 |
ความคิดเห็นที่ 23 |
|
จากประสบการณ์ผมครับ
จป. >เห็นว่ามีนัยการกีดกันเช่นกัน เหตุผลที่หลายท่านบอกแล้วคือมีไว้เป็นไม้กันหมา จป.สายตรงจึงหางานยากกว่า(บ้าง) เพราะใช้คนเดิมๆมาทำเป็น"งานฝาก" แต่ปัญหาเกิดน้อยกว่าเพราะภาวะล้นตลาดเพิ่งเริ่ม และเป็นงานคนทั่วๆไปไม่ค่อยนึกถึงอย่างครู ถ้าเถ้าแก่ไม่สั่งใครจะไปเรียน ;P >แต่น้ำหนักไปอยู่ที่เนื้อหาซะมากกว่า คืออบรมน้อยกว่าที่เรียนกันจริงๆ วุฒิ-พื้นฐานความรู้ต่างกันมาก หน้าที่เดิมต่างกันมาก (มากๆๆๆเลย) แต่จะต้องทำงานในเนื้องานเดียวกัน ซึ่งมีผลกระทบต่อชีวิตและอนามัย
บำบัด >ผมยังไม่คิดว่ามันเทียบกับกรณีการตัดสิทธิ ตอนนี้ยังอยู่ในเฟส"ให้สิทธิ" เนื่องจากมีผลต่อสังคมและยังขาดแคลน จึงให้สิทธิคนนอกมาอบรมเพิ่มเพื่อไปสอบขึ้นทะเบียนต่อไป จำกัดวุฒิที่เข้าอบรมไม่กว้าง ล้วนเป็นคนในสายงานวิทย์-เทค พื้นฐานความรู้และการเรียนรู้ไม่ต่างกันมาก จึงใช้เวลาอบรมน้อย(แต่ก้น้อยจัง) ยังดีที่มีการสอบเพิ่มต่างหากอีกชั้นหนึ่ง >การที่คนเดิม"เสียสิทธิ"ที่จะขึ้นทะเบียนโดยไม่ต้องสอบ มีนัยทางยกระดับมาตรฐานมากกว่าริดรอนสิทธิ และที่ผมพบรอบตัว(ที่จริงก็ไม่กี่คน) คนที่อมรมมักสอบขึ้นทะเบียนผ่านมากกว่าคนที่จบตรงครับ >แต่ต่อไปอีกซักหลายปีน่าจะเข้าสู่ภาวะล้นตลาด และมีมาตรการตัดสิทธิจริงๆเกิดขึ้นเช่นกัน และจะมีปัญหาแน่เพราะผู้ที่เคยมีสิทธิมีวุฒิใกล้เคียงกัน(วุฒิไม่ได้หมายถึงความรู้ความสามารถ มันแล้วแต่คน) (ในต้นกระทู้ผมจึงใส่ในวงเล็บเพราะมันยังไม่เกิด และคิวต่อไปก็ถึงผชร.)
วิศวะ (ไม่ใช่ประสบการณ์ตรง ขอไม่วิจารณ์มากครับ) >ฟังจากรุ่นพี่เพียงว่ากลุ่มที่เสียสิทธิมีอัตราสอบได้ต่ำมาก??(ไม่ยืนยัน) และสมัยก่อนยังมีบุคคลากรน้อย ไม่ต้องสอบด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าเป็นงานที่ผูกพันชีวิตคนอื่นไม่ใช่น้อย สอบไปเหอะ
หมอ,กฎหมาย,บัญชี >กม.,บัญชี อาจไม่ทำให้คนเจ็บคนตาย แต่ทุกท่านคงเข้าใจว่าเนื้อหาวิชาการห่างไกลกับคณะอื่นมากครับ เอาไปเทียบกะใครไม่ได้แน่ >ถึงจะบอกว่าศึกษาเอาเองได้ เมื่อคุณจะรับใช้สังคมก็ยังต้องการใคร/ใบอะไรมาการันตีครับ
ครู >เป็นจุดรวมของวิชาการ&วิชาชีวิต ด้านวิชาการก็ตามแต่สาขาวิชาไปครับ แต่วิชาชีวิต คุณธรรม การถ่ายทอด คนเราไม่ได้รับจากห้องเรียนมหาลัยอย่างเดียว การอบรมที่เข้มงวดช่วยลับคมให้ และพัฒนาต่อเนื่องเมื่อเข้าทำงาน แต่กับบางคน มันเป็น skill ติดตัวแต่เกิดด้วยซ้ำไป >ใครจะการันตี(แบบหมอ,กม.,บัญชี) ก็สถาบันที่เปิดหลักสูตร นี่คือเหตุผลแต่แรกแล้วหนิ >ปรัชญาของคณะอื่นๆไม่ได้เพื่อผลิตครู ถ้างั้นปรัชญาของหลักสูตรป.บัณฑิตคือ?? >ถ้าบอกว่าผู้การันตีเชื่อถือไม่ได้ ปล่อยให้กลายเป็นเชิงธุรกิจ หน่วยงานรัฐเป็นผู้อนุมัติให้ตั้ง ตั้งแล้วควบคุมไม่ได้ ปล่อยให้เปิดรับเรื่อยเปื่อย สถาบันไหนบ้างก็ทั้งรู้ ก็ความผิดคุณที่ละเลยหน้าที่ราชการ สั่งปิดหลักสูตรคือยอมรับผิด? เยียวยา? หรือสั่งปิดแล้วจบกันไป? ฉันทำดีแล้วนะ ฉันไม่เกี่ยวชะละล่า (ถ้าใครเรียนกม.อาจนึกถึงป.อาญา ม.67) >สอบใบอนุญาตซะก็ดี ต้องยอมรับว่ามีบางคนเรียนเพราะตั้งใจจริง,บางคนไม่มีทางเลือก สอบใบอนุญาตก็จะเป็นตัวกรองคุณภาพคนที่เข้าสู่งาน ทางกลับกัน ต้องยอมรับว่ามีบางคนย้ายสายงานเพราะตั้งใจจริง,บางคนไม่มีทางเลือก สอบใบอนุญาตก็จะคัดกรองเช่นกัน ปัญหาไม่ใช่ใครแย่งที่ใคร แต่เป็น สังคม/เด็กได้อะไร เราไม่อาจรู้ว่าคนไหนเลือกเป็นครูเพราะเลือกหรือเพราะไม่มีทางเลือก เรารู้แค่ว่าคนไหนผ่านมาตรฐาน (เน้นว่า"รายคน") จะมีตัวชี้วัดที่จับต้องได้ วัดค่าได้ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกอย่างที่ตัดสินกัน(ผมด้วย) >แต่ทั้งนี้ ถ้าหน่วยงานแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือการจัดการอนุมัติ&ควบคุมมาตรฐานหลักสูตรมาแต่แรก(และถ้าจะทำก็ยังทำได้) ก็ไม่ต้องมาคิดเรื่องสอบใบอนุญาตด้วยซ้ำ
เป็นเพียงมุมมองส่วนบุคคลครับ เชิญแลกเปลี่ยน
ปล.เจตนา สร้างวิธีการ แล้วก่อเกิดผล แต่บางครั้งผลมันอาจออกไม่ตรงเจตนาครับ (ผมด้วย) ปล2.ขอบคุณที่ทนอ่าน และขอโทษผู้ที่อาจถูกพาดพิง ครับ
จากคุณ |
:
temp
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ส.ค. 53 04:20:53
A:111.84.251.174 X: TicketID:003184
|
|
|
|
 |