ความคิดเห็นที่ 1 ป้องกันและรักษาแบบเฉพาะเจาะจงไม่ได้ครับ ถ้าใครเป็น pulmonary embolism มีโอกาสตายสูงมากๆ จากคุณ : nowkung เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:01:34

ความคิดเห็นที่ 2 ตามคห. 1 ค่ะ เกิดไม่บ่อย แต่เกิดแล้วหายนะ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 53 12:45:32 จากคุณ : พีนัตบัทเตอร์ เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:42:15

ความคิดเห็นที่ 3 เคยเจอเคสที่รอดด้วยนะคะ เขียนไว้ในกระทู้ http://topicstock.pantip.com/family/topicstock/2009/02/N7524330/N7524330.html ถึงแม้การแพทย์จะพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีทั้งการตัดต่อพันธุกรรม เปลี่ยนหรือปลูกถ่ายอวัยวะ เทคโนโลยีต่าง ๆนั้น ช่วยในการรักษาโรคหลาย ๆ โรคประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี  แต่ยังมีอีกหลายโรคที่ยังไม่สามารถรักษาได้หรือแม้แต่จะป้องกันมิให้เกิดก็ยังทำไม่ได้ ตัวอย่างหนึ่งที่พบได้ในคนท้อง คือ "ภาวะน้ำคร่ำอุดตันปอด"( amniotic pulmonary embolism )เป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติศาสตร์ที่พบ น้อยประมาณ  1 : 80,000 ราย แต่ก็จัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงมาก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่โอกาสรอดชีวิตน้อยมาก ภาวะนี้เกิดจากถุงน้ำคร่ำแตกออกขณะที่การคลอดกำลังดำเนินไป ทำให้น้ำคร่ำรวมทั้งชิ้นส่วนของทารกเกิดหลุดเข้าไปตามรูแตกบนเส้นเลือดที่ตัวมดลูก ไปอุดอยู่ตามเส้นเลือดเล็ก ๆ ของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย และที่สำคัญที่สุด คือ ปอด ทำให้เกิดการอุดตันและหดเกร็งของเส้นเลือดในปอด ร่างกายจึงขาดอากาศ และทำให้หัวใจล้มเหลวตามมา เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปุบปับ คาดไม่ถึง และอธิบายไม่ได้ ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีใดที่แน่นอน ที่จะบอกว่าเป็นโรคนี้ การเอกซเรย์ การเจาะเลือด หรือแม้แต่การตรวจศพก็ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ในบางครั้ง และเช่นกัน ยังไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดที่จะใช้รักษาภาวะนี้ได้ คงมีแต่เพียงการรักษาตามอาการ และแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ การให้เลือด หรือการให้ยาบางตัว และเพื่อหวังว่าขบวนการการเกิดโรคนี้จะไม่เกิดซ้ำ เมื่อวานได้ดูข่าวเหมือนกัน เห็นการวินิจฉัยเป็น "amniotic pulmonary embolism" ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ทีนี้ก็ต้องมาดูเรื่องอื่นๆล่ะว่าวินิจฉัยได้ทันท่วงที หรือการช่วยเหลือชีวิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน... จากคุณ : หมูเหมียว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 12:49:33

ความคิดเห็นที่ 4 amniotic embolism ถ้าเจอ และอุดตันเส้นเลือดใหญ่ โอกาสเสียชีวิตสูง เกิดไม่บ่อยนัก เป็นเหตุสุดวิสัย ป้องกันไม่ได้ เกิดแล้ว ก็พยายามช่วยให้เต็มที่  แต่ อย่างที่บอก หนักมากๆ จากคุณ : -=Jfk=- เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:07:56

ความคิดเห็นที่ 5 "http://www.posttoday.com/กทม.-ภูมิภาค/ทั่วไทยทูเดย์/เบิ่งอิสาน/50590/โวยรพ-พระพุทธบาทปล่อยเมียตายท้องกลม" น้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือดป้องกันได้มั้ย ป้องกันไม่ได้ มีแต่ต้องรีบรักษา incidence อาจราว 1 ใน 8,000 - 83,000 ของการคลอด เหตุแม่ตาย 26.4% ไม่ทราบสาเหตุ อาจ anaphylactoid reaction มากกว่าน้ำคร่ำเข้าเลือด วินิจฉัยจากหายใจขัด เขียว ความดันตก DIC ตกเลือด Fetal distress รายอาการน้อยมีแค่ coagulopathy http://findarticles.com/p/articles/mi_m0CYD/is_11_39/ai_n6078831/ จากคุณ : ชื่อนี้ได้มั้ยฮะ เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 13:27:28

ความคิดเห็นที่ 6   ต้องถามว่า ถ้าป้องกันได้ แต่ต้องใช้เทคโนโลยีสูงมาก ค่าใช้จ่ายในการคลอดต้องเพิ่มขึ้นเป็น สิบล้านบาท คนไข้ทุกคนจะยอมจ่ายหรือไม่ ถ้าไม่ยอมจ่าย หมอมีสิทธิปฏิเสธให้บริการคลอดเพราะกลัวถูกฟ้องได้หรือเปล่า หรือจะให้เหมือนอเมริกา แบบว่าเดินเอาหัวไปโขกมุมห้องนิดหนึ่ง หัวแตกนิดหน่อย ไปโรงพยาบาลหมอต้องจับเอ็กซ์เรย์ ส่งทำซีทีสแกนสมอง ก่อนเย็บ เย็บเสร็จให้นอนดูอาการอีกสักสามวัน กันหมอโดนฟ้อง แล้วค่อยส่งบิลให้คนไข้สักหนึ่งแสนบาท คนไข้ในไทยจะยอมรับได้หรือไม่ จะเอามาตรฐานเมืองนอก ถามว่าคนไทยยอมจ่ายค่าชีวิตขนาดไหน ยอมขายบ้าน ขายรถ มาจ่ายค่ารักษาหรือเปล่า แบบที่ยกตัวอย่างคือ จะยอมเสียค่าตรวจป้องกัน ที่อาจจะเป็นเคส 1 ใน 100,000 ที่อาจจะต้องเสียค่าตรวจ ค่าหมอเฉพาะทางเพิ่มจากการรักษาปกติ สัก 100 เท่า คนไข้และญาติพี่น้องจะยอมรับได้ไหม มาตรฐานในการรักษาย่อมมาพร้อมกับค่าใช้จ่าย นี่มันยุคทุนนิยม อย่าหลอกตัวเองกันเลยครับ ว่าชีวิตคนมีค่ามากที่สุด สุดท้ายมันก็คือคุณจะยอมจ่ายมากเท่าไหร่ เพื่อการรักษา การป้องกันความเสี่ยงทุกอย่าง คนจ่ายมาก ย่อมได้รับของที่ดีกว่า ที่เราทำได้ก็คือ คนที่ไม่มีเงินจ่ายเลย หรือจ่ายขั้นต่ำ ควรได้รับการรักษาระดับมาตรฐาน "อย่างน้อย" เท่าไหร่ต่างหาก จากคุณ : [STYX] บัตรผ่านยังโดนแบน เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 14:20:17 A:183.89.214.243 X: TicketID:267882

ความคิดเห็นที่ 7   ชาวบ้านย่อมไม่เข้าใจข้อมุลทางเทคนิคลึกซึ้งแบบนี้หรอก แต่เข้าใจจากท่าทีของผู้ให้บริการที่มีต่อผู้รับบริการมากกว่า ถ้าแต่งกายดี หรูหราจะได้รับการบริการอย่างดี อย่างเกรงอกเกรงใจ กรณีแบบนี้เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเอกชนมากกว่าโรงพยาบาลรัฐที่คนไข้อนาถา หรือเกิดในโรงพยาบาลรัฐที่มีคนไข้อนาถามากกว่าโรงพยาบาลเอกชนกันแน่ จากคุณ : Sci-six เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 16:25:49

ความคิดเห็นที่ 8 ค.ห.6 ถ้าสมัครเป็นอมยิ้มแล้วอย่าลืมหลังไมค์มาทวงกิ๊ฟผมนะ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 53 17:15:14 จากคุณ : บ้านพี่ขาดคนหุงข้าว เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 17:14:37

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ได้อ่านข่าว โดนฟ้องเรื่องนี้ได้ไงอ่ะ มันป้องกันไม่ได้ จากคุณ : กิ๊ฟไม่ใช่ตุ๊กตา เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 17:14:47

ความคิดเห็นที่ 10 คห.๗ กรณีแบบนี้เกิดขึ้นในโรงพยาบาลเอกชนมากกว่าโรงพยาบาลรัฐที่ คนไข้อนาถาหรือเกิดในโรงพยาบาลรัฐที่มีคนไข้อนาถามากกว่า โรงพยาบาลเอกชนกันแน่ หากตั้งคำถามอย่างนี้ มีธงมาก่อนแน่ๆ อย่าถามออกมาเลย จะตอบหรือ อธิบายยังไงคุณก็ไม่มีวันยอมรับหรือเข้าใจใดๆ เพราะคุณไม่พยายามจะเข้าใจหรือทำความรู้จัก สิ่งที่เรียกว่า Very rare case or incidental finding ทางการแพทย์เลยแม้แต่น้อย ปล่อยแต่อคติและจิตใจด้านมืดที่่เห็นบุคคลากรทางการแพทย์เป็นปีศาจ ออกมาทำหน้าที่แทนความคิด ความรู้และสามัญสำนึกของมนุษย์ ทั้งๆที่เขาบอกและพูดกันจนไม่รู้จะบอกยังไงแล้วว่า -------------------มันป้องกันไม่ได้ ------------------ ก็ยังเอาไปเกี่ยวกับเรื่องรพ.เอกชนกับคนไ้ข้อนาถาอีกจนได้ ขอแผ่เมตตาให้แก่ผู้ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เ็จ็บ ตายทุกๆท่าน จากคุณ : อัสสุชลแห่งตารา เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 53 00:06:00

ความคิดเห็นที่ 11   ป้องกันได้ครับ . . . . โดยการไม่ต้องท้อง จากคุณ : ขออภัย ความรู้เท่าหางลูกอ๊อด เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 53 02:21:58 A:222.123.131.88 X: TicketID:278779

ความคิดเห็นที่ 12 เชื่อไหมครับ เดี๋ยวนี้การเรียนการสอนของแพทย์ เรื่องโรคบางโรค เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะการฟ้องร้องนี่ล่ะ ซึ่งการเรียนไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษาโรค หรือการเพิ่มอัตรารอดชีวิตของ ผู้ป่วยเลย แต่ทำไปเพื่อลดโอกาสโดนฟ้องร้อง ให้มากที่สุด อย่างเรื่อง amniotic pulmonary embolism การดูแลของแพทย์ก็ไม่ได้เปลียนแปลงไป แต่การเรียนการสอนในโรงเรียนแพทย์ จะเน้นไป ที่การคุยกับผู้ป่วยและญาติ การบันทึกเวชระเบียน เพื่อป้องกันการโดนฟ้องให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะไม่มีใครป้องกันโรคนี้ได้ ถึงแม้จะใช้เงินเป็นแสนเป็นล้านก็ตาม (แต่ลดโอกาสเสียชีวิตได้) ตาม คคห.7 นั้น ถ้าเหตุการณ์เกิดใน รพ.เอกชน ซึ่งมี work load น้อยกว่า รพ.รัฐ การดูแลทำความเข้าใจ กับญาติคนไข้ก็ง่ายกว่า หรือสามารถประนีประนอมได้ แต่ถ้าเกิดใน รพ.รัฐ ซึ่งมีคนไข้เยอะมาก ก็ทำได้ยากกว่า ดังนั้นข่าวจึงออกมาจาก รพ.รัฐ เสียเยอะครับ จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 53 10:03:03

ความคิดเห็นที่ 13 คคห 6 เพื่อนเรา หัวแตกเลือดอาบ เพราะสกีล้มที่เมกา เค้าให้รอครึ่งวัน กินยาพารา และน้ำแข็งโป๊ะ แล้วรอที่เดียวกะที่เค้าให้คนไข้คนอื่นรอ พอเย็บแผลเสร็จ แสกนสมอง ก็กลับบ้าน ราคาก็แพงมากกกกก แต่ประกันที่บริษัทจ่าย ไปสิบโมง ออกจากโรงพยาบาลเกือบสี่ทุม เราว่า โรงพยาบาลเอกชนในไทย ยังดูแลดีกว่านี้เยอะเลยอ่ะ จากคุณ : 3CCD เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 14:00:14