ความคิดเห็นที่ 1 แค่เข้าใจอย่างเดียวคงไม่พอแหละ จำได้ว่าสมัยเรียน อาจารย์บอกว่า กลไกปฏิกิริยา เหมือนกัน "ตัวอักษร" จำไม่ได้ ก็สร้างเป็น "คำ" เป็น "ประโยค" ต่อไม่ได้ และนั้นก็เป็นเหตุที่ทำให้ผลไม่ค่อยถนัดเคมีอินทรีย์เท่าไร (เกรดออกมาไม่ค่อยดี ไม่เคยไปถึง A) สู้พวกเคมีวิเคราะห์ไม่ได้ (เหะ เหะ ไม่ได้ A ก็ได้ B) ดังนั้น "ท่อง" และ "ทำความเข้าใจ" เถอะ จากคุณ : เรียนที่บางมด แต่นานแล้ว (Xenophage) เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 00:01:33

ความคิดเห็นที่ 2   ได้ครับ ส่วนใหญ่ก็ดูคร่าวๆ จากการเป็น อิเล็กโตรไฟล์  นิวโทรไฟล์ อะไรมากกว่ากัน อะไรมีแขนเหลือ มีการกีดกั้นทางโมเลกุลของสายโซ่มั้ย บลาๆๆ   ประมานนี้ครับ     แต่ว่าสอบต้องจัดลำดับความคิดให้ดี ถ้าจับผิดขั้นตอน หรือทำปฏิกิริยาผิดตำแหน่งที่มันควรจะเป็น กลไกลก็ผิดมั่วไปหมด  ถ้าตอนสอบ คิดว่าคงไม่มีเวลาทำขนาดนั้น ก็เอาเป็นตอนเรียนเสร็จกลับไปทำความเข้าใจครับลองฝึกทำดูเอง แล้วเปิดหนังสือดูว่ามันใช่มั้ย ไม่ใช่ก็พยายามหาจุดผิดพลาด   ก็จะทำให้อาจจะต้องจำน้อยลง ก่อนจะสอบ เพราะเราทำความเข้าใจกลไกไว้แล้ว จากคุณ : fortis เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 00:13:39

ความคิดเห็นที่ 3 ทำได้แน่นอนครับ เพราะทำมาแล้ว หัดเขียนบ่อยๆ ให้ถูกคอนเซปแต่แรกก็จะเก่งได้ครับ ช่วงแรกอาจต้องอาศัยจำนิดหน่อย แต่เมื่อแตกฉานแล้ว จะได้เปรียบเป็นอย่างมากเพราะสามารถเข้าใจปฏิกิริยาต่างๆได้ง่าย ยิ่งถ้าเรียนเคมีอินทรีย์โดยตรง ปีหลังๆจะยิ่งสบาย เพราะคนที่จำมันก็ต้องจำต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเข้าใจมาโดยตลอดปีหลังๆเหมือนไม่ต้องเรียน แค่เอาสิ่งที่รู้มาผูกกัน ต่อยอดนิดหน่อย ทำให้มีเวลาไปอ่านวิชาอื่นๆ พื้นฐานที่จำเป็นต้องมีให้แน่นคือ 1.formal charge 2. resonance structure 3 Bond cleavage      3.1 Homolytic cleavage    3.2 Heterolytic cleavage 4. Effect   4.1 electronic effect         - inductive         - hyperconjugation         - resonance         - etc   4.2 nonelectronic effect        - steric        -etc คือข้างบนนี้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจ แล้วมันจะนำไปสู่การอธิบายกลไกการเกิดปฏิกิริยา ถ้าเข้าใจพื้นฐานรู้ที่มาที่ไป orgchem ง่ายนิดเดียว  สิ่งที่ีสำคัญมันอยู่ในบทแรกๆครับ ตั้งแต่บทแรกจนถึงปฏิกิริยาของอัลเคนและอัลคิลเฮไลด์เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก คนที่จะเข้าใจแล้วเอามาใช้ได้มีน้อยครับ หลายๆคนเห็นว่ามันคล้ายๆ ม ปลาย เลยไม่ค่อยใส่ใจ ไม่ได้หยิบเอามาใช้ต่อในบทต่อๆไป ทำให้เมื่อถึงปฏิกิริยาของอัลคีนหลายคนเริ่มรับไม่ได้ต้องท่องจำไป แล้วเดี๋ยวพอไปเจอ อัลดีได์คีโตนอีก น็อคครับ คราวนี้ก็จำแหลกครับ ดังนั้นค่อยๆไปเป็นขั้นเป็นตอน เอาสิ่งที่เป็นพื้นฐานมาใช้บ่อยๆเข้าใจได้แน่นอน เวลาอ่านรอบแรกๆ ต้องพยายามถามว่า ทำไมปฏิกิริยามันถึงเกิด ทำไมมันต้องไปชนอันนั้น ไม่ไปชนอะตอมอื่น ทำไมต้องใช้รีเอเจนท์หน้าตาแบบนี้ มันทำงานอย่างไง มันมีเหตุผลทั้งสิ้น เพียงแต่การได้มาซึ่งความเข้าใจมันต้องอาศัยการคิดไตร่ตรองในขณะที่อ่าน และการดิ้นรนที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบ แรกๆจะไปได้ช้าและหลายคำถามอาจจะตอบไม่ได้ แต่ถ้าไม่ยอมแพ้ เมื่อถึงจุดนึงจะเข้าใจได้และเห็นภาพรวม ทีนี้ชีวิตสดใสแล้วครับ เด็กส่วนมากจะท้อไปซะก่อน   เพราะมันจะดูเหมือนไม่มีหลักอะไร แล้วก็ไม่แสวงหาคำตอบ แล้วพอท้อก็เลยเลิกที่จะเข้าใจ แต่จริงๆแลวมันมีหลักการครับ เชื่อมั่นในตัวเอง พยายามทำความเข้าใจ ทำโจทย์แล้วดูเฉลยเยอะๆ เดี๋ยวก็ทำได้ครับ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 03:52:29 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 03:23:34 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 03:20:25 จากคุณ : Onunu (tripplebond) เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 03:14:58

ความคิดเห็นที่ 4 ให้เคล็ดวิชาละกัน ไว้เป็นแนวทาง สำหรับ organic reaction mechanism การเกิดปฏิกิริยาเคมีก็ต้องมีการ สร้าง และสลาย พันธะ ถูกมั๊ยครับ สำหรับสารอินทรีย์ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นพันธะโคเวเลนท์ แต่โมเลกุลหนึ่งๆ มีพันธะโคเวเลนท์มากมาย คำถามคือ เวลาสลาย พันธะตรงไหน ที่มันจะแตก? แล้วทำไมมันต้องแตก แล้วแตกแบบไหน? จุดที่พันธะจะสลายต้องใช้ หลักๆ ดูจากรีเอเจนท์ ซึ่งต้องอาศัย ข้อ 1 formal chargeและข้อ 4 effect มันจะไกด์เราว่าตรงไหนต้องแตก แล้วทำไมต้องแตก แล้วแตกยังไงใช้ข้อ 3 เรื่อง bond cleavage  มันจะทำให้เรารู้ว่า reaction จะมาทางไหน เป็น electrophile, Nucleophile หรือ free radical (แค่นี้ก็จะตัด choice เวลาทำข้อสอบไปได้เยอะแล้ว) แล้วพอแตกก็ต้องสร้างพันธะ ก็ต้องมีการชนกันของอะตอม แล้วตรงไหนที่มันจะชนกัน ก็ต้องใช้ข้อ 1  formal charge และข้อ 4 effect คอยเสริม ใน reaction mechanism หนึ่งๆ ใช้กฎเหล่านี้ตลอดทุกขั้น   เวลาผมทำโจทย์ หรือทำแลบจริงๆ มีสองคำถามที่ต้องตอบให้ได้ 1 รีเอเจนท์ที่ใช้ เป็นแบบไหน (กรด, เบส, นิวคลีโอไฟด์, อิเล็กโตรไฟล์, ฟรีแรดิเคิล, redox) 2. เมื่อเรารู้รีเอเจนท์ทำงานอย่างไรก็จะพิกัดได้ว่าตรงไหนของโมเลกุลที่มันมีโอกาสจะเข้าไปทำปฏิกิริยาด้วย 3. เมื่อได้ 1กับ 2  mechanism จะได้แล้วประมาณ 80-100% เพราะในบางครั้งอาจเกิด product ได้หลายตัว ก็ต้องอาศัยพื้นฐานเหล่านี้มาอธิิบายเลือกตัวที่สมเหตุผลที่สุด หวังว่าคงช่วยให้น้องเป็นนักเคมีที่เป็นนักเคมีจริงๆนะครับ แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 04:17:27 แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 04:15:56 จากคุณ : Onunu (tripplebond) เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 04:02:55

ความคิดเห็นที่ 5 เด็กเกษตร หรือเปล่าครับ  เทอมนี้เครียดกับวิชานี้เหมือนกัน จากคุณ : netkuff72 เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 09:25:26

ความคิดเห็นที่ 6 สูตรเรียนเก่งที่ผมได้หลังจากเรียนจบคือ ทำซ้ำๆ ทำบ่อยๆ ฝึกบ่อย อย่าถ้อ มันจะจำได้และเข้าใจไปเอง ใช้ได้ทั้งกับงานและการเรียน จากคุณ : จากคนเรียนไม่เก่ง (Phoenekia) เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 09:33:18

ความคิดเห็นที่ 7 เข้าใจอย่างเดียวได้ครับ จำแต่ข้อยกเว้นอย่างเดียว ทำให้จำน้อยลงมากเลยครับ Organic synthesis นี่เป็นวิชาที่สนุกมากครับ เหมือนวิชาสถาปัตยกรรมของเคมีอินทรีย์ก็ว่าได้ครับ ปล. พื้นฐานต้องแน่นอย่างที่ความคิดเห็นต้นๆได้กล่าวมาแล้ว จากคุณ : in-situ เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 53 17:38:21

ความคิดเห็นที่ 8 วิชานี้ ไม่เคยเข้าใจครับ ท่องๆๆๆๆๆๆอย่างเดียวจิงๆ ผมไม่ชอบ แถมเรียนตั้ง 3 ตัว จะบ้าตาย!! เรียนกันเกือบร้อย ดรอปหนีไปครึ่ง ที่เหลือเอฟบ้าง ด๊อกบ้าง โหด!!! มาก!!,,,ส่วนใหญ่ได้ D มาคับสาขาผม 555 จากคุณ : อ้วนกลม (tigkung) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 01:35:50