ความคิดเห็นที่ 1 1. อ่าน aim ของแต่ละ journal ครับ 2. อ่าน intruction to author ครับ ส่วนมากถ้าเริ่มได้ผลแล้วก็เริ่มเขียนให้เข้ากับ format ของทาง journal ที่ต้องการจะตีพิมพ์ เขียนเสร็จแล้วก็ตรวจภาษาแล้วก็ส่งทาง submission online ครับ 3. แล้วแต่ทาง journal ครับ เค้าจะเขียนไว้ใน instruction to author และอาจจะช้ากว่านั้นถ้าต้องมีการ revision หลายๆ รอบ 4. ก็ทำการวิจัยให้มีมาตราฐานเพียงพอที่จะได้ตีพิมพ์ซิครับ 5. ไม่คุ้นกับวารสารไทยครับ 6. มีปอตรีบ้างเหมือนกันครับแต่เห็นมักจะได้ชื่อกลางๆ ไม่ได้เป็นคนแรกๆ แต่รู้สึกว่าคณะวิทย์ มหิดลก็จะผลักดันให้ปอตรีมีผลงานตีพิมพ์เหมือนกันครับ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 10:55:07

ความคิดเห็นที่ 2 ตอนผมตีพิมพ์นี่ทำ Thesis เป็นทีมวิจัยครับ ลง Fluid Phase Equilibria กว่าจะตีพิมพ์อืมม์ นับเวลาก็หลายเดือน เรียกว่า Submit จนลืมเลย ตอนส่งนี่ อาจารย์ที่ปรึกษาส่งครับ ผมเตรียมแค่ Content ที่ลง เรียบเรียงร่วมกับทีมงานจากอีกมหาวิทยาลัยนึงช่วยกัน ถ้าถามว่าต้องใหม่ขนาดไหน ก็คือ ไม่ต้องใหม่ก็ได้ เป็นการทำซ้ำก็ได้เพื่อยืนยันผลก็ได้ แต่โดยรวมต้องเป็นประโยชน์ต่อวงการ อย่างการวิจัย Thermophysical properties ก็มีการทำซ้ำหลายครั้ง ผมก็แค่จัด Review ขึ้นระเบียนงานวิจัยที่เชื่อถือได้ มีผลชัดเจน เรียบเรียงเข้ามาเป็นฐานข้อมูลแล้วนำเสนอฐานข้อมูลไปเป็น Journal ตรงนี้ Journal นั้นก็แทบไม่มีอะไรใหม่เลย งานใน Thesis ที่ทำยังใหม่ซะกว่า แต่ก็เพราะ บทความเรียบเรียงงานค้นคว้านั้นยังไม่เคยมีใครจัดระเบียบการวิจัยมาก่อน พอจัดระเบียบงานวิจัย มันก็เป็นประโยชน์ให้วงการนี้ไม่ต้องมาเสียเวลาวิจัยซ้ำซาก ส่วนที่ได้ลงก็เลยเป็น Review ตรงนี้ มากไปกว่าการวิจัยใน Thesis ครับ จากคุณ : Darth Prin เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 10:57:29

ความคิดเห็นที่ 3   ขอถามอีกนะครับ 7.impact factor มีความสำคัญอย่างไร 8. Citation คืออะไร สำคัญอย่างไร 9.การตีพิมพ์บทความทางวิชาการ เวลาไปเรียนต่อต่างประเทศ ช่วยได้เยอะไหมครับ 10.มีคนไทยเคยได้ตีพิมพ์บทความลงวารสาร science และ nature บ้างไหมครับ 11. ใครมีประสบการณ์การตีพิมพ์บทความทางวิชาการช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับ จากคุณ : จขกท (Mr.Feynman) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 11:05:16

ความคิดเห็นที่ 4 1.เรื่องที่สามารถตีพิมพ์ได้ต้องประมาณไหนครับ  (เช่น เป็นความรู้ใหม่ เป็นความรู้เก่าแต่นำมาประยุกต์ใช้) - ที่ผมเคยอ่านมามีทั้งเก่าและใหม่ครับ ถ้าใหม่มาก ๆ โอกาสที่วารสารที่มี่ impact factor สูงตอบรับก็เยอะครับ เรื่องที่ไม่ใหม่ก็มี คือ เป็นแนว ๆ review และสรุปสาระจากหลาย ๆ วารสาร ให้น่าสนใจ อย่างเช่น มีบทความเกี่ยวกับสุนัขมากมาย บ้างก็กล่าวถึง นิสัยพฤติกรรม รูปร่าง ลักษณะ แต่ถ้าอ่านแล้วมาสรุปในบทความเดียวให้น่าสนใจ ก็ได้รับการตอบรับครับ ถึงแม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ก็ตาม หรือเป็นความรู้เก่า/วิธีการเก่า แต่นำมาใช้/ประยุกต์กับปัญหาใหม่ก็พอได้ 2.มีขั้นตอนกระบวนการอย่างไรบ้างครับกว่าจะได้ตีพิมพ์ - เมื่อเขียนบทความเสร็จแล้ว ก็ค้นหาว่า วารสาร (journal) ใด ที่มีเนื้อหาและแนวคิดตรงกับเรื่องที่เราเขียนครับ จากนั้นก็สมัครสมาชิก (ส่วนใหญ่จะฟรี) ซึ่งตอนนี้เป็นทางอินเตอร์เน็ต จากนั้นก็ส่งบทความของเราเข้าไปให้พิจารณาครับ หรือ เป็นวารสารที่จัดงานประชุมวิชาการด้วย ถ้าเคยส่งผลงานไปแล้วได้รับการตอบรับและไปนำเสนอในงานประชุมวิชาการนั้น ๆ แล้ว ถ้าน่าสนใจ จะได้รับการเชิญ (invite) ให้เขียนเพิ่ม ลงในวารสารนั้น ๆ ต่อไปครับ 3.ใช้เวลาประมาณกี่เดือนกว่าจะได้รับการตีพิมพ์นับตั้งแต่ส่งเรื่องไป - ขึ้นอยู่กับวารสารนั้น ๆ ครับ รวมไปถึงบทความของเราด้วย ส่วนใหญ่จะพูดกันว่า อย่างน้อย 4-6 เดือน ถึงจะได้ีัรับการติดต่อกลับมา ไม่ว่าจะเป็น ถ้าโชคดีก็ revise (มีคำถาม/ข้อสงสัยกลับมาให้เราตอบกลับไป) ถ้าโหดร้ายหน่อยก็ reject ถ้าโชคดีก็ accept ซึ่งการ reject นั้นจะให้เหตุผลว่า ทำไมถึง reject เช่น ไม่ใหม่บ้าง (บางทีต้องใหม่จริง ๆ นะครับ ไม่ใช่พัฒนาของเก่าหรือดัดแปลงของเก่าแล้วบอกว่าใหม่) หรือ เนื้อหาไม่เข้ากับแนวทาง/แนวความคิดของวารสารนั้น ๆ ถึงแม้ว่าชื่อวารสารนั้นจะอยู่ในแขนงวิจัยของเราก็ตาม ส่วนการ revise นั้น บางทีก็ revise กัน มากกว่า 1 ครั้งก็ไม่แปลกครับ แต่ก็จะใช้เวลานานขึ้นไปอีก ผมเคยเจอบทความนึง receive 2007, revise 2007 1 ครั้ง 2 ครั้ง และ accept 2009 :P ว่ากันว่า ถ้าส่งไปแล้ว มี mail เตือนมาเร็ว ลุ้นเลยครับ ว่า revise หรือ reject ถ้าเ้งียบหายไปนาน ๆ โอกาส accept ก็สูงหน่อย ^^' 4.จะทำอย่างไรถึงจะได้ตีพิมพ์ในวารสารที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ - ความใหม่ ความทันสมัย เนื้อหาน่าสนใจ สำนวนการเขียนน่าสนใจ อ่านง่าย ข้อมูลแน่น เอกสารอ้างอิงพร้อม และอื่น ๆ ครับ 5. วารสารในประเทศไทยมีอะไรบ้างคร้บที่ดังๆ เอาfieldไหนก็ได้ - วารสารของมหาวิทยาลัยไงครับ แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีวารสารของตนเอง รองรับบทความจากนักศึกษาของตนเองอยู่ครับ อาจจะมีทั้ง national/international แต่วารสารของประเทศเรา มักจะไม่ค่อยมี impact factor กัน หรือ ถึงมีก็น้อยมากครับ เช่น 0.000001 เป็นต้น บางเงื่อนไขจบจะระบุเลย วารสารแบบ international ต้องมี impact factor เพราะวารสารระดับ international ที่ไม่มี imapct factor ก็มีครับ เพราะอาจจะพึ่งมีได้ 2-3 ปี และยังไม่ได้รับการจัดระดับค่า impact factor 6. คนส่วนมากที่ตีพิมพ์เป็นใครครับ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ อาจารย์มหาลัย นิสิต   ปอโทปอเอก มีนิสิตระดับปริญญาตรีบ้างไหมครับ - ส่วนที่ตีพิมพ์ก็ นักวิจัย/อาจารย์มหาวิทยาัลัย ซึ่งอาจจะทำวิจัยเอง ตีพิมพ์ชื่อเดียว ส่วนมากจะเป็น นักศึกษา ทั้ง ป.ตรี/โท/เอก และชื่อ advisor/supervisor คร้บ แต่ส่วนมากไม่ค่อยพบ ป.ตรี เพราะไม่มีเงื่อนไขจบแบบที่ต้องตีพิมพ์ ส่วนใหญ่จะเป็น ป.โท/ป.เอก ครับ แต่ ป.โท มักจะไปงานประชุมวิชาการกันมากกว่าครับ เพราะเงื่อนไขจบของมหาวิทยาลัยหลายที่ (แล้วแต่นะครับ) ขอเป็นการนำเสนอในงานประชุมวิชาการระดับชาติ/นานาชาติ ก็พอ ไม่ต้องถึงกับส่งบทความครับ ดูเงื่อนไขอีกที ประมาณว่า งานประชุมวิชาการ (ระดับชาติหรือนานาชาติ) และ/หรือ วารสารทางวิชาการ (ระดับชาติหรือนานาชาติ) กี่ครั้งก็ว่าไป เพราะตอนที่เขียนในส่วนของผู้แต่งนั้น จะระบุหน่วยงานกันด้วยครับว่าสังกัดที่ใด ถ้าไม่ใช่หน่วยงานมหาวิทยาลัย ก็จะเป็น ชื่อ บ. ครับ จากคุณ : Arc_ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 11:05:57

ความคิดเห็นที่ 5 7. ก็มีความสำคัญแบบอ้อมๆว่า journal นั้นได้รับความนิยม น่าเชื่อถือ แต่จริงๆ แล้วน่าจะจัดการวัดเป็น H-index ดีกว่า 8. citation สำคัญครับ เวลาเราเขียนบทความก็ต้องมี citation เพื่อสนับสนุนเราหรือบางทีเรายืมข้อมูลจากอีกบทความนึงก็ต้อง citation ให้เค้าครับ 9. ช่วยได้ระดับนึงครับ สามารถนำไปเขียนใน CV ได้ 10. เยอะแยะครับ 11. ผมเคยตีครับ ก็ลำบากกว่าตอนทำวิจัยตั้งเย้ออออ (ตั้งใจเขียนผิดเลย ^^) ส่งไปที่แรกได้เมล์กับมาหลังจากนั้น 3 วันว่า reject พร้อมคำแนะนำเพิ่มเติม (ส่งไปที่ impact factor สูงๆ หน่อย อยากรู้ว่ามี comments ไรให้บ้าง) ก็ทำตามคำแนะนำนั้นแล้วส่งไปที่ที่ต้องการจะส่งจริงๆ ได้เมล์ตอบกลับหลังจากส่ง 1 อาทิตย์ ว่าขอให้อธิบายพร้อมแก้ไขเพิ่มเติมและข้อตัว revised manuscript ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผมก็รีบแก้ให้เสร็จใน 2 เดือนพร้อมตอบคำถามเค้าไปแล้วส่งไป รออีก 1 อาทิตย์ก็ได้รับเมล์ว่า accept และตัว manuscript ที่เค้าปรับ format พร้อมตีพิมพ์แล้วมาให้เราตรวจทานอีกรอบ ถ้ามีจุดไหนที่ต้องการแก้ก็รีบเมล์ไปบอก พอยืนยันเสร็จทุกอย่างก็จัดการชำระเงิน (บางที่ต้องชำระเงิน) สุดท้ายเ้ค้าจะเมล์มาบอกว่าจะได้ลงในช่วงไหนอีกทีครับ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 11:21:24

ความคิดเห็นที่ 6 7.impact factor มีความสำคัญอย่างไร - ประมาณว่าบ่งบอก ถึงความยาก+น่าสนใจของวารสารนั้น ๆ ครับ 8. Citation คืออะไร สำคัญอย่างไร - การถูกอ้างอิง จะถูกนำไปคิดค่า impact factor ด้วยครับ อย่าง เ่ช่น วารสาร A มี 10 บทความ ถูกอ้างอิง 10 ครั้ง กับ วารสาร B มี 20 บทความ ถูกอ้างอิง 10 ครั้ง เท่ากัน ซึ่งแต่ละบทความในวารสารนั้น ๆ อาจจะไม่ถูกอ้างอิงก็ได้ ใช่ไหมครับ 9.การตีพิมพ์บทความทางวิชาการ เวลาไปเรียนต่อต่างประเทศ ช่วยได้เยอะไหมครับ - ช่วยได้เยอะเลยครับ อย่างน้อยก็เป็นผลงานระหว่างเรียนหรือหลังเรียนจบแล้ว ถ้าไปต่างประเทศก็เน้น ๆ วารสารระดับนานาชาติที่มี impact factor ด้วยนะครับ 10.มีคนไทยเคยได้ตีพิมพ์บทความลงวารสาร science และ nature บ้างไหมครับ - เยอะครับ จากคุณ : Arc_ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 11:26:12

ความคิดเห็นที่ 7 เสริคุณมอนตะทาโร่ นะครับ ครั้งแรก ถ้าไม่ซีเรียสมาก ส่งไปที่ impact factor สูง ๆ เลยครับ จะได้ comments ที่ดี ๆ กลับมา แต่อาจจะเสียกำลังใจที่ว่า โดน comments แรง ๆ หรือส่งไปครั้งแรกก็โดน reject ซะแล้ว แต่ถ้ามองในแง่ดี เราจะได้ comments ครับ ว่างานเรา มีจุดด้อยตรงไหน ควรปรับปรุงตรงไหน แล้วส่งไปที่ใหม่ที่ ที่ impact factor น้อยลงมาหน่อย เคยได้ิยินว่า มี comment แบบว่า ภาษาไม่ดี ไม่อ่าน...จบข่าว เฮือก...โดนด่าแถมด้วยครับ ปัจจัยอื่น ๆ ที่เคยได้ยินมาก็เช่นว่า advisor เรารู้จักกับ editor ก็มีส่วนครับ หรือความมีชื่อเสียงของ advisor ก็มีส่วนพอสมควรเลยครับ บางครั้งเห็นชื่อ ผู้แต่งก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แบบว่าเคยปลื้มอยู่แล้ว แล้วเราอาจจะได้รับเชิญให้ review paper นั้นหรือเป็นส่วนหนึงของ peer review ก็เทคะแนนให้เลย (เคยได้ยินมานะครับ) จากคุณ : Arc_ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 11:32:32

ความคิดเห็นที่ 8 comment ที่ว่าภาษาไม่ดีมีอยู่สองแบบครับ 1. ภาษาไม่ดีจริงๆ อันนี้พิจารณาตัวเองครับ 2. ภาษาดี แต่ทาง journal มี grammar service นะ อยากให้เราไปตรวจกับเค้าหน่อย เค้าจะได้เงินอีกส่วนนึง ส่วนปัจจัยระหว่าง advisor, editor และ referee ก็มีส่วนได้ส่วนเสียเหมือนกันครับ 1. ซี้กันอาจง่ายขึ้น 2. ถ้า corresponding author เราเป็นที่รู้จัก ชื่อเสียงดี ก็อาจง่ายขึ้น 3. ถ้ามี conflict of interests กันระหว่างฝ่ายเรากับฝ่าย editor, referee ก็ยากขึ้น จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 11:39:23

ความคิดเห็นที่ 9   ยังไม่เข้าใจครับ impact factor นี่เป็นของวารสารหรือของบทความครับ บทความได้ 7 กว่าๆนี่ถือว่าเยอะหรือน้อยครับ เท่าไหร่เรียกว่าเยอะ เท่าไหร่ เรียกว่าน้อย ขอบคุณครับผม จากคุณ : จขกท (Mr.Feynman) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 11:51:02

ความคิดเห็นที่ 10 impact factor เป็นของวารสารครับ จัดใหม่กันทุกปี ถ้า 7 นี่ เยอะมาก ๆ ครับ ไม่ทราบว่าแขนงไหนครับ แต่ค่าของ impact factor ก็ขึ้นอยู่กับแขนงนั้น ๆ ด้วย ถ้าทางการแพทย์/วิทยาศาสตร์สุขภาพสัก 4 ก็ยังไม่มาก เพราะเยอะ ๆ แบบ 12 ก็มีครับ ถ้าทางวิศวะ อย่างทาง electrical power system นี่ 0.5 ก็หรูแ้ล้วครับ ถ้าเกิน 1 นี่เทพแล้ว สูงสุดประมาณ 4 กว่า ถ้าข้อมูลไม่ผิดนะครับ ลองสำรวจวารสารในแขนงวิจัยดูครับ แล้วจะพอทราบว่า สูงสุดเท่าไร แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 53 12:01:02 จากคุณ : Arc_ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:00:43

ความคิดเห็นที่ 11 เป็นของวารสารครับ คำนวณมากจา จำนวนครั้งที่ถูก citatation/ จำนวนบทความทั้งหมด ซึ่งถ้า impact factor มากกว่า 1 แสดงว่าในปีนั้นๆ มีจำนวนครั้งที่ถูก citation > จำนวนบทความที่ตีพิมพ์ในปีนั้น ซึ่งหมายความอ้อมๆ ว่า เป็นที่น่าสนใจของคนหมู่มาก มีความน่าเชื่อถือเพราะถูกนำไปอ้างอิงบ่อยๆ ส่วน impact factor เท่าไรถึงจะเรียกว่าสูง 1. พวกที่เกิน 10 ไปแล้วเนี่ยเรียกว่าสูงแน่นอนครับ 2. ต่ำกว่านั้นก็ต้องดูครับว่าเป็นสายอะไร อย่างพวก microbiology ประมาณ 2 ขึ้นไปก็ว่าใช้ได้ แต่พวกเกี่ยวกับ biotechnology ระดับ 2-5 ก็ถือว่าธรรมดา สรุปคือต้องดูว่าตัวยอดนิยมของแต่ละสาขานั้นมี impact factor เท่าไร และ journal ที่เหลือส่วนมากนั้นมีค่าเฉลี่ยที่เท่าไร จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:03:26

ความคิดเห็นที่ 12   Wave and particle in molecular interference lithography, Phys. Rev. Lett. 103, 263601 (2009) (impact factor: 7.180) ฟิสิกส์ครับ อย่างนี้ที่ผมนำมา IF นี่เป็นของ phy rev  หรือของบทความครับ งง ----------------- คำตอบคือของวารสารใช่ไหมครับ นั้นถ้าบทความเราถูกcited น้อยมากแต่ได้ตีพิมพ์ ลงวารสารที่บทความอื่นเขา cited เยอะๆก็หมายความว่า IF แค่ประมาณ เฉยๆใช่ไหมครับ แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 53 12:17:09 จากคุณ : จขกท (Mr.Feynman) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:08:26

ความคิดเห็นที่ 13 ของวารสารครับ แต่เขียนกำกับเพื่อบอกว่าวารสารนี้ impact factor เท่านี้ ส่วนมากเห็นการเขียนแบบนี้ในพวก CV ไม่ก็เขียนขอทุนอ่ะครับ เพื่อให้รู้ว่าตีพิมพ์บทความเรื่องอะไรบ้าง ตีพิมพ์กับวารสารอะไรและเพื่อความสะดวกของกรรมการก็จะลง impact factor ของวารสารไปให้ด้วย จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:14:25

ความคิดเห็นที่ 14 คุณต้องมองด้วยว่าวารสารที่มี impact factor เยอะๆ เค้าก็ต้องรักษาระดับให้มันสูงเหมือนเดิมหรือถ้าให้สูงกว่าเดิมก็ยิ่งดี เกณฑ์การ accept ของวารสารเหล่านั้นก็จะยิ่งสูง แต่บางวารสารที่มีการตีพิมพ์บทความแบบเยอะๆ มากๆ (แบบตีพิมพ์รอบรายสองอาทิตย์) แต่มี impact factor เกิน 1 ก็บ่งบอกว่าวารสารนั้นก็เคี่ยวเอาเรื่องเหมือนกันครับ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:20:27

ความคิดเห็นที่ 15   ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ วารสารดีดีดังๆจะมี IF สูง และบทความถ้ามันดีจะมี cited สูง จากคุณ : จขกท (Mr.Feynman) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:22:25

ความคิดเห็นที่ 16 #15 ถูกบางส่วนครับ อย่าลืมว่าถูก cited เนี่ย มันมีทั้ง 1. เอางานเราไปสนับสนุน 2. งานของเราเป็นการนำ method ใหม่มาใช้ในส่วนนึงของเนื้องาน ซึ่งถ้ามีคนมาใช้ method เดียวกับเราหรือเอาไปปรับปรุงก็จะต้อง cited งานเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งบทความที่ถูก cited 3.เอางานเราไปวิจารณ์ มีผลขัดแย้งกับงานเค้า มาโจมตีงานเรา พยายามมองให้เป็นเรื่องๆ ไปครับ ที่คุณมองแบบนั้นมันเป็นสูตรสำเร็จเกินไปครับ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:28:19

ความคิดเห็นที่ 17 วารสารดีดีดังๆจะมี IF สูง และบทความถ้ามันดีจะมี cited สูง ถูกครับ --- ถ้าเราได้ลงวารสารที่มี IF สูง ก็ไม่ต้องสนใจว่าบทความของเราโดน cited หรือเปล่าก็ได้ครับเพราะ จะนับครั้งที่ว่า บทความในสารสารนั้น โดน cited ครับ ซึ่งอาจจะเป็นบทความอื่นก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ตอนที่กล่าวถึง literature review จะบอกว่า ใครแต่ง, เรื่องอะไรและจากวารสารใดครับ ก็เจาะรายละเอียดไปอีกที จากคุณ : Arc_ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:29:11

ความคิดเห็นที่ 18 เสริมคุณมอนตะทาโร่ วารสารที่มี impact factor เยอะๆ เค้าก็ต้องรักษาระดับให้มันสูงเหมือนเดิมหรือถ้าให้สูงกว่าเดิมก็ยิ่งดี เกณฑ์การ accept ของวารสารเหล่านั้นก็จะยิ่งสูง - เกณฑ์สูงนี่ โอกาสแห้วเยอะครับ บางวารสารที่โหด ๆ acception rate แค่ 10% เองด้วยซ้ำ ออกปีนึงอาจะแค่ 1-2 vol. มีไม่กี่บทความ แต่โดน cited เยอะครั้งมาก ถ้าได้นี่ระดับเทพของเทพเลยทีเดียว จากคุณ : Arc_ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:32:02

ความคิดเห็นที่ 19 ปกติ work flow มันจะเป็น editor รับงาน, จ่ายให้ referee ประเมิน, referee ตัดสิน, editor ดำเนินงานแจ้งผู้แต่ง แต่อย่างของ Science เนี่ยถ้าจำไม่ผิดนี่คัดออก 80-90% โดย editor เลย ไม่ได้ถูกตัดสินโดย referee (งานคุณต้องโดนจริง editor ถึงรับงานแล้วจ่ายออก) แล้วงานที่ถึงมือ referee ก็ยังมีโอกาสถูก reject ต่ออีกรอบนึง (งานคุณต้องแน่นจริง ดีจริง ถึงจะ accept) จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:39:34

ความคิดเห็นที่ 20 ^ อะไรประมาณนั้นค่ะ ลองดูเวปนี้คร่าวๆ ดูเลขค่า IF ของแต่ละวารสาร (ของไทย) คุณก็จะ list รายชื่อของวารสารที่คุณน่าจะสนใจลงตีพิมพ์มาได้คร่าวๆ จากนั้นก็นำชื่อวารสารไปสืบค้นว่าสำนักงานเค้าอยู่ที่ไหน มีกฏเกณฑ์และรูปแบบการเขียนยังไง จากนั้นก็ติดต่อส่งเรื่องของคุณเข้าไปใ้ห้เค้าพิจารณา บางที่แค่เดือนเดียวก็รู้ผล บางที่ก็หลายเดือนหน่อย ยิ่งถ้าวารสารระดับชาติหรือนานาชาติก็ยิ่งยากนิดนึง พี่ๆเพื่อนๆเราส่งกันเป็นปีๆจนลืมกันไปเลยทีเดียวเชียว แล้วก็อย่าลืมสอบถามเรื่องค่าลงเรื่องไปด้วยค่ะ (รายละเอียดด้านรูปภาพ กราฟ บางที่คิดเงินเพิ่มโดยเฉพาะวารสารเมืองนอก) บางที่แพงเกินค่ามือถือเราซะอีก -*- ถ้าไม่มีทุนก็เครียดนิสนึง จากคุณ : orchan เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:43:24

ความคิดเห็นที่ 21 ลืมแปะเวป -*- http://www.kmutt.ac.th/jif/public_html/T-JIF.html จากคุณ : orchan เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:44:56

ความคิดเห็นที่ 22 อ่อ อีกอย่าง impact factor: 7.180 ถ้ามันเป็น cited ของบทความมันต้องเป็นเลขจำนวนเต็มซิครับ เพราะตัวหารเป็น 1 ยกเว้นจะเป็น H-index ของทาง author นั้นเองที่จะเป็นทศนิยมได้ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:50:41

ความคิดเห็นที่ 23   อย่าพึ่งเบื่อนะครับ :-) ยังมีคำถามอีกครับ 12.ทำไมวารสารถึงมีมากมายจังครับ คนเขาเขียนบทความกันเยอะมากเลย     หรือ อย่างของ elsevier ก็มีวารสารตั้งมากมาย 13. วารสารนี่ปกติปีนึงออกกี่ครั้งครับ ใช่เดือนละครั้งหรือเปล่า 14. บทความที่อยู่ในเว็บ arxiv.org นี่เขาส่งไปที่เว็บนี้โดยตรงเลย หรือเว็บ     นี้ไปเอาบทความมาจากวารสารต่างๆครับ 15. วารสารที่มีมากมายนั้นปกติเขาตีพิมพ์เป็นกระดาษทุกฉบับเลยป่ะ      ครับ     แล้วจะหาซื้อได้ที่ไหน ทำไมเห็นแต่ในหอสมุด หรือว่าเขาตี      พิมพ์ออนไล์อย่างเดียวครับ 16. พวกความรู้งานวิจัยใหม่ๆทั้งหมดนี่จะถูกตีพิมพ์ลงวารสารใช่ไหม        ครับ ต่อไปงานพวกนี้จะนำไปสู่อุตสาหกรรมและก็ทำเงินหรือ        ไม่ความรู้พวกนี้     ก็จะไปเป็นวิชาใหม่ที่จะนำมาสอนกันต่อไปใช่ไหมครับ จากคุณ : จขกท (Mr.Feynman) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 12:54:57

ความคิดเห็นที่ 24 12. ก็แยกออกไปเพื่อเป็นเฉพาะทางบ้าง เพื่อระบายงานบ้าง อย่าง Elsevier เนี่ยงานจ่อเข้าคิวเยอะมาก ถ้าไม่มีแบ่งย่อยคงรอเข้าคิวอีกนาน 13. แล้วแต่วารสารปกติจะรายเดือน แต่รายสัปดาห์ รายสองสัปดาห์ รายสามเดือน รายปี ก็มีครับ 14. อันนี้ไม่มีความรู้ครับ เข้าใจว่าเป็นที่ repository 15. บางฉบับมีแต่ online ครับเช่น BMC แต่ส่วนมากจะมีทั้ง online และแบบ print-out ซึ่งราคา print-out ก็แพง มหาวิทยาลัยซื้อมาก็ใช้ลำบากเวลายืมข้ามฟาก ไหนจะอ่านกันหลายคนอีก ไหนจะที่เก็บอีก เลยต้องซื้อแบบ online มา ใครอยากอ่านก็โหลดเอง เก็บเอง ถ้าอยากจะซื้อเล่ม print-out ก็ subscribe ไปเองครับ 16. ถ้าดีพอก็ถูกตีพิมพ์ ความรู้ใหม่ๆ ก็จะถูกประเมินเรื่อยๆ แล้วนำไปยกเครื่ององค์ความรู้เดิมหรืออาจนำไปต่อยอดทางอุตสาหกรรม เทคโนโลยี จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 13:05:11

ความคิดเห็นที่ 25   พูดถึงคนที่จะมา review ตอนที่จะส่งบทความ (ตอนนั้นส่งไปที่ journal อันนึงของ Elsevier) บางทีเขาจะถามด้วยนะครับว่าไม่อยากให้คนใหนมา review งานเรา เพราะเขากลัวเรื่องการ bias จากคุณ : infineon เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 13:46:37 A:69.58.115.8 X: TicketID:248989

ความคิดเห็นที่ 26 ลองตอบดู 1.เรื่องที่สามารถตีพิมพ์ได้ต้องประมาณไหนครับ ตอบ ขึ้นกับสโคปของวารสาร ว่าสนใจเรื่องใด เงื่อนไขทั่วไป คือ ข้อมูลที่นำเสนอ ต้องถูกต้อง ตามกระบวนการวิจัย และ ไม่ลอกใครมา 2.มีขั้นตอนกระบวนการอย่างไรบ้างครับกว่าจะได้ตีพิมพ์ ตอบ ก็ส่งบทความให้เขาพิจารณา แล้วรอคอมเม้นต์จากบรรณาธิการ และ รีวิวเวอร์ จากนั้นก็ ตอบ และ แก้ไขบทความ  ทำเช่นนี้ รอบ หรือ สองรอบ ก็จะได้ตีพิมพ์ (ถ้าไม่ถูกตีตก) 3.ใช้เวลาประมาณกี่เดือนกว่าจะได้รับการตีพิมพ์นับตั้งแต่ส่งเรื่องไป ตอบ เคยตีพิมพ์เร็วที่สุดใช้เวลา 4 สัปดาห์ ตั้งแต่ส่งบทความจนบทความออนไลน์ (ถ้าไม่ต้องแก้อะไรเลย จะใช้เวลาประมาณนี้ สำหรับวารสารที่มี IF สูง) สำหรับช้าที่สุดที่เคยเจอ น่าจะประมาณ 2 ปี 4.จะทำอย่างไรถึงจะได้ตีพิมพ์ในวารสารที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ตอบ ก็ทำงานวิจัยที่มีคนสนใจเยอะ ๆ และ ทำให้ดี มีข้อสรุปที่ถูกต้องและชัดเจน 5. วารสารในประเทศไทยมีอะไรบ้างคร้บที่ดังๆ เอาfieldไหนก็ได้ ตอบ มีเยอะ แต่สำหรับฟิสิกส์ (เชื่อว่า จขกท อยู่ใน field นี้) เคยได้ยินอยู่อันเดียวคือ SciAsia 6. คนส่วนมากที่ตีพิมพ์เป็นใครครับ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ อาจารย์มหาลัย นิสิต   ปอโทปอเอก มีนิสิตระดับปริญญาตรีบ้างไหมครับ ตอบ บทความวิจัยก็ตีพิมพ์โดยนักวิจัย ซึ่งอาจหมายรวมถืง อาจารย์มหาลัย และ นิสิต ปกติ การเรียนในระดับ ป. ตรี ไม่เอื้ออำนวยให้ทำงานวิจัย (เวลา และ ความรู้จำกัด) ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีนิสิตระดับปริญญาตรีเป็นผู้เขียนงานวิจัย (อย่างมากเป็นผู้ร่วมทำงาน วิจัยที่ตีพิมพ์) 7.impact factor มีความสำคัญอย่างไร ตอบ เป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ชี้วัด ความน่าสนใจของวารสารนั้น โดยคำนวณจากการอ้างอิง 8. Citation คืออะไร สำคัญอย่างไร ตอบ ถ้า จขกท คิดว่า citation หมายถึง การอ้างอิง มันก็หมายถึงสิ่งสำคัญที่ต้องมีใน บทความ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเขียนบทความ โดยไม่มีการอ้างอิงถึงงานก่อนหน้านี้ ในหัวเรื่องที่ใกล้เคียงกัน 9.การตีพิมพ์บทความทางวิชาการ เวลาไปเรียนต่อต่างประเทศ ช่วยได้เยอะไหมครับ ตอบ ช่วยอะไร? ถ้าหมายถึงช่วยให้ได้ไปเรียน ก็คงช่วยได้เยอะ เพราะคนที่พิจารณา เขาดูผลงาน ซึ่งผลงานทางวิทยาศาสตร์ส่วนมากก็อยู่ในรูปบทความที่ตีพิมพ์ 10.มีคนไทยเคยได้ตีพิมพ์บทความลงวารสาร science และ nature บ้างไหมครับ ตอบ เท่าที่เคยค้นดู ตกเฉลี่ย ปีละ 1 บทความ (ไม่เยอะ แต่ดีกว่าไม่มีเลย) 11. ใครมีประสบการณ์การตีพิมพ์บทความทางวิชาการช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับ ตอบ เล่าสั้น ๆ ว่า ต้องหาหัวข้อที่น่าสนใจแล้วพยายามทำให้ได้คำตอบ เมื่อมั่นใจผลในมือแล้วจึงเริ่มเขียนบทความ แล้ว ส่งไปตีพิมพ์ และ หากเขียนชัดเจนดี ความรู้พื้นฐานแน่น ก็จะผ่าน รีวิวเวอร์ได้อย่างไม่ยากเย็น จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 16:15:27

ความคิดเห็นที่ 27 เลื่อนลงมาดู พบว่า คุณ มอนตะทาโร่ (คห 22) เข้าใจผิดนะครับ Impact Factor ปกติเป็นเลขทศนิยม เพราะ คำนวณจากค่าเฉลี่ยของการอ้างอิง จากทุกบทความในวารสารนั้น ๆ แต่ H-Index เป็นจำนวนเต็ม เพราะพิจารณาจากข้อมูลนักวิจัยเป็นคน ๆ ไป อ่านเพิ่มเติมเรื่อง H-Index ได้ใน http://en.wikipedia.org/wiki/H-index จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 16:20:36

ความคิดเห็นที่ 28 ตอบต่อ 12.ทำไมวารสารถึงมีมากมายจังครับ คนเขาเขียนบทความ กันเยอะมากเลย หรือ อย่างของ elsevier ก็มีวารสารตั้งมากมาย ตอบ เพราะแต่ละสำนักพิมพ์ต้องการแยกหัวข้อวิจัยให้ชัดเจน จึงตั้งชื่อวารสาร ให้เหมาะสม และแยกกันอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่ได้คือวารสารจำนวนมากอย่างที่เห็น 13. วารสารนี่ปกติปีนึงออกกี่ครั้งครับ ใช่เดือนละครั้งหรือเปล่า ตอบ แล้วแต่วารสาร nature, science, phys rev lett,  ... ออกทุกอาทิตย์ หากสนใจวารสารไหน ก็เข้า web ของวารสารนั้นโดยตรง จะมีบอกค่อนข้างชัดเจน 14. บทความที่อยู่ในเว็บ arxiv.org นี่เขาส่งไปที่เว็บนี้โดยตรงเลย หรือเว็บ นี้ไปเอาบทความมาจากวารสารต่างๆครับ ตอบ ใน arxiv.org เป็นฐานข้อมูลบทความที่ใครอยากส่งไปลงก็ได้ โดยมากนักวิจัย ส่งไปลงเอง เพื่อให้ผลงานออกสู่สายตาคนอื่นเร็วที่สุด และ บ่อยครั้งที่บทความใน arxiv.org ได้ตีพิมพ์ในภายหลัง แต่ก็มีหลายบทความที่ไม่ได้ตีพิมพ์ 15. วารสารที่มีมากมายนั้นปกติเขาตีพิมพ์เป็นกระดาษทุกฉบับเลยป่ะครับ แล้วจะหาซื้อได้ที่ไหน ทำไมเห็นแต่ในหอสมุด หรือว่าเขาตีพิมพ์ออนไลน์ อย่างเดียวครับ ตอบ ปัจจุบัน มีหลายวารสาร ทำเฉพาะเวอร์ชั่นอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องซื้อ ก็หาซื้อได้ที่ web ของวารสารนั้น ๆ 16. พวกความรู้งานวิจัยใหม่ๆทั้งหมดนี่จะถูกตีพิมพ์ลงวารสารใช่ไหมครับ ต่อไปงานพวกนี้จะนำไปสู่อุตสาหกรรมและก็ทำเงินหรือ ไม่ความรู้พวกนี้ ก็จะไปเป็นวิชาใหม่ที่จะนำมาสอนกันต่อไปใช่ไหมครับ ตอบ เกือบทั้งหมดถูกตีพิมพ์ แต่ก็มีบางครั้งที่งานวิจัยใหม่ ๆ ถูกนำไปจดสิทธิบัตร และ บ่อยครั้งที่งานวิจัยที่ตีพิมพ์ส่วนมาก ไม่ได้ถูกนำไปใช้ใด ๆ ต่อ ไม่ว่าในอุตสา- หกรรม หรือ ในการเรียนการสอน จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 16:35:23

ความคิดเห็นที่ 29 #25 วารสารไหนครับเนี่ย แปลกๆ ถ้าวารสารที่มีมาตรฐานเขาจะรีวิวแบบ double blind ครับ คือ คนที่มารีวิวจะไม่รู้ว่าใครเขียนบทความนั้นๆ ส่วนคนที่ถูกรีวิวก็จะไม่รู้ว่าใครมารีวิวบทความเรา จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 16:38:17

ความคิดเห็นที่ 30 เข้ามาอ่านค่ะ แน่นมากๆๆ... เก็บความรู้ค่ะ ปล.เราส่งไปแล้ว รอทางวารสารจะบอกว่า reject /accept จากประสบการณ์ของเรา เรียน ป.โทในจีน เพื่อนๆตีพิมพ์วารสารของ SCI ที่มี IF มากกว่าครึ่งห้องเลยค่ะ ขยันมากๆๆ.. แล้วเรียนแค่สองปีครึ่งด้วย.. จากคุณ : nuanapa เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 18:03:14

ความคิดเห็นที่ 31 ยิ่งสาขาที่เฉพาะด้าน  ค่า IF  จะสูงมาก และแน่นอนว่าการทำวิจัยก็จะยากด้วยเช่นกัน สาขาที่ขาดแคลนจะถูกส่งเสริมจากมหาวิทยาลัยมากเป็นพิเศษ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ  ทั้งทรัพยากร  เครื่องมือ  สถานที่ต่างๆ จะว่าไปบ้านเราคนเก่งเยอะมาก  ขาดก็แต่เงินทุน  กับเครื่องมือ ทีมที่ทำอยู่  มีศูนย์การวิจัยเคลื่อนที่อยู่ภาคอิสาน  ทำเรื่องพยาธิ เก็บตัวอย่างการวิจัยกับข้อมูลได้พอสมควร  ขาดเครื่องมือวิเคราะห์นี่แหละ บางอย่างต้องส่งมาวิเคราะห์ที่คณะ  แล้วรอผลส่งกลับ  ช้ามาก จะขอเครื่องมือซักอย่างยากมาก  เครียดทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ เวลาก็ผ่านไป  คณะก็รองานวิจัยไปตีพิมพ์  ยิ่งเดี๋ยวนี้มีการทำค่าเฉลี่ย ใครทำงานวิจัยกี่ชิ้น  ค่าเฉลี่ยของภาควิชาอยู่ที่เท่าไหร่  ของคณะอยู่ที่เท่าไหร่ กี่ชิ้นต่อคนต่อปี  กดดันมาก เราพูดกันตลอดว่ามหาวิทยาลัยเราจะก้าวไปเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก แต่การสนับสนุนยังย่ำอยู่กับที่  ก็ไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน จากคุณ : bailie เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 19:54:27

ความคิดเห็นที่ 32 #27 ผมก็บอกว่าที่เป็นทศนิยมนั้นแหละที่เป็น impact factor เนื่องจาก จขกท เค้าคิดว่ามันคือจำนวนครั้งที่บทความนี้ถูก cited อ่ะครับ ส่วน H-index นั้นผมลืมไปจริงๆ เพราะไปสับสนกับที่ใช้ประเมินบางหน่วยโดยการนำ จำนวนครั้งที่ถูก cited/ จำนวนบทความของนักวิจัยท่านนั้นที่ตีพิมพื จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 20:59:34

ความคิดเห็นที่ 33 #29 วารสารหลายๆ ที่ก็เป็นแบบนี้ครับ ไม่ถือว่าแปลก การแข่งขันมันสูงมากๆ จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 21:02:45

ความคิดเห็นที่ 34 กลับมาอ่านอีกที (คิดว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้ที่มีนักวิจัยไทย เข้ามาอ่านมาก) ก่อนอื่น ขอขอบคุณ คุณ มอนตะทาโร่ ที่ให้ความกระจ่างในความเห็นที่ 32 ได้อ่าน ความเห็นที่ 31 ของคุณ bailie แล้วรู้สึกว่า ยังมีความเข้าใจผิดเรื่อง Impact Factor (IF) และ ทัศนคติที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดการทำวิจัยที่ดีในประเทศอยู่ อันดับแรก เรื่อง IF เป็นเรื่องของวารสารครับ มิใช่ว่าต้องเจาะจงเฉพาะสาขา การกล่าวว่า "ยิ่งสาขาที่เฉพาะด้าน  ค่า IF  จะสูงมาก" นั้นไม่ถูกต้อง ปกติบทความที่ลงใน science หรือ nature จะเขียนให้บุคคลทั่วไปอ่านเข้าใจได้ มิได้เจาะจงให้เฉพาะผู้มีความรู้ในสาขานั้น ๆ อ่าน ในขณะที่วารสารทั้งสองนี้ มี IF สูงกว่าวารสาร(ที่เฉพาะทาง)อื่น ๆ มาก สำหรับการทำวิจัย ในประเทศไทย ปัญหามีอยู่จริง อย่างที่ท่านได้กล่าวไว้ เรา ๆ ท่าน ๆ ก็ทราบดีว่ามีปัญหา และ ปัญหาที่กล่าวมานี้ ก็มิได้มีเฉพาะแต่ในประเทศไทย ในต่างประเทศ ทั้งประเทศที่เจริญแล้วและยังไม่เจริญ ก็ล้วนมีปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งสิ้น อาจจะมากน้อย แตกต่างกัน ความเห็นส่วนตัว ในการหลีกเลี่ยงปัญหานี้ คือ การวางแผนก่อนทำการวิจัยในเรื่องใด ๆ ก็ตาม การวางแผนที่ดีจะทำให้ทราบว่าเราต้องใช้อะไรในการทำวิจัย และ หากงบประมาณ จำกัด(มาก) ก็ไม่ควรเลือกทำสิ่งที่ต้องใช้งบมาก (ในกรณีสุดโต่ง คือ ไม่มีงบเลย ก็คงต้อง เรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์คำนวณ โดยใช้ซอฟแวร์ฟรีเป็นหลัก ในการทำงานวิจัยที่ ตนเองสนใจ) หรือ หากเครื่องมือวิเคราะห์ไม่มี หรือ ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ก็ไม่ควรทำ โครงการวิจัย ที่ต้องใช้เครื่องมือเหล่านั้นเป็นหลัก ควรเลือกเฉพาะสิ่งที่มี และ ดึง ความสามารถของเครื่องมือที่มีออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด ผมเชื่อว่านักวิจัยไทยเก่ง และ สามารถปรับตัวให้เข้ากับปัญหาที่มีได้ และเชื่อว่า หากทำดีที่สุดแล้ว ก็คงไม่มีใครมากดดันอะไรได้ ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัว หากท่านใดมีความเห็นต่างก็ขอเชิญแสดงความเห็นให้ อ่านด้วยนะครับ จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง จากคุณ : nonlocality เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 21:35:41

ความคิดเห็นที่ 35 จะเขียนเปเปอร์หรอครับ  Mr.Feynman สู้ๆนะครับ ถ้าเรียนอยู่ก็ทำซะแต่เนิ่นๆนะครับ กว่าจะตรวจกัน กว่าจะแก้กันไปๆมาๆหว่าง advisor + co แล้วยังรอของวารสารนั้นๆอีก กินเวลาพอดู ผมพึ่งได้ไป 1 IF 4.xx แนะ เหลืออีกสามรออยู่ แต่ที่เหลือคงไม่ได้ IF สูงเท่าไร ออกแนวการทดลองดูประสิทธิภาพ จากคุณ : GreenEyes เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 21:41:31

ความคิดเห็นที่ 36 #34 น่าจะเพิ่มไปว่าควรจะรู้ว่าแลปตัวเองไม่มีอะไรบ้าง และที่ไหนเค้ามีจะได้ติดต่อไปขอความร่วมมือนะครับ ส่วนเรื่องคุณภาพงานวิจัยก็คงแล้วแต่ที่อ่ะครับ งานระดับดีๆ ลง high impact ก็มีหลายเรื่อง แต่บางทีมันมียุทธการหั่นบทความเป็นบทความย่อยเนี่ยแหละครับ เห็นแล้วเสียดายดันไปคิดที่จำนวนบทความแทนที่จะดูคุณภาพ (สำหรับบางที่นะครับ) จากคุณ : มอนตะทาโร่ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 21:46:49

ความคิดเห็นที่ 37   คห 29 ผมเคยส่งไปที่ Pattern recognition กับ Computer Vision and Image Understanding ครับ จากคุณ : infineon เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 22:06:09 A:69.58.115.8 X: TicketID:248989

ความคิดเห็นที่ 38   เพิ่มเติม คห 37 นะครับ ผมว่าการ review แบบ single blind นั้นดีสำหรับผู้ review ครับเพราะจะสามารถสืบหาข้อมูลต่างๆได้ง่ายเช่น ผู้เขียนมีความเชี่ยวชาญด้านนี้มากแค่ใหน เคยเอางานนี้ไปตีพิมพ์ที่อื่นหรือไม่ จากคุณ : infineon เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 53 22:19:40 A:69.58.115.8 X: TicketID:248989