ความคิดเห็นที่ 1   ไม่รู้ไปถามห้องภาษาจะได้คำตอบแบบ จำๆไปเถอะหรือป่าวนะ แต่อยากคิด หาเหตุผลเชิงวิเคราะห์ครับว่า อะไรเป็นแรงจูงใจให้ต้องมี อักษรไท ในยุคนั้น ที่ผมเดาๆเอานะ 1 ตอนนั้น ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ทุกอย่างสมบูรณ์สุดๆ ไม่มีสงคราม ท่านจึงมีเวลามากพอที่จะศึกษาศิลปะ ด้านภาษา และผลิตอักษรขึ้นมา แต่ก็สงสัยว่าก่อน ยุคสุโขทัย อาจจะมีภาษา และอักษรหรือไม่ แล้วทำไมไม่ใช้อันที่มีอยู่ จากคุณ : ภาษา เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 20:42:26 A:58.64.111.46 X: TicketID:247931

ความคิดเห็นที่ 2 ผมสงสัยว่าศิลาจารึกมันเกิดตอนพ่อขุนรามจริงหรือเปล่าครับ จากคุณ : CuSO45H2O เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 20:43:15

ความคิดเห็นที่ 3 เราประยุกต์อักษรของขอมมาใช้ครับ ผมไม่คิดว่าพ่อขุนรามจะคิดค้นเพียงท่านเดียว เขาต้องมีทีมงานช่วยกันคิดครับ จากคุณ : papikasoda (papikasoda) เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 20:49:06

ความคิดเห็นที่ 4 เพราะสุโขทัยตั้งอาณาจักรขึ้นมา ตอนที่เขมรเสื่อมอำนาจไม่ใช่เหรอ สุโขทัยเลยสร้างอักษรของอาณาจักรขึ้นมาเอง โดยดัดแปลงจากอักษรขอม ฯลฯ แต่จะว่าไปก็เหมือนคห.2 ไม่แน่ใจว่าศิลาจารึก จริงๆสร้างในยุคไหนแน่ จากคุณ : cygnat เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 20:51:48

ความคิดเห็นที่ 5 ต้นกำเนิดของตัวอักษรไทย มาจากภาษาทมิฬ(ภาคใต้ของอินเดีย) ครับ  เมื่อชาวอินเดียย้ายอพยพมาอยู่ในอาเซียน(ขอม)  ก็เกิดการพัฒนาของภาษา จากคุณ : yabeer เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 20:53:06

ความคิดเห็นที่ 6 มีคนบอกว่าศิลาจารึก สร้างขึ้นสมัย ร.4 จริงรึเปล่าครับ จากคุณ : ZXR (ZXR) เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 20:56:13

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่า ถ้า หลักศิลาจารึก สร้างสมัยพ่อขุนรามคำแหง จริง พระองค์ อาจจะไม่ได้เป็นคนแต่ง แต่ว่ามีพวกข้าราชบริพาร คอยรับใช้ ถวายงาน ช่วยกันคิด ช่วยกันแต่ง โดย ท่านอาจจะเป็นคนดำริ ให้ทำหรือ เห็นชอบด้วย แต่เรา เครดิต ให้ท่าน ก็ได้ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 21:01:12

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วฝรั่งเขามีบันทึกไหมอ่ะ ว่าใครประดิษฐ์อักษรโรมัน? จากคุณ : สวย ส่ายสุดๆ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 21:15:22

ความคิดเห็นที่ 9 สมัยนั้น ใช้ภาษาขอมครับ แต่ท่านต้องการสร้างอิสระ ทั้งด้านการปกครอง และภาษา จึงได้สร้างอักษรไทยขึ้นมา โดยดัดแปลงจากภาษาขอมครับ จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 21:15:49

ความคิดเห็นที่ 10   1. ตามหาคนที่คิดค้นอักษรไทย ที่ดัดแปลงมาจากอักษรภาษาอื่น ไม่ได้แล้ว อาจจะก่อนสุูโขทัย เพราะไม่มีการบันทึกไว้ แต่หลังจากนั้น มีแต่การดัดแปลงมาเรื่อยๆ 2. ถ้าเกิดขึ้นจริงในสมัย พ่อขุมรามคำแหง น่าจะใช้คำว่า ดัดแปลง มากกว่า คำว่า ประดิษฐ์ หรือป่าว จากคุณ : Orient เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 21:21:48 A:134.2.246.53 X: TicketID:127314

ความคิดเห็นที่ 11 ความเชื่อกับความเป็น จริงมันต่างกัน แต่ทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล ไม่ควร ขุดกระดูกมาด่า แต่ควรหาความจริง จากคุณ : โลกต้องตะลึง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 21:30:58

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นบ่อยครับ พูดเกิ่นนำ แล้วมีคนเอาไปคิดเอาไปทำ สุดท้ายกลายเป็นผลงานตัวเอง จากคุณ : คุณโฮม เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 21:38:20

ความคิดเห็นที่ 13 ตีความก่อนครับ อักษรไทยก็อักษรไทย ภาษาไทยก็ภาษาไทย ภาษาไทยมีมานานแล้วครับ จากหลักฐานที่มีภาษาร่วมตระกูลอย่าง ไตลื้อ ไตขืน ฯลฯ แต่อักษรไท หรือ ลายสือไท มีการกล่าวว่าพ่อขุนรามคำแหงมีดำริในการสร้างอักษรที่มีการดัดแปลงจากอักษรขอม เพื่อให้เข้ากับระบบเสียงของภาษาไทย จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 21:44:01

ความคิดเห็นที่ 14 มีคนบอกว่าศิลาจารึก สร้างขึ้นสมัย ร.4 จริงรึเปล่าครับ จากคุณ : ZXR (ZXR) ต้องบอกว่าศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้วยนะครับ เพราะเนื้อหาแสดงถึงความเจริญ ความเป็นประชาธิปไตย จริงหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบ ส่วนหลักอื่นๆ ไม่ได้เป็นที่ถกเถียงครับ จากคุณ : guerilla gorilla เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 21:53:06

ความคิดเห็นที่ 15 คห.12 มีหลักฐานข้อมูลไหมครับ พูดแบบนั้น อย่าลืมว่าภาษาที่คุณใช้พิมพ์ มีรากเหง้า มาจาก ความเห็นของนักประวัติศาสตร์ ว่าพ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์ขึ้น คำว่า "ประดิษฐ์" ก็ต้องมาตีความหาข้อมูลว่า ดัดแปลง หรือประดิษฐ์ขึ้นมาจริงๆ หรือด้วยวิธีอื่นๆ . . . ปล. แล้ว เกิ่น ก็เขียน ว่า เกริ่น ครับ จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 21:57:56

ความคิดเห็นที่ 16 ผมคิดว่าถ้าทั้งอาณาจักร ไม่มีคนมีปัญญาคิดเลย ต้องให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีหน้าที่บริหารบ้านเมือง ต้องมานั่งคิดค้นตัวอักษรเองคนเดียว อาณาจักรนั้นคงเป็นอาณาจักรที่ไร้ประสิทธิภาพเต็มทนครับ และคงไม่สามารถดำรงอาณาจักรมาได้ขนาดนั้นหรอก แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 53 22:10:40 จากคุณ : Sial เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 22:04:27

ความคิดเห็นที่ 17 แล้วสุโขทัยหละมีจริงไหม จากคุณ : yongiee เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 22:06:33

ความคิดเห็นที่ 18 อย่าสงสัยกันซี่... จากคุณ : หลบฝนจนรักเธอ (tkung13) เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 22:12:01

ความคิดเห็นที่ 19 มีหลายงานครับ ที่ให้เครดิตกับกษัตริย์ โดยที่พระองค์ไม่ได้ทำเอง จากคุณ : ลูกชายคนที่7ของลูกชายคนที่7 เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 22:14:17

ความคิดเห็นที่ 20 จิ๋นซืฮ่องเต้ ก็สร้างตัวอักษรจีนให้เป็น มารตรฐานเดียวกันทั่วแผ่นดินจีนนี่ครับ จากคุณ : หมาป่าดุ๊กดิ๊ก เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 22:14:52

ความคิดเห็นที่ 21 . . พ่อขุนรามจะเป็นคนสร้างศิลาจารึกจริงหรือไม่ ถ้านับตามหลักฐานที่นักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นไว้ตอนนี้ ก็ต้องยอมรับว่า เป็นความจริงตามนั้น แต่อักษรในศิลาจารึก ไม่ได้เป็นอักษรที่อยู่ดีดีนึกขึ้นมาได้แน่แน่ค่ะ จะเห็นได้ว่า ลักษณะอักษรเป็นเหมือนอักษรขอมโบราณเขียนหวัด (หาอ่านรายละเอียดได้จาก อักษรไทย) ถ้าตีความแบบนี้ ก็แปลได้ว่า เราดัดแปลงแก้ไขอักษรไทยมาจากอักษรขอมโบราณ และถ้าพ่อขุนรามสร้างศิลาจารึก ท่านก็ประดิษฐ์อักษรไทยโดยดัดแปลงมากจากอักษรขอมโบราณอีกที... ซึ่งท่านจะประดิษฐ์เพียงพระองค์เดียว หรือมีข้าราชบริพารช่วยอีกหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่อาจรู้ได้... ซึ่งในสมัยก่อนก็ต้องให้เกียรติกับเจ้านายก่อนค่ะ... เหมือนแม่ทัพ ยกทัพไปต่อสู้ พลทหารพลีชีพมากมาย แต่เมื่อรบชนะก็ต้องถือเป็นผลงานของแม่ทัพท่านนั้นนะคะ... แต่ไม่ว่าจะยังไง... ประวัติศาสตร์ก็เปลี่ยนแปลงได้ค่ะ วันนี้หลักฐานส่วนใหญ่ชี้ไปว่า หลักศิลาจารึกสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย และน่าจะเป็นในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง เราก็เชื่อกันตามนั้น แต่ในวันข้างหน้า มีหลักฐานมากขึ้นที่จะแย้งว่า บางทีอาจไม่เป็นอย่างนั้น เราจะใจกว้างพอจะยอมรับหลักฐานนี้ และพร้อมจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์กันใหม่หรือเปล่า เท่านั้นเองค่ะ.. จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 22:33:16

ความคิดเห็นที่ 22 เรื่องบางเรื่องเขาไม่ได้ให้เราสงสัยนะครับ เขาให้เราซาบซึ้ง สงสัยมากระวังโดนถล่มนะ จากคุณ : axquest เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 22:38:31

ความคิดเห็นที่ 23   #17    ผมคนสุโขทัย ครับอยากเชิญท่านไปเยี่ยมเมืองหลวงแห่งแรกครับ ท่าอาจจะรู้ว่า สุโขทัย มีจริงหรือไม่ อย่างไร จากคุณ : Externalman เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 22:43:25

ความคิดเห็นที่ 24 แต่ก็ในพื้นที่ประเทศไทยก็มีอักษรใช้ ครับ ของ เขมรมั่ง ของมอญบ้าง อักษรปัลลวะมั่ง http://thrai.sci.ku.ac.th/node/454 ลองเข้าไปอ่านดู จากคุณ : pinestand เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 22:44:29

ความคิดเห็นที่ 25 เค้าพิสูจน์กันแน่ชัดด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้วนะคะ ว่าศิลาจารึกหลักที่ ๑ สร้างขึ้นสมัยสุโขทัยจริง เถียงอะไรกันอยู่หรอคะ ? การประดิษฐ์ตัวอักษรของตัวเอง แสดงถึงความเจริญทางวัฒนธรรม นอกเหนือจากเอกราชที่มีในเวลานั้น ถึงมันจะมีรากฐานมาจากอักษรขอม มอญ หรือปัลลวะของอินเดีย แต่ถามหน่อยเถอะค่ะ มีใครบ้างที่คิดความรู้ใหม่ๆ ขึ้นมาได้เองแบบเด็กเกิดในกระบอกไม้ไผ่ โดยไม่ต้องอาศัยพื้นความรู้อะไรเลย แม้แต่พระพุทธองค์ หรือไอน์สไตน์ก็เถอะ พ่อขุนรามคำแหงอาจไม่ได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยพระองค์เอง แต่อย่างน้อยก็น่าจะมาจากพระราชดำริของพระองค์ การที่คุณกำลังสงสัยมหาราชพระองค์หนึ่งที่ทรงประดิษฐ์ (หรือดำริให้ประดิษฐ์) ที่เวลาต่อมาพัฒนาเป็นตัวอักษรที่คุณพิมพ์หมิ่นพระเกียรติอยู่เวลานี้ และปกครองดินแดนบริเวณหนึ่งที่เป็นดินแดนของไทยในปัจจุบัน สงสัยจริงๆ ค่ะ ว่าจะสงสัยไปทำไม จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:00:01

ความคิดเห็นที่ 26   หลังๆ อะไรกันนักกันหนาหว่า เอะอะอะไรก็มาตั้งห้องนี้หมด อ่านไม่ออกกันเลย ฤ ไงว่า ห้องนี้เป็นห้องวิทยาศาสตร์ ถามเรื่องภาษาก็ไปห้องที่เกี่ยวกับภาษา ประวัติศาสตร์ ซิครับ ............ คนที่มีสิทธิ์ลบกระทู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ยอมลบ แล้วก็มาบ่นเรื่องความมั่วทีหลังทำไมกันละครับ ....... จากคุณ : monsungja เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:04:41

ความคิดเห็นที่ 27 คห.25 "เค้าพิสูจน์กันแน่ชัดด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้วนะคะ ว่าศิลาจารึกหลักที่ ๑ สร้างขึ้นสมัยสุโขทัยจริง เถียงอะไรกันอยู่หรอคะ ?" มีลิงค์ที่แสดงการพิสูจน์มั้ยครับ  เพราะที่เคยฟังมาเค้าพิสูจน์ด้วยคาร์บอน14แล้ว อายุของหลักศิลาไม่อยู่ในสมัยสุโขทัยครับ เลยสงสัยว่าจริงๆแล้วสร้างสมัยใดกันแน่ จากคุณ : ZXR เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:11:30

ความคิดเห็นที่ 28 http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=10141 จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:14:35

ความคิดเห็นที่ 29 สงสัยก็ถือเป็นการหมิ่นเกียร์ติแฮะ ถ้างั้นผมคงเป็นคนทรามมากเพราะไม่มีอะไรที่ผมเชื่อสนิทใจร้อยเปอร์เซ็น ผมดูหมิ่นคนทั้งโลกหนังสือทุกเล่ม ทฤษฏีทุกฉบับ สินะ แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 53 23:20:27 จากคุณ : bloodsoap_cdaz เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:19:16

ความคิดเห็นที่ 30 แล้วทฤษฎีหรือหนังสือทุกเล่ม มันมีประโยชน์กับชาติของคุณไหมล่ะคะ ? จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:20:48

ความคิดเห็นที่ 31   อยากจะบ้า สงสัยก็ผิดด้วยเว้ย ห้ามถาม จำๆกันไปก็พอใช่ไหม จากคุณ : บ้าจริงๆ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:27:04 A:58.64.111.46 X: TicketID:247931

ความคิดเห็นที่ 32 คุณอ่านดีๆ นะคะ ว่าดิชั้นพูดถึงประเด็นอะไร แล้วคุณถามเรื่องอะไร ดิชั้นว่าคุณหรอ ? จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:29:23

ความคิดเห็นที่ 33   ปล.. cappalism เข้าใจป่าว ป้องกันพวกหัวทองมาใช้ข้ออ้างว่าไร้อารยะธรรม เป็นความฉลาดของคนสมั้ยนั้น การล่าอาณานิคมน่ากลัวมาก เรื่องประวัติศาสตร์น่ะ ถ้าเอาบันทึกมาอ้างอิงกัน ฝรั่งเศสจะบอกว่าเขายึดเราจนเหลือแต่คอ (กทมนั่นแล) แต่เราจะบอกว่า ได้สิวๆข้าง จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมมายกอาณาเขตรอบๆให้เขาไป ตอนแรกก็คิดว่าเรื่องนี้ชาวต่างชาติมันมาหยามพวกเราป่าว ว่าอักษรเราเหมือนของลาว แต่มันช่าง ถ้าใครยังเชื่อแบบที่เขาสอนมาในบทเรียนผมก็ไม่โน้มน้าวคุณ เพราะผมมองไปรอบๆแล้วว่า น่าจะไปค้นหาความจริงเองดีกว่า แล้วเขียนให้แต่คนในตระกูลรู้ก็พอ จากคุณ : kraaaab เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:33:23 A:124.120.69.87 X: TicketID:211923

ความคิดเห็นที่ 34 1.  มีการตีความคำว่า  "ใส่" ในศิลาจารึก เป็น Made โดยยอซ์ เซเดย์   แล้วนักวิชาการไทย ก็แปลคำว่า  Made หมายถึง ประดิษฐ์ อีกที 2. ภาษาไทยมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว  แต่ไม่นิยมใช้   เพราะคนโบราณถือกันว่าถ้าจะใช้ในการบันทึกคัมภีร์ต่างๆอักษรเขมรจะศักดิ์สิทธิ์กว่า แต่ต่อมา  พ่อขุนรามฯ ไม่ใส่ใจเรื่องนั้น  เลยทำ "ใส่" อักษรไทย ลงในศิลาจารึก... 3.  คำว่า  ใส่  นี้  คนละความหมายกับคำว่าประดิษฐ์ เพราะคำที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า ประดิษฐ์  นั้น  สมัยนั้นใช้คำว่า  "สร้าง"   เช่น สร้างป่าหมากป่าพลูทั่วเมือง ฯลฯ ความเห็นของนักประวัติศาสตร์บางท่านจำได้คร่าวๆก็ประมาณนี้ครับ... ----------------------------------------------------------------- ภาคผนวกฉบับเร่งด่วน .- พ่อขุนรามคํแหงหาใคร่ใจ ในใจ แลใส่ลายสืไทนี้ลายสืนี้จึ่งมีเพื่- อขุนผู๋น๋นนใส่ไว๋ พ่อขุนรามคํแหงน๋นนหา เปนท๋าวเปนพรญาแก่ไททงงหลายหาเปน ครูอาจารยส่งงสอนไททงงหลายให๋รู๋ บุนรู๋ธรมมแท๋แต่คนอนนมีในเมือง ยินรยกเมือถาม สวนความแก่มนนด๋วยซื่ ไพร่ใน เมืองสุโขไทนี๋จึ่งชม สร๋างป่าหมากป่าพลูท่ววเมือ- งนี๋ทุกแห่ง ป่าพร๋าวก่หลายในเมืองนี๋ ป่าลาง ก่หลายในเมืองนี๋ หมากม่วงก่หลายในเมืองนี๋ หมากขามก่หลายในเมืองนี๋ ใครสร๋างได๋ไว๋แก่มนน กลางเมืองสุโขมัยนี๋ มีน๋ำตระพงงโพยสีใสกินดี http://olddreamz.com/inscript/sukhothai1.html แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 53 23:38:03 แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 53 23:47:42 แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 53 23:51:27 แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 53 23:53:12 จากคุณ : สหายกุนเชียง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:36:51

ความคิดเห็นที่ 35 เข้ามาแอบอ่าน ความจริง อยากจะนําความรู้ และ ความเข้าใจของผม ตอบด้วยเหมือนกัน แต่..................... กลัว  กฎหมาย  ครับ . แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 16:40:25 จากคุณ : เจ้าเมืองบูรพา เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:43:08

ความคิดเห็นที่ 36 คาร์บอน 14 ถ้าใช้วัดอายุของที่อายุไม่เกิน 1 พันปี ผลจะคาดเคลื่อนได้มาก เพราะการสลายตัวของคาร์บอนยังน้อยเกินไป อีกอย่างคือตัวศิลาจารึก ไม่แน่ใจว่าจะมีส่วนประกอบที่เป็นสารอินทรีย์อยู่ด้วยหรือไม่ ถ้าไม่มีหรือมีน้อยมากก็วัดยากมากด้วย ส่วน คห 19 ไม่แน่ใจว่าต้องการสื่อถึงอะไรนะครับ แต่พูดตามจริงก็คือ ต่อให้พระองค์ไม่ได้ทำเองแล้วมันจะแปลกอะไรครับ ถ้าเกิดว่าพระองค์เป็นผู้ทรงดำริให้จัดสร้างขึ้น แล้วให้บรรดาปราชญ์ในราชสำนักช่วยกันคิดช่วยกันทำมาถวายเพื่อทรงพิจารณาและมีพระราชวินิจฉัยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะประกาศใช้ ก็ต้องให้เครดิตกับพระองค์เหมือนกัน เพราะถ้าคิดว่า คนเริ่มคิดแต่ไม่ได้ลงมือทำเอง ไม่สมควรได้เครดิตแล้วละก็ ป่านนี้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเกือบทุกคนคงต้องถูกถอดถอนตำแหน่งวิชาการกันเกือบหมดแล้วครับ เพราะผลงานวิจัยของแต่ละท่าน มีซักกี่ชิ้นเชียวที่ท่านลงมือทำเป็นตัวหลักจริงๆ ส่วนมากก็จะกระจายงานให้ผู้ช่วยฯ หรือเด็กนักศึกษาเป็นคนลงแล็บเกือบทั้งนั้น อาจารย์ส่วนมากก็เป็นคนเริ่มต้นคิด และวางแผนการทำงาน ก่อนจะสรุปภาพรวมของงานเพื่อนำเสนออีกทีเท่านั้นเอง จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:46:16

ความคิดเห็นที่ 37 กราบบบบบบบบบ จากคุณ : artherices เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:48:17

ความคิดเห็นที่ 38 แย้ง คห 27 คาบอน14 ใครจะกล้าเอาไปตรวจ การตรวจใช้มวล มากครับ ต้อง กระเทาะ ออกซึ่งไม่มีใครทำหรอกครับ ส่วน ถ้าเข้าตรวจ คาบอน 14 จริง มันจะกลายเป็นอายุหิน แทนที่จะเป็น อายุการสร้างแทนนะครับ การฟังตามกันมาต้องกรั่นกรองให้ดีครับ แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 53 23:51:09 จากคุณ : โลกต้องตะลึง เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:50:19

ความคิดเห็นที่ 39 เอาเป็นต้นฉบับมาดีกว่า เหอๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 00:03:16 จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:59:57

ความคิดเห็นที่ 40 ดีค่ะ อ้างอิงให้ถูกต้องตามหลักวิชาการด้วย แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 00:04:32 จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:03:04

ความคิดเห็นที่ 41 อาณาจักรสุโขทัย ใช่ที่เดียวกับ จ.สุโขทัยหรือเปล่า จากคุณ : เบิ้มจัง เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:05:22

ความคิดเห็นที่ 42 ความคิดเห็นที่ 30   [ถูกใจ]  [แจ้งลบ]   แล้วทฤษฎีหรือหนังสือทุกเล่ม มันมีประโยชน์กับชาติของคุณไหมล่ะคะ ? จากคุณ : OkamasunG` [Bloggang] เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 23:20:48 [แก้ไข] เกี่ยวอะไรกับชาติ? จากคุณ : ท่านประธานบริษัท เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:06:49

ความคิดเห็นที่ 43 ศูนย์กลางทางอำนาจ เรียกตามราชธานี คือ กรุงสุโขทัย ก็อยู่ที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัยค่ะ แต่อาณาจักรมีพื้นที่กว้างขวางกว่านั้น หากแต่ยากที่จะระบุอาณาเขตค่ะ จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:07:52

ความคิดเห็นที่ 44 ความคิดเห็นที่ 29     สงสัยก็ถือเป็นการหมิ่นเกียร์ติแฮะ ถ้างั้นผมคงเป็นคนทรามมากเพราะไม่มีอะไรที่ผมเชื่อสนิทใจร้อยเปอร์เซ็น ผมดูหมิ่นคนทั้งโลกหนังสือทุกเล่ม ทฤษฏีทุกฉบับ สินะ หนังสือและทฤษฎีทุกอย่างในโลกเกี่ยวอะไรกับพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ที่ำทำประโยชน์ให้กับชาติ ? จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:10:08

ความคิดเห็นที่ 45 ส่วนนี้น่าจะเป็น พ.ศ. 1400 นะครับ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:13:21

ความคิดเห็นที่ 46 อักษรขอมก่อนที่จะมาเป็นอักษรไทยกลาง ซึ่งอักษรไทกลุ่มอื่นนั้นกลับมีอิธิพลมาจากตัวอักษรมอญ-พม่าทั้งนั้น มีแต่ไทยกลางนี่แหละครับที่ดัดแปลงมาจากขอม จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:15:50

ความคิดเห็นที่ 47 อักษรไทล้านนาก็มีอิทธิพลมาจากไทลื้อ แต่ว่าก่อนที่จะใช้อักษรไทลื้อก็มีการใช้อักษรไทยกลางมาก่อน ส่วนอักษรลาว หรือ อักษรล้านช้างก็นำอักษรไทยกลางไปดัดแปลง ทำให้เรายังคลับคล้ายคลับคลากับการอ่านอักษรลาวได้ ส่วนอักษรไทกลุ่มอื่น ไม่สามารถอ่านได้ออกเลย แต่ถ้าได้ยินเสียงอ่าน ล่ะ อ๋อกันหมด จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:19:19

ความคิดเห็นที่ 48 แผนภูมิกำเนิดตัวอักษร จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:20:19

ความคิดเห็นที่ 49 แบบตัวอักษรพ่อขุนรามคำแหงเปรียบเทียบกับปัจจุบัน จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:21:28

ความคิดเห็นที่ 50 เพลงไตลื้อ จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:26:28

ความคิดเห็นที่ 51 เพลงฉาน (ไตโหลง หรือ ไทยใหญ่ในพม่า) จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:28:18

ความคิดเห็นที่ 52 ขออนุญาตแลกเปลี่ยนประสบการณ์นะคะ 1. คนไทยมาจากไหนยังไม่เป็นสรุป ข้อสันนิษฐานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ มาจากทางตอนใต้ของจีน 2. ซูเมอร์ หรือสุเมเรียน คือ ชนชาติแรกที่ประดิษฐ์ตัวอักษรที่ไม่ใช่ภาพ โดยใช้ลิ่มตอกลงบนแผ่นดินเหนียว เรียกว่า คิวนิฟอร์ม หรืออักษรลิ่ม ในแหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย 3. รัชกาลใช้เรียกแทนพระมหากษัตริย์สมัยรัตนโกสินทร์เท่านั้น เช่น รัชกาลที่ ๕ หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 4. จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:29:49

ความคิดเห็นที่ 53 เพลงไตขืน จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:30:58

ความคิดเห็นที่ 54 เวลาต่างชาติฟังเพลงไทยคงได้อารมณ์ประมาณนี้ล่ะนะ จากคุณ : =Por= เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:34:18

ความคิดเห็นที่ 55 #53 โอ้ย รับไม่ได้กับความเชยยยยย จากคุณ : axquest เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:48:42

ความคิดเห็นที่ 57 หลักศิลาจารึก ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่4 ครับ ด้วยฝีมือของใครบางคนที่ชำนาญเรื่องภาษาโบราณ จากคุณ : ที่นี่สารขัณฑ์แลนด์ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 00:59:03 A:74.207.250.241 X: TicketID:276906 ขอหลักฐานประเด็นนี้ด้วยค่ะ จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 01:02:40

ความคิดเห็นที่ 58 ยอง สำเนียง คล้ายๆกับไทยลื้อเลยพวกนี้คุยสำเนียงเดียวกันฟังน่ารักดี จากคุณ : หลับสามเด้ง เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 01:03:41

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณ คุณ in-situ ที่แสดงหลักฐานให้เห็นจะจะ เท่าที่จำได้อาจารย์ ป.โท ท่านหนึ่งเคยบรรยายวิชาการเมืองการปกครอง  อธิบายเชิงวิเคราะห์สมัยสุโขทัยว่า  กษัตริย์สมัยนั้นจำเป็นต้องเลือกรับอักษรขอมมาใช้ และเลือกนับถือศาสนาพุทธเหมือนพม่า  เพื่อให้มีอะไรที่เป็นจุดเชื่อมต่อกับอาณาจักรทั้งสองในลักษณะสวามิภักษ์กลายๆ  และัชัยภูมิของสุโขทัยก็อยู่ระหว่างอาณาจักรทั้งสอง  เสมือนเป็นอาณาจักรกันชน  จึงต้องประนีประนอมกับทุกฝ่าย ยุคแรกๆประชาชนก็ยังมีน้อยคงมีเฉพาะชนเผ่าที่อพยพมาพร้อมกัน  กษัตริย์จึงต้องปกครองแบบอบอุ่น คือ พ่อปกครองลูก ใครเดือดร้อนไปตีระฆังเรียกได้  ภาษีก็ไม่เก็บเหมือนส่วยขอม "ใครใคร่ค้าช้างค้า ค้าม้าค้า" เพื่อดึงดูดคนที่ถูกกดดันเรื่องภาษีและลัทธิบูชาเทว ถูกจับบูชายัญจากขอม  รวมทั้งพวกชนเผ่าที่นับถือพุทธจากฝั่งพม่า  เข้ามาอยู่ในอาณาจักร  ซึ่งยุคนั้นปัจจัยการผลิต คือ แรงงานเกษตรเพื่อสะสมเสบียงอาหาร และสามารถแปรสภาพเป็นทหารเมื่อมีการรบ เมื่อยุทธศาสตร์การปกครองสมัยสุโขทัยเป็นดังกล่าว  จึงเกิดการ "ใส่" อักษรสมัยพ่อขุนราม  เกิดการรวบรวมเรื่องราวทางพุทธศาสนาในสมัยพญาลิไท คือ ไตรภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง (อ่านยากจริงๆ แต่ยังง่ายกว่าพระไตรปิฎก) จากนั้นสุึโขทัยก็เจริญขึ้นเป็นลำดับ  ตรงข้ามกับขอมที่โหดกว่าก็เลยเจ๊งลงเรื่อยๆ  ทิ้งปราสาทเขาพระวิหารไว้ให้ลูกหลานทะเลาะกันทุกวันนี้ ส่วนอยุธยาเองก็เลียนแบบสุโขทัย  คือ แอบๆสร้างบ้านแปงเมืองจนเข้มแข็งขึ้นเป็นลำดับ  กระทั้งผงาดขึ้นเป็นเมืองหลัก ปราบปรามเมืองอื่นๆเป็นเมืองขึ้นรวมทั้งสุโขทัยในที่สุด  แต่อิทธิพลของภาษาเขียนสุโขทัยก็แพร่กระจายไปนานแล้ว  กลายเป็นภาษาหลักของอยุธยาเช่นกัน (ถ้าจำไม่ผิด) แต่ความเจริญเติบโตอย่างไรก็ถึงขีดสุด  เหมือนผลไม้ที่สุกคาต้นแล้วต้องถูกคนอื่นสอยลงมาครอบครอง หรือ  "เน่าจากภายใน" แล้วร่วงลงมาเอง จนเสียกรุงถึง 2 ครั้ง หวังว่าบ้านเราตอนนี้คงยังไม่ถึงขั้นนั้นนะ จากคุณ : ไตรตรึงษ์สวรรค์ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 01:04:00

ความคิดเห็นที่ 60 เอาล่ะค่ะ การคิดแบบตั้งข้อสงสัยเป็นสิ่งดีของวิทยาศาสตร์ เพราะจะได้พิสูจน์เรื่องราวต่างๆ ว่าจริงหรือเท็จ สำหรับเรื่องราวในอดีต ประวัติศาสตร์ศึกษาจากหลักฐานเท่าที่ปรากฏและเชื่อถือได้ ในเมื่อหลักฐานเท่าที่พบตอนนี้สรุปว่า ศิลาจารึกหลักที่ ๑ สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และแสดงว่าพระองค์ก็ทรงประดิษฐ์ (หรือทรงมีพระราชดำริให้ประดิษฐ์) อักษรลายสือไท ซึ่งพัฒนาเป็นอักษรไทยในปัจจุบัน ก็ควรเชื่อตามนั้นจนกว่าจะมีหลักฐานใหม่มาเปลี่ยนแปลงหรือหักล้าง อย่าเหมารวมกับประวัติศาสตร์ไทยบางเรื่องที่เป็นการสร้าง แต่งเติม หรือบิดเบือน เพื่อผลประโยชน์ทั้งทางการเมือง หรืออื่นๆ อย่าให้การคิดแบบตั้งข้อสงสัย กลายเป็นการคิดแบบ "เน่าจากภายใน" อีกเลยค่ะ ประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอย จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 01:26:21

ความคิดเห็นที่ 61 ความคิดเห็นที่ 60   [ถูกใจ]  [แจ้งลบ]   เอาล่ะค่ะ การคิดแบบตั้งข้อสงสัยเป็นสิ่งดีของวิทยาศาสตร์ เพราะจะได้พิสูจน์เรื่องราวต่างๆ ว่าจริงหรือเท็จ สำหรับเรื่องราวในอดีต ประวัติศาสตร์ศึกษาจากหลักฐานเท่าที่ปรากฏและเชื่อถือได้ ใน เมื่อหลักฐานเท่าที่พบตอนนี้สรุปว่า ศิลาจารึกหลักที่ ๑ สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และแสดงว่าพระองค์ก็ทรงประดิษฐ์ (หรือทรงมีพระราชดำริให้ประดิษฐ์) อักษรลายสือไท ซึ่งพัฒนาเป็นอักษรไทยในปัจจุบัน ก็ควรเชื่อตามนั้นจนกว่าจะมีหลักฐานใหม่มาเปลี่ยนแปลงหรือหักล้าง อย่าเหมารวมกับประวัติศาสตร์ไทยบางเรื่องที่เป็นการสร้าง แต่งเติม หรือบิดเบือน เพื่อผลประโยชน์ทั้งทางการเมือง หรืออื่นๆ อย่าให้การคิดแบบตั้งข้อสงสัย กลายเป็นการคิดแบบ "เน่าจากภายใน" อีกเลยค่ะ ประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอย จากคุณ : OkamasunG` [Bloggang] เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 01:26:21 [แก้ไข] จะให้เขาควรเชื่อตามนั้นเลยก็ไม่ดีละมั้งครับผมว่า ก็ไอ้หลักฐานใหม่ๆ ที่คอยมาลบล้างแนวคิดเดิมๆเนี่ยะ มันก็มากจากคนที่ไม่เชื่อ ไม่ใช่หรือครับ จากคุณ : ท่านประธานบริษัท เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 01:37:58

ความคิดเห็นที่ 62 จริงๆ ทำไมคนไทย ไม่ศึกษาภาษาไทยด้วยภาษาศาสตร์บ้าง แม้แต่ปัจจุบัน ภาษาไทย ยังสอนสั่งกันในโรงเรียนด้วย ไวยากรณ์ดั้งเดิม ที่โบราณ กันอยู่   ลองศึกษา ภาษาศาสตร์ประวัติศาสตร์ภาษาไท กะได ดูนะครับจะตระหนักว่า ภาษาในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงคือ ของจริงและในสมัย รัชกาล ที่ ๔ ไม่น่าจะมี คนไทย คนไหน หรือฝรั่งหน้าไหน แม้แต่เซเดย์ ที่ปลอมภาษาไทย ได้ตรงตามหลัก ภาษาศาสตร์ประวัติศาสตร์ได้ดีขนาดนั้น ซึ่งความรู้ทางภาษาศาสตร์ประวัติศาสตร์ภาษาตระกูลไทยเพิ่งจะเริ่มมีการพัฒนา โดยผลงาน ของ  Li Fang Kuei เมื่อปี คศ ๑๙๗๗ นี้เอง อ่านหนังสือที่บอกว่า จารึกไม่จริง แล้วขำทุกที อยากให้ ดร หรือ ผู้เชี่ยวชาญ พาเวียน พวกนี้ ไปลงเรียนวิชาภาษาศาสตร์บ้าง เผื่อจะได้ตาสว่างบ้างนะครับ หนังสือที่แนะนำให้นักประวัติศาสตร์ที่ต้องการรู้ความจริงเกี่ยวกับ หลักศิลาจากรึกอ่าน ก่อนจะตัดสินใจว่า หลักศิลาจารึก นี้ของจริงหรือปลอมคือ 1. Li, Fang Kuei (1977) A Handbook of Comparative Tai. The University of Hawaii 2. Brown, JM (1985) From Ancient Thai to Modern Dialects. White Lotus 3. Hudak, TJ (2008) William J. Gedneys Comparative Tai Source Book. University of Hawaii Press อย่าให้ ออสซี่ ที่เกลียดคนผิวเหลือง นั่งขำ ที่หลอกให้คนไทยทะเลาะกันได้ และด่าไปถึงบรรพบุรุษ ปล หนังสืออาจจะยากเล็กน้อย ถ้าไม่มีความสัทศาสตร์และสัทวิทยา แต่ รับรองว่าอ่านได้ เพราะผมเรียนจบสายชีววิทยา ไม่ได้จบภาษาศาสตร์ก็อ่านได้ครับ หากใครอ่านไม่เข้าใจก็หลังไมค์มาถามได้ครับ เล่ม ๑ และ๓ น่าจะหาซีร็อกตามห้องสมุดเอา แต่ เล่ม ๒ มีขาย อยู่นะครับ จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 01:53:38

ความคิดเห็นที่ 63 อยากรู้ว่าหลักศิลาจารึกอายุเท่าไหร่ ผมว่าลองตรวจสอบคาร์บอนดูสิครับ จากคุณ : หลับสามเด้ง เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 01:55:37

ความคิดเห็นที่ 64 #60 1. คนที่เค้าสงสัยก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งเติม 2. ไม่ควรเชื่อตามนั้นไปก่อน การศึกษามันมีทั้งคนที่พยายามกลบจุดอ่อนของทฤษฏี มีคนที่พยายามหาหลักฐานเพิ่มจุดแข็ง และคนที่พยายามจะโจมตีจุดอ่อน ถ้าทฤษฏีถูกต้องจริง คนที่พยายามโจมตีจุดอ่อนเพื่อหักล้างก็บ๊อท่าไปเอง ถ้าทฤษฏีถูกต้องจริง ยิ่งเจอคนพยายามโจมตีก็มีแต่จะเพิ่มหลักฐานให้ตัวทฤษฏีนั้นเอง ปล ประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริงเสมอ บันทึกมีหลายเล่มแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเล่มไหนถูก ขนาดเพื่อนสองคนทะเลาะกันเอง เหตุการณ์เดียวกันมันก็ยังพูดไม่เหมือนกันเลย จะรู้ว่าเรื่องเป็นยังไงก็ต้องฟังความหลายๆ ด้าน ถ้าคุณดันฟังเพื่อนคนแรกแล้วคุณเชื่อคุณก็คิดว่าเพื่อนอีกคนนะแหละที่ผิด แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 02:02:34 จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 01:55:47

ความคิดเห็นที่ 65 ผมรู้แต่ ภาษาไทย เขียนออกเสียงได้ทุกภาษาทั่วโลกครับ Michael คุณอยากอ่าน "ไมเคิล" ... ไทยก็เขียนได้ คุณอยากอ่าน "มิคาเอล" ไทยก็ให้ท่านได้อีก มีภาษาไหน ที่ไม่ตาย ดิ้นได้แบบภาษาไทยบ้างงงงงงงงงงงงง หรือใครจะเอา "มิเชล" ภาษาไทยยังเขียนให้ท่านได้เลย จากคุณ : เอสซึ... เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 02:01:21

ความคิดเห็นที่ 66 เอามาฝากครับ http://www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=8003.0 จากคุณ : ทัชชี่ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 02:04:03

ความคิดเห็นที่ 67 ความคิดเห็นที่ 65     ผมรู้แต่ ภาษาไทย เขียนออกเสียงได้ทุกภาษาทั่วโลกครับ Michael คุณอยากอ่าน "ไมเคิล" ... ไทยก็เขียนได้ คุณอยากอ่าน "มิคาเอล" ไทยก็ให้ท่านได้อีก มีภาษาไหน ที่ไม่ตาย ดิ้นได้แบบภาษาไทยบ้างงงงงงงงงงงงง หรือใครจะเอา "มิเชล" ภาษาไทยยังเขียนให้ท่านได้เลย จากคุณ : เอสซึ...     เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 02:01:21     -------------------------------------------------------------- ถ้าให้พูดตามตรง คือ "ไม่จริง" ครับ ขนาดในภาษาอังกฤษเองที่คนไทยคิดว่าคุ้นเคยที่สุด เอาเข้าจริงก็มีตัวอักษรหลายๆ ตัวที่ไม่ตรงกับเสียงใดเลยในภาษาไทย ทำได้อย่างมากคือลากให้ใกล้เคียงที่สุด เช่นตัว G (ในคำว่า Go), J, V, Z, Th (The), Th (Three) ฯลฯ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 02:56:53

ความคิดเห็นที่ 68 ถ้าให้พูดตามตรง คือ "ไม่จริง" ครับ ขนาดในภาษาอังกฤษเองที่คน ไทยคิดว่าคุ้นเคยที่สุด เอาเข้าจริงก็มีตัวอักษรหลายๆ ตัวที่ไม่ตรงกับ เสียงใดเลยในภาษาไทย ทำได้อย่างมากคือลากให้ใกล้เคียงที่สุด เช่นตัว G (ในคำว่า Go), J, V, Z, Th (The), Th (Three) ฯลฯ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ผมก็ยังว่าภาษาไทยดิ้นได้อยู่ดีนะครับ... คุณเกียรติน่า เอาแค่คำว่า Go ก็ได้ ต่อให้อยากออกเสียงให้แปลกแค่ไหน.... โก.... , โกวซู่ววววววว, โก้วววววววว, กะโล่, กู...... โกรรรรร, โกวววววว, โจ, โจวววว, โคว ไทยเค้าก็เขียนได้ แต่ถูกหลักไวยากรณ์หรือเปล่า มันก็คืออีกเรื่องนึง แต่ถ้าเอาแค่หลักการออกเสียง...ผมมั่นใจว่าภาษาไทย เขียนไปได้หมด..... ถ้าเน้นแค่การออกเสียงนะ เพิ่มให้อีกคำ The จะอ่านว่า เดอะ, ดิ, ดิธเถอะ คำไทยก็เขียนให้อ่านออกเสียงได้หมด... แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 03:08:03 จากคุณ : เอสซึ... เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 03:06:26

ความคิดเห็นที่ 69   คำว่า Duke เขียนให้ออกเสียงด้วยภาษาไทยไม่ได้ครับ จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 03:14:26 A:125.24.25.73 X: TicketID:281166

ความคิดเห็นที่ 70   ต่ออีกนิด ... ภาษาใด ๆ ก็ไม่สามารถเขียนให้ออกเสียงคำในอีกภาษาหนึ่งได้เป๊ะ ๆ หรอกครับ เรื่องภาษาก็เป็นเรื่องที่เราควรภูมิใจครับ ... แต่อย่าภูมิใจจนงมงายแล้วงี่เง่าจะดีที่สุด รู้ว่าทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ รู้ข้อดี ข้อเด่น ยอมรับ ข้อด้อยและขีดจำกัด แล้วเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจะดีกว่า จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 03:24:33 A:125.24.25.73 X: TicketID:281166

ความคิดเห็นที่ 71 อย่ายกยอ ภาษาไทย ถึงขนาด เขียนคำออกเสียงได้ทุกภาษาเลยครับ ภาษาไทยเรามีความสวยงามจริงอยู่ แต่ภาษาไทยเราก็ไม่สามารถเขียนคำออกเสียงให้เหมือนภาษาอื่นได้หรอกครับ แค่มากกว่าภาษาอื่น ที่เราคุ้นเคยก็เท่านั้น จากคุณ : ชื่อนี้ไม่มีคนรู้จัก เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 06:27:06

ความคิดเห็นที่ 72 อันที่จริงกลุ่มภาษาของเราอยู่ในกลุ่ม ไทกะได มันก็ยืมๆใช้วนไปเวียนมาตามแถบนี้ เลยเกิดความคล้ายคลึงกัน ถ้าวัดกันจากภาษาจริงๆ คนไทมาจากไหน ก็คงเดินวนไปวนมากันแค่นี้แหล่ะครับ ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมพ่อขุนถึงคิดทำอักษรใหม่ คำตอบคือ ตอนนั้นขอมมีอิทธิพลมากครับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม พ่อขุนจึงเลือกที่จะแยกตัวเองออกมาจากขอม และการที่จะแยกนั้น ก็ต้องมีบางส่วนเป็นของตัวเองด้วยครับ ทำนองว่า เราไม่ขึ้นกับนายนะ พ่อขุนเลยดัดแปลงอักษรขอมเข้าทำนองได้รับแรงบันดาลใจ  มาเป็นอักษรสุโขทัย และเพี้ยนมาเป็นอักษรไทยในภายหลัง อีกทั้งยังอุปถัมพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ซึ่งขัดกับคนสมัยก่อน ที่นับถือมหายาน+พราหมณ์+ผี เลยทำให้ตัวเองดูปลีกแยกไปอีก เมื่ออยุธยา เติบโตจากเมืองเล็กๆ กลายเป็นอาณาจักรและมีการปกครองแบบผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ ช่วงต้น น่าจะได้รับอิทธิพลจากสุโขทัยบ้าง เพราะเป็นเมืองเกิดทีหลัง แต่นานๆเข้า ก็โตออกๆ จนสุดท้าย แข่งกับสุโขทัย และกลืนกันไป แบบอักษรจึงโอนต่อเข้ามาพร้อมกันด้วย จนล่มเพราะพม่าเข้าตี และเปลี่ยนมาเรื่อยๆจนกรุงธน และเข้าสู่รัตนโกสินครับ รูปแบบการเขียนกลายเพีัยนมาเป็นอักษรไทยอยู่ทุกวันนี้ ส่วนศิลาจารึก ของแท้หรือปลอม ผมไม่สันทัด แต่มีโจ๊กเล่นๆว่า ชาวสุโขทัยเคยประท้วงนักวิชาการที่กล่าวหาว่าศิลาจารึกเป็นของปลอม แต่เมื่อเจอหน้ากัน นักวิชาการถามว่าในที่มาประท้วงนี่ มีใครอ่านศิลาจารึกออกบ้าง กลับไม่มีสักคน - -! แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 06:49:53 จากคุณ : CaminoReal เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 06:47:09

ความคิดเห็นที่ 73 ตัวเลขไทยกับตัวเลขเขมรเป็นแบบเดียวกัน!!! ๑๒๓๔๕๖๗๘๙๐ จากคุณ : bermAggie เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 08:10:35

ความคิดเห็นที่ 74 รำคาญพวกคลั่งชาติจังเลย... การสงสัยแล้วถาม นี่ล่ะวิทยาศาตร์ สงสัย=ลบหลู่เกียรติบูรพกษัตริย์ คืออะไร ...วิธีคิดของมนุษย์ในประเทศด้อยพัฒนา? ปล. คนทำวิทยานิพนธ์เรื่องย่าโมถูกประท้วง+เผาหนังสือ+ไม่ให้เข้าโคราช+และถูกถามว่าเป็นคนลาวหรือเปล่า??? จากคุณ : สันป่าตอง เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 09:39:38

ความคิดเห็นที่ 75 จากคุณ : ไม่พูดดีกว่า (ลูกจ้างดีเด่น) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 09:46:46

ความคิดเห็นที่ 76 http://www.midnightuniv.org/midnight2544/newpage22.html พิสูจน์ศิลาจารึกหลักที่ ๑ การตรวจพิสูจน์ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ ชัชวาล ปุญปัน ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จารึกพ่อขุนรามคำแหง วรรณคดีประวัติศาสตร์การเมืองแห่งกรุงสยาม นิธิ เอียวศรีวงศ์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน http://angeduriz.ไม่อนุญาตให้โฆษณา/reviews/item/35 ศรีศักร”ฟันธง ศิลาจารึกหลักที่ 1 สร้างหลังพ่อขุนรามฯ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการ นักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา ชาวไทย เจ้าของรางวัลวัฒนธรรมเอเชียฟูกูโอกะ ประจำปี พ.ศ. 2550 http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=470426104356 หนังสือ : ศึกศิลาจารึก - สุจิตต์ วงษ์เทศ รวมบทความวิชาการ "จับพิรุธ" จารึกพ่อขุนรามคำแหง โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์, ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม, พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ และ ไมเคิล ไรต์ จากคุณ : ของเป็น Skeptic ในหัวใจเธอ? (สันป่าตอง) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 09:51:22

ความคิดเห็นที่ 77 ความคิดเห็นที่ 6   [ถูกใจ]  [แจ้งลบ]   มีคนบอกว่าศิลาจารึก สร้างขึ้นสมัย ร.4 จริงรึเปล่าครับ จากคุณ : ZXR (ZXR) เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 53 20:56:13 [แก้ไข] *------------------------------------------------------------------------------ คงมีการเข้าใจผิดแล้วมั้งครับ นั้นหมายถึงการประดิษฐ์ตัวอักษร รูปแบบปัจจุบัน ที่ใช้ในการพิมพ์มากกว่ามั้งครับ รู้สึกถ้าจำไม่ผิดหมอบลัดเลย์จะเป็นคนออกแบบ ตัวอักษรที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ คิดเอาง่ายๆ ก็แล้วกันว่าสมัยอยุธยาเขาก็มีการส่ง สารกันแล้ว แสดงว่าต้องมีตัวอักษรใช้มากันก่อนหน้านั้นนานแล้ว จากคุณ : vars เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 09:52:09

ความคิดเห็นที่ 78 ลงชื่อเสพย์ ดราม่า จากคุณ : หนุ่มบ้านไกล เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 10:44:49

ความคิดเห็นที่ 79 บางทีปัญหามันก็มาจากคนที่ตอบแบบประชดว่า ที่นี่ประเทศไทย ,ปัญหาแบบนี้อย่าถาม ,เขาห้ามเราสงสัย ,สารขัณฑ์แลนด์ ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 10:49:17 จากคุณ : Phoenix032 เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 10:48:40

ความคิดเห็นที่ 80 ^ จริงนะ อย่างกระทู้นี้ ไม่เห็นมีใครบอกว่าห้ามสงสัย มีแต่พวกที่พยายามแสดงตนว่าโดนรังแก โดนปิดปากห้ามพูดทั้งนั้น ถ้ามันเป็นเรื่องที่ห้ามสงสัย ซาบซึ้งได้อย่างเดียว ป่านนี้กระทู้คงถูกลบไปแล้ว จากคุณ : ซินเดอเรล่า เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:07:34

ความคิดเห็นที่ 81 Agree with #79, 80 จากคุณ : สักวันฉันจะอ้วนกลม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:17:50

ความคิดเห็นที่ 82 ไม่มีอะไรมา Copy และพัฒนาเพราะสมัยนั้นยังไม่มีสิทธิบัตร ว่าด้วยตัวอักษรเลยไม่มีอาณาจักรไหนประท้วง อาณาจักรไหนรู้ภาษาและอ่านภาษาของอาณาจักรอื่นจะได้เปรียบ อาณาจักรไหนที่อ่านภาษาของอาณาจักรอื่นไม่ออกก็จะเสียเปรียบไป เลยเข้าใจความรู้สึกของคนยุคนั้นต้องมีอะไรเป็นของตัวเอง โดยจะเอาภาษาอื่นมาดัดแปลง ตัวอย่างง่ายๆ อักษรภาษาลาวกับไทย น ม เรายังโดนสับขาหลอกมาหลายครั้งแล้วสำหรับคนไปเที่ยวลาวใหม่ๆ จากคุณ : march_k เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:30:37

ความคิดเห็นที่ 83   หลักฐานที่เป็นบทความแสดงออกมายังไม่มีบทความไหนทดสอบแบบ C-14 และมีคนแย้งว่า อย่าเอาอายุหินมาวัด สมมติ อายุหิน 200 ปี แต่ภาษาน่าจะเกิดมากกว่า 700 ปี มันหมายความว่ายังไงครับ? ปล.พิสูจ C-14 มันก็ยากอยู่นะ ปล2.ทำไม่ได้หรือไม่อยากให้ทำ จากคุณ : kanester เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:33:29

ความคิดเห็นที่ 84 จะให้เขาควรเชื่อตามนั้นเลยก็ไม่ดีละมั้งครับผมว่า ก็ไอ้หลักฐานใหม่ๆ ที่คอยมาลบล้างแนวคิดเดิมๆเนี่ยะ มันก็มากจากคนที่ไม่เชื่อ ไม่ใช่หรือครับ จากคุณ : ท่านประธานบริษัท "ก็ควรเชื่อตามนั้นจนกว่าจะมีหลักฐานใหม่มาเปลี่ยนแปลงหรือหักล้าง"   ในกระทู้นี้เท่าที่อ่านมา ยังไม่พบหลักฐานใหม่ที่น่าเชื่อถือ จากคนที่ไม่เชื่อเลยนะคะ มีแต่การเหมารวมว่าประวัติศาสตร์ชาติตัวเองเป็นดราม่าและคลั่งชาติทั้งหมด เหมือนกรณีท้าวสุรนารี เอาเถอะค่ะ ดิชั้นอาจจะคลั่งชาติที่ด้อยพัฒนาของดิชั้น แต่ก็แปลกนะคะ คลั่งชาติอย่างดิชั้นไม่เคยดูถูกประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมของชาติอื่น จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:37:33

ความคิดเห็นที่ 85 ห้องนี้ต่างจากห้องอื่น ตรงที่เราเอาหลักฐาน ข้อเท็จจริงมาหักล้างกันนะครับ... การเอาอารมณ์ อคติ และ อัตตา มาเป็นส่วนประกอบในการตัดสินข้อเท็จจริงนั้น ไม่ใช่สภาวะที่เกิดขึ้นในโต๊ะหว้ากอนะครับ... ถ้าใครกล่าวอ้างถึงคำตบ ก็ควรมีที่มาที่เป็นหลักฐานชัดเจนครับ ส่วนหลักฐานจะน่าเชื่อถือหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณผู้อ่านครับ... เราไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้ผู้อ่านเชื่อฟังเราครับ... โอม ดราม่าจงผ่านไป เพี้ยง...... จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:43:31

ความคิดเห็นที่ 86 บิลเกต เป็นคนสร้าง Windows หรือเปล่าครับ จากคุณ : ขอชื่อที่รักจ๋า ณ พันทิป เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:44:21

ความคิดเห็นที่ 87 ก็ควรเชื่อตามนั้นจนกว่าจะมีหลักฐานใหม่มาเปลี่ยนแปลงหรือหักล้าง"   ในกระทู้นี้เท่าที่อ่านมา ยังไม่พบหลักฐานใหม่ที่น่าเชื่อถือ จากคนที่ไม่เชื่อเลยนะคะ มีแต่การเหมารวมว่าประวัติศาสตร์ชาติตัวเองเป็นดราม่าและคลั่งชาติทั้งหมด เหมือนกรณีท้าวสุรนารี เอา เถอะค่ะ ดิชั้นอาจจะคลั่งชาติที่ด้อยพัฒนาของดิชั้น แต่ก็แปลกนะคะ คลั่งชาติอย่างดิชั้นไม่เคยดูถูกประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมของชาติอื่น จากคุณ : OkamasunG` แล้วมันผิดตรงไหนที่คนที่จะไม่เชื่อตามหลักฐานที่มีอยู่ ผมละงงจริงๆ กับประโยค "ก็ควรเชื่อตามนั้นจนกว่าจะมีหลักฐานใหม่มาเปลี่ยนแปลงหรือหักล้าง" ถ้าแบบนั้นแล้วใครมันจะเป็นคนหาหลักฐานมาหักล้างละครับ ความไม่เชื่อและความสงสัยมากกว่าที่พลักดันขับเคลื่อนโลก ผมไม่คลั่งชาติ แต่ก็แปลกนะครับ ผมไม่ชมตัวเอง และไม่ดูถูกคนไม่เชื่อ จากคุณ : ท่านประธานบริษัท เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:49:18

ความคิดเห็นที่ 88 ถ้าแบบนั้นแล้วใครมันจะเป็นคนหาหลักฐานมาหักล้างละครับ ความไม่เชื่อและความสงสัยมากกว่าที่พลักดันขับเคลื่อนโลก จากคุณ : ท่านประธานบริษัท ไม่เถียงค่ะ ว่าความไม่เชื่อและสงสัยเป็นส่วนหนึ่งของพลังที่ขับเคลื่อนโลก แต่ถ้าความสงสัยหรือไม่เชื่อนั้นมันมาจากอคติ ไม่มีหลักฐาน คิดโยงเรื่องนั้นกับเรื่องนี้เอาตามความอยากจะให้เป็นของตัวเอง อันนี้เป็นพลังแบบไหนคะ ดิชั้นอาจจะคลั่งชาตินะคะ แต่ก็แปลกที่ไม่พยายามลากความจริงกับความพยายามเชื่อ เข้าด้วยกัน แม้ว่ามันจะหลงประเด็น จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 11:59:21

ความคิดเห็นที่ 89 ประเด็นเรื่องศิลาจารึกหลักที่นั้น คนที่ออกมาเสนอความคิดแย้งกับประวัติศาสตร์ในกระแสหลักเป็นคนแรกคือ "อ.พิริยะ ไกรฤกษ์" อดีตผู้อำนวยการสถาบันไทยศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้ออกหนังสือเล่มหนึ่งในปี 2532 คือ "จารึกพ่อขุนรามคำแหง : การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ" ซึ่งจะกลายมาเป็นการเปิดประเด็นถกเถียงตามมาอีกมาย อ.พิริยะเสนอว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1 นั้นทำขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยประเด็นโต้แย้งหลักๆที่สำคัญ เช่น ประการแรกคือ เรื่องของรูปทรงศิลาจารึกหลักที่หนึ่งที่ไม่เหมือนกับหลักอื่นๆที่พบในสมัยเดียวกัน โดยรูปทรงทั่วไปที่พบในขณะนั้นคือเป็นแผ่นหินใหญ่ๆ แบนๆ ในขณะที่หลักที่หนึ่งจะเป็นแบบปริซึม บนยอดมนเข้าหากัน ประการต่อมาคือเรื่องของการเขียนประวัติศาสตร์นิพนธ์ (histography) หากมองบริบททางการเมืองในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่อยู่ในช่วงของจักรวรรดินิยมนั้น การพยายามหาข้ออ้างเพื่อบอกกับฝรั่งว่าเราเป็นชาติที่มี "อารยะ" และ "ประวัติศาสตร์" มานานแล้วนั้นนับเป็น "กุศโลบาย" อย่างหนึ่งที่จะไม่ให้ฝรั่งใช้ข้ออ้างในการเข้ายึดดินแดนไทยด้วยข้อหาภาระของคนผิวขาวที่จะmodernization ให้เจริญตวามความคิดแบบฝรั่ง ดังนั้นการใช้สุโขทัยเป็นฉากหลัง และการนำเอาพ่อขุนรามคำแหง และตัวอักษรลายสือไทมาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับอิทธิพลตะวันตกก็นับเป็น "มวยเปรียบ" ที่สูสีกันอยู่ ประการที่สามคือ ประโยคที่ว่า "อนน จูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใคร่จักใคร่ค้าม้าค้า..." นับเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับการค้าของรัฐในสมัยโบราณที่มักจะผูกขาดอยู่กับพระคลังสินค้าหรือตัวของผู้ปกครองเป็นหลัก การเปิดเสรีให้กับราษฎรในการค้าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่หากกลับมามองถึงการเมืองในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่มีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงแล้วนั้น ทำให้เราต้องเปิดเสรีการค้า นัยยะนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ได้อย่างแนบสนิทว่าเป็นภาพสะท้อนของการค้าเสรี โดยราษฎรนั้นสามารถค้าขายได้อย่างอิสระ เพราะฉะนั้นคำกล่าวดังกล่าวจึงน่าจะเป็นภาพของยุคกรุงรัตนโกสินทร์มากกว่าสมัยสุโขทัย ประการต่อมาคือ เรื่องการปกครองแบบพ่อปกครองลูก อ.พิริยะให้ข้อเสนอว่าแนวคิดเรื่องพ่อปกครองลูกนั้นเป็นสิ่งที่รัชกาลที่ 4 ริเริ่มขึ้นมา โดยอ้างถึงเรื่องการถวายฎีกาที่รัชกาลที่ 4 ทรงเน้นมากโดยพระองค์ทรงมองตัวพระองค์เป็นพ่อที่ดูแลราษฎรคือลูก โดยเปรียบเทียบกับการสั่นกระดิ่งที่ประตูหน้าวังของพ่อขุนรามฯ ในสมัยสุโขทัย เป็นต้น จริงๆยังมีอีกหลายประเด็น สามารถไปอ่านในรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน พิริยะ ไกรฤกษ์. จารึกพ่อขุนรามคำแหง : วรรณคดีประวัติศาสตร์การเมืองแห่งกรุงสยาม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน, 2547. ส่วนที่เป็นปัจฉิมลิขิต นอกจากนั้นประเด็นเรื่องสุโขทัยยังมีอีกหลายเรื่องที่มีการหักล้างความรู้กันในช่วงหลังๆ เช่น ทำไมเราถึงยกให้ประวัติศาสตร์สุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของโครงเรื่องในประวัติศาสตร์ไทย หรือสถานะของ "สุโขทัย" ที่มีนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังๆเปลี่ยนคำอธิบายใหม่ว่า มีสถานะแค่เพียง "แคว้น" เช่นเดียวกับแคว้นอิสระอื่นๆที่กระจายตัวกันอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ เช่น ล้านนา นครศรีธรรมราช อู่ทอง เป็นต้น เพราะอิทธิพลของสุโขทัยจริงๆอยู่แค่ตัวสุโขทัยและหัวเมืองลูกหลวงทั้งสี่เท่านั้น เพราะหากเป็น "อาณาจักร" นั่นคือจะต้องรวบรวมแคว้นอิสระ หรือหัวเมืองต่างๆเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพระราชอาณาเขต มีการควบคุมหัวเมืองอย่างเข้มงวด มีการส่งส่วย ส่งทหารเข้าเมืองหลวง ซึ่งสุโขทัยไม่มีตรงนี้ ดังนั้นดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็น "อาณาจักร" แห่งแรกก็คือ "กรุงศรีอยุธยา" นั่นเองครับ ส่วนที่ในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งที่บอกว่าดินแดนสุโขทัยนี้ไปไกลถึงสิบสองปันนาหรือไปถึงนครฯ หากเชื่อตามทฤษฎีที่ อ.ไกรฤกษ์เสนอมา นั่นก็คือเป็นอุบายทางการเมืองอย่างหนึ่งของราชสำนักในขณะนั้นที่ต้องการจะอธิบายถึงความยิ่งใหญ่ ความมีอารยะของ "ไทย" ที่มีมานานเป็นร้อยๆปีแล้ว เพื่อเดินเกมต่อสู้กับจักรวรรดินิยมในขณะนั้นนั่นเอง เพราะในความเป็นจริงสุโขทัยไม่ได้มีความร่ำรวยทางเศรษฐกิจแบบอยุธยา เพราะที่ดินเป็นที่ราบตอนบน ปลูกไม่ค่อยได้ (จึงมีสรีดภงส์เพื่อแก้ปัญหาชลประทานในขณะนั้น) และอยู่ดินแดนตอนใน ต่างจากอยุธยาที่อยู่ใกล้ปากอ่าวมากกว่า จึงควบคุมเส้นทางการค้า และเก็บผลประโยชน์ได้มาก จนสะสมทรัพยากรสร้างอาณาจักรได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น ปล. นอกเรื่องนะครับ ไม่รู้ว่ากระทรวงศึกษาฯ จะยกเลิก ป.บัณฑิตครูทำไม ผมเรียนอักษรศาสตร์มา อย่างนี้ก็ไปสอนไม่ได้แล้ว น่าเสียดาย ไม่รู้พวกผู้ใหญ่ในกระทรวงคิดไรกันอยู่ T-T แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 12:08:10 จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 12:02:19

ความคิดเห็นที่ 90 อ.พิริยะ ไกรฤกษ์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่ใช่หรอคะ จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 12:04:55

ความคิดเห็นที่ 91 อย่างใน #89 นี่คงไม่เรียกว่า ลากความเชื่อมาเจือความจริงนะครับ ต่างฝ่ายต่างมีแนวคิด หลักฐานที่จุดประกายให้ไม่เชื่อข้อมูลเดิม จะมองว่าอีกฝ่ายไม่เชื่ออย่างมีอคติ ต้องกลับมาดูว่าเราเชื่อแบบมีอคติหรือเปล่า จากคุณ : ท่านประธานบริษัท เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 12:06:48

ความคิดเห็นที่ 92 แค่เชื่อเรื่องใดเรื่องนึงก็ถือว่ามีอคติกับเรื่องที่เขียนตรงกันข้ามแล้วครับ คนเรามีอคติ (bias) โดยไม่รู้ตัวอยู่แล้ว จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 12:11:50

ความคิดเห็นที่ 93 ขอโทษทีครับ เปลี่ยนตำแหน่งให้ อ.พิริยะใหม่แล้ว ตอนนี้อ.เป็นอดีตผู้อำนวยการสถาบันไทยศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 12:16:15

ความคิดเห็นที่ 94 #84 อ่าน Link ที่ผมเอามาให้ดูเบื้องต้นหรือยังล่ะครับ จากคุณ : สันป่าตอง เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 12:55:32

ความคิดเห็นที่ 96 แนวคิดที่ อ.พิริยะ เสนอ ก็ได้รับการอธิบายจาก ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ไว้ ดังนี้ เรื่องรูปทรงของหลักศิลาจารึก ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ก็มีลักษณะไม่แตกต่างกับศิลาจารึกร่วมสมัย เช่น ศิลาจารึกหลักที่ ๔ สมัยพญาลิไท หรือแม้แต่ศิลาจารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่พบที่ลาว การสันนิษฐานว่ารูปร่าง รูปทรงของศิลาจารึกหลักที่ ๑ แตกต่างจากศิลาจารึกร่วมสมัยจึงไม่น่าจะได้ เพราะก็ทำขึ้นตามความต้องการของผู้สร้าง หรือเรื่องราวที่ต้องการจารึก เรื่องการสร้างขึ้นเพื่อให้ประเทศเป็นอารย สมัยการคุกคามของชาติตะวันตก อ.ประเสริฐให้ความเห็นว่า ถ้าทำขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๔ ทำไมต้องเขียนขึ้นด้วยภาษาที่ใครก็อ่านไม่ออก ทั้งไทยและฝรั่ง รัชกาลที่ ๔ เองก็ทรงแปลผิดหลายสิบแห่ง แล้วก็มีบางตอนที่ไม่สามารถแปลและเข้าใจได้กระทั่งปัจจุบัน ในเมื่ออ่านไม่ออกจะทรงเอามาโฆษณาฝรั่งได้อย่างไร เรื่องแนวคิดการค้าเสรี ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ยังมีประโยคว่า เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ และในไตรภูมิพระร่วง สมัยพญาลิไท ก็กล่าวถึงเรื่องการเก็บภาษี แสดงว่าสมัยสุโขทัย มีการเก็บภาษี แต่อาจไม่ทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือทุกคน เนื่องจากต้องการให้มีการค้าขายมากขึ้น ส่วนเรื่องแนวคิดพ่อปกครองลูกนั้น ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ไม่มีเขียนบอกเลยว่า พ่อปกครองลูก เป็นการตีความกันภายหลัง นอกจากนั้น อ.ประเสริฐ ยังได้อธิบายแนวคิดที่ อ.พิริยะ อื่นๆ เช่น การเอาสระพยัญชนะมาไว้บรรทัดเดียวกัน ไม่ได้เป็นอิทธิพลของฝรั่ง แต่รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ไมเคิล วิกเคอรี ซึ่งเป็นคนแรกที่ออกมาบอกว่า เป็นการเขียนโดยได้รับอิทธิพลของฝรั่ง หมายความว่าต้องคบฝรั่งแล้ว ตอนหลังก็ออกมายอมรับว่า ที่อินเดียก็มีการเอาสระพยัญชนะไว้บรรทัดเดียวกันเหมือนกัน นอกจากนั้นยังมีสระลอย อย่างคำว่า อีก สระ -ี ก็อยู่บรรทัดเดียวกับพยัญชนะในจารึกสมัยพญาลิไท และยังมีในจารึกหลักอื่นอีก เช่น จารึกวัดพระยืน เชียงใหม่ (พ.ศ. ๑๙๑๓) ก็วางสระ -ื ไว้ในบรรทัดเดียวกันกับพยัญชนะ พ่อขุนรามคำแหงสามารถเอาตัวเชิงพยัญชนะขึ้นมาอยู่ในบรรทัดเดียวกับพยัญชนะตัวธรรมดาได้โดยไม่ต้องคบฝรั่ง ทำไมจะต้องรอจนคบกับฝรั่งจึงจะนำสระวางไว้บรรทัดเดียวกับพยัญชนะเล่า ตรีบูรสามพันสี่ร้อยวา จารึกของอยุธยาก็บอกว่า "อยุธยา ไพโรจน์ใต้ตรีบูร" แล้วอยุธยามีกำแพงสามชั้นไหม ก็มีชั้นเดียว ทำไมเขียนได้ ในจารึกเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ ก็เขียนว่า กำแพงเชียงใหม่เป็นตรีบูร ความจริงก็มีชั้นเดียว เพราะฉะนั้นตรีบูรแต่เดิมก็อาจจะเป็นสามชั้น แต่ต่อมาอาจมีชั้นเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องสร้างถึงสามชั้น ตรีบูรอาจจะหมายถึงกำแพงที่แข็งแรงก็ได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นกำแพงสามชั้น เหมือนที่เราใช้คำว่าหลังคา ซึ่งมีที่มาจากหลังคามุงด้วยหญ้าคา ต่อมาหลังคามุงด้วยสังกะสี เราก็ยังเรียกว่าหลังคาอยู่ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มุงด้วยหญ้าคาแล้ว ตรีบูรในจารึกสุโขทัยก็ไม่จำเป็นต้องมีสามชั้น และการสรุปว่าไม่มีการใช้คำว่า หมากม่วง หมากขาม ในสมัยสุโขทัย เพราะอ่านจารึกไม่ทั่ว อันที่จริงก็ใช้กันมานานแล้ว มีปรากฏอยู่ในจารึกสุโขทัย สมัยพญาลิไทก็พูดกันว่าหมากม่วงเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ อ.ประเสริฐ ก็ไม่เชื่อว่าศิลาจารึกหลักที่ ๑ สร้างในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แต่ก็น่าจะเป็นสมัยหลังไม่นานนัก ไม่ใช่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นแน่ แก้ไขประโยคสุดท้ายค่ะ อ.ประเสริฐเชื่อว่าน่าจะทำขึ้นในสมัยสุโขทัย เพราะมีหลักฐานทั้งทางโบราณคดี ประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกับศิลาจารึกและเรื่องราวร่วมสมัยเดียวกัน แต่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า สร้างในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 13:19:21 จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 13:05:31

ความคิดเห็นที่ 97 ใครบอกว่าสงสัยได้ วิเคราะห์ได้ มันก็ทำได้แต่ห้ามพูดดังๆในที่สาธารณะไงครับ แบบนักวิจัยเรื่องย่าโม่ ที่สงสัยว่าเป็นเรื่องแต่งที่หาหลักฐา่นอื่นมาอ้างอิงหรือหาความเกี่ยวพันกับตำนานแวดล้อมไม่ได้เลย โดนอะไรบ้่าง จำกันได้ไหม ขู่ฆ่า ห้ามเข้าเมือง เพียงเพราะสงสัยและวิเคราะห์ตามหลักวิชาการแท้ๆเลยนี่ ิวิจัยตามหลักวิชาการยังโดนขนาดนี้ แล้วถ้าสงสัยลอยๆ พูดลอยๆ ไม่โดนหนักกว่าอีกหรือ? ส่วนเรื่องหลักที่ 1 ก็ตามคคห.บนๆ เนื้อหาและลักษณะทางกายภาพขัดแย้งกับหลักอื่นๆในยุคเดียวกัน เนื้อหาส่วนใหญ่มีไว้เพื่อสร้่างความชอบธรรมในการจัดระเบียบการปกครองและเพื่อเป็นข้ออ้างในการต่อต้านการล่าอาณานิคมในสมัยร. 4 มากกว่า การค้นพบยิ่งน่าสงสัยไปใหญ่ ไปเจอตอนบวช แล้วขนมาประกาศความชอบธรรมในการปกครอง ลองเปรียบเทียบกับการใช้ artifact ประกาศความเป็น lord ที่ได้รับบัญชามาจากสวรรค์ของอาณาจักรต่างๆในอดีตดูนะครับ อีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกันก็เช่นพระสยามเทวาธิราช ก่อนหน้าร.4นั้นไม่เคยมีใครพูดถึง จู่ๆก็ยกขึ้นมาว่ามีมาตั้งแต่ตั้งรัตนโกสินทร์ แล้วก็ห้่ามสงสัย ห้ามลบหลู่? จะรู้และเข้าใจชนชาติตัวเอง ต้องวิเคราะห์ myth ให้ลึกแล้วเราจะเข้าใจโลกมากขึ้นครับ จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 13:23:57

ความคิดเห็นที่ 98 มีไรกันเหรอ ^0^ จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 13:25:36

ความคิดเห็นที่ 99 ประการต่อมาคือเรื่องของการเขียนประวัติศาสตร์นิพนธ์ (histography) หากมองบริบททางการเมืองในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่อยู่ในช่วงของจักรวรรดินิยมนั้น การพยายามหาข้ออ้างเพื่อบอกกับฝรั่งว่าเราเป็นชาติที่มี "อารยะ" และ "ประวัติศาสตร์" มานานแล้วนั้นนับเป็น "กุศโลบาย" อย่างหนึ่งที่จะไม่ให้ฝรั่งใช้ข้ออ้างในการเข้ายึดดินแดนไทยด้วยข้อหาภาระของคนผิวขาวที่จะmodernization ให้เจริญตวามความคิดแบบฝรั่ง ----------------------------------------------------------------------- ใครจะคิดอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ส่วนตัวไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นเลย เพราะฝรั่งที่ล่าเมืองขึ้นยุคนั้นมันไม่ได้สนใจหรอกครับว่า ใครจะมีอารยธรรมเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่หนไหน ขอให้มีช่องทาง มันเขมือบหมดละครับ ไม่งั้น ฝรั่งก็คงไม่เข้ายึดครองอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศมีอารยธรรมเก่าแก่รุ่งเรืองมาก่อนสุโขทัยตั้งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปี เป็นต้นธารของอารยธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้หรอกครับ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 13:30:14 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 13:28:18

ความคิดเห็นที่ 100 ตายละ ผมคห19 ไม่ได้ดูหมิ่นใดๆทั้งสิ้นนะครับ ผมแค่เสริมคห7เฉยๆ แล้วอีกอย่างจะไปใช้คาร์บอน14ตรวจหาอะไรครับ คงได้รู้แต่อายุหินนั่นแหละ หินคงไม่ได้สร้างโดยพ่อขุนรามคำแหง หรือรัชกาลที่4นะครับ จากคุณ : ลูกชายคนที่7ของลูกชายคนที่7 เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 13:34:51

ความคิดเห็นที่ 101 99 การยึดตรองประเทศมันมีหลายๆ อย่างประกอบกันครับ ในสมัยนั้นเป็ฯอย่างที่ว่ามาจริงๆ ตอนนั้น ไทยจะทำให้เป็ฯรัฐกันชนระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส (คาดการณ์ว่าน่าจะเหลือแค่ ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา) ครับ ไทยจึงเริ่มออกตัวในเวทีโลกด้วยการผูกมิตรกับชาติตะวันตกอื่นๆ (เช่นรัสเซีย)เพื่อคานอำนาจ การจะยึดครองประเทศอื่นๆ ในสมัยนั้นใช้ข้ออ้างเรื่อง "ไร้อารยะ" นี่แล่ะครับ ในห้องสมุดพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง จากคุณ : กระต๊อบน้อย เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 13:48:14

ความคิดเห็นที่ 102 ^ ส่วนตัวคิดว่า คำว่า "ไร้อารยะ" ในความคิดของฝรั่งนี่ไม่ได้เกี่ยวกับอารยะดั้งเดิมของประเทศเลยครับ แต่หมายถึง "ไร้อารยะ" แบบฝรั่งต่างหาก ที่ไทยกับญี่ปุ่นรอดมาได้ เป็นเพราะการที่ผู้นำประเทศมองเห็นจุดนี้ แล้วพยายามปรับตัวให้เป็นชาติ "อารยะ" ตามแบบฝรั่งเสียมากกว่า เช่นการปรับปรุงขนบธรรมเนียมในการเข้าเฝ้า การศึกษาความรู้ของฝรั่ง การพัฒนาบ้านเมืองและกองทัพแบบฝรั่ง ฯลฯ ถ้าลองผู้นำของไทยในเวลานั้นคิดว่าตัวเองเป็นชาติที่มีอารยธรรมสูงส่งแต่อดีต จนไม่สนใจจะปรับตัวให้เป็นชาติที่มี "อารยธรรม" ฝรั่งแล้วละก็ ชะตากรรมก็จะไม่ต่างอะไรกับอินเดียหรือพม่าหรือเขมร หรืออย่างดีก็จะเป็นแบบจีนที่ถึงไม่ตกเป็นเมืองขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ก็โดนรุมแทะทึ้งจนแทบหมดศักดิ์ศรีของชาติไปเลยละครับ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 14:04:32

ความคิดเห็นที่ 103 จารึก ในอุโมงค์ วัดศรีชุม สุโขทัย ที่มาหาเจอะสมัย ร.5 แต่ไกลจากสมัย ร.4 ร่วมๆ 20 ปี มีลักษณะการจารึก ในแบบเดียวกัน ไม่ต่างกันกับ จารึกหลักที่ 1 แถมจารึกวัดศรีชุม เล่าเรื่องเก่ากว่าสมัยพ่อขุนรามซะอีก คือเล่าเรื่องสมัยสร้างสุโขทัยนั่นเลย ดังนั้น ถ้าวัดด้วยลายอักขระ เป็นตัวหนังสือร่วมสมัย ประมาณใช้ Font ตระกูลเดียวกัน ผมคาดเอาให้มันเป็นภาษาสมัยใหม่ นักคอมพิวเตอร์นึกภาพออก ตามนี้ จารึกของพ่อขุนราม อาจจะใช้ Angsana  แต่ จารึกวัดศรีชุม ใช้ Cordia แต่ Print ผ่าน MS Word บน Windows XP เหมือนกัน จึงอนุมานได้ว่า จารึกหลักที่ 1 ไม่ไ่ด้ประดิษฐ์ในสมัยรัตนโกสินทร์ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 14:33:51 จากคุณ : bbiggy เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 14:31:24

ความคิดเห็นที่ 104 ไม่ใช่เจ้าผมครับ ตัวอักษรผมก็มี  แค่ถูกผนวกเข้ามาเท่านั้นเอง จากคุณ : fdX3S เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 14:45:20

ความคิดเห็นที่ 105 #102 ผมมองว่ายุคนั้นใช้ artifact เพื่ออ้างความชอบธรรมในจัดระเบียบการเมืองภายใน มากกว่าจะเพื่อต่อรองกับภายนอกครับ แต่ก็อย่างที่ว่า ทำไปแล้วผลจะดีหรือไม่ดี คงไม่ใช่ scope ของห้องนี้ แต่ห้องนี้น่าจะสงสัยในแง่ว่า มันคือของจริงหรือเปล่าจะพิสูจน์ได้อย่างไร หรือเคยมีการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์จริงๆหรือยังมากกว่า #103 จารึกหลักที่สอง จารึุกของวัดศรีชุม ลักษณะทางกายภาพภายนอก เป็นแบบศิลาแบนๆมีจารึกสองด้านนะครับ ไม่ได้เป็นหลักทรงแท่งมีจารึกสี่ด้านเหมือนจารึกหลักที่หนึ่ง หรือถ้าผมอ้างอิงรูปผิดหรือเป็นคนละจารึกกันก็ช่วยแย้งด้วย ซึ่งถ้ามองในแง่ของลักษณะตัวเขียนแล้ว ถ้าต้องการสร้าง/จำลองจารึกที่เขียนทีหลังจะลอกเลียนลักษณะโดยเปรียบเทียบว่า Font เดียวกันก็ไม่ได้น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร สิ่งที่ยากกว่าคือการหา hardware(ตัวจารึกทางกายภาพ) ที่จะ run OS เดียวกันมาใช้ได้น่ะครับ เพราะวิทยาการในช่วงสมัยร.4 (ถ้าเราคาดเดาว่าอาจเป็นการทำขึ้นใหม่ในยุคนั้่น) นั้นคงยากที่จะทำเลียนแบบได้ทุกอย่างโดยจับผิดไม่ได้นั่นเอง เพิ่มเติม ส่วนจะมองว่าจารึกศรีชุม ค้นพบทีหลังทั้งๆที่มีเนื้อหาเก่ากว่า จึงเป็นไปไม่ได้ที่จารึกหลักที่หนึ่งจะเลียนแบบของในยุคเดียวกันโดยที่ไม่เจอต้นฉบับก่อน ผมกลับมองว่าตอนค้นพบ ท่านก็ำไปค้นพบที่สุโขทัย โดยที่ไม่มีคนอื่นรู้เห็นตอนค้นพบด้วย (มีคนอื่นรู้ก็ตอนขนกลับมาแล้ว) ช่วงว่างนั้นก็อาจเป็นไปได้ที่จะเจอจารึกอันอื่นๆที่ไม่สมบูรณ์(อาจจะกระจา่ยเป็นเศษๆแล้ว) เลยสามารถที่จะลอกเลียนได้ในส่วนของลักษณะตัวอักษร หรือเนื้อหา แต่ไม่ได้พบเจอจารึกที่สมบูรณ์เลยไม่สามารถทำตัวฐาน(หลัก)ของจารึักให้มีรูปแบบเหมือนกันได้ เลยเกิดเป็นจารึกทรงแท่งขึ้นมาใหม่ ไม่เหมือนของใครในยุคเดียวกัน?(ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าเราเจอจารึกยุคเดียวกันที่เป็นทรงแท่งหรือไม่ ใครมีข้อมูลช่วยแย้งด้วยครับ) แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 14:54:56 จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 14:49:35

ความคิดเห็นที่ 106 คิดง่ายๆ ถ้าเขาจะปลอม ทำไมจะต้องทำให้ต่างจากหลักอื่น ๆ ก็ลอกเลียนรูปเขียนอักษรทุกอย่างให้เหมือนหลักอื่น ใช้รูปร่างศิลาให้เหมือนกัน ใช้ภาษาให้เหมือนหลักอื่น  นี่แหละคือหลักของการ ก็อปปี้ แต่หลักศิลาจารึกพ่อขุนราม มันไม่ใช่การลอกเลียนแบบ แต่คือ สิ่งที่ทำขึ้นมาในยุคสมัยหนึ่ง เป็นสมัยของชนเผ่าไท ที่อพยพมาจากยูนนาน เชียงแสนและลงมาอยู่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ต้องการบักทึกภาษาเป็นของตนเอง ขึ้นเพื่อใช้ในงานราชการ ซึ่งเป็นการทดลองใช้อักษร โดยใช้อักษรขอมเป็นต้นแบบ ซึ่งสร้างและคิดค้นโดยเหล่าราชบัณฑิต ซึ่งเป็น สมณะ หรือ ราชครู  โดยเป็นความคิดริเริ่ม ของ ผู้นำชนเผ่าไท ในขณะนั้นนามว่า พ่อฃุนรามคำแหง หลักศิลานี้จึงเหมือนเป็นจุดเริ่มของยุคประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของคนที่พูดภาษาไทกะได และได้มีการเผยแพร่และรสอนสั่งกันในวัดวาอาราม ทั่วสุโขทัย เวลาผ่านไปและเกิด การเปลี่ยนแปลง และความนิยมของการใช้จริง ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพล ของอักขระ ขอมโบราณ และมอญโบราณ ซึ่งเป็น ภาษาของอารยะธรรมที่เจริญมาก่อนในแถบนี้ จึงเป็นที่มาของ อักขระวิธีที่เปลี่ยนไป อย่างที่พบในศิลาจารึก หลักต่อๆ มา ถามว่าทำไม ก็เพราะว่า พระ และไพร่ฟ้าที่รู้หนังสือแต่เดิม น่าใช้และมีความรู้อักษรขอมและมอญ ในพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึงการติดต่อการค้ากับ ขอมและมอญ ซึ่ง ชนเผ่าที่อยู่ในสุโขทัยเองก้น่าจะมีมอญเขมรปนอยู่มากพอสมควร ยังไงแนะนำให้อ่าน Linguistics ด้วย มันคือ The Scientific study of Languages จึงจะเข้าใจได้ว่า ไม่มีคนไท คนไหน อัจฉริยะพอ จะปลอมหลักศิลาจารึกได้ ดีขนาดนี้ เพราะสมัยนั้น คนไทย ในสยามประเทศ ยังไม่รู้จักจ้วง ไม่รู้จักพวกคนไทในจีน ที่พูดภาษา Central and Northern Tai เลย และภาษาในหลักศิลาจารึกก็เขียนถูกต้องตามหลักภาษาศาสตร์ประวัติศาสตร์มากกว่าพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานปัจจุบัน ถามว่าทำไมนะหรือ ก็เพราะ คนทำหลักศิลาจารึก เขาบันทึกเสียงพูดของเขาในสมัยนั้นจริงๆไง ไม่ใช่เสียงพูดในสมัยรัชกาลที่ ๔ ครับ เหมือน หลายๆคนกำลังคิดว่า จะ Copy MP3 ที่เป็นแผน CDRom ให้ออกมาเป็นแผ่นเสียงดำๆ เหมือนยุค Beatles มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ คนคนนั้นไม่เคยเห็นและรู้จักแผ่นเสียงเลย ถ้ามีคนไทฉลาดแบบนั้นจริงๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ประเทศไทย น่ามีดีพอจะล่าอาณานิคม ได้ อุษาคเนย์มาทั้งหมด ไม่ใช่งอหงอเป็นใบอ้อ แบบนี้ครับ ปล. ผมไม่คิดว่าคนที่คิดว่า หลักศิลาจากรึกหลักที่ ๑ ปลอมโดย ร๔ เป็นการสบประมาทหรือลบหลู่นะครับ แต่เป็นการเยินยอพระปรีชาสามารถที่เกินจริง เกินกว่าที่ท่านสามารถทำได้จริงครับ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 16:10:05 แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 16:10:54 จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 15:13:46

ความคิดเห็นที่ 107 อยากให้กิฟต์หลายคนในนี้ แต่หมดไปตั้งแต่ตอนกระทู้ ป.บัณฑิตครูแล้ว เลยให้ไม่ได้ มีหลายคนที่ให้ความเห็นที่ฟังเข้าทีอยู่ทั้งสองฝ่าย จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 15:41:09

ความคิดเห็นที่ 108 ถ้างั้นต้องบอกว่ากรณีนี้ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกัน ยังหาข้อสรุปไม่ได้สินนะ เราควรสอนเด็กตามความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ดีนะครับ จากคุณ : Jc2000 เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 16:37:13

ความคิดเห็นที่ 109 คาดคะเนกันทั้งสองฝ่าย อย่าบังคับคนให้เชื่อ จงแสดงความน่าเชื่อถือแทน แล้วผู้รับสารจะเป็นคนติดสินใจเอง กระทู้นี้ดีครับได้เปิดหูเปิดตา ถึงจะไม่หว้ากอ อยากโหวตลบแต่เสียดาย จากคุณ : aiwonsi เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 16:41:30

ความคิดเห็นที่ 110 ผมไปอยู่ไหนมา ทำไมไม่รู้เรื่องย่าโมเลย เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ช่วยเล่าให้หน่อย จากคุณ : CaminoReal เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 16:52:45

ความคิดเห็นที่ 111 ครับก็ยังไม่มีข้อสรุปกันหรอก ก็โต้แย้งกันไปตามแต่แนวคิดของแต่ละคน ถือว่าดีแล้วที่คุยกันได้โดยไม่ต้องขู่ฆ่าคนที่คิดต่างกันครับ เพิ่มเติม สำหรับผมคิดว่า ถ้าเจอสิ่งของในประวัติศาสตร์ ที่ลักษณะทางกายภาพแตกต่างจากสิ่งของยุคเดียวกัน เนื้อหาที่บันทึกไม่มีในบันทึกยุคเดียวกัน(ถ้าจำไม่ผิด แนวคิดไม่เก็บภาษี และเรื่องพ่อปกครองลูกไม่เจอในจารึกอื่นๆ และดูจะค่อนข้างขัดแย้งกับระบบแคว้นในยุคนั้่นๆด้วย) รวมไปถึงการนำมาใช้ประโยชน์ของสิ่งนั้นในแง่ artifact ที่ใช้เพื่อจัดระเบียบการปกครองของผู้มีอำนาจยุคนั้นๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ยังน่าคิดกังขา ไม่ต่างจากการอ้างของวิเศษโบราณจากสวรรค์เพื่ออ้างความชอบธรรมในการขึ้นเป็นฮ่องเต้ของจีนโบราณนั่นแหละ และยังมีข้อน่าคิดในเรื่องของจุดกำเินิดอาณาจักร เพราะอย่างบันทึกข้างเคียงของจีน ก็บันทึกว่า มีเซียน(คาดว่าเป็นสุโขทัย) กับหลอหู(คาดว่าอยุธยา) โดยที่สองอาณาจักร อยู่ใกล้เคียงกัน อยู่ในยุคคาบเกี่ยวกัน ไม่ใช่อาณาจักรโดดๆอย่างที่เราพยายามสอนกัน อาณาจักรเซียนขาดแคลนอาหารต้องนำเข้าจากหลอหูเสมอๆ จนอาณาจักรเซียนล่มสลายมารวมกับอาณาจักรหลอหู กลายเป็น เซียนหลอ(ชื่อที่จีนเรียก อยุธยาใหม่หลังรวมกับสุโขทัย) ก็น่าคิดว่ามันจะขัดแย้งกับบันทึกในจารึกหลักที่หนึ่งบ้างหรือเปล่า หรือเนื้อหาอยู่คนละช่วงยุคสมัยกัน? จากคุณ : ....4จุด เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 16:54:27

ความคิดเห็นที่ 112 ช่วงที่ไท อพยพลงใต้มาจากยูนนาน และเชียงแสน นั้น เป็นช่วง ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกพอดี แต่ผมจำไม่ถนัดในรายละเอียดว่าอย่างไร แต่อย่างหนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศครั้งนี้ทำให้อาณาจักรขอมโบราณ และทวารวดี อ่อนแอลง และเผ่าไท เข้ามาแทรกซึม และมาครอบงำ ปลดแอกตัวเอง ในช่วงแรกก็เอาวิธีตัวเอง ที่รักอิสระมาใช้ เหมือนนครรัฐ ในสิบสองปันนา หรือสิบสองจุไท แต่เวลาผ่านไปมันไม่เหมาะสำหรับที่ราบลุ่มอย่างลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่เหมาะกับ ศักดินารวมศูนย์ แบบธรรมเนียมขอมเสียมากกว่า ช่วงเวลา ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ก็จะคล้ายกับช่วงสองสามปีมานี้คืออาจจะมี Climate Fluctuation  มีความแปรปรวน หรือการเปลี่ยนแปลง หรือการแล้งอย่างกระทันหัน หรือการเกิด El Nino ได้อย่างฉับพลันในบางปี ละโว้เอง ก็ได้รับผลกระทบ ต้องย้ายเมืองไป อยุธยาเช่นกัน เซียน คือ เสียม หลอ คือ ละโว้ ตามหลักภาษาศาสตร์ประวัติศาสตร์จีน จากคุณ : Paphmania เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 17:06:39

ความคิดเห็นที่ 113   เข้ามาสงสัยเรื่องย่าโมด้วยคน เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ จากคุณ : แฟนคิบอม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 17:23:51

ความคิดเห็นที่ 114 The secret to creativity is knowing how to hide your sources: Albert Einstein จากคุณ : Uglyfatboy (uglyfatboy) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 18:10:17

ความคิดเห็นที่ 115 1. ศิลาจารึกหลักที่ 1 ไม่ได้มีความแตกต่างทางกายภาพกับชิ้นอื่นร่วมสมัยมากนัก เพราะทำจากหินทรายแป้ง เช่นเดียวกับจารึกหลักที่ 3 ในขณะที่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไม่ปรากฏว่ามีจารึกหรือโบราณวัตถุที่ทำด้วยหินทรายแป้งเลย 2. แล้วทำในสมัยสุโขทัยจริงหรือ หรือเอาก้อนหินเก่าแถวนั้นมาจารึกใหม่ เรื่องนี้พิสูจน์โดยใช้กล้องจุลทรรศน์แบบโพลาไรซ์ เพื่อดูว่าตรงรอยจารึกนั้นมีองค์ประกอบทางกายภาพเหมือนกับส่วนอื่นๆ หรือเปล่า ผลก็ปรากฏว่า ตรงรอยขูดจารึกนั้นก็มีปริมาณของแร่แคลไซต์ใกล้เคียงกับส่วนที่ไม่ได้จารึก แสดงว่าจารึกเมื่อสกัดหินเสร็จ หรือไม่นานนักหลังจากสกัดหินเสร็จ 3. เรื่องเนื้อหา ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้า แสดงว่า เปิดโอกาสให้ค้าขายได้อย่างเสรี ไม่ได้บอกว่าไม่เก็บภาษี เพราะมีประโยคอื่นที่ว่า เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ ดังที่กล่าวไปแล้ว สอดคล้องกับเนื้อหาในไตรภูมิพระร่วง สมัยพญาลิไท ซึ่งเป็นเวลาต่อมาไม่นานที่กล่าวถึงเรื่อง ภาษี ไว้เหมือนกัน แสดงว่าสมัยสุโขทัยก็มีการเก็บภาษี 4. ไม่ปรากฏคำว่า พ่อปกครองลูก ในศิลาจารึก เป็นการตีความกันในภายหลัง จากชื่อที่เรียกว่า พ่อขุน และการปกครองที่ใกล้ชิด เพราะตอนนั้นประชากรยังน้อย 5. การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ปัจจุบันนี้ไม่ได้สอนแยกอาณาจักรเอกเทศ เพราะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ตั้งแต่ชั้นประถม ก็สอนว่าทางตอนล่างของสุโขทัย ก็มีแคว้นอยุธยา หรืออโยธยา ซึ่งคาดว่าสืบทอดอำนาจมาจากละโว้ และต่อมาเจริญจนผนวกรวมเอาสุโขทัยเป็นส่วนหนึ่งของตนได้ จากคุณ : OkamasunG` เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 18:12:04

ความคิดเห็นที่ 116 มาเพิ่มเติมว่า ถ้านับจากกลุ่มภาษานี้ ส่วนหนึ่งก็มาจาการอพยพสมัยแจงกิสข่านครับ เมื่อจักรพรรดิ์แจงกิสข่านขยายอิทธิพลมาจนถึงตอนใต้ของจีน บางส่วนก็อพยพหนีสงครามร่นลงมาทางใต้ น่าจะมีผลให้เกิดเกิดลักษณะการเบ้ของกลุ่มภาษาไทกะได ดังภาพข้างบน จากคุณ : CaminoReal เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 18:22:26

ความคิดเห็นที่ 117 กลุ่มภาษานี้ เสียงพูดจะเหมือนกันครับ เมื่อนำไปนิยามสิ่งๆหนึ่ง ความหมายก็จะเข้าใจตรงกัน เพี้ยนบ้าง เปลี่ยนบ้าง แล้วแต่ท้องถิ่น แต่รูปแบบอักษรนั้น มักจะมีการยืมและปรับปรุงกันไปมา เมื่อจะกำหนดอักษรแทนเสียง ก็เลยยืมและปรับรูปแบบ(เข้าใจว่าใช้อย่างเพี้ยนๆ) มาจากมอญ และ อักษรขอม ซึ่งทั้งอักษรมอญและขอมนั้น ก็ปรับมาจากอักษรปัลลวะของทางอินเดียใต้(อินเดียเหนือจะเป็นสันสกฤต) ส่วนอักษรปัลลวะ ก็เอามาจากอักษรพราหมีอีกที จากคุณ : CaminoReal เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 53 18:36:55