50

ความคิดเห็นที่ 41 เอาปืนจ่อหัว  แล้วบังคับให้เรียน สมัยมัธยมเคยเห็นฝรั่งสอนวิทย์น่ะ  มันสอนแล้ว  บางครั้งเรื่องเล็กๆ  ก็ทำเป็นเรื่องใหญ่   มีตัวอย่างประกอบง่ายๆ  ดูแล้วน่าตื่นเต้น น่าทึ่ง  ทำให้อยากรู้ต่อว่ามันจะทำอะไรได้อีก...   (เช่นเรื่องไฟฟ้าสถิตนี่อ่ะ) แต่พอเข้าห้องเรียน เรียนกับครูไทย  เบื่อ  ง่วง  อยากหลับ  มึน  อึน งง อยากตาย ไม่รู้  ร.ร.  อื่นเป็นเหมือนกันเปล่า ผมว่าแก้ที่คนสอน ดีที่สุด..... จากคุณ : สหายกุนเชียง เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 21:21:21

ความคิดเห็นที่ 42   ปัจจุบันอยู่ม.สาม เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจเลือกสายการเรียนแล้ว ส่วนตัวเองก็กะจะไปทางสายศิลป์ภาษาค่ะ เพราะให้ไปทางวิทย์นี่ไม่ไหวจริงๆ เพราะหัวไม่ไปทางด้านนี้     แต่ก็ถ้าเข้าห้องหว้ากอมาอ่านกระทู้น่าสนใจนี่เข้าห้าวันต่อสัปดาห์ได้เลย เป็นพวกชอบอะไรแปลกๆน่าสนใจอยู่แล้ว     วิทย์ในหว้ากอส่วนตัวว่าสนุกกว่าที่เรียนเป็นไหนๆ ไม่ได้สอนตามหลักสูตรอยู่เรื่องเดียวนานๆ หรืออ้างอิงจากที่มาที่เดียว มีเหตุผลประกอบไม่ใช่เอะอะบอกตามหนังสือ แย้งได้ ค้านได้ อันนี้พูดตามความรู้สึกเด็กม.สามที่เรียนวิทย์แล้วเบื่อ แต่มาหาข้อมูลเองแล้วสนุกนะคะ จากคุณ : yurei เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 53 21:03:24

ความคิดเห็นที่ 43 เด็กสมัยนี้ไขว่คว้าน้อยครับ ลองทดสอบดูจะรู้ว่าไม่ได้โง่ด้วยแหละ เพียงแค่หลงกับความบันเทิงต่างๆจนไม่รู้ว่าความรู้นั้นสำคัญกว่าครับ จากคุณ : Akexorcist เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 16:42:25