ความคิดเห็นที่ 1 มานับถือ FSM กันเถิด เป็นวิทยาศาสตร์มั่กๆ จากคุณ : อะธีลาส เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 53 23:15:27

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่อ่ะ ผมนับถือ FHM จากคุณ : หลบฝนจนรักเธอ (tkung13) เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 53 23:29:56

ความคิดเห็นที่ 3 เพราะมนุษย์เราเพียงเชื่อแค่สิ่งที่เป็นประสบการณ์ตรงของตนเองเท่านั้นแหล่ะครับ แต่เพราะคนเราแต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์แตกต่างกันออกไป เพราะงั้นเราถึงมัก เข้าใจคนอื่นผิดไป คนเราเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เราพบ เราเจอ และใช้มัน เป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน เรื่องราวต่างๆ ดังนั้น ความเชื่อ จึงไม่ใช่สิ่งที่จะ เปลี่ยนแปลงได้ เพียงแค่รับฟัง คำพูด หรือ คำบอกเล่า ไม่มีทาง มีแต่ประสบการณ์จริง เท่านั้นแหล่ะ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อได้ ผมมองว่า "ความจริง" ที่คนส่วนใหญ่ เชื่อ เป็นเพียงแค่ "ความจริงสัมพัทธ์" เท่านั้นแหล่ะ สัมพัทธ์กับอะไร ก็สัมพัทธ์กับ ประสบการณ์ตรงของคนๆนั้นเองยังไงล่ะ คนที่พูดกันรู้เรื่องและเข้าใจอีกฝ่ายได้ มีแค่วิธีเดียวคือต้องเคยมีประสบการณ์แบบเดียวกันมาก่อนเท่านั้นแหล่ะครับ จากคุณ : Generals เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 53 23:32:00

ความคิดเห็นที่ 4   ก็คนเหล่านั้นพยายามยกศาสนาขึ้นมาเทียบวิทยาศาสตร์ เพื่อตอบสนองอัตตาของตนเอง ให้สิ่งที่ตนเองยึดเหนี่ยวเพิ่มความสูงส่งขึ้น เพื่อลบข้อด้อยของคำว่างมงายในจิตใต้สำนึกของตนเองลงไป ส่วนใหญ่จะเกิดกับคนที่ค่อนข้างเคว้งคว้างในชีวิต จนต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ให้แน่นหนา อีกอย่างศาสนามันเป็นเรื่องของจิตใจ มันมีความคลุมเครืออยู่ ไม่สามารถชี้ชัดได้ ขึ้นอยู่กับการตีความไปเรื่อยของมนุษย์ จริงๆ เรื่องของศาสนามันไม่ต้องเอามีเทียบกับอะไรเลย แก่นแท้มันดีอยู่แล้ว อย่างของพุทธศาสนาก็ไม่ได้ให้ยึดถือกับไตรภูมิพระร่วง เทวดา อิทธิฤทธิ์บ้าบออะไร อย่างที่ว่าไว้ว่ามันไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ ก็เหมือนกับคริสต์ ที่จริงๆ ก็ไม่ได้เน้นเรื่องพระเจ้าสร้างโลกในเจ็ดวัน หรือเรื่องหีบพันธสัญญามันจะหายไปไหน ไม่มีบอกไว้เลยว่าใครหาหีบบ้าบอ หรือเรือโนอาห์ได้ จะได้ขึ้นสวรรค์ แก่นแท้จริงๆ คือการช่วยในการดำรงชีวิต เรื่องของหลักในการอยู่อย่างสงบสุข การทำความดี จากคุณ : [STYX] บัตรผ่านยังโดนแบน เขียนเมื่อ : 1 ต.ค. 53 23:46:23 A:183.89.214.243 X: TicketID:267882

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกะ[STYX] บัตรผ่านยังโดนแบน แต่ว่ากดถูกใจไม่ได้อะ จากคุณ : MicaFeresz เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 00:07:11

ความคิดเห็นที่ 6 ผมลองวิเคราะห์เหตุผลที่เขาทำอย่างนี้ เพราะ 1) พวกขาดความมั่นใจในศาสนา เลยต้องขอพ่วงวิทย์ไปด้วย ให้เห็นว่าศาสนา หรือคัมภีร์ของตัวเองก็ Update เหมือนวิทย์ มีข้อเท็จจริงบางอย่างตรงกัน (แม้ต้องตีึความสุดขั้ว) บางคนตึความว่าวิทย์ บอกว่าข้อเท็จจริงบางส่วนในศาสนาตรงกัน แปลว่าข้อเท็จจริงที่เหลือในคัมภีร์ศาสนาก็ต้องถูกด้วย บางคนก็ตีความว่าสักวันวิทย์ก็ต้องพบว่าศาสนาตัวเองถูกล้านเปอร์เซ็นต์ โดยอ้างจากข้อเท็จจริงบางส่วน(ที่พยายามตีความ)ให้ตรงกัน 2) พวกยกศาสนาข่มวิทย์ ต่างจากพวกแรกตรงที่พวกนี้ไม่ได้ขาดความเชื่อมั่น แต่เชื่อมั่นศาสนาตัวเองมากเกินไป จนดูถูก หรือไม่เชื่อวิทยาศาสตร์ พวกนี้จะมาในแนวอ้างข้อเท็จจริงที่(พยายามตีความให้)วิทย์ตรงกับศาสนา แล้วบอกว่าศาสนารู้กว้างกว่า เช่น วิทย์บอกว่า Down syndrome เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 21 ไม่แบ่งตัวตอนสร้างไข่ จนมีโครโมโซม 21 สามแท่งในเด็ก ความผิดปกตินี้พบในแม่ที่อายุมากบ่อยกว่า พวกยกศาสนาข่มวิทย์ก็จะบอกต่ออีกว่าข้อเท็จจริงข้างบนศาสดาตัวเองก็รู้ แถมรู้มากกว่าอีกว่าแม่คนไหนจะมีลูกเป็นดาวน์ เพราะกรรมเก่า หรือพระเจ้าทดสอบ ผลร้ายที่จะเกิดสำหรับคนพวกนี้คือ 1) ทำให้เกิดการบิดเบือนคำสอนของศาสนา (เล่นตีหวยซะขนาดทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วกลายเป็นกฎข้อสามของนิวตัน) 2) ทำให้สนใจศาสนาแบบผิดวิธี แทนที่จะเอามาใช้ดับทุกข์ ก็มานั่งตีหวยหาปาฏิหาริย์กัน 3) ทำให้เข้าใจวิทยาศาสตร์แบบผิดๆ ถูกๆ ไม่ครบถ้วน 4) สำหรับพวกยกศาสนาข่มวิทย์ การไม่เชื่อใจวิทย์หรือความรู้สมัยใหม่ อันตรายถึงชีวิต เช่น ไม่ยอมรักษาแพทย์ปัจจุบัน อาศํยหมอพระหมอผี จนโรคที่หายได้ง่ายๆ ไม่หาย แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 53 00:12:31 จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 00:08:57

ความคิดเห็นที่ 7 พอเข้าใจวิทยาศาสตร์มากๆ ก็จะเริ่มแคลงใจกับปรากฏการณ์ต่างๆ ในทางศาสนา ก็เลยอยากรู้ว่ามันมีจริง หรือเป็นจริงหรือไม่ อย่างที่คุณก็บอกไว้แล้ว ว่าศาสนาก็ต้องมีอุบายบ้าง มีปาฏิหารบ้าง ซึ่งถ้าจะเอามาพิสูจน์จริงๆ ก็อาจจะเป็นไปไม่ได้เลย ในทางวิทยาศาสตร์ สรุปว่า ศาสนานั้นเป็นเรื่องของความเชื่อเป็นหลัก ส่วนวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของความจริง ถ้าเราเชื่ออะไร สิ่งนั้นก็เป็นศาสนาสำหรับเราได้ เราใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ ถ้าใครคลั่งวิทยาศาสตร์มากๆ ก็น่าจะนับถือวิทยาศาสตร์ไปเลย รับรองพิสูจน์ได้ และเป็นจริง (แต่หลายอย่างวิทยาศาสตร์ก็ยังไปไม่ถึงเหมือนกันนะ) จากคุณ : MysteriousSlave เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 00:36:15

ความคิดเห็นที่ 8 ผมว่าเขายอมรับในความผิดพลาดของศาสนาไม่ได้น่ะ พอศาสนาดูจะผิดกับความเป็นจริง เขาก็พยายามให้มันถูกประมาณนั้นมั้งครับ ซึ่งความจริงเเล้ว น่าจะยอมรับว่าผิดบ้างเพราะศาสนามันนานมาเเล้ว เเค่นี้เองน่ะ จากคุณ : Mr.thanyawat เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 00:38:25

ความคิดเห็นที่ 9   ขนาดความเชื่อของ อริสโตเติ้ล ยังถูกหักล้างเลยครับ... ถ้าใครไม่เชื่อ จับไปฆ่าซะ..... ความเชื่อในศาสนา ใครจะหักล้าง ก็โดนฆ่า......เหมือนยุคมืดนั่นแหละ.... เพราะ ศาสนา ไม่สามารถตอบคำถามมนุษย์ ที่นับวันจะฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องตีความอิงกับวิทยาการสมัยใหม่ให้ได้ เพื่อจะได้ยกมากล่าวถึงให้หักล้างความสงสัยไป จากคุณ : นั่งดูนกเล่นน้ำ เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 01:20:52

ความคิดเห็นที่ 10   ถูกใจ [STYX] บัตรผ่านยังโดนแบน  ด้วยคนครับ หุหุ จากคุณ : ผมไม่เกี่ยวผมมาซื้อลูกชิ้น เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 01:36:02

ความคิดเห็นที่ 11 หัว ก้อย จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 01:36:40

ความคิดเห็นที่ 12 กลัวว่าศาสนาที่ตัวเองนับถือจะไม่ขลัง ต้องอ้างวิทยาศาสตร์มารับรองคุณภาพ พวกชอบอ้างเนี่ย เหมือนศาสนาฮินดูแย่งศาสนิกกับพุทธในอินเดียยุคโบราณ ฮินดูกลัวไม่มีคนนับถือ อ้างพุทธไปรับรอง จนพุทธกลายไปเป็นนิกายตันตระ ปนเปกันมาถึงปัจจุบัน จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 01:44:52

ความคิดเห็นที่ 13 ผมก็ว่างั้น มันคนละเรื่องกัน ศาสนามันเป็นที่พึ่งทางใจ ตำนานต่างๆ เขียนให้ดูขลัง แค่นั้น แก่นแท้สาระสำคัญคือคำสอน ทำความดี ละเว้นความชั่ว และจะมีความสุข ชาววิทย์จ๋าก็พยายามยกทฤษฎีโนนนี้นั่นมาอธิบายกับเรื่องที่เราก็รู้อยู่แล้ว ว่ามันไม่จริง เพื่ออะไร?!! แทนที่จะเอาเวลากับพลังสมอง มาคิดสิ่งประดิษฐ์ การวิจัยอะไรต่างๆ แบบนี้สิ ไม่เสียเวลาเปล่า และก็น่าจะหมดยุคศาสนจักรอยู่เหนือวิทยศาสตร์นานแล้วละครับ คงไม่ต้องทำตัวเป็นชาววิทย์กบฏ ชาววิทย์ฉีกกรอบอะไรทั้งนั้น ปล. ถ้าแอนตี้คำสอน ตำนานศาสนาต่างๆขนาดนั้น ก่อนตาย เขียนคำสั่งเสีย ไว้ก่อนเลยว่าไม่ต้องให้พระมาสวด ไม่ต้องจัดพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ ปล่อยให้แร้งให้กาแทะศพเล่นไป จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 02:16:01

ความคิดเห็นที่ 14   ลองอ่านตามหนังสือพวกเผยแพร่ศาสนาดูสิ ไม่ว่าพุทธ หรือ คริสต์ มักจะชอบยกคำพูดนักวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเสมอ ถ้ามั่นใจในศาสนาตนเอง ใยต้องไปยืมคำพูด หรือยัดคำพูดใส่นักวิทยาศาสตร์เล่า จากคุณ : NKL เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 02:37:33

ความคิดเห็นที่ 15 Intersect... จากคุณ : Mdiic~* เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 02:58:14

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นด้วยกับ #13 แฮะ   เดี๋ยวนี้ จะมีแบบแนวๆ ทำนองว่าต้องขบฎต่อศาสนา  ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะได้อะไรขึ้นมา  ยุคนั้นมันผ่านพ้นไปนานมากแล้ว จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 03:23:30

ความคิดเห็นที่ 17   กท. ก็ถูกใจหลายท่านและหลายท่านก็เห็นพ้องกัน ยังไม่มี คห. ที่แตกต่างอย่างเห้นได้ชัด ก็ขอลองเสนอมุมมองที่ต่างออกไปสักเล็กน้อย ศาสนากับวิทยาศาสตร์มีวัตถุประสงค์ต่างกัน ตรงกับทุกท่าน ล๊ะ ศาสนาพุทธก็มีวัตถุให้คนอยู่อย่างเกื้อกูลกัน อยู่อย่างมีความสุข ไม่ให้ทุกข์และไม่ก่อทุกข์ให้ผู้อื่น ก็คงเป็นหลักการที่มีอยู่ในทุก ๆ ศาสนา ในพุทธศาสนา มีโอวาทปาติโมกข์ เว้นชั่ว ทำดี และทำใจให้บริสุทธิ์ สามประการ นี่น่าจะเป็นแก่นธรรมของหลักพุทธ (อย่างน้อยเป็นประการหนึ่ง แต่มีอีกหลายคนใจกว้าง รับอีกหลายข้อว่าเป็นหัวใจของุทธธรรม เช่น อริยสัจจ์ อย่ายึดมั่น ฯลฯ) ประการท้ายที่ให้ทำใจให้บริสุทธิ์นั้น มีความเข้าใจแตกต่างกันและปฏิบัติต่างกัน มีคนเชื่อว่าความบริสุทธิ์ใจข้อหนึ่ง คือ เข้าใจสัจธรรม ความจริงตามธรรมชาติ และเขาคิดว่า ประการนี้ สามารถพบเห็นในคำสอนที่ว่าด้วยเรื่อง สุญตา ไตรลักษณ์ สี่ธาตุ และขันธ์ห้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ว่า ชีวิต เป็นความว่างเปล่า และอนัตตา ส่วนตัวเห็นว่า ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ได้จริง ๆ จะช่วยให้ ละ วาง ไม่เห็นแก่ได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ถ้าเข้าสัจธรรมแล้ว จะปฏิบัติตามหลักพุทธได้ดียิ่งขึ้น จะละ วาง ไม่โลภ โกรธ หลง ได้ดียิ่งขึ้น (ถ้าคิดว่า มีตัวเรา ของเรา ก็อาจละวางได้ยากกว่า เชื่อตามที่ท่านพุทธทาส สอน) แต่ก็มีผู้ที่เชื่อว่า เข้าถึงโดยการปฏิบัติ สมาธิ ฯลฯ คนที่เชื่อสัจธรรมสัญตา ฯลฯ ไม่ได้นำวิทยาศาสตร์มาเสริมศรัทธาของตนเอง เพียงแต่ว่าตนเองเชื่อ และอยากเชิญชวนให้ใช้วิจารณญาณที่ถูกที่ควร เท่านั้น นั่นอาจจะแสดงว่า กลุ่มนี้บางคนอาจหวังดีว่าเกินความจำเป็น เขาหวังที่จะไม่ให้ศาสนาพุทธสิ้นสุดลง เร็วก่อน พ.ศ. 5000 เพราะมีคนเผลอใจไปทำให้มีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในพุทธธรรม (เช่น มี กท. ถามองคุลีมา...แล้วผู้คนไม่ชอบใจกัน) เขาอาจทำเกินหน้าที่ (แต่ที่จริงก็มีคำสอนว่าชาวพุทธมีส่วนในการแก้ไขการสอนที่ผิด น๊ะ เป็นข้อสาม หลังจากข้อแรก ให้ศึกษาพุทธธรรมและปฏิบัติตาม ข้อสองบอกให้ผู้อื่นรู้และเชิญชวนให้ปฏิบัติ และแก้ไขเมื่อมีปรัปวาท) เรื่องของนานาจิตตัง น๊ะ ถ้าอย่างไรเสีย คิดว่าเขาทำเกินตัว ก็แล้วกัน ถ้าเห็นเจตนาได้ตรงตามเป็นจริง ก็เป็นกุศล ถ้าแปลเจตนาไม่ตรง ก็คงต้องพยายามให้อภัยเขา หรือขอความเมตตาว่าให้สงสารเขาที่อาจไม่มีความ คห. ที่ดีเท่ากับตัวท่านเอง จากคุณ : swathcu@yahoo.com เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 07:46:05 A:115.67.33.124 X: TicketID:281681

ความคิดเห็นที่ 18 เกิดจากอีโก้ครับ เข้าใจว่าส่วนใหญ่จะหมายถึงศาสนาพุทธ ที่คนชอบจับมาโยงเนื่องจากเข้าใจว่าตนเองรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ดี และได้ศึกษาศาสนาพุทธ คราวนี้พอศึกษาไป ก็มีบางอย่างเทียบเคียงได้ เนื่องจากพระพุทธองค์ เผยแพร่ศาสนาอยู่นาน ถึง 45 ปี ทำให้มีผู้มาถามเรื่องนั้น เรื่องนี้มาก มันก็มีบางเรื่องที่เทียบเคียงกันได้ พอคนที่ศึกษา 2 อย่าง แล้วจับมาเทียบกัน ก็นึกว่าตัวเองเก่ง มองเห็นจุดเชื่อม จึงนำมา Show Off เพื่อแสดงความเก่งของตัวเอง จากคุณ : ผู้เฒ่าสายลม เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 07:52:31

ความคิดเห็นที่ 19   อีกหน่อยคงต้องออก... กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ขอให้การรับรองว่า ศาสนา.............. ได้ผ่านการตรวจประเมินมาตรฐาน ISO8888888:2010 และเป็นศาสนาที่มีเหตุผล ควรค่าแก่การเลื่อมใสศรัทธา ขอให้ศาสนิกชนทุกท่านจงมีความสุขความเจริญ จากคุณ : Schweissnaht เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 08:30:42

ความคิดเห็นที่ 20 เป้าหมายของศาสนาคือต้องการให้คนเป็นคนดี มีการแบ่งปันกัน แล้วแต่แนวทางการสั่งสอนของแต่ละศาสนาว่าจะใช้ในแนวทางไหนในการสั่งสอน เป้าหมายของวิทยาศาสตร์ คือต้องรู้ให้หมดว่า ทุกสิ่งที่เห็นมีที่มาได้อย่างไร มีการทำงานอย่างไร เมื่อเป้าหมายมันคนละอย่างแล้ว จริง ๆ การพูดประเด็นนึงก็แค่อ้างอิงกันไปมาตามความจำเป็นแค่นั้น จากคุณ : Lpg_Horse เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 08:33:59

ความคิดเห็นที่ 21 เห็นด้วยครับ โดยเฉพาะการตั้งกระทู้เกี่ยวกับศาสนาในห้องวิทยาศาสตร์ เข้าใจว่าต้องการจะเผยแพร่คำสอนหรือชี้ให้เห็นว่าศาสนาดี แล้วเอาพุทธพจน์มาโพสในห้องวิทยาศาสตร์ หรืออะไรก็เเล้วแต่ เข้าใจว่าเจตนาดี แต่มันผิดที่ผิดทาง ควรจะตั้งในห้องศาสนาอย่างเดียว ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า จากคุณ : Shoe_Shine เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 09:24:44

ความคิดเห็นที่ 22 คิดว่าการท่องปากเปล่า บอกต่อๆกันมาตั้งพันกว่าปี กว่าจะจดบันทึกมันเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือเปล่าล่ะ สมมติคุณค้นพบอะไรสักอย่างแล้วไม่จดไว้ แต่บอกต่อๆๆๆๆ กันไปเรื่อยๆ มันจะอยู่ครบถ้วนโดยไม่มีใครเพิ่มเติมอะไรเข้าไป หรือขาดหายไปได้หรอ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 09:43:07

ความคิดเห็นที่ 23   คห.22 ก็เป็นความเชื่อส่วนตัวของ คห. นี้ เหมือนกัน จขคห. นี้ จึงเชื่อที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า พระไตรปิฎกเอาออกได้เกินครึ่งหนึ่ง ก็ยังคงเป็นพุทธธรรมส่วนสำคัญที่พระองค์ให้ถือปฏิบัติ หรือเรียกว่าเป็น "พุทธศาสนาชั้นที่เป็นเพชรเม็ดเอก" ซึ่งเป็นคำของท่าน (อ่านจากที่ท่าน ป อ ปยุตโต เขียนไว้ ในหนังสือ "ฅนไทยใช่กบเฒ่า" กรุณาไม่ต้องให้ คห. ว่าพระสองท่านนี้ รู้พุทธธรรมไม่พอ เคยได้ยินคนเขาว่าท่านพุทธทาส มาก่อนหน้านี้แล้ว "คู่มือมนุษย์" ของท่านพุทธทาสอีก ล๊ะ ที่ได้มีการชี้วิทยาศาสตร์ในหลักพุทธให้เห็น ยังมีท่านอาจารย์ระวี ภาวิไล ที่เคยเชื่อมโยงหลายเรื่อง มาถึงรุ่นนี้ คงพอจะพูดได้ว่าคนที่เชื่อและนำมาชวนคิดกัน คงไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นผู้ค้นพบ แต่ถ้าตอนกล่าวถึง ไม่ได้อ้างอิงหรือระบุต้นตอความคิด ก็คงต้องขออภัยท่านเจ้าของความคิดเดิมไว้ แม้ท่านอาจจะไม่มารับรู้สิ่งที่ชาวหว้ากอกำลังสื่อสารกันอยู่ และขออภัยที่ทำให้บางท่านคิดว่าผู้ที่นำมาแลกเปลี่ยน คห. กัน เป็นผู้อวดดี ไม่มีเจตนาอวด น๊ะ เป็นเจตนาที่ไม่เลวตามที่ได้เขียนไว้ใน คห.17 แล้ว ขอบระคุณ ชาวหว้ากอ มา ๆ น๊ะ จากคุณ : swathcu@yahoo.com เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 10:30:54 A:115.67.54.216 X: TicketID:281681

ความคิดเห็นที่ 24 ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อเจ้าค่ะ ดังนั้น อะไรที่เอามาอ้างแล้วทำให้คนเชื่อได้ เขาก็เอามาอ้างทั้งนั้นแหละค่ะ ฝนตกฟ้าร้อง แหวกทะเลได้ ก้าวเดินมีดอกบัวผุด ก็เอามาอ้างเข้าข้างตัวเองได้หมด จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 10:49:23

ความคิดเห็นที่ 25 Copernicus ผู้ประกาศว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ปีละครั้ง และโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ต้องตายไปแล้วกว่าร้อยปี กว่าทฤษฎีของเขา จะเป็นที่ยอมรับ เพราะฉนั้น อย่าหวังว่าจะเปลี่ยนอะไรๆ ภายในเวลาที่คุณต้องการ การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ จึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืน หลังจากการค้นพบตอนบ่าย แล้วประกาศให้เป็นที่รับรู้กันในตอนค่ำ สำหรับวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งที่สามารถศึกษาได้คือ 'สมอง' เท่านั้น มิใช่ 'จิต' เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่อาจทดสอบหรือพิสูจน์ได้ จุดสิ้นสุดของความเป็นไปได้ คือ จุดที่ความเชื่อความรู้ของเรา และเทคโนโลยีที่สามารถจะตรวจสอบได้ในขณะนั้น เพราะ "คนเป็นมาตรวัดทุกสิ่ง ว่าอะไรเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไร" จากคุณ : wrought เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 10:52:19

ความคิดเห็นที่ 26 ศาสนา จะขยายออกไปได้ก็ต้องมีคนเชื่อ คนจะเชื่อ ก็เพราะเราอธิบายให้เขาเชื่อได้ ดังนั้นเรื่องพิศดารต่างๆ ในทุกๆศาสนา มันก็แค่การพยายามอธิบายหรือโน้มน้าว โดยใช้ความกลัว ความไม่รู้ ความชอบ เพื่อทำให้เชื่อเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นแก่นหรือเป้าหมายหลักเลย ลงท้ายว่าชอบ 4# เช่นกัน จากคุณ : น้ำนอง เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 11:19:55

ความคิดเห็นที่ 27   คือ ห้ามสงสัยเลยว่างั้นเหอะ ก็่คนเค้าสงสัยและสนใจหาคำตอบ จากคุณ : python เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 11:30:53 A:192.251.226.206 X: TicketID:272004

ความคิดเห็นที่ 28 #27 สงสัยก็ถามได้ครับ แต่อย่าตั้งกระทู้ในรูปเผยแผ่ความเชื่อตัวเอง แลัวจับแพะชนแกะแบบน่า้เกลียดๆ เช่น ดินน้ำลมไฟ คือโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน และพลังงาน หรือทวีปทั้งสี่คือ Quadrant ของกาแล็กซี่ แบบนี้โดนสับเละเทะแน่ คนที่โยงศาสนาเข้ากับวิทย์แบบน่ารังเกียจ คือคนที่ไม่เข้าใจเรื่ององค์ความรู้ และกระบวนการวิทยาศาสตร์เลยครับ สิ่งที่ผมมักจะเจอคือ วิทย์บอกว่าโลกกลม ศาสนาบอกว่าโลกกลม ดังนั้นศาสนาย่อมเป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งๆ ที่จริงมันไม่ใช่ 1) องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต้องพ่วงกระบวนการที่ได้มาซึ่งความรู้นั้นเสมอ การนั่งทางในแม้จะได้คำตอบที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบ และหักล้างไม่ได้ องค์ความรู้นั้นก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เำพราะการนั่งทางในบอกให้คนอื่นทำซ้ำไม่ได้ และท้าให้พิสูจน์ว่าผิดไม่ได้ (not falsifiable) 2) วิทยาศาสตร์ "ไม่เ่ท่ากับ" ความจริงที่ถูกต้องเป็นสัจนิรันดร์และหักล้างไม่ได้ แต่คือองค์ความรู้ที่ "ผิดน้อยที่สุด" ตามหลักฐานที่มีในเวลานั้น ต่อให้วิทย์บอกว่าโลกแบน ทั้งที่ความจริงโลกกลม มันก็ยังเป็นองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์หากกระบวนการที่พิสูจน์ว่าโลกแบนไม่มีข้อบกพร่อง และหลักฐานทั้งหมดในเวลานั้นชี้ว่าโลกแบน จากคุณ : Geneticist เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 13:06:38

ความคิดเห็นที่ 29   ว่าจะตั้งกระทู้ลักษณะนี้เหมือนกัน เคยเจอด้วยนะ เคยมีกระทู้หว้ากอบอกว่า น่าจะเอาหลักพุทธศาสนามาช่วยในการทำ AI เราก็บอกว่าวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องการทำงานของสมอง มันข้ามพุทธศาสนาไปแล้ว นั่งสมาธิเอาอย่างเดียว จะรู้ได้ไงว่าที่ตัวเองรู้สึกเป็นความจริง หรือความลวง เค้าก็เถียงไปเรื่อย สุดท้ายเค้าก็ปล่อยประโยคเด็ดว่า "แล้ววิทยาศาสตร์มันสอนให้คนหลุดพ้นได้ไหม ?" อ้าาาว พูดงี้ก็มีเรื่องซิ  ก็ที่พูดกันตอนแรกมีเป้าหมายจะสร้าง AI ไม่ใช่หรือ แล้วจะสร้าง AI มาแล้วให้มันตรัสรู้ แล้วบวชเข้าวัด เพื่ออะไรมิทราบ นึกว่าจะให้มันมาทำงานหนัก แทนมนุษย์ซะอีก ชอบศาสนา เราก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ไม่เห็นต้องมาจำแพะชนแกะ แล้วบอกว่า neuroscience แย่กว่าการนั่งสมาธิ (ตัวอย่างนึงที่ยกมา) สองอย่างมันไม่ได้มีเป้าหมายเดียวกันเลยคู๊ณ เอามาเปรียบกันทำไม ขอซักทีเถอะ หนุ่มสาวหว้ากอ เลิก จับพุทศาสนา หรือศาสนาไหน ๆ มาเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ทีเถอะ สองอย่าง มันเป็นเครื่องมือคนละชนิดกัน เพื่อประโยชน์ต่างกัน โอเคไหม? จากคุณ : Black-White&Gray เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 14:28:57

ความคิดเห็นที่ 30 ตามที่พูดถึง# 29 คงหมายถึงการนำความรู้จากญาณทัศนะมาใช้ประโยชน์กระมัง  (เหมือนกับว่าใส่จิตลงไปแล้วได้คำตอบผุดขึ้นมาในใจ)   เคยเห็นกระทู้ในหว้ากอ ที่มีพระรูปหนึ่งที่เชียงใหม่ ประดิษฐ์เครื่องมือที่ล้างอากาศและทำฝนตกด้วยพลังจิตนะ จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 16:51:10

ความคิดเห็นที่ 31   -------วิทย์มีประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ทางกาย เน้นศึกษาเกี่ยวกับมวลสารและพลังงาน เกี่ยวข้องกับสิ่งอันเป็นรูปธรรม -------พุทธศาสนามีประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ทางจิตใจ เน้นศึกษาให้รู้ถึงธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันและอิทธิพลของสิ่งเร้าจากสิ่งอันเป็นรูปธรรมต่อสิ่งอันเป็นนามธรรม และผลย้อนกลับของอิทธิพลของสิ่งอันเป็นนามธรรมที่เรียกว่าจิตต่อสิ่งอันเป็นรูปธรรมที่เรียกว่ากายเนื้ออันเป็นมวลสาร --------หรืออาจกล่าวได้ว่าศาสนาเน้นสอนให้คนทุกอาชีพหมู่เหล่ารวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ศึกษาให้เข้าใจธรรมชาติของนามธรรมที่จับต้องชั่งตวงด้วยเครื่องมือวิทย์ไม่ได้ ที่เรียกว่าจิตซึ่งมีบทบาทและอิทธิพลต่อการแสดงออกของกายเนื้ออย่างมากมาย และยังสอนให้จัดระเบียบทางการคิดการพูด การกระทำให้เป็นไปในแนวทางแห่งศานติได้เอง โดยการยอมรับเองของจิตใจของบุคคลนั้นๆ เมื่อสัมผัสกับญาณหยั่งรู้แห่งธรรมชาติ ไม่ใช่ทำเพราะถูกบังคับ ---------นักวิทยาศาสตร์ที่ผ่านกระบวนการอบรมจิตจนสัมผัสถึงพุทธะ จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดี สร้างผลงานที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเบียดเบียนตนเองและมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ส่วนนักปฏิบัติที่ดี หากวางตัวด้วยหลักเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ไม่งมงาย ใช้เทคโนโลยี่วิทย์ให้เกิดประโยชน์ ก็มีแต่การเกื้อกูลเป็นประโยชน์กัน ----------ในมุมมองของผม ไม่มีใครเก่งกว่าใคร เจ้าชายสิทธัตถะ ก็เก่ง ไอสไตน์ ก็เก่ง แต่สิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะพูด ก็ไม่ต้องใช่เสมอไปกับสิ่งที่ไอสไตน์พูด แต่เพราะเจ้าชายสิทธัตถะเกิดก่อน ไอสไตน์จึงเคยพูดว่า หลักการแห่งพุทธะของท่านดูจะเป็นศาสนาที่ดูมีเหตุผล แบบวิทยาศาสตร์มากที่สุด ถ้าหากว่าไอสไตน์เกิดก่อน เจ้าชายสิทธัตถะก็อาจกล่าวอธิบายธรรมะ ของท่านในบางโอกาสด้วยการอ้างอิงถึงองค์ความรู้ของไอสไตน์ก็เป็นได้ โดยจะเห็นได้ในพุทธประวัติหลายตอนที่ท่านเทศน์โดยใช้เทคนิคเปรียบเทียบธรรมะของท่านกับสิ่งอันเป็นความรู้ความเคยชินความคุ้นเคยของผู้ฟัง แล้วทำให้ผู้นั้นเข้าใจและบรรลุธรรมได้ สามารถนำธรรมะของพระองค์ไปใช้ประโยชน์ได้ -----------ตำรา และตำนาน รวมถึงพระไตรปิฎก ของศาสนาพุทธ มีเนื้อเรื่องหลายส่วนที่เป็นหลักแบบเหตุผลแบบความคิดวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันก็มีหลายส่วนที่กล่าวถึงเรื่องราวแฟนตาซี มีอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ถ้าดูให้ดี จะพบว่าทุกบททุกตอนมีประโยชน์ในตัวมันเอง ตอนที่เน้นเหตุผล คือตอนที่มุ่งสร้างปัญญา ส่วนตอนที่เน้นอิทธิปาฏิหาริย์ คือตอนเน้นให้ทำความดีละเว้นความชั่ว ระดับปัญญาคนมีไม่เท่ากัน คนที่เอาแค่ กอ ขอ กอ กา ก็รับเอาส่วนแฟนตาซีไป เชื่อแนวทำดีไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก คนที่ตั้งมั่นในหลักเหตุผลก็เน้น ปฏิบัติจนสัมผัสความจริงธรรมชาติของจิต ก็เข้าใจด้วยหลักเหตุผลเอง ไม่ต้องเอานรกสวรรค์มาขู่ ก็ไม่ทำผิดเอง -----------เหตุที่มีเรื่องแบบเหตุผลวิทยาศาสตร์ และเรื่องแบบแฟนตาซีในพระไตรปิฎกก็เป็นการยืดอายุให้สิ่งนี้อยู่ทนนานๆ แม้โลกจะอยู่ในยุคที่มีคนนิยมแฟนตาซีเยอะ เพราะวิทยาศาสตร์ไม่เจริญ ก็จะมีคนอ่านพระไตรปิฎก เพราะมีแฟนตาซีบรรจุอยู่ แม้จะไม่ค่อยชอบใจภาคที่เป็นเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ปนอยู่บ้างก็ตาม ในทำนองกลับกันถ้าโลกอยู่ในยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญแบบทุกวันนี้ ก็ยังมีคนอ่านและศึกษาเนื้อความในส่วนที่เป็นเหตุผล แม้จะมองว่าส่วนแฟนตาซี ทำให้ตำราเล่มนี้ดูน้ำหนักเบาไปก็ตาม จะอ่านแบบยุคแรกหรือยุคหลังก็ตาม หากยังมีอาจารย์สอนภาคปฏิบัติอยู่ ไม่ว่าท่านจะมาจากแนวแฟนตาซี หรือแนววิทยาศาสตร์ก็ตาม ท่านไปถึงจุดหมายเดียวกันครับจากภาคปฏิบัติ -----------พระไตรปิฎกก็เหมือนปลาทู มีทั้งเนื้อปลาทูกับก้างปลาทู คนกินเป็นก็แกะกินแต่เนื้อ คนกินไม่เป็น เล่นกินทั้งตัวก็โดนก้างตำคอครับ -----------แล้วถ้าไม่มีก้างปลาในปลาทูเสียเลย ปลาทูก็คงไม่ได้เป็นปลาทูอยู่มาได้จนทุกวันนี้ครับ ------------ป ล. แต่ก่อนผมเองก็เป็นเด็กวิทย์แบบเพรียวๆ ค่อนขอดความเชื่อชาวพุทธในเมืองไทยเป็นอันมาก แต่หลังการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ผมก็เลยอธิบายสิ่งต่างๆได้แบบข้างบนนี้แหละครับ ไม่มีใครบังคับให้เขียน ไม่มีใครยัดเยียดคำสอนคำอธิบายเหล่านี้เข้ามาในหัวหรอกครับ แต่เข้าใจเอง เขียนแบบคำพูดตัวเอง หากไม่ตรงกับตำราครูบาอาจารย์ท่านใด หรือทำให้ท่านไม่ชอบใจก็ขออภัยด้วยครับ จากคุณ : 777 Pattaya เขียนเมื่อ : 2 ต.ค. 53 23:02:10 A:110.49.193.44 X: TicketID:289603

ความคิดเห็นที่ 32   ฟัง คห.31 แล้วรู้สึกว่าน่าจะเป็นคนมีอายุ จึงมองได้แนวทางที่น่าจะถูก แต่เปรียบเทียบเรื่องให้เป็นเรื่องที่คิดเอง ไม่เลียนแบบใคร มีก้างปลาทู แฟนตาซี แต่ที่เขียนนั้นเป็นหลักการที่น่าเชื่อถือ ราวกับคงแก่เรียนมามากทีเดียว ในเรื่องเกี่ยวกับพระไตรปิฎก เขียนสุภาพกว่าท่านพุทธทาส ซึ่งท่านว่า "ถ้าจะให้นักศึกษา ศึกษาละก็ พระไตรปิฎกเอาออกหรือทิ้งไปได้ 30% ให้ผู้รู้ทางวิทยาศาสตร์หรือโบราณคดี ก็ถอดทิ้งไปได้อีก 30% สำหรับอีกกลุ่ม โดยเฉพาะ ตาสียายสา ที่สอนให้ลูกหลานตีปีบช่วยพระจันทร์เมื่อราหูจับ ก็ไม่ต้องถอดอะไรออก" (เกี่ยวกับเรื่องนี้มีบางส่วนอยู่ใน คห.23แล้ว) ดีใจกับ จขคห.ที่เรียกได้ว่ามีสัมมาทิฐิ และอธิบายได้เป็นที่เข้าใจได้ดี อาจจะสำหรับ คห. นี้ หรือเปล่า จึงชื่นชม ไม่มีการต้องให้อภัย แต่กลับต้องขอบคุณ จากคุณ : swathcu@yahoo.com เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 08:47:06 A:1.46.87.136 X: TicketID:281681

ความคิดเห็นที่ 33 วิทยาศาสตร์ที่ดี  ต้องค้านด้วยเหตุผลนะครับ   ไม่ใช่ห้าม     ห้ามยังโง้น  ห้ามยังงี้  ห้ามโยง ห้ามคิดนอกกรอบ     ถ้าเราขี้เกียจไม่อยากให้มั่วกันง่ายๆ ก็จัดให้หนัก   คราวหน้าคราวหลังเขาจะได้คิดให้มากขึ้นก่อนพูด      วิธีของวิทยาศาสตร์ เหมือนการเปิดไฟฉายเพื่อดูสิ่งต่างๆ สิ่งที่เห็นแล้วย่อมเป็นจริง แต่มันก็มีขอบเขต  นอกขอบเขตนั้นต่างคนก็ต่างเดาคุณจะใช้ศาสตร์ด้านใหนมาแจมก็ ได้ ไม่มีผิดถูก คือมันยังเป็นแค่ความเชื่อ ก็แล้วแต่ใครจะเชื่อด้านใหน ใครให้เหตุผลดีกว่า   อย่างมีคนเชื่อบิ๊กแบง แต่ผมจะไม่เชื่อก็ได้ ว่าบิ๊กแบงได้เกิดขึ้นจริงๆ  ผมอาจคิดว่าบิ๊กแบงมันเป็นแค่การอนุมาณของวิทย์  ...อะไรๆแบบนี้เป็นต้น จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 3 ต.ค. 53 13:02:10