ความคิดเห็นที่ 1 หัวข้อแบบนี้ระวังน่ะครับ เหอ เหอ มาม่าาา แต่ผมมีวิธีตรวจวัดผ่านทางสมบัติของความเป็นพระเจ้าด้วยกฏของธรรมชาติน่ะ จากคุณ : นายแสนดี  เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:17:19

ความคิดเห็นที่ 2   รู้แต่คนที่มีอำนาจที่สุดบนโลก เรียกว่าพระเจ้าได้ไหมนี่ จากคุณ : KeyboardWarrior เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:21:53

ความคิดเห็นที่ 3   ม่ากันไปเยอะแล้วครับ ระวังพวก เคร่งตำรามากกว่า จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:24:21

ความคิดเห็นที่ 4 รู้จักแต่ บร๊ะเจ้าโจ๊ก จากคุณ : UdornBoy2 เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:39:32

ความคิดเห็นที่ 5 พระเจ้าทรงมีพระลักษณะสามประการ 1 พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด (Omnipotence) 2 พระเจ้าทรงเป็นอยู่ทุกหนทุกแห่ง (Omnipresent) 3 พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง  (Omniscient) แต่ลักษณะใน ข้อ 1 และ 3 นั้นไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ นั่นคือเหตุพระเจ้าทรงรู้ทึกสิ่ง(ทรงมีสัพพัญญูญาณ) นั่นย่อมหมายความว่า ไม่มีกาลเวลาปรากกฏต่อพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เหมือนเราดูวิดิโอที่กรอไปมาได้ คำถามคือ พระเจ้าทรงล่วงรู้ถึงอนาคตของพระองค์หรือไม่ ดังเช่นว่าหลังจากทรงมนุษย์แล้วพระเจ้าจะทำสิ่งใดต่อ หากพระเจ้าล่วงรู้นั่นย่อมหมายความว่าทรงขาดพระฤธานุภาพสูงสุด เนื่องจากไม่สามารถกระทำการใดๆได้โดยอิสระ ทรงกระทำใดๆตามที่พระสัพพัญญูญาณหยั่งรู้ แต่หากพระเจ้าสามารถกระทำการใดๆได้จริง โดยอิสระ นั่นย่อมหมายความว่าทรงขาดพระสัพพัญญูญาณ เนื่องจากไม่สามารถล่วงรู้ทุกสิ่งได้ ที่ผมเขียนมานี้มิได้ปฏิเสธความมีอยู๋ของพระผู้เป็นเจ้า แต่ชี้ให้เห็นว่าพระลักษณะมีความไม่สอดคล้องกันตามหลักของเหตุผล เพราะว่าแมท้แต่พระเจ้าเองก็สร้างมนุษย์ด้วยเหตุผลคือความรัก นั่นหมายความว่าเพราะผู้เป็นเจ้าเองก็มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังการกระทำใดๆ คงไม่มาม่าน่ะครับ จากคุณ : นายแสนดี  เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:40:12

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นความเชื่อ ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์... จากคุณ : haman_zaa เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:46:00

ความคิดเห็นที่ 7   พระเจ้าต้องการรักจากมนุษย์ครับ เพื่อเป็นพลังของพระเจ้า ยามไดที่มนุษย์หันหลังให้พระเจ้า พระเจ้าก็หมดพลังครับ และเทพองค์อื่นจะขึ้นเป็นพระเจ้าแทน เช่น Lucifer Hedes แสดงว่าพระเจาต้องการพลังงานเพื่อมีชีวิตรอยู่ แต่ไครจะม่ากับผมเรื่องนี้ มันแน่ๆๆครับ จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:49:53

ความคิดเห็นที่ 8   o/ ใครสร้างพระเจ้าครับ จากคุณ : KeyboardWarrior เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:54:06

ความคิดเห็นที่ 9 ^ ^ ^ มนุษย์ครับ จากคุณ : apiwatrossi เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:55:45

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่าจุดอ่อนอย่างหนึ่งของ "ระเบียบวิธี" ทางวิทยาศาสตร์คือการพยายาม "ลดทอน" value ต่างๆ ลงมาให้มัน "วัดได้" นี่แหละครับ ไม่เชื่อลองไปอ่านวิทยานิพนธ์สายสังคมช่วงที่วิธีวิจัยเชิงปริมาณกำลังฮิตๆ เราจะเห็นการ operationalization  (ไม่อยากจะเรียกว่า "นิยามเชิงปฏิการ" เลยเพราะไม่ make sense อย่างแรง) คำต่างๆ แบบอิโนเซ้นต์มากๆ เอาง่ายๆ ไม่ต้องถึงกับพระเจ้าหรอก ลองตรวจวัด ความดี ความชั่ว ความเจริญ ความสุข ให้ผมดูหน่อย แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 22:59:44 จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 22:56:58

ความคิดเห็นที่ 11   #5 อ่านแล้วรู้สึกยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ แต่ผมรู้ว่าผมเกิดมาจากท้องแม่ครับ ไม่ใช่เกิดมาจากพระเจ้า พ่อผมกับแม่ผมเป็นคนสร้างร่างกายผมขึ้นมาครับ จากคุณ : ปุโรหิตไฟ เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:00:58 A:125.24.178.176 X: TicketID:285784

ความคิดเห็นที่ 12   อยากลงจังกลัวคน บางคนเข้าใจผิด แล้วคิดไม่ทันจะไปคนละเรื่องเลย รอดู ค.ห. อื่นดีกว่า จากคุณ : เวย์คุง เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:07:01

ความคิดเห็นที่ 13 #12 ลงมาเลย ไม่ควรมีสิ่งใดเป็นอุปสรรคต่อความรู้ แม้แต่สิ่งที่ "ไม่ควรรู้" ก็จะต้องมีเหตุผลว่าทำไม ถึงไม่ควรรู้ แม้แต่สิ่งที่ "เหตุผลอธิบายไม่ได้" ก็จะต้องมีเหตุผลว่าทำไม "เหตุผลถึงอธิบายไม่ได้" จากคุณ : นายแสนดี  เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:18:17

ความคิดเห็นที่ 14   #5 ไม่ขัดคับ พระเจ้ารู้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องตัวพระองค์เองคับ ไม่ใช่เพราะว่าญาณไม่ถึงความรู้ไม่มีหรอกนะคับแต่เป็นเพราะพระเจ้าเท่านั้นที่มี free will โดยแท้จิงน่ะคับ มันมีกฏอยู่ข้อหนึ่งจำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไรซึ่งกฏข้อนี้เป็นกฏที่กำหนดการกระทำของเราทุกอย่างน่ะคับ เราทุกคนถูกกักขังไว้อยู่ในคุกมืดไร้แสงสว่างที่ไม่มีวันที่จะลืมตาอ้าปากได้จะต้องดำรงอยู่ภายในคุกมืดแห่งนี้ไปชั่วนิรันดร์คับ ถ้าจะหลุดออกจากคุกมืดนี้ไปได้ก็จะต้องเป็นพระเจ้า, พระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ อย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้เท่านั้นคับจึงจะสามารถมีเจตน์จำนงอิสระได้โดยแท้จิง... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:21:59 A:180.183.40.72 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 15 พระเจ้าฮารุฮิ!! /me เผ่นนนน จากคุณ : BossXIII เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:27:01

ความคิดเห็นที่ 16 ขอถามคำถามคลาสสิก พระเจ้าสามารถสร้างก้อนหินที่พระเจ้ายกไม่ขึ้นได้หรือเปล่า? จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:31:11

ความคิดเห็นที่ 17   ^ มีก้อนหินอยู่หลายก้อนที่พระเจ้ายกไม่ขึ้น... แต่ถ้าพระองค์ไม่ต้องการก้อนหินก้อนนั้นก็มีหลากหลายวิธีที่จะกำจัดไปคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:34:47 A:180.183.40.72 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 18 ก่อนอื่น ต้องตั้งสมมติฐานขึ้นมาก่อนว่า... ข้อที่หนึ่ง คุณ Winter Tear ต้องการทราบว่า พระเจ้าเคยมีการถูกตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ โดยคาดว่าเคยมีการตรวจวัดพระเจ้า 50% และได้ทำการสุ่มถามคนในห้องหว้ากอ เวปพันทิป เป็นจำนวน 17 คน ปรากฏว่ามีล็อกอินจำนวน 10 คนนั้นบอกว่าไม่มี เพราะพระเจ้าไม่มีจริง จงทดสอบสมมติฐานนี้ ที่ระดัยนัยสำคัญทางสถิติ .05 ครับ. แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 53 23:59:10 จากคุณ : Paultinus เขียนเมื่อ : 5 ก.ย. 53 23:57:53

ความคิดเห็นที่ 19   สังเกตการณ์ จากคุณ : ผมต้มน้ำร้อนเผื่อทุกคนแล้ว เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 00:08:13 A:61.90.69.146 X: TicketID:282352

ความคิดเห็นที่ 20   ความคิดเห็นที่ 14 หมายความว่า ก่อนที่มนุษย์คนหนึ่งจะเป็นอรหันต์ เขาไม่มีเจตน์จำนงเสรีที่จะเลือกปฎิบัติตัวเพื่อเข้าสู่การเป็นอรหันต์ เหรอครับ จากคุณ : ผมต้มน้ำร้อนเผื่อทุกคนแล้ว เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 00:12:33 A:61.90.69.146 X: TicketID:282352

ความคิดเห็นที่ 21 กลิ่นมาม่าโชยมาแต่ไกล.... จากคุณ : Ravesnider เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 00:14:18

ความคิดเห็นที่ 22 จขกท. อยากได้ผลวัดพระเจ้าศาสนาใดครับ จากคุณ : โอไซริส เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 00:25:21

ความคิดเห็นที่ 23   #20 ถูกต้องแล้วคับ แม้แต่ผู้ที่จะสร้างบุญบารมีจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือที่เรียกว่าพระโพธิสัตว์ก็ยังถูกกำหนดตัวเอาไว้ หรือแม้แต่เทพองค์ที่จะสืบทอดพลังในการสร้างเป็นพระเจ้าองค์ต่อไป ก็ยังถูกกำหนดด้วยไว้เลยคับ แต่ญาณที่จะหยั่งรู้เรื่องพวกนั้นนี่ต้องระดับพระเจ้าหรือพระพุทธเจ้าคับถึงจะรู้ได้... ปล. ถึงแม้คุณอาจจะไม่ได้มีชะตาที่จะบรรลุอรหันต์ แต่มีความเป็นไปได้ที่คุณจะสามารถบรรลุอรหันต์ได้เพราะอะไร??? เพราะว่ามีอยู่ผู้หนึ่งที่มีเจตน์จำนงอิสระที่จะสามารถดลบันดาลสิ่งใดให้เกิดขึ้นกับคุณก็ได้แม้ว่าสิ่งนั้นจะขัดกับชะตาของคุณเองผู้นั่นก็คือพระเจ้า... ดังนั้นถ้าคุณเชื่อและวางใจในพระเจ้าจึงจะมีความเป็นไปได้ที่คุณจะได้ในสิ่งที่คุณไม่มีวันจะได้น่ะคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 01:03:52 A:180.183.41.71 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าตรวจสอบวัดได้ก้อไม่ใช่พระเจ้าแล้วมั้ง? จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 01:18:43

ความคิดเห็นที่ 25   ความคิดเห็นที่ 23 ก็เลยขัดกับ อเทวนิยม ซะงั้น -_-" ว่าแต่ หากแม้ผมไม่เชื่อหรือไม่วางใจในพระเจ้า พระองค์อาจเปลี่ยนใจทำให้ผมได้ก็ได้ด้วยเสรีของพระองค์ ?? จากคุณ : ผมต้มน้ำร้อนเผื่อทุกคนแล้ว เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 01:47:58 A:61.90.69.146 X: TicketID:282352

ความคิดเห็นที่ 26   ^ #25 เป็นไปไม่ได้เพราะแม้พระเจ้าเองก็ไม่ได้ควบคุมทุกอย่างในจักรวาล ถ้าควบคุมได้ทุกอย่างคุณก็ไม่ต้องกินไม่ต้องขี้แล้ว ถ้าพระเจ้าจะเปลี่ยนชะตาของคุณ พระองค์ก็ทำได้เพียงแค่บอกให้คุณเปลี่ยนชะตาตัวเองให้คุณสร้างเวรสร้างกรรมด้วยตัวเองแค่นั้นคับ เวรกรรมสร้างให้กันไม่ได้คุณอยากได้อะไรคุณจะต้องทำเอง แล้วถ้าพระเจ้าบัญชาให้คุณทำแต่คุณไม่เชื่อและไม่วางใจในพระเจ้ามันก็คือคุณยอมรับชะตาของตัวคุณเองแล้วนั่นแหล่ะคับ... -_-" จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 01:55:39 A:180.183.41.71 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 27 เอาอีกแล้ว พระเจ้ามีอำนาจต่อมนุษย์ ไม่จริงหรอก มนุษย์นี้แหละเป็นผู้สร้างและผู้ทำลายพระเจ้า มนุษย์ สร้างพระเจ้า และพอมนุษย์เบื่อ ก็สร้างพระเจ้าองค์ใหม่ พระเจ้าองค์เก่าก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ไป หรืออาจจะได้รับเกียรติให้มาเป็นตัว Nuker ในเกม DotA จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 02:59:25

ความคิดเห็นที่ 28 @26 คุณจะพิสูน์ได้ใหมว่าพระเจ้ามีจริง แต่ผมสามารถพิสูจน์ให้คุณดูได้ ว่าพระเจ้าไม่มีจริง แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 53 03:00:57 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 03:00:43

ความคิดเห็นที่ 29   ^ ถ้าพระเจ้ามีจิงแล้วคุณจะทำยังไงคับ??? จะเชื่อฟังพระองค์เพื่อให้พระองค์อวยพรในชีวิตคุณงั้นเหรอคับ... ไม่มีอะไรที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีเหตุ แม้แต่ความรู้ คุณก็ไม่มีวันที่จะอยู่ดีๆแล้วก็รู้หนทางไปสู่ความสุขความดีในชีวิตขึ้นมาได้หรอก และในเมื่อพระเจ้าคือความสุขความดีคือพรในชีวิต ดังนั้นคุณจึงจะไม่มีวันรู้ได้ว่ามีพระเจ้าหรอกคับ... ไม่มีใครที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้ามีจิง... หรือไม่มี... น่ะคับ จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 03:34:42 A:180.183.41.71 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 30   . พระเจ้ามีหรือไม่ อยู่ที่ใจของผู้แสวงหา . จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 03:37:20 A:125.25.183.44 X: TicketID:281166

ความคิดเห็นที่ 31 สิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์ย่อมมีอย่างแน่นอน  แต่พระเจ้าที่มนุษย์ยอมรับขณะนี้ต้องมีคุณสมบัติ            1  มีอิทธิฤทธิ์มากไม่มีขอบเขต บันดาลได้ตามใจ            2  อะไรๆที่พระเจ้าทำ ต้องถูกต้องหมด ห้ามมนุษย์คิดแย้ง แล้วทำไม ไม่ให้ทุกๆคนรวยกันหมด ก็ต้องอ้างอีกว่า ไม่มีใครเดาใจพระเจ้าได้ถูก..........ฉนั้น จะหวังความแน่นอน จากพระเจ้าแบบที่มนุษย์คิดได้หรือไม่ ลองคิดดู            แต่ ถ้าพระเจ้าต้องมี เพื่อเป็นกุศโลบาย ให้มนุษย์เกรงกลัวต่อบาป จะได้ไม่ทำชั่ว เพราะยังมีสิ่งที่เหนือกว่าคอยลงโทษนะ อย่างนี้ดีแน่ๆ จากคุณ : เมืองโบราณ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 05:28:09

ความคิดเห็นที่ 32 ความเป็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ คือสิ่งเดียวกับพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ จินตนาการของมนุษย์เอง ก็มีข้อจำกัดเท่าที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะจินตนาการได้ สักวันมนุษย์อาจจะรู้จัก สัก 100 มิติ แต่ธรรมชาติหรือพระเจ้า อาจมีมิติมากกว่านั้น โดยส่วนตัวคิดว่า เราวิ่งไล่ตาม(การวัดฯ)ความยิ่งใหญ่ ด้วยวิธีนี้ไม่มีวัน ทัน ไม่มีวันที่จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ นอกเสียจากเราเลิกแปลกแยกตัวเอง กับธรรมชาติ แล้วกลับเข้าไปสู่สิ่งนั้น จุดนั้นเราจึงจะเข้าใจ แต่เมื่อเข้าใจ อาจไม่สามารถบรรยายให้แก่ผู้ที่ทำไม่ได้ให้เข้าใจไม่ได้ นั่นคือ หลักศาสนาพุทธ จากคุณ : labor_pu เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 05:34:43

ความคิดเห็นที่ 33 มันก็ไม่ต่างอะไรจากซฮฟแวร์ ที่พยายามตรวจสอบผู้ใช้ จากคุณ : นายสาระแน เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 06:37:25

ความคิดเห็นที่ 34 ลองคิดดูสิว่า ถ้ามิเตอร์ ถูกสร้างขึ้นมา จะสามารถใช้วัดค่าอุปกรณ์ของตัวเอง เวลาเสียได้หรือปล่าว   ถึงแม้คาลิเบรท มิเตอร์ให้เที่ยงแค่ไหน คิดว่า ต้องมี ผู้อยู่เหนือกาลเวลา อยู่จริงไม่อย่างนั้น อนาคตต้องไม่มีคนเห็น แต่ถ้าเกิดมีสักคนบอกอนาคตได้ตรงก็แสดงว่า กาลเวลามีจุดจบ แล้วทำไมคนบอกว่า พระเจ้าไม่บังคับทุกอย่าง  การรู้ล่วงหน้า คือรู้ทั้งการตัดสินใจ ของทุกชีวิต  แต่อาจเข้าไปควบคุมหรือไม่นั้นไม่รู้   หากไม่มีจุดจบของกาลเวลา เราคงเซ็งแย่ครับ   หรือมีแต่การเวียนว่ายไม่รู้จบ  ก็แย่ครับ จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 07:39:54

ความคิดเห็นที่ 35 พระเจ้าจะถูกตรวจวัดได้ไง ต้องถูกตรวจโบสถ์ไม่ก็สุเหร่าสิ จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 08:01:05

ความคิดเห็นที่ 36   เอ่อ อย่าว่างั้นงี้เลยนะครับ จขกท ขอนิยามของพระเจ้าก่อนได้ไหม ตรงตาม #5 หรือเปล่า เพราะ พระเจ้าของ คริสต์-อิลาม (รวมถึง ยูดา(ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกหรือเปล่า ศาสนาดั้งเดิมของชาวยิว)) พรามหมณ์ โซโรอัสเตอร์(เม้งก้า ของกิมย้ง) ชินโต ซิกซ์ อินเดียนแดง เง็กเซียนฮ้องเต้ ไม่ค่อยเหมือนกัน ปล ถ้า คุณพระ คุณเจ้า ละ อันนี้ผมยืนยันว่า พิสูจน์แล้วว่า มีจริง จากคุณ : ขออภัย ความรู้เท่าหางลูกอ๊อด เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 08:11:26 A:222.123.128.231 X: TicketID:278779

ความคิดเห็นที่ 37 ตอบกันไม่ตรงคำถามเลย ... ตกลงว่าไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีการตรวจวัดเจอพระเจ้า (ไม่ว่าจะของศาสนาใดๆ ) เลยใช่มั้ย ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เคยได้ยิน (อย่าว่าแต่พระเจ้าเลย ศาสดาองค์ต่างๆ ในอดีตเป็นพันๆ ปี ก็อาจจะเป็นเรื่องเล่าขานกันมาเฉยๆ โดยไม่มีตัวตนจริงก็ได้) ... ....... ยกเว้น แต่ พระเจ้าโจ๊ก โสคูล ... ตรวจวัดเจอยอดขายเทป กับยอดทัวร์คอนเสิร์ต จากคุณ : JD300 เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 08:53:43

ความคิดเห็นที่ 38 . . เคยดูหนังเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสืบสวนสอบสวนฆาตกรต่อเนื่องที่อัจฉริยะมากคนหนึ่ง.. นักวิเคราะห์จิต ถามฆาตกรคนนั้นว่า "คุณเชื่อในพระเจ้าไหม" เขาตอบว่า.. "พระองค์พยายามทำให้ผมเชื่อนะ ท่านส่งมือดีตั้งหลายคนมาชักจูงผม แต่น่าเสียดายท่านยังทำไม่สำเร็จ" ดูแล้วแอบงงว่า ตกลงเชื่อหรือไม่เชื่อกันแน่นะคะ แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 53 09:27:46 จากคุณ : primjang เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 09:26:50

ความคิดเห็นที่ 39 ถ้าสามารถตรวจวัดได้ นั่นแสดงว่ามนุษย์เหนือกว่าพระเจ้าเลยนะครับ จากคุณ : feenmolder เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 09:28:39

ความคิดเห็นที่ 40   ถ้าออกถามสำรวจ แล้วมีคนหลายร้อยล้านคน บอกว่ามีจริง และมีผลกระทบกับชีวิตของพวกเขาจริง ถือว่าเป็นการตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์ได้ไหม ความจริงคืออะไร อีก1000ปี มันอาจจะกลายเป็นความเข้าใจผิดก็ได้ จากคุณ : KeyboardWarrior เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 09:51:58

ความคิดเห็นที่ 41   เวลาใครทอดกล้วยไม่เป็น ก็เรียกมาช่วยครับ จากคุณ : PV เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 10:33:19 A:124.120.7.230 X: TicketID:102349

ความคิดเห็นที่ 42   เชื่อได้ว่ายังไม่เคยมีการตรวจวัด ถึงจะตรวจวัดก็ไม่พบเห็น และจะมีคนบอกว่า "วิทยาศาสตร์ตรวจวัดไม่ได้ไม่ได้แปลว่าไม่มี" คนมีศรัทธาก็ต้องบอกว่ามี คนอื่นถ้าแข็งขืน ก็คงไม่ดีนัก เรื่องอย่างนี้เขาเรียกกันว่า "อตินไตย" จากคุณ : swathcu@yahoo.com เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 11:22:18 A:122.154.3.81 X: TicketID:281681

ความคิดเห็นที่ 43 เคยดูหนังเรื่องหนึ่งจำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร เค้าพูดกันประมาณว่า นาย ก : คุณคิดว่าพระเจ้ามีจริงมั้ย ? นาย ข : มีจริง ! นาย ก : งั้นคุณพิสูจน์ให้ดูหน่อยว่าพระเจ้ามีจริง นาย ข : คุณคิดว่าความรักมีจริงมั้ยในโลกหรือจักรวาลนี้ นาย ก : แน่นอน นาย ข : งั้นคุณก็ช่วยพิสูจน์ให้ดูหน่อยว่าความรักมีจริง นาย ก : ....? จากคุณ : huntayony เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 12:16:58

ความคิดเห็นที่ 44 พระเจ้า ซาตาน ผี และตำรวจดีๆ เป็นสิ่งที่เชื่อว่ามีอยู่จริง... แต่น้อยคนนักจะได้สัมผัส จากคุณ : haman_zaa เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 12:26:46

ความคิดเห็นที่ 45 #43 นาย ก เดินเข้าไปปล้ำ นาย ข ในทันที ;-) จากคุณ : house (panote_saechiew) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 12:46:28

ความคิดเห็นที่ 46   #45 นาย ข .. กระซิก  ...กระซิก  รับผิดชอบเค้าด้วยนะตะเอง จากคุณ : FoXnews เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 13:06:48

ความคิดเห็นที่ 47 @29 งั้นอะไรคือพระเจ้าของคุณ พระเจ้าบัญชาให้ผม ไม่เชื่อในตัวพระเจ้า คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ต้องตกนรก เพราะไม่ฟังพระเจ้า แต่พระเจ้าสั่งผมว่าจงไม่เชื่อในพระเจ้า แล้วผมก็ต้องตกนรกทั้งๆที่ผมทำตามคำสั่งของพระเจ้า พระเจ้า สองมาตรฐาน แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 53 13:28:40 จากคุณ : 123 (นฤมลประการ) เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 13:26:05

ความคิดเห็นที่ 48 ทุกอย่างสามารถดำเนินไปได้เองโดยไม่มีพระเจ้า เมื่อพระเจ้าไม่มีหน้าที่ ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่มีความสำคัญที่จะต้องมีอยู่ เช่นกฏแห่งกรรมตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค กล่าวไว้ว่า กฏแห่งกรรม คือการหมุนเวียนของ กรรม (เจตนา) วิบาก (ผลกรรม) กิเลส( ความชอบหรือไม่ชอบ) อธิบายคือ เมื่อคนเรามีเจตนา ก็ต้องได้รับผลของเจตนานั้น แล้วเราก็จะมีกิเลส คือความชอบ ไม่ชอบ ทำให้เราต้องสร้างกรรม (เจตนา) อันใหม่ ต่อไป วนเป็นลูปอนันต์ สังเกตว่า ไม่มีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 53 13:33:59 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 13:33:08

ความคิดเห็นที่ 49 จากคุณ : -APEM เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 14:00:05

ความคิดเห็นที่ 50 วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจวัดสิ่งที่ไม่มีได้ครับ เช่นบอกว่าช่วยวัดไม้ในมือผมหน่อยว่ามันยาวเท่าไหร่ และทำจากไม้อะไร แต่ในมือผมไม่มีไม้ จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 14:40:01

ความคิดเห็นที่ 51 #50 วัดได้ครับ อย่างเช่นอีเธอร์ ถ้าเรารู้คุณสมบัติมันว่าเป็นตัวกลาง ของแสง (คลื่น) เมื่อเราวัดแล้วแสงมันไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะวัดจากทิศทางใด เราก็สามารถสรุปได้ว่า อีเธอร์ไม่มีจริง เช่นเดียวกับพระเจ้า ถ้าเราถือว่าพระเจ้ามีฤทธานุภาพสูงสุด เราต้องพิสูจน์ว่าไม่มีสิ่งใดที่มีอิทธฤทธิ์เหนือทุกสิ่งทุกอย่างได้ เช่น #16 ขอถามคำถามคลาสสิก พระเจ้าสามารถสร้างก้อนหินที่พระเจ้ายกไม่ขึ้นได้หรือเปล่า? ไม่ต้องวัดจริง แต่คิดด้วยตรรกะ จะพบว่าพระเจ้าไม่มีอำนาจไม่มี ที่สิ้นสุด เพราะถ้าสร้างก้อนหินที่ตัวเองยกไม่ได้ แสดงว่าไม่มีความ สามารถสร้างได้ทุกสิ่ง แต่ถ้าไม่สามารถยกของที่ตัวเองสร้างได้ แสดงว่าไร้ความสามารถที่ไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายต้องยอมรับว่า พระเจ้าที่มีอำนาจไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีจริง จากคุณ : .eAT เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 14:51:48

ความคิดเห็นที่ 52 เรื่องศาสนา คุยไปก็เสี่ยงต่อการทะเลาะ เปล่าๆ เพราะ สุดท้ายก็คุ้ยว่า ศาสนาไหน พอจะมีความเป็นตรรกะ ในคำสอน มากกว่ากัน ปล.แต่พื้นฐานของมนุษย์ คือ มีความเป็น independent ครับ การใช้ชีวิตบนโลก ไม่ควรมีกรอบ หรือมีการเหยียดกัน ระหว่างศาสนา เชื้อชาติ ถ้าศาสนาไหนสอนให้เหยียด ผู้อื่น ถือว่าเป็นได้แค่ ลัทธิความเชื่อ ... แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 53 16:46:06 จากคุณ : NipponJ เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 16:43:36

ความคิดเห็นที่ 53   ผมว่ายากกว่าตรวจหาผีอีกนะ จากคุณ : Spirited Away G เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 16:55:44

ความคิดเห็นที่ 54   พระเจ้าสร้างก้อนหินสองก้อน พระเจ้าแยกร่าง ร่างหนึ่งยกหินขึ้น อีกร่างหนึ่งยกหินไม่ขึ้น พระเจ้ารวมร่าง จากคุณ : มาม่าไม่อร่อยเลย เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 17:31:54 A:10.9.27.57 X:202.28.169.166 TicketID:282352

ความคิดเห็นที่ 55 คำถาม "เคยมีการทดลอง ตรวจสอบ แล้วเจอ กันบ้างไหมครับ?" ตอบ ไม่เคยครับ แต่สำหรับในอนาคต ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าหาก พระเจ้า (และอรหันต์ต่างๆ) มีอยู่จริง และอยู่ในที่.. ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวลาและความเร็วแสง อยู่นอกก้อนจักรวาลนี้ เป็นที่ที่มีมากกว่าคำว่า มิติ มากกว่าคำว่า มวล, พลังงาน, space and time ที่ที่เราไม่สามารถจินตนาการได้ และไม่มีวันจินตนาการได้ เราไปที่นั่นได้ ด้วยวิธีที่เรียกว่า นิพพาน หลุดจากจักรวาลนี้ ที่ขังเราไว้ด้วยกำแพงความเร็วแสงและเวลา ถ้าเป็นดังนั้นแล้ว ผมคิดว่า เราไม่สามารถตรวจวัดได้ นอกจาก นิพพานออกไปเจอด้วยตัวเอง จากคุณ : 801s เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 17:37:08

ความคิดเห็นที่ 56   . ถ้าอยากพิสูจน์ ง่ายนิดเดียว ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรหรอก เพราะใช้เครื่องมือยังไง ๆ ก็หาไม่เจอ วิธีทำ ง่ายมาก แค่ทิ้งความเป็นตนตัวของคุณซะ แล้วคุณจะพบ แค่นั้นเอง ... . จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 18:48:00 A:125.24.0.87 X: TicketID:281166

ความคิดเห็นที่ 57 ทำไมครับ ทำม๊ายยยย  ทำไมต้องเถียงเรื่องความเชื่อ = ='' ผมเปลี่ยนมาใช้คริสต์ในบัตรประชาชนนานมากแล้ว แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าศาสดาใดในโลกนี้เป็นจริงอย่างที่ตำราว่าไว้   ( โดยเนื้อหาในกระทู้นี้ ผมอยากจะตอบว่าพระเจ้าไม่มีจริง )   ความเชื่อมันอยู่เหนือสามัญสำนึกของคนเราอยู่แล้วนี่ครับ มันก็เหมือนการวัดค่าความโกรธหรือมิเตอร์ความรักนั่นแหละ มันแทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ปล.โดยส่วนตัวผมไม่นับถือศาสนาใดๆนะ จากคุณ : GenoGTN. เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 53 20:06:24

ความคิดเห็นที่ 58   "อจินไตย" มีสี่ประการ พุทธวิสัย ฌาณวิสัย กรรมวิบาก และ โลกจินตา ไม่ได้บอกโดยตรงว่า มีหรือไม่มีพระเจ้า แต่บอกว่าอย่าไปขวนขวายเรื่องเหล่านี้ เกิดเป็นคนประเสริฐ จงอาศัยจิตปัญญาขวนขวายสิ่งที่จะเกื้อกูลกัน จะดี จากคุณ : swathcu@yahoo.com เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 08:43:43 A:122.154.3.81 X: TicketID:281681

ความคิดเห็นที่ 59   บางอย่าง เป็นความลับต่อไปก็ดีนะคะ^^ จากคุณ : MooMango เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 53 21:48:07

ความคิดเห็นที่ 60 ผมชอบ 8 + 9 ครับ และนั่นคือความจริง ทุกศาสนานั้นล้วนมี กุศโลบาย = กุศล + อุบาย = สิ่งลวงที่ก่อให้เกิดสิ่งดี ดังนั้นถ้าขึ้นชื่อว่ามีอุบายแล้ว ย่อมไม่เป็นความจริงทั้ง 100% ครับ เพียงแต่ศาสนาใหนจะสามารถ หาเรื่องราวใดๆ มาอธิบายเรื่องราวความเป็นไปของสิ่งต่างๆเพื่อก็ให้เกิดความน่าเชื่อถือ ตามแต่ความรู้และวิทยาการในสมัยนั้นๆ เพื่อควบคุมความทิศทางและการดำเนินไปของสังคม ซึ่งจากการวิเคราะห์ส่วนตัวของผม ในภายหน้าเมื่อคนเรามีความรู้และวิทยาการมากขึ้น เราย่อมเห็นความจริงมากขึ้น มองทะลุในอุบายต่างๆมากขึ้น ศาสนาที่เรานับถือๆกันอยู่นี้ก็จะ สูญไปตามหลายสิบศาสนาที่มีมาก่อนหน้า ศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ และ "จริงมากที่สุด จากการพิสูจน์"เท่านั้นจึงจะคงอยู่หรือเกิดใหม่ขึ้นมา แต่.........อย่างไรก็ตาม คำว่า"จงเชื่อ ห้ามสงสัย"ยังคงมีอยู่ในศาสนาที่อธิบายอะไรได้ไม่หมด เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันของตัวเอง ซึ่งเชื่อว่าจะยังคงฝังอยู่ในหัวของคนที่ ไม่คิดเป็นวิทยาศาสตร์อีกนานพอดู(ก็คนมันเยอะ) แต่อย่างไรก็ตาม...... เมื่อมีกระทู้นี้ ผมก็ว่ามีคนเห็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆแล้วหล่ะ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 11:21:18

ความคิดเห็นที่ 61   ^ ทำไมถึงคิดว่าวิทยาการที่จะค้นพบต่อไปในภายหน้า จะทำให้คนเห็นความจิงแล้วทำให้กุศโลบายที่ศาสนาวางไว้ถูกมองออก และทำให้กุศโลบายดังกล่าวถูกทำลายไปพร้อมกับศาสนา และสังคมจะตกอยู่ในสภาพไร้การควบคุมดำเนินไปอย่างไร้ทิศทางไร้จุดมุ่งหมายล่ะคับ??? ปล. หรือว่าคุณหรือกลุ่มของคุณจะเป็นคนควบคุมทิศทางของสังคมเองเหรอคับ??? จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 15:32:04 A:117.47.231.213 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 62   ส่วนคนที่เริ่มสงสัยว่าศาสนาไหนเป็นความจิงส่วนศาสนาไหนไม่ใช่ก็ลองพิจารณาศาสนาอิสลามดูหน่อยละกันคับ ผมคิดว่าศาสนานี้น่าสงสัยมากๆ... วิเคราะห์ นบี มูฮัมหมัด (ด.ว.ย) ศาสดาหื่นกามอำมหิต นบี เป็นเด็กกำพร้าที่ทำหน้าที่เป็นคนจูงอูฐใน คาราวาน ของลุง แล้ว นบี ก็หว่านเสน่ห์ ใ หญิงหม้ายที่อายุมากกว่าตัวเอง 15 ปีเพื่อ แต่งงานหวังมรดก สภาพสังคมอาหรับในตอนนั้น มีการนับถือพระเจ้าหลายองค์ ต่างเผ่าพันธุ์ต่างแยกกันอยู่ตาม โอเอซิสต่างๆทำให้สังคมอาหรับเป็นวัฒนธรรมที่เป็นสังคมปิด สภาพแวดล้อมที่เหมือนนรกฝนแทบไม่ตกปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้น ทำให้คนพวกนี้เป็นพวกเห็นแก่ตัวและชิงดีชิงเด่นตลอดเวลา จึงไม่แปลกที่จะมีการรบราฆ่าฟันกันตลอดเวลา หลังจาก นบี เริ่มกินอิ่มนอนหลับเพราะเกาะเมียกิน เขาก็เริ่มอยากหาเมียเด็กๆมาไว้ชมเชยบ้าง แต่ถ้าแสดงความหื่นมากเกินไป เดี๋ยวจะโดนเมียหลวงเฉดหัวออกจากกองมรดก นบีเดินหนีเมียแก่ๆหนังยานของเขาขึ้นเขา แล้วก็เดินกลับมาบอกหน้าตาเฉยว่าเจอกับ ทูตของพระเจ้า และตัวนบีเองได้รับเลือกเป็น ศาสนทูตคนสุดท้าย ถ้าเป็นสมัยนี้ คนแบบนี้ นาย นบี มูฮัมหมัด นี่คงถูกหาว่าเป็น “ไอ้บ้า” แต่ในยุคสมัยนั้น ใครๆตั้งลัทธิกันเกร่อ ลัทธิไหนคนนิยมเจ้าลัทธิก็สบายไปด้วย ลาภสักการะ เมียของ นบี เล็งเห็นผลการณ์ไกลเพราะตนเองก็มีทุนทรัพย์พอจะดันลัทธิใหม่ของ สามีให้แจ้งเกิด เลยประกาศตัวเป็นสาวกคนแรก ของ ลัทธิ “มูฮัมหมัด” อย่าเพิ่งตกใจตอนแรกๆ ชื่อลัทธิมันเป็นแบบนี้จริงๆ ก่อนจะมาเป็น “อิสลาม” ทีหลัง ว่าแล้ว นบี มูฮัมหมัด ก็ตกแต่งตัวเองซะใหม่ให้ ดูสมถะน่าเคารพก่อนเดินเข้าไปหาสาวกเพิ่มเติม ที่ กรุงเมกกะ แต่เนื่องจาก เมกกะเป็นเมือง ศูนย์กลางของอาระเบีย ที่เจ้าลัทธิอื่นๆ รวมทั้งศาสนา ยิว คริสเตียน อยู่ก่อนแล้ว ลัทธิมูฮัมหมัด จึงไม่ได้แจ้งเกิด พอเริ่มหาสาวกได้ 10 คน ก็ดันมี สาวกบางคนทนลำบากกับ นาย นบีไม่ไหว ก็โบกมือลาไปซะก่อน เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ นาย นบี จึงต้องหาที่ประกาศ ลัทธิใหม่ แต่... อุตสาห์เป็นตั้ง ศาสนทูต คนสุดท้ายทั้งที จะเผ่นออกจากเมกกะมือเปล่าก็จะดูไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไร นบี เลยอ้างว่า “ผม และสาวก ถูกกีดขวาง กลั่นแกล้ง และทารุณกรรม จากพวกนอกศาสนาไม่ไหว จึงต้องลี้ภัยจากเมกกะ” กลายเป็นว่า ปีที่ นาย นบี เผ่นออกจาก เมกกะกลายเป็นปีเริ่มต้นศักราชแรกของอิสลาม คือ ฮิจเราะห์ศักราช นั้นเอง เมื่อ นบี ย้ายมา เมือง เมดิฮาห์ นาย นบี เริ่มมีสันดานเสียคือ ไม่ช่วยเมียทาหากิน แถมยังเอาเงินเมียไปเลี้ยงดูสาวกอีก ซึ่งช่วงนี้ใน บันทึกของพวกมุสลิมบอกว่า นบี ต้องอยู่อย่างอัตขัต แล้วนบีก็คิดวิธีหาเงินออก คือ ปล้นขบวน คาราวาน โดย สาวกอิสลามของเขานั้นแหละ หลังจากการปล้นครั้งแรกทระพย์สินที่ได้จากการปล้นทำให้คนสนใจเข้าร่วม ลัทธิมูฮัมหมัด จำนวนมาก นาย นบี ก็เริ่มได้ใจจึงปล้นต่อเนื่องอีกหลายครั้ง นบีวางแผนซื้อใจสาวกอย่างฉลาด เพราะนบี คิดได้ว่าสาวกที่มากขึ้นแบบนี้ ของที่ปล้นได้สักวันต้องแจกลูกน้องตัวเองไม่ไหวแหงๆ นบีจึงให้รางวัลท่าพิสมัยกว่า รางวัลที่ได้จากการปล้นคือ... ใบผ่านทางสู่สวรรค์ ลูกสมุนทุกตัวของ นบี จะเข้าใจว่า “นบีคือศาสนทูตของพระเจ้าที่แท้จริงหนึ่งเดียวเท่านั้น” ทุกคำสั่งของนบีก็คือองการจากสวรรค์นั้นเอง แค่ทำตามก็ได้ขึ้นสวรรค์แล้ว ว่าแล้วนบีก็วาดภาพสวรรค์ให้ชัดเจนและเหลือเชื่อ สวรรค์เป็นที่ๆมีทั้ง ผู้หญิง อาหาร น้ำ กลายเป็นว่าใครไม่ทำตามคำสั่ง นบี ต้องตกนรกนั้นเอง นบี ยังมีพรสวรรค์ด้านการล้างสมองมวลชน โดยตั้งกฎต้องละหมาดวันละ 5 ครั้ง โดยทุกๆครั้งช่วงแรก นบีจะเป็นคนกล่าว โฆษณา ชวนเชื่อต่างๆด้วยตัวเอง จนในที่สุด เมดิฮาห์ เกือบทั้งเมืองก็กลายเป็นซ่องโจร มูฮัมหมัด หลังจากการปล้นผ่านไป 10 ครั้ง ด้วยการกระทำที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ทาง เมกกะ ได้ส่งกำลังมากำราบซ่องโจรมุสลิม ตอนนี้ นาย นบี มูฮัมหมัด ต้องรับศึกใหญ่กว่าที่เคยรบมาทั้งหมด ...แต่ นบี ก็มีรางวัลใหญ่ สำหรับคนที่ร่วมศึกในครั้งนี้!! จีฮัด .. หรือ สงครามศักสิทธิ์ถูกประกาศขึ้น แค่ มุสลิมคนไหนเข้าร่วมในสงครามกับพวกนอกศาสนาครั้งนี้จะได้ขึ้นสวรรค์ยิ่งตายในสนามรบ ยิ่งจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงสุดดด!!! ว่าแล้วก็จับยิวในเมืองมาตัดหัวทิ้ง 10 คน ละเลงเลือดคนนอกศาสนาพอเป็นน้ำจิ้มก่อน โดยยัดข้อหาเป็นใส้ศึก ว่าแล้ว นบีก็กล่าว สรรเสริญ อัลเลาะห์หัวดวย แล้วชี้ดาบเข้าเข่นฆ่าคนนอกศาสนาอย่างบ้าคลั่ง สงครามจบลง นาย นบี ได้ชัยชนะ พวกลัทธินรก ได้หยั่งลงมั่นคงแล้วที่เมดิฮาห์ แต่ นบียังต้องการ ปล้นต่อไป ตอนนี้เมืองเล็กๆอย่างเมดิฮาห์ ไม่สามารถตอบสนองความทะเยอทะยานของเขาได้แล้ว เขาต้องการเมืองที่เป็นศูนย์กลางของอาระเบีย... เมกกะ!! หลังการศึกที่นองเลือด 3 ครั้ง นบีได้ยึด เมกกะได้ นบีเริ่มล้างแค้น ลัทธินอกศาสนาอิสลามอย่างป่าเถื่อน ด้วยการบังคับเปลี่ยนศาสนาแลกกับชีวิต (เห็นหรือไม่ อิสลามคือศาสนาที่แท้จริงหนึ่งเดียวของโลกจริงๆ ผู้คนต้องรักษาหัวตัวเองไว้บ่นบ่าต่างหาก จึงจำยอมเข้าอิสลาม) รูปเคารพทั้งหมดถูกทำลาย คัมภีร์ต่างศาสนาทุกอย่างถูกเผา จนถึง หินกะบะห์ (หินดำแห่งเมกกะที่ ฑูตพระเจ้าเอามาให้) นบี สั่งห้ามทำลายเพราะถึงบริเวณนั้นจะต่างลัทธิมาก แต่คนส่วนใหญ่นับถือ ศาสนายิวกับคริสเตียน ในเมื่อ นบีก็อ้างว่าตัวเองเป็นศาสนทูต จะมาทำลายสัญลักณ์ ของเทวทูตของพระเจ้าอาจทำให้เกิดปฏิกิริยา เมื่อคิดได้แบบนี้ นบีจึงสั่งเก็บหินดำไว้ แล้วลอกแบบปฏิบัติหลายอย่างของยิว และคริสออโธดอกซ์ เพื่อจูงใจ ให้คนเหล่านี้ เข้าอิสลามได้ง่ายขึ้น โดยมองว่า อิสลามคือวิวัฒนาการขั้นหนึ่งของศาสนาไป เรื่องที่ อิสลาม ลอกชาวบ้านมาทั้งดุ้นก็มี การขลิบ+ไม่กินหมู ของยิว การเข้าโบสถ์วันอาทิตย์ของคริส ก็เป็นเข้ามัสยิดเพื่อ ฟังธรรมใหญ่+ บริจาค ในวันศุกร์ รวมทั้งบังคับให้ ภาษี จิซาร์ ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บหนักเป็นพิเศษ ในคนต่างศาสนาเป็นการใช้พระเดชพระคุณบังคับให้คนอื่นเปลี่ยนศาสนา มาถึงตอนนี้ นาย นบี มูฮัมหมัด เริ่มไม่เห็น เมียหลวงในสายตา เขาก็ทำตามความฝันของเขาสักที นั้นคือ หาเมีย เอ๊าะๆ และฮาเร็ม แต่กระนั้น นบี ยังแสดงความหื่นมากไม่ได้ เพราะลูกน้องของเขากำลัง ฮึดฮัด และสาวกใหม่หลายคนก็อยากไปสวรรค์เหลือเกิน มองไปทางไหนก็มีแต่พวกนอกศาสนา แบบนี้สงครามศักสิทธิ์สร้างได้ไม่ยาก ว่าแล้ว นาย นบี ก็ประกาศจีฮัด ต่อเมืองอื่นๆอีกหลายครั้ง ความทารุณถ่อยเถื่อนของ กองทัพ อิสลาม ถึงขั้นที่ นบี มูฮัมหมัด ชี้ดาบไปที่เมืองหนึ่งแล้วบอก “เข้าอิสลาม.. ไม่งั้นมืงตาย” เมืองนั้นทั้งเมืองก็เปลี่ยนเป็นอิสลาม ความหื่นของนบี มาถึงจุดสูงสุดในการบุกเมืองยิวแห่งหนึ่ง สังหารตระกูลที่ปกครองเมืองนั้นทั้งหมดแล้วจับลูกสาวเจ้าเมืองมาเป็นเมีย หลังจากฆ่าสามีของนางแล้ว ตอนนี้ นาย นบี มูฮัมหมัด เป็นผู้พิชิตแห่งอาระเบีย เป็น กษัตริย์ ผู้นำลัทธิ และจิตวิญญาณ คำพูดของเขาไม่ใช่แค่สั่งเป็นสั่งตาย แถมยังสั่งให้ขึ้นสวรรค์ ลงนรกได้อีกด้วย ด้วยวัย 50 ปี เมียคนแรกไม่ต้องพูดถึง นบี เอาไปทิ้งในถังขยะแล้ว ฮาเร็มก็มี เอ๊าะๆก็เยอะ แต่ นบี ยังไม่เคยลิ้มรสสาวแรกรุ่นสักที ว่าแล้ว นบีเห็น ลูกขุนนางตัวเอง อายุ 9 ขวบ เดินไปมา ก็เดินไปบอกหน้าด้าน ๆ “กูอยากได้” ขุนนางก็ตกใจเลยขอประวิงเวลาต่อไปเรื่อยๆบอกว่า “ลูกข้ายังเด็ก เกินไปเกรงจะไม่เหมาะ” พอนางอายุ 11 ขวบ นบี มูฮัมหมัด ก็ทนไม่ไหวจับแต่งงาน โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้า พรหม ว่าแล้วก็ไล่ขุนนางไปเขียนบรรทัดฐานใหม่ให้โลก อาหรับว่า “11 ขอบก็โตพอจะมีครอบครัวแล้ว” “สุลต่านมีเมียเป็นฮาเร็มได้ ส่วนผู้ชายมุสลิมมีได้ 4 คน” ในบั้นปลายชีวิต นบี มูฮัมหมัด มั่วกามอย่างหนัก จนตายไปตามธรรมชาติ (ในโลกของกษัตริย์อาหรับ หาพวกไม่ตายโหงยาก นบี เป็นตัวอย่างที่พบได้น้อย) เนื่องจากทั้งชีวิต ของนบี มูฮัมหมัด หมกมุ่นแต่การหลอกลวง ปล้นฆ่า และเสพกาม ลูกๆของ นบี จึงอยากสร้างภาพนบี ให้สวยงามในใจของสาวกลัทธิ ด้วยการกุเรื่องว่า นบี ไปเหยียบหินดำแล้วลอยกลับสู่สวรรค์ (ลอกแบบพระเยซู แต่ไม่น่าเกลียดเท่าไรเพราะ นบี เองก็อ้างตัวเป็นศาสทูตเหมือนกันนี่หว่า แถมเป็นศาสนทูตคนสุดท้ายด้วย โอ๊ โหหห) ส่วนใครที่กล้าเขียนบันทึก หรือหลุดปากความจริงเกี่ยวกับการตายของ นบี ต้องโทษ หมิ่น ศาสนา ซึ่ง ตายสถานเดียว!! และการลงโทษนี้ก็ยังสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าแล้วราชวงศ์ของ นบี ก็อยู่ไม่ยั่งยืนเหมือน ราชวงศ์อื่นๆของอาหรับ คืออยู่ได้แค่ 3 ชั่วรุ่น ลูกหลานก็ฆ่ากันจนเกือบหมดสิ้น แต่ผู้ปกครองใหม่ก็เข้าครอบครองจักรวรรดิ อิสลาม ได้ไม่ยากนักเพราะ อิสลามเหมือนกับเครื่องจักรที่พรั่งพร้อมรอแค่คนบังคับเท่านั้น ผู้ปกครองใหม่ใช้ จีฮัด ในการทำสงครามสนองตัณหาของตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนจักกรวรรดิใหญ่โต เริ่มรวมกันอย่างหลวมๆในที่สุด ก็แตกป็นเสี่ยงๆเนื่องจาก ขุนศึกอิสลามแต่ละคนมีแต่คนมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างต่อเนื่องนั้นเอง รวมระยะเวลาที่จักรวรรดิ มูฮัมหมัด อยู่ได้คือ 200 กว่าปีเท่านั้นเอง อิสลามจะกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งใน สงครามครูเสด ตอนหน้า.. ปล. เอามาจากเวปไทยเบอร์เซิกคับ... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 16:26:17 A:117.47.231.213 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 63 ^ ^ -เสนอข้อความกล่าวโจมตี หรือวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสียหายต่อ ศาสนา หรือคำสอนของศาสนาใดๆ ทุกศาสนา จากคุณ : sanchai0045 เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 23:12:19

ความคิดเห็นที่ 64   ^ ป่าวเสนอคับแค่เอามาสนองคนที่ need น่ะคับ ใคร need ก็เอาไปเลยคับบทความนี้ยกให้... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 00:56:29 A:222.123.133.87 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 65 ผมขอเตือนให้คุณ catwater ลบข้อความที่นำเสนอครับ ถ้าผมด่าแล้วคุนจะเสียหมา ผมไม่สนหรอกนะว่าคุนจะเอามาสนองใคร มันจะทำให้มีปัญหากันเปล่าๆ โตแล้วใช้สมองคิดนิดนึง ถ้ายังไม่โตควรรีบนอนครับดึกแล้วเดี๋ยวสมองมันจะไม่พัฒนา ผมจะรอดู จากคุณ : อะไรเฟี๊ยว (อะไรเฟี๊ยว) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 02:06:56

ความคิดเห็นที่ 66 คุณ catwater สนองคนที่ need คนอื่น หรือสนองจิตวิปลาสของคุณครับ ศาสนาเป็เนรื่องของความเชื่อเป็น เรื่องละเอียดอ่อน ไม่เคยได้ยินเหรอครับ งั้นจะเพิ่มเติมให้นิดนึงนะครับว่า ศึกษาศาสนาอื่นๆเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน มิใช่เพื่อนำมาดูถูกซึ่งกันและกัน เก็บเอาไปคิดดูดีๆนะครับ ผมจะรอดูด้วยอีกคนนึง จากคุณ : Rareshunter เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 04:00:33

ความคิดเห็นที่ 67   ^ แล้วคุณศึกษาไม่เข้าใจอะไรตรงไหน... -_-" สงสัยอะไรตรงไหนก็ไปศึกษาเพิ่มเติมสิคับ ความเชื่อเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจิง และถ้าเราเชื่ออย่างไรความเชื่อนั้นมันก็จะกำหนดพฤติกรรมของเราเกือบทุกอย่าง เพราะฉนั้นก่อนที่เราจะเชื่ออะไรเราก็ควรศึกษาดูให้เข้าใจถ่องแท้ก่อนตัดสินใจรับความเชื่อนั้นๆไม่ใช่เหรอคับ ไม่ใช่ว่าเชื่อกันแบบตามๆกันมา... #65 อยากลองเสียหมาคับ ขออัญเชิญ+นิมนต์... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 05:30:12 A:222.123.133.87 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 68   ปล. ขอชิงด่าให้เสียหมาก่อนว่าบัญผ่านมันแก้ไข+ลบความเห็นไม่ได้หรอกนะคับไอ่งาว... เอ้ยม่ายช่ายยย... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 05:31:49 A:222.123.133.87 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 69 เอาที่ผมรู้มาบ้างไหมล่ะคุณ Catwater เมื่อ 2009ปีที่แล้ว มีหญิงใจแตกคนนึง นอกใจคู่หมั้นของนาง โดยไปสำส่อนไปทั่วจนตั้งท้อง คู่หมั้นนางก็รู้ แต่ด้วยความรักคู่หมั้นนางจึงต้องยอมโกหกบรรดาญาติๆว่าฑูตสวรรค์มาเข้าฝัน บอกว่าให้ดูแลนางและลูกให้ดีๆ เพราะเป็นเด็กที่สวรรค์ส่งมา ชีวิตของเด็กคนนั้นเกิดมาก็ยากแค้นหาความสะดวกสบายไม่ได้ วันหนึ่งๆผ่านไปสมองของเด็กคนนั้นก็ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายยิ่งขึ้น  ก็เห็นนักบวชที่มีชื่อเสียงอยู่อย่างสุขสบายงานการก็ไม่ต้องทำ เดี๋ยวก็มีคนเอาเงินเอาทองมาถวาย ลูกเทวดาคนนั้นจึงประกาศไปว่าข้าคือผู้ที่พระเจ้าส่งมา พวกเจ้าจงเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด พออ้างพระเจ้าคนทั่วไปก็เกรงกลัวก็พากันยำเกรง ชีวิตของลูกเทวดาก็เริ่มพบกับความสุขสบาย มีชื่อเสียง จากนั้นพอพวกโรมันรู้เรื่องก็เลยโดนข้อหาหลอกลวงประชาชน เลยโดนประหารซะ พอตายไปแล้วพวกสาวกก็กลัวว่าคนศาสนาอื่นจะหาว่าตัวเองโง่ที่ไปเชื่อไอลูกเทวดาคนนั้นก็เลยวางแผนกันขโมยศพออกมา โดยให้สาวกที่เป็นทหารโรมันเฝ้าสุสานบอกไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย พวกโรมันไปเปิดสุสานดูพอไม่เห็นศพไอพวกสาวกก็บอกว่าเห็นไหมลูกเทวดาไม่ตาย แต่กลับสวรรค์ไปแล้ว .... สาวกที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็งมงายเชื่อกันต่อไป ปล. บทความนี้ให้คุณCatwater เผื่อคุณCatwaterจะ needบ้าง แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 53 07:37:09 จากคุณ : sanchai0045 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 07:36:45

ความคิดเห็นที่ 70 ตอบ 61# ผมไม่ได้หมายความว่าถ้าสิ้นศาสนาหลักๆในปัจุบันนี้ไปแล้ว อนาคตจะไม่มีศาสนาซักหน่อย ผมกล่าวว่า "ศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ และ "จริงมากที่สุด จากการพิสูจน์"เท่านั้นจึงจะคงอยู่หรือเกิดใหม่ขึ้นมา" และตรงกันข้าม สังคมในอนาคตกลับจะเป็นสังคมที่มีทิศทางที่แน่นอนและเปิดกว้างขึ้น และมีศาสนาที่เหมาะสม กับสภาพการณ์และวิถีชีวิต ในเวลาขณะนั้นมากขึ้นต่างหาก ไม่ได้ไร้ทิศางแบบที่คุณตีความมาเบื้องต้นโดยไม่สนใจรายละเอียด กรุณาอ่านให้ละเอียดทุกถ้อยคำ และคิดเยอะๆ วิเคราะห์ให้เข้าใจถึงเจตนาและความคิดของผู้ตอบกระทู้ แล้วค่อยตอบ จะเป็นเรื่องที่ทำให้เข้าใจกันได้ไวขึ้นทุกฝ่ายครับ จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 09:22:11

ความคิดเห็นที่ 71 เออแฮะ..... ผมก็ลืมดูไป ว่า ล๊อกอิน บัตรผ่าน คุณ catwater ตัวจริงรึป่าวผมไม่แน่ใจ ถ้าตัวจริง ผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนที่ฉลาด รู้อะไรเยอะพอสมควร  ผมอ่านกระทู้คุณมาก็เยอะ คิดว่าคงไม่น่าจะมาตายง่ายๆแบบนี้ ถ้าไมใช่ตัวจริง ก็คงจะจบการสนทนากันแค่นี้ ปล. คุน Catwater ศึกษาอิสลาม มาแค่ไหนครับ ถึงได้ไล่ให้ไปศึกษาเพิ่มเติม  อยากรู้จริงๆ  (ช่วยตอบแบบล๊อกอินนะครับ) จากคุณ : อะไรเฟี๊ยว เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 10:17:56

ความคิดเห็นที่ 72   ^ ผมอ่านกระทู้ความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก+ประวัตินบีมูฮัมหมัด+เวปเบอร์เซิกนั่นแค่นั้นแหล่ะคับ ดังนั้นถ้าคุณต้องการรู้ลึกรู้จิงมากกว่านี้กรุณาไปศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองคับ... -_-" จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 22:17:25 A:222.123.133.87 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 73   ปล. ผมตัวจิงคับ ผมไม่ตายง่ายจิงแต่มีหลายคนอยากให้ผมตายน่ะคับเลยโดนยึดล็อคอิน บัตรผ่านนี่ก็เปลี่ยนมาสามใบแล้วคับ... -_-" จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 22:20:34 A:222.123.133.87 X: TicketID:258544

ความคิดเห็นที่ 74 เฮ้อ.... บางสิ่งจะจริงไม่จริงเราไม่รู้เพราะไม่ได้เกิดยุคนั้น แล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปกล่าวดูหมิ่น เหมือนกับโดนคนอื่นว่าพ่อกับแม่ ทั้งๆที่คนคนนั้นก็ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง ถ้าไม่ศรัทธาก็ไม่ต้องไปดูถูก ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยจริงๆ โลกมันจะชิ--าย เพราะมีคนแบบนี้ จากคุณ : วันที่อ่อนไหว... เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 23:19:07

ความคิดเห็นที่ 75 เรื่อง "วิเคราะห์ นบี มูฮัมหมัด (ด.ว.ย) ศาสดาหื่นกามอำมหิต" ที่ Catwater เอามาโพส ขอตัดประเด็นทางศาสนาไม่พูดถึงนะ จะบอกว่าเป็นการเีขียนร้อยแก้ว ที่ใช้ภาษาได้กระชับดีมาก ผูกกรอบเวลาได้ดี ทำให้อ่านง่าย สบายตา คนเขียนเป็นคนที่ ใช้ภาษาได้คล่องแคล่วฉับไวยิ่ง ขอเดาว่าเป็นคนที่ต้องเขียนอะไรๆอยู่เสมอ หรือเล่าอะไรๆอยู่เสมอ จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 23:22:59

ความคิดเห็นที่ 76 แบบนี้ค่อยพอเข้าใจ ตายยากจิงๆ ไอ้เรื่องศึกษาเพิ่มเติมคงไม่ต้องแล้วหล่ะ เพราะผมเรียนศาสนามาตั้งแต่.4 ขวบ ที่พอจะทำได้คือสอนศาสนา ให้พวกซิยัง อย่างคุนไง คุย Catwater สนใจไหมล่ะ ผมว่ามันยังน้อยไปนะที่มันอยูในหัวคุนนะ จากคุณ : อะไรเฟี๊ยว เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 53 01:28:34

ความคิดเห็นที่ 77   เรื่องศึกษาศาสนาอิสลามสำหรับผมคงไม่ต้องแล้วล่ะคับเพราะผมมั่นใจว่าผมได้คำตอบแล้ว... -_-" (บทความนี้ผมเขียนเองคับ) สงครามอมาเกดอน สงครามครั้งสุดท้ายของความดีและความชั่ว... อ้างอิง วันสิ้นโลก: http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2006/04/Y4287553/Y4287553.html ท้าวความเดิม... ศาสนาคริสต์ที่เกิดจากพระเยซูมีความเชื่อหลักอยู่อย่างหนึ่งว่า วันหนึ่งพระเยซูผู้เป็นพระเจ้าจะกลับมาพิพากษามนุษย์รับคนดีเข้าสู่สวรรค์และส่งคนบาปให้ตกสู่นรก ส่วนศาสนาอิสลามนั้นมีความเชื่อที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงว่า พระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนใครไม่อาจจะเข้าใจหรือจินตนาการได้ ดังนั้นมนุษย์ที่เข้าใจและจินตนาการได้นั้นจึงจะไม่ใช่พระเจ้า หากว่ามีมนุษย์คนใดอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้าแล้วล่ะก็ มนุษย์ผู้นั้นจะต้องเป็นดัจจาน (ตัวแทนของพลังเหนือธรรมชาติที่ต่อต้านถ้อยคำของพระเจ้าเพื่อทดสอบว่ามนุษย์ศรัทธาพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่) นี่เป็นเหตุการณ์ที่คาดว่าจะต้องเกิดขึ้นในอีกไม่นาน... วันหนึ่ง หลังจากการรอคอยการกลับมาอีกครั้งของพระเยซูคริสต์ที่เหล่าคริสเตียนรอคอยมาเป็นระยะเวลาเกือบ 5,000 ปีได้สิ้นสุดลง ในที่สุดพระเยซูคริสต์ก็กลับลงมาอีกครั้งพร้อมกับประกาศตนเองว่า "เราคือพระเจ้า"... ในขณะที่ชาวคริสเตียนไชโยโห่ร้องอย่างยินดีพร้อมไปรับขนมปัง+เหล้าองุ่นฟรีจากพระองค์นั้น ชาวมุสลิมกำลังสุมหัวประชุมลับกันอยู่ว่า... เฮ้ย มันบอกว่ามันเป็นพระเจ้าว่ะ อย่างที่อัลกุรอ่านว่าไว้เลยมันเป็นดัจจาน มุสลิมคนหนึ่งก็ได้กล่าวออกมาในที่ประชุมลับว่า เฮ้ยแต่ตามันไม่ได้บอดข้างเดียวขามันก็ไม่ได้โก่ง มุสลิมอีกคนหนึ่งก็จะบอกว่า เฮ้ย แต่มันบอกว่ามันเป็นพระเจ้า มันเป็นดัจจาน ขณะที่พระเยซูออกสั่งสอนเหล่าคริสเตียนก็ไปพบเด็กอดอยากข้างถนนกำลังจะขโมยผลไม้ในตลาด แม่ค้าในตลาดก็จะจับเด็กส่งตำรวจ พระเยซูก็ไปห้ามแล้วบอกว่า เมื่อเขาขโมยของท่านท่านจงทำทานแก่เขา เมื่อเขาตบแก้มซ้ายของท่านจงยื่นแก้มขวาให้เขาตบ เมื่อมุสลิมได้ยินดังนั้นก็สรุปทันทีทันใด เฮ้ย มันไม่ได้ใช้กฏหมายอัลกุรอ่าน ใช่แน่แล้วมันเป็นดัจจาน!!! เมื่อพระเยซูคริสต์ได้รับการผลักดันจากเหล่าคริสเตียนให้ไปประกาศศาสนากับมุสลิมเพื่อนำมุสลิมเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ด้วย พระเยซูจึงไปปรากฏต่อหน้าชายชาวมุสลิมคนหนึ่งซึ่งกำลังติดอยู่กลางทะเลทรายออกมาไม่ได้เพราะอูฐตาย พระเยซูจึงได้กล่าวกับชายผู้นั้นว่า... เราเป็นพระเจ้าของท่าน เราจะชุบชีวิตอูฐของท่านและท่านจะได้ขี่มันออกจากทะเลทราย มุสลิมท่านนั้นนึกในใจ เฮ้ย เหมือนที่ในอัลกุรอ่านว่าไว้เลย มันเป็นดัจจาน!!! พระเยซู: เราสามารถเสกขนมปังก้อนให้เลี้ยงคนเป็นหมื่นเป็นแสนได้... มุสลิม: ไอ่ดัจจาน!!! พระเยซู: เราสามารถเสกน้ำเปล่าให้เป็นเหล้าองุ่นได้... มุสลิม: ไอ่ดัจจาน!!! พระเยซู: เราสามารถชุบชีวิตบุตรธิดาบุคคลอันเป็นที่รักของท่านได้... มุสลิม: ไอ่ดัจจาน!!! พระเยซู: เฮ้ย กุต้องทำไงมิงถึงจะเชื่อว่ากุเป็นพระเจ้าวะเนี่ย?@%$#$&^@ มุสลิม: กุไม่เชื่อมิงหรอกไอ่ดัจจานนนนนน!!! พระเยซูเห็นท่าไม่ดีจึงดลบรรดาลให้พื้นดินมีการเขย่า 3 ทีเพื่อเตือนสติชาวมุสลิมว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเจ้าของชีวิตของพวกเขา มุสลิม: ไอ่เชี่ยยยย... อย่างในอัลกุรอ่านว่าไว้เลย กุไม่เชื่อมิงไอ่ดัจจาน ในที่สุดพระเยซูใช้ไม้ตายสุดท้าย เปิดเผยนรกบึงไฟให้มุสลิมเห็นและบอกว่าหากเขาไม่เชื่อพระองค์จะต้องตกอยู่ในนรกบึงไฟนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์ เหล่าคริสเตียนและมุสลิมผู้ความเชื่ออ่อนแอต่างพากันศรัทธาในตัวพระเยซูยิ่งนัก มุสลิม: กุว่าแล้ววววววว อัลกุรอ่านดักมิงไว้ตั้งกะ 4,000 ปีก่อนแล้วโว้ยกุไม่เชื่อมิงหรอกไอ่ดัจจาน พระเยซู: กุรับมันไม่ได้อีกแล้ววววว... มันไม่กลัวนรก!!! ด้วยความผิดหวังในการเกลี้ยกล่อมให้รับศาสนาจากเหล่ามุสลิม พระเยซูจึงกลับมาหาเหล่าคริสเตียนพร้อมกับบอกว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนบาป ไม่อาจจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าได้ พระเยซูและเหล่าคริสเตียนต่างเศร้าสลดใจเป็นยิ่งนัก แต่เมื่อเหล่ามุสลิมได้ข่าวดังนั้นก็โมโหโกรธาจัดกองทัพนำโดยนบีอิซาจะสังหารดัจจานเพื่อยุติยุคมืดนำกฏหมายอัลกุรอ่านมาใช้ปกครองโลก เมื่อข่าวการจัดกองทัพศักดิ์ศิทธิ์ของชาวมุสลิมวิ่งมาเข้าสู่หูของคริสเตียน เหล่าคริสเตียนก็ประชุมกันเครียด... เฮ้ย มุสลิมมันบอกว่ามันจะฆ่าพระเยซูว่ะ!@%^%$# คริสเตียนคนหนึ่งก็กล่าวออกมาว่า ไอ่เชี่ย เพิ่งส่งพวกกุเข้าสวรรค์ไปไม่กี่คนเอง:-)จะมาฆ่าพระเยซู กุยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์เลย:-)มันไม่ขึ้นมันก็อย่ามาขวางทางคนอื่นขึ้นดิโว้ย... ว่าแล้วคริสเตียนก็จัดกองทัพศักดิ์อีกกองทัพหนึ่งเพื่อปกป้องพระเยซู แล้วสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายระหว่างความดีและความชั่ว (ที่ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนชั่วอ่ะนะ) ก็ดำเนินไป... อย่างไม่รู้ว่าจะจบเช่นไร???... จากคุณ : Catwater เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 53 14:15:23 A:222.123.133.87 X: TicketID:258544