ความคิดเห็นที่ 1 กราฟีน เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของวัสดุมาจากคาร์บอน - ถ้าเราเอากราฟีนมาห่อให้เป็นลูกกลมๆ เราจะได้ buckyball - ถ้าเราเอากราฟีนมาม้วนเป็นแท่งกลมๆ เราจะได้ท่อนาโนคาร์บอน (carbon nanotube) - ถ้าเราเอากราฟีนมาซ้อนกันเป็นชั้นๆ เราจะได้กราไฟท์ (graphite) ซึ่งเป็นวัสดุในถ่าน หรือไส้ดินสอ เครดิตรูปจากบทความของไกม์ที่ตีพิมพ์ในวราสาร Nature Material ฉบับที่ 6 เดือนมีนาคม 2007 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 07:44:57

ความคิดเห็นที่ 2 กราฟีนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นวัสดุที่ทำได้ง่าย แต่ตรวจพบได้ยาก วิธีทำการฟีนนั้นง่ายมากครับ เราๆ ท่านๆ อาจจะเคยทำกราฟีนกันมามากมายแล้ว เพียงแต่เราไม่รู้ว่าเรามีกราฟีนกันอยู่ก็ได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่เจ้าของรางวัลโนเบลเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาครับ เรียกอย่างหรูๆ ว่า exfoliation method หรือมีชื่อเล่นว่า scoth-tape method ครับ วิธีนี้ใครๆ ก็สามารถทำได้ครับ ไม่ยุ่งยากอะไร ทำง่ายๆ ครับ ลองทำตามก็ได้นะครับ 1. เขียนดินสอลงบนกระดาษ หรือวัสดุอะไรก็ได้ เมื่อเราเขียนดินสอลงไป เราก็มี graphite จำนวนหลายๆ ชั้น (สมมุติว่า 100,000 ชั้น โดยประมาณ) 2. แล้วเราก็เอาสก๊อทเทปแปะลงไปบนรอยดินสอ แล้วดึงขึ้นมา รอยดินสอส่วนหนึ่งจะติดขึ้นมากับเทป อีกส่วนนึงจะยังคงติดอยู่บนกระดาษใช่ไหมครับ (สมมุติว่า เหลือ graphite ที่ติดอยู่บนกระดาษประมาณ 50,000 ชั้น) 3. แล้วเราก็เอาเทปอันใหม่ไปแปะลงบนรอยดินสออีก แล้วก็ดึงขึ้นมาอีก การแปะลงไป แล้วดึงขึ้นมาแต่ละครั้งจะทำให้เรามีชั้น graphite น้อยลงเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ (สมมุติว่า ประมาณ 17 ครั้ง) แล้วในที่สุดเราก็จะได้กราฟีนซึ่งมีอะตอมชั้นเดียวติดอยู่บนพื้นผิวของเราครับ แต่เราจะมองไม่เห็นกราฟีนนะครับ ต้องเอาไปส่องกล้องจุลทรรศน์ดู ถ้าตาดีและโชคดี ก็จะเห็นครับ รูปกราฟีน จากบทความของอังเดร ไกม์ (Andre Geim) และ คอนสแตนติน โนโวเซลอฟ (Konstantin Novoselov) ที่ใช้วิธีข้างบนในการทำกราฟีน จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 07:46:04

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วรูปร่างหน้าตาของกราฟีนเป็นอย่างไร? กราฟีนเป็นแผ่นบางของอะตอมคาร์บอน อะตอมคาร์บอนแต่ละอะตอมยึดกันไว้ด้วยพันธะที่แข็งแรงที่สุดในจักรวาล ซึ่งก็คือ พันธะโควาเลน (covalence bond) และแต่ละอะตอมจะห่างกันเพียง 0.142 nm หรือ 1.42 x 10^-10 m ถ้าจะถามว่ากราฟีนหนาเท่าไหร่? เนื่องจากไม่มีใครสามารถวัด หรือคำนวณขนาดที่แท้จริงของอะตอมได้ เนื่องจากทฤษฎีควอนตัมบอกว่าเราทำไม่ได้ แต่เราสามารถหาระยะห่างระหว่างอะตอมสองอะตอมที่อยู่ติดกันได้ เราจึงใช้ระยะห่างนี้ในการประมาณความหนาของแผ่นกราฟีน ซึ่งระยะห่างนี้คือ ระยะห่างระหว่างแผ่นกราฟีนในกราไฟท์ คือ 0.335 nm รูปจาก J. C. Meyer et al. Nano Lett., 2008 8 (11) pp 3582-3586 (a) เป็นรูปถ่ายแผ่นกราฟีนชั้นเดียว (single layer graphene) โดยใช้ STEM (scanning trasmission electron microscope) คาร์บอนอะตอมจะเห็นเป็นสีขาว (b กับ c) แสดงความสว่างของรูปตามแนวเส้นประสีเหลือง ถ้าเราวัดระยะห่างระหว่างจุดสูงสุดสองสุด เราจะได้ระยะห่างระหว่างอะตอมคาร์บอน คือ 0.14nm ครับ (d กับ e) แนวรอยต่อระหว่างแผ่นกราฟีนชั้นเดียว (ส่วนบน) ไปชั้นคู่ (ส่วนล่างของรูป) (monolayer to bilayer) รูป (e) แสดงแนว lattice ของกราฟีนทั้งสองชั้น จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 07:49:24

ความคิดเห็นที่ 4 การศึกษาเกี่ยวกับกราฟีนนั้น เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1947 โดย P. R. Wallece เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการศึกษากราไฟท์ (graphite) เพื่อที่จะนำไปใช้ในเตาปฏิกรณ์นิวเคลีย ในขณะนั้นเขาคิดว่าชั้นกราไฟท์เดี่ยวๆ ชั้นเดียว นั้นไม่เสถียรพอที่จะคงรูปอยู่ได้ (ขณะนั้นยังไม่ชื่อกราฟีน) ต่อไปในปี 1957 Slonczewski, Weiss และ McClure ได้ศึกษา band structure ของกราไฟท์ต่อ และได้มีการทดลองพิสูจน์ในช่วงปี 1958-1965 ต่อมาเมื่อมีการค้นพบท่อนาโนคาร์บอนตั้งแต่ปี 1991 นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้คุณสมบัติของกราฟีน ไปใช้ในการคำนวณคุณสมบัติของท่อนาโนคาร์บอน ทำให้เรารู้คุณสมบัติที่น่าสนใจของมันมากมาย ก่อนที่เราสามารถสังเคราะห์กราฟีนได้ซะอีก คุณสมบัติหลักๆ ของกราฟีน ที่น่าสนใจได้แก่ - Electronic: กราฟีนมีค่า mobility หรือ ความสามารถในการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนสูงมาก ทำให้เราสามารถสร้างทรานซิสเตอร์ที่ทำงานเร็วมากๆ ได้ - Mechanic: Young’s Modulus หรือสถาพความยืดหยุ่ด ซึ่งเป็นค่าบอกระดับความแข็งแกร่ง (stiffness) ซึ่งกราฟีนเป็นวัสดุที่วัดค่ามอดูลัสของยังได้สูงเทียบเท่า หรือมากกว่าเพชร - Thermal conductivity หรือความสามารถในการนำความร้อนจำเพาะ ซึ่งเราวัดค่าความนำความร้อนจำเพาะของกราฟีนได้สูงกว่าวัสดุประเทภอื่นๆ และยังนำความร้อนได้ดีกว่าเพชรที่ครองแชมป์มาตลอด ด้วยคุณสมบัตินี้เอง เราจึงอยากนำกราฟีนไปช่วยในระบบระบายความร้อนใน CPU - Optical properties: กราฟีนแผ่นเดียว ชั้นเดียว จะดูดกลืนแสงประมาณ 2.3%  สำหรับคนที่ชอบโยงค่าต่างๆ เข้าด้วยกับเพื่อหาความลับของจักรวาล ตัวเลข 2.3% ก็คือ p (pi) คูณกับ Fine structure constant ครับ รูปแสดงการทดสอบการนำความร้อนของกราฟีน โดยใช้เลเซอร์เผาแผ่นกราฟีน แล้วคำนวณการนำความร้อนออกมา รูปจาก A. A. Balandin et al. Nano Lett., 2008, 8 (3), pp. 902-907 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 11:19:41 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 07:56:09

ความคิดเห็นที่ 5 ผมขอพูดถึงคุณสมบัติทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มเติมอีกซักหน่อยนะครับ โดยขอเริ่มจากพื้นฐานก่อน ปกติเราสามารถแบ่งวัสดุตามคุณสมบัติการนำไฟฟ้าได้ว่าเป็น ตัวนำไฟฟ้า ฉนวนไฟฟ้า หรือสารกึ่งตัวนำ แล้วนักวิทยาศาสตร์ใช้เกณฑ์อะไรในการแบ่งวัสดุแบบนี้หละ? คำตอบคือ ดูจาก band structure ครับ รูปข้างล่างนี้เป็น band structure ทั่วๆ ไปของโลหะ (metal) สารกึ่งตัวนำ (semi-conductor) และ ฉนวน (insulator) เราจะสนใน band structure ในช่วงใกล้ๆ กับ Fermi level สำหรับในงานทางอิเล็กทรอนิกส์นะครับ - ถ้า Fermi level ไปทาบอยู่บน band สารนั้นจะนำไฟฟ้าได้ดี จึงจัดให้เป็นโลหะ (metal) - ถ้า Fermi level ไปแบ่ง band ออกเป็นสองส่วน ก็จะเป็นสารกึ่งตัวนำ หรือเป็นฉนวน Band ที่อยู่เหนือ Fermi level เรียกว่า conduction band และ band ที่อยู่ใต้ Fermi level เรียกว่า valence band - ถ้าช่องว่างระหว่าง band หรือที่เรียกว่า band gap กว้างมาก ก็จะเป็นฉนวน ถ้า band gap แคบหน่อยก็จะเป็นสารกึ่งตัวนำ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 08:00:28 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 07:59:59

ความคิดเห็นที่ 6 รูปอ่านไม่ออก ขอแก้รูปครับ จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 08:02:52

ความคิดเห็นที่ 7 แล้วกราฟีนหละ เป็นตัวนำ หรือกึ่งตัวนำ หรือฉนวน? คำตอบคือ ไม่ใช่ซักอย่างเลยครับ กราฟีนไม่มี band gap แต่ conduction กับ valence bands ก็ไม่ได้ซ้อนทับกัน จึงไม่ใช่ทั้งโลหะและสารกึ่งตัวนำ แต่ conduction band กับ valence band ของกราฟีนสัมผัสกันพอดี ที่จุดๆ หนึ่ง เราเลยเรียกมันใหม่ว่าเป็น semi-metal หรือ zero band gap semi-conductor ครับ รูป band structure ของ graphene ส่วนขยาย เป็น band structure ในช่วงพลังงานต่ำ ซึ่งจะเห็นว่าไม่มี band gap ครับ และคุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างนึงก็คือ band structure เป็นทรวงกรวยครับ รูปจาก M. Wilson, Phys. Today, 2006 59, pp 21-23 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 08:07:37

ความคิดเห็นที่ 8 ด้วย band structure ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะนี้เอง ทำให้กราฟีน ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักฟิสิกซ์ ซึ่งเมื่อพวกเขาทำการศึกษาต่อ ก็พบความอัศจรรย์ของกราฟีน เพิ่มขึ้นอีกมากครับ อิเล็กตรอนในกราฟีน ไม่มีคุณสมบัติเหมือนอิเล็กตรอนในโลหะ หรือสารกึ่งตัวนำแบบอื่นครับ คือ ในโลหะอิเล็กตรอนจะเป็นอนุภาคที่นำไฟฟ้า ส่วนในสารกึ่งตัวนำจะมีทั้งอิเล็กตรอนเป็นอนุภาคที่นำไฟฟ้าในสารกึ่งตัวนำชนิด n-type และมีโฮล (holes) หรือที่ว่างของอิเล็กตรอนเป็นอนุภาคที่นำไฟฟ้าในสารกึ่งตัวนำชนิด p-type แต่ในกราฟีน อิเล็กตรอนและโฮลจะถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน และเคลื่อนที่ไปด้วยกัน นักวิทยาศาสตร์เรียกอนุภาคนี้รวมๆ กันว่า Excitron นอกจากนี้ ด้วยโครงสร้างผลึกทำให้อิเล็กตรอนมีคุณสมบัติพิเศษที่เีรียกว่า Pseudo-spin ด้วย ด้วยเหตุที่มีทั้งอิเล็กตรอนและโฮล ทำให้เราคิดได้ว่า electron ใน graphene นั้นเป็นอนุภาคที่ไม่มีมวล (Massless Dirac Fermion) และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์คิดว่าอนุภาคประเภทนี้ เกิดขึ้นเฉพาะ ในอาณาเขตใกล้หลุมดำเท่านั้น โดยหาจะทำการทดลองอนุภาคชนิดนี้ขึ้นมาจะต้องใช้เครื่องเร่งอนุภาคพลังงานสูง เช่น Cern ภาพแสดง pseudo spin ของกราฟีน แต่เราสามารถใช้กราฟีนในการทดลองอนุภาคชนิดนี้ได้ กราฟีนจึงเป็นที่หมายปองของเหล่านัก Quantum Electro-Dynamic กัน จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 08:49:06

ความคิดเห็นที่ 9 มาลงชื่อ กระทู้แนะนำแห่งปี จากคุณ : หน้าไม้ใจเย็นยิ่ง เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 08:59:07

ความคิดเห็นที่ 10 อิอหิอ เขียนได้ดีจังครับ อ่านแล้วเห็นภาพเลย จากคุณ : Noah_1_of_4lnw เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:15:38

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านเจอในข่าว ทีมวิจัยมหิดล บอกว่า จะทดลองทดสอบการควบคุมทิศทาง การ สปิน ก็สงสัยว่า เขาทำได้อย่างไรครับ จากคุณ : นักวิจัยฝุ่น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:17:17 A:202.176.108.70 X: TicketID:284592

ความคิดเห็นที่ 12 graphene โดยปกติแล้วจะหมายถึงแผ่นกราฟีน ขนาดใหญ่ แต่ถ้าเราเอากราฟีนมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ หละ จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเราตัดแผ่นกราฟีนใหญ่ เราจะได้ graphene nanoribbon หรือ GNR ซึ่งจะมีขอบ (edge) สองแบบ เรียกว่า zigzag edge และ armchair edge ซึ่งขอบทั้งสองแบบนี้มีคุณสมบัติแตกต่างกันอีกครับ - ถ้าเป็น zigzag edge ตัว GNR จะไม่มี bandgap ครับ ซึ่งเราจะคิดว่ามันเป็น metallic คือเอามาใช้นำไฟฟ้าเหมือนโลหะได้ - ถ้าเป็น armchair edge ตัว GNR อาจจะมี หรือไม่มี bandgap ก็ได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนอะตอมคาร์บอนในแนวขวางครับ   ซึ่งถ้าไม่มี bandgap เราก็จะใช้เป็นตัวนำไฟฟ้า แต่ถ้ามี bandgap เราก็จะใช้เป็นสารกึ่งตัวนำได้ครับ ภาพ graphene nanoribbon จากแผ่นกราฟีน - สีแดงแสดง zigzag edge GNR - สีเขียวแสดง armchair edge GNR - สีนำเงินแสดง GNR ที่ผสมระหว่างทั้งสองตัวครับ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 09:55:25 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:18:02

ความคิดเห็นที่ 13 ลงชื่อครับ กราฟีน อาจจะพาเราค้นพบจักรวาลก้ได้นะเนี่ย จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:21:46

ความคิดเห็นที่ 14 ลงชื่อครับ กราฟีน อาจจะพาเราค้นพบจักรวาลก้ได้นะเนี่ย จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:21:59

ความคิดเห็นที่ 15 สุดยอดมากครับ จขกท. กำลังทำงานวิจับด้านนี้อยู่ด้วย ไม่แน่ในอนาคตอาจจะมีผลงานค้นพบโดดเด่นระดับโลกเลยนะครับเนี่ย จากคุณ : vandalism เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:23:12

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านสนุกแบบมีสาระ ชอบมากเลยครับ ความรู้ล้วนๆ จากคุณ : kruto เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:24:12

ความคิดเห็นที่ 17 #11 เรื่อง spin ผมจะขอพูดถึงหลังๆ ละกันนะครับ pantip เอารูป gif ที่มี animation ลง แล้วจะเห็นภาพเคลื่อนไหวไหมครับ ??? จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:25:00

ความคิดเห็นที่ 18 โหวตครับ จากคุณ : Muntai เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:25:05

ความคิดเห็นที่ 19 ตอนแรกคิดว่ามันคือชื่อ คนซะอีก - -* จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:25:08

ความคิดเห็นที่ 20 #11 เรื่อง spin ผมจะขอพูดถึงหลังๆ ละกันนะครับ ภาพ animation แสดง band structure ของ armchair GNR จะเห็นว่า เมื่อความกว้างของ GNR เพิ่มขึ้น Band structure จะมีโอกาส 1 ใน 3 ที่จะไม่มี bandgap แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 09:28:40 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:25:29

ความคิดเห็นที่ 21 อืมม...เค้าใจยากอ่ะ แต่ก็ น่าจะดี ต่อ อนาคต จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:26:41

ความคิดเห็นที่ 22 โหวต จากคุณ : discover_darkside เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:27:10

ความคิดเห็นที่ 23 มาเจิม จากคุณ : interaction เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:29:12

ความคิดเห็นที่ 24 ภาพ animation แสดง band structure ของ zigzag GNR จะเห็นว่า ไม่ว่าความกว้างของ GNR จะเป็นอย่างไร ก็จะไม่มี band gap ครับ ภาพนี้นำมาจาก online simulation tool ของ มหาวิทยาลัย Purdue ซึ่งทุกคนสามารถสมัครเป็นสมาชิกและเข้าไปใช้ได้ฟรีที่ www.nanohub.org จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:31:50

ความคิดเห็นที่ 25 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 11:09:17 จากคุณ : kruto เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:32:30

ความคิดเห็นที่ 26 แล้วมี band gap หรือไม่มี band gap มันสำคัญอะไรนัก?? สำคัญมากเลยหละครับ เอาตัวอย่างง่ายๆ ก็เพราะผลึกของ Silicon มีิ band gap นะซิ มันถึงเป็นสารกึ่งตัวนำ แล้วเราถึงเอา silicon มาทำทรานซิสเตอร์ แล้วก็มีคอมพิวเตอร์ใช้กันทุกวันนี้ แล้วก็เพราะว่าทองแดงไม่มี band gap นะซิ มันถึงเป็นโลหะ แล้วเราถึงใช้มันเป็นสายไฟ แล้วเอามันไปต่อระหว่างทรานซิสเตอร์เป็นพันล้านตัวใน CPU เพื่อให้วงจรทำงานได้ อ้าว !! แล้วกราฟีน เดี่ยวก็มี band gap เดี่ยวก็ไม่มี band gap เราจะเอามันทำอะไรหละ?? ก็เอามันไปทำทั้งทรานซิสเตอร์ ทั้งสายไฟ เลยนะซิ ใช้วัสดุเดียวทำได้ทั้งหมด เป็นทั้งสารกึ่งตัวนำ เป็นทั้งโลหะ เทพขนาดไหน ภาพวงจรที่ใช้กราฟีน ทั้งตัวทรานซิสเตอร์และสายไฟที่ต่อระหว่างตัวทรานซิสเตอร์ วงจรประเภทนี้เรียกกันว่า graphene monolithic แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 10:18:38 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 09:56:23 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:54:21

ความคิดเห็นที่ 27 กระทู้แห่งปี จากคุณ : เด็กแอดรุ่นถั่วเขียว (นักเรียนหรือกรรมกร) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:54:38

ความคิดเห็นที่ 28 รูปใหญ่เกิน เอาใหม่ครับ รูปวงจร graphene monolithic จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:57:17

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณที่ตรวจคำผิดให้ครับ ^_^ เรื่อง band gap นี่เป็นปัญหามากครับ เพราะคนที่ต้องการใช้ graphene ไปทำสายไฟแทนทองแดงใน IC ก็ไม่ต้องการ band gap เพื่อให้สายไฟมีความต้านทานน้อยที่สุด เพื่อให้ส่งสัญญาณได้เร็วขึ้น แต่ เมื่อทำ GNR ให้มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ไอ้ band gap มันดันโผ่ลออกมาเอง เมื่อ GNR กว้างประมาณ 10nm ทำให้เราไม่สามารถใช้ GNR ทำสายไฟที่มีขนาดเล็กกว่านั้นได้ เนื่องจากเรา (ยัง) ไม่สามารถควบคุมให้ GNR มีขอบที่เรียบสวยงามเป็น zigzag ได้ สิ่งที่เราพอทำได้ในขณะนี้คือ GNR ขอบสีน้ำเงินใน คคห.ที่ 12 ครับ อันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นเรื่องธรรมดาของ nanotechnology ครับ เพราะเมื่อสิ่งต่างๆ มีขนาดเล็กลง อัตราส่วนระหว่างพื้นผิว ต่อปริมาตร (หรือต่อพื้นที่ ในกรณีของกราฟีน) ก็เพิ่มขึ้น ทำให้คุณสมบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นพื้นผิวเข้ามามีบทบาทสำคัญครับ สำหรับ กราฟีน ปรากฏการณ์ที่ขอบมีบทบาทสำคัญเมื่อ GNR มีความกว้างน้อยๆ เราเรียกว่า width confinement ดังนั้นจึงมีแนวความคิดที่จะใช้ GNR ที่มีความกว้างน้อยๆ มาทำตัว channel ของทรานซิสเตอร์ และใช้ GNR ที่มีความกว้างมากหน่อย มาทำสายไฟครับ ยังไม่พอครับ เราพบว่าการใช้ GNR เพียงชั้นเดียวแทนสายไฟ จะทำให้สายไฟมีความต้านทานมากเกินไป จึงมีแนวคิดที่จะใช้ GNR หลายๆ ชั้นมาทำสายไฟครับ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 10:19:03 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 10:17:49 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:58:35

ความคิดเห็นที่ 30 สารกึ่งตัวเอา พึ่งได้ยินก็วันนี้ ป.ล. ล้อเล่นขำๆนะครับ :D จากคุณ : workbench เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:11:30

ความคิดเห็นที่ 31 ไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย จากคุณ : Spirit of Darkness เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:35:29

ความคิดเห็นที่ 32 Vote!!! จากคุณ : Freedom and Justice เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:37:12

ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา IBM ได้สร้างทราสซิสเตอร์จาก graphene ที่ทำงานได้เร็วที่สุดในโลก คือสามารถทำงานได้ที่ 100GHz ตัวทรานซิสเตอร์นี้ผลิตโดยเทคโนโลยีขนาด 240nm ครับ ซึ่งถ้าใช้ทรานซิสเตอร์ที่ใช้ silicon ในขนาดเดียวกันจะทำความเร็วได้เพียง 40GHz ครับ ภาพจาก IBM จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:38:43

ความคิดเห็นที่ 34 อืมมมม .... ไอ้นี่หรือที่ทำให้ Manchester U พอจะแทรกหัวข้อข่าวของ Manchester United ได้บ้าง แต่ขอชมว่า กระทู้นี้ดีมาก ห้องหว้ากอควรจะมาในทิศทางนี้ ถ้ามีกระทู้แบบนี้เกิน 10% คงจะดี จากคุณ : AnotherPractitioner เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:47:24

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณ จขกท. แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 11:07:15 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 10:49:39 จากคุณ : rainfull เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:48:23

ความคิดเห็นที่ 36 ช่วยดัน จากคุณ : [T]ango[A]lpha เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:49:05

ความคิดเห็นที่ 37 ทรานซิสเตอร์ที่ IBM สร้างขึ้นมานั้นมีหลักการทำงานเดียวกันกับ CMOS ที่ใช้ silicon ทำ ซึ่งเราใช้งานกันอยู่ในคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้ แต่กราฟีนมีคุณสมบัติพิเศษอีกมาก ที่เราสามารถนำมันมาใช้ผลิตทรานซิสเตอร์ ในยุดที่ silicon CMOS ถึงทางตัน หนึ่งในคุณสมบัติที่ว่านั้น ก็คือ ballistic transport ซึ่งอิเล็กตรอนสามารถเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงได้ในระยะทางที่ยาวพอสมควรครับ ในวัสดุทั่วๆ ไป อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่แบบสุ่ม (diffusive) คืออิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงในระยะทางสั้น แล้วก็เปลี่ยนทิศทางไปเรื่อยๆ เดี่ยวก็ไปข้างหน้า เดี่ยวก็ไปด้านข้าง เดี่ยวก็ไปด้านบน เดี่ยวก็ถอยหลัง ทำให้ความเร็วสุทธิน้อย และเสียโมเมนตัมมาก ถ้าต้องการ ballistic transport ในวัสดุธรรมดา ก็ต้องลดอุณหภูมิลงมาต่ำๆ เช่น 4K ภาพอธิบายการเคลื่อนที่แบบ Diffusive และ Ballistic จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:59:35

ความคิดเห็นที่ 38 p คูณกับ Fine structure constant จริงอ่ะ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 11:10:13 จากคุณ : ฉันยังอยู่ได้..คนดี เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 11:08:35

ความคิดเห็นที่ 39 ต่อยอดมาจาก ballistic transport นักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่ออิเล็กตรอนเคลื่อนที่เข้าไปที่รอยต่อ P-N อิเล็กตรอนจะมีการเคลื่อนที่แปลกๆ ครับ คือ รอยต่อ P-N จะสามารถสร้างจุดโฟกัสของอิเล็กตรอนได้ เหมือนเราฉายแสงเข้าไปที่เลนส์นูน แสงจะไปรวมที่จุดโฟกัสครับ แต่การโฟกัสของอิเล็กตรอนนั้นไม่ธรรมดาครับ เพราะรอยต่อ P-N ทำให้กราฟีนมีค่าดัชดีการหักเหของแสง (index of reflection) เป็นค่าลบครับ ภาพอธิบายการรวมแสงของเลนส์ธรรมดา กับเลนส์ในอุดมคติที่มีความหนาแน่นเป็นลบ จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 11:17:06

ความคิดเห็นที่ 40 น่าจะได้รางวัลโนเบลซักสามรางวัลนะนี่ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 11:27:52 จากคุณ : dusadee16 เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 11:25:57

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณที่ช่วยกันตรวจคำผิดครับ #38 มันเป็น bug ของพันธ์ทิพย์ครับ ถ้าใช้ IE เปิดจะเห็นเป็นตัว pi ครับ ผมใส่วงเล็บเพิ่มไปแล้วครับ พันธ์ทิพย์น่าจะแก้ bug ตรงนี้ได้แล้วนะครับ นานมากแล้ว หรือ IE เป็นผู้สนับสนุนของพันธ์ทิพย์ก็ไม่ทราบนะครับ ต่อครับ ตัวเลนส์ในอุดมคตินี้ ถูกคิดขึ้นมาโดยชาวรัสเซียชื่อ Veselago ในปี 1968 ครับ ตอนนั้นเขาพยายามใช้ meta material ในการสร้างมันขึ้นมา แต่เลนส์นี้อาจจะทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ ด้วยกราฟีนครับ ภาพผลการจำลองการทำงานของ Veselago lens ด้วยกราฟีน จาก Cheianov et al., Science, 2007, 315 (5816), pp. 1252 - 1255 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 11:31:27

ความคิดเห็นที่ 42 มีแนวคิดที่จะนำปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า Veselago Lens มาใช้ทำทรานซิสเตอร์ และตัวแยกสัญญาณเหมือนกันครับ ซึ่งถ้าทำได้จะเป็นอุปกรณ์ที่น่าสนใจมากทีเดียว รูปทรานซิสเตอร์ที่ใช้ปรากฏการณ์ veselago lens การทำงานก็คือ เมื่อเราใส่แรงดันที่ top gate จะเกิดรอยต่อ P-N สองรอยที่ขอบทั้งสองด้านของ top gate ทำให้อิเล็กตรอนจากแหล่งจ่าย S ไปโฟกัสที่จุด D2 ทำให้เราวัดกระแสได้มาก เมื่อเราเอาแรงดันออกจาก top gate ก็จะไม่มีรอยต่อ P-N แม้แต่รอยเดียว อิเล็กตรอนก็จะไม่โฟกัส ทำให้เราวัดกระแสได้น้อย จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 11:41:14

ความคิดเห็นที่ 43 ผมขอเปลี่ยนไปเรื่องคุณสมบัติการนำความร้อนนะครับ ปัญหาหลักของ CPU ในปัจจุบัน เรื่องหนึ่งก็คือเรื่องความร้อน พูดให้ถูกต้องบอกว่าเรื่องระบายความร้อนครับ สาเหตุที่ผู้ผลิต CPU ไม่เพิ่มความเร็วขึ้นในช่วงปีหลังๆ แต่หันไปเพิ่มจำนวน core แทนก็เพราะปัญหาการระบายความร้อนออกจากจุดที่มีความร้อนสูงที่สุด ซึ่งเรียกว่า Hot spot ครับ การเพิ่มจำนวน core ทำให้ความร้อนไม่ไปกระจุกตัวกันอยู่ที่เดียว ทำให้เราสามารถระบายความร้อนได้ง่ายขึ้น ภาพผลการจำลองความสามารถในการระบายความร้อนของ IC โดยใช้ graphene พบว่าช่วยให้อุณหภูมิที่ hot spot ลดลงได้ถึง 70 องศา ภาพจาก S. Subrina et al., EDL 2009, 30 (12), pp.1281-1283 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:08:53

ความคิดเห็นที่ 44 สุดยอดครับ ขอบคุณมาที่สละเวลาเขียนมาให้อ่านกัน จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:15:07

ความคิดเห็นที่ 45 กรี๊ด อีกไม่เกิน ห้าปี เราจะได้ใช้ CPU ที่ความเร็ว น้องๆ ที่ สัก 10 GB โดยที่ความร้อนแค่ สัก 30 - 40 องศา หรือนี่ จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:18:40

ความคิดเห็นที่ 46 กระทู้ดีมีสาระ โหวตให้พร้อมกีบ อ่านไปเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง  ขอบคุณจ้า จากคุณ : say a words เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:31:22

ความคิดเห็นที่ 47 ความฝันจะมีคอมบ้านขนาด 100Ghz มีโอกาสจะเป็นจริงหรือนี่ กรี๊ดดดดดด จากคุณ : (-_-") เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:31:38

ความคิดเห็นที่ 48 ต่อด้วยเรื่อง spin ตามที่ #11 ขอไว้ครับ การฟีน มีคุณสมบัติที่พิเศษอีกอย่างนึงก็คือ ความสามารถในการนำส่งค่า spin ของอิเล็กตรอนในระยะทางที่ไกล ในอุณหภูมิห้อง ซึ่งคุณสมบัตินี้ไม่พบว่ามีวัสดุชนิดอื่นทำได้ วัสดุชนิดอื่นเช่น silicon สามารถนำส่งค่า spin ของอิเล็กตรอนได้ในระยะประมาณ 2um ที่อุณหภูมิ 77K แต่กราฟีนสามารถนำส่งค่า spin ได้ในระยะพอๆ กันที่อุณหภูมิห้องที่ 300K ครับ ดังนั้นความฝันของสาวก spintronics สามารถเป็นจริงได้ด้วยกราฟีนครับ การควบคุมทิศทางของ spin นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ครับ เพราะ Hard drive รุ่นใหม่ๆ ก็ใช้เก็บข้อมูลด้วย spin กันทั้งนั้น การทำ spin injection หรือกำหนดค่า spin ก็ทำได้โดยการผ่านกระแสไฟฟ้าผ่านสารที่มีคุณสมบัติแม่เหล็ก ลงไปในสารกึ่งตัวนำ ไม่ว่าจะเป็น silicon หรือกราฟีนก็ได้ครับ spintronics เป็นแนวคิดที่จะใช้ spin ของอิเล็กตรอนเป็นตัวเก็บข้อมูลดิจิตอล 0 และ 1 แทนระดับแรงดันที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ข้อดีหลักๆ ของ spintronics ก็คือใช้พลังงานน้อย เพราะไม่มีกระแสไฟฟ้าไหล จึงเกิดความร้อนสูญเสียน้อยมาก ข้อเสียหลักๆ ก็คือต้องทำงานที่อุณหภูมิต่ำมากๆ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถรักษาสถานะ spin ของอิเล็กตรอนในระบบได้ แต่ด้วยกราฟีน เราไม่จำเป็นต้องทำงานในระดับอุณหภูมิต่ำๆ แล้วครับ ภาพจาก B. Behin-Aein et al., Nature Nanotechnology 5, 266 - 270 (2010) ภาพแสดง all spin logic device ที่อาจจะใช้กราฟีนเป็นตัวนำส่ง spin จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:36:35

ความคิดเห็นที่ 49 ขอไปนอนก่อนนะครับ กระทู้นี้ขอมอบให้แฟนเป็นของขวัญวันเกิดนะจ๊ะ มีคำถามฝากไว้ได้นะครับ ตื่นแล้วอาจจะเข้ามาตอบครับ จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:40:45

ความคิดเห็นที่ 50 ชอบครับ จากคุณ : Arifa เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:42:28

ความคิดเห็นที่ 51 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:43:28

ความคิดเห็นที่ 52 ดูด้วยคน จากคุณ : AMIYAMA เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:48:19

ความคิดเห็นที่ 53 พระเจ้าช่วย เข้ามากรี๊ดด้วยคนกับวัสดุเมพ จากคุณ : เถ้าลอย เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 12:53:11

ความคิดเห็นที่ 54 Graphene วัสดุแห่งทวยเทพ!! จากคุณ : K.raywind เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 13:22:49

ความคิดเห็นที่ 55 เข้ามาเจิมด้วยคนครับ เยี่ยมครับความรู้เยอะมาก ๆ จากคุณ : chetM เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 13:27:56

ความคิดเห็นที่ 56 สุดยอดครับมาอ่านเข้าใจในตอนหลังๆว่าสามารถทำ ซีพียู คอมพิวเตอร์ได้ดี แอบนึกถึงอนาตคจะมีคอมฯใช้แรงๆเหมือนกัน ..ขอบคุณครับ จากคุณ : tus_sks เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 13:28:53

ความคิดเห็นที่ 57 สิ่งที่ค้นพบอยู่ใกล้ตัวจริงๆ... จากคุณ : ลุงบุญคำ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 13:33:41

ความคิดเห็นที่ 58 #47 ความฝันจะมีคอมบ้านขนาด 100Ghz มีโอกาสจะเป็นจริงหรือนี่ กรี๊ดดดดดด -------------------------------------------------------------------------------------- พอถึงตอนนั้น window ก็จะออกตัวใหม่มา ความต้องการขั้นต่ำ 70Ghz RAM 2TB HDD 50TB จากคุณ : echo "Platalay"; เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 13:34:52

ความคิดเห็นที่ 59 กราฟีนนี่มันต้องเป็นชั้นเดียวด้วยหรือเปล่าครับ ถ้าชั้นเดียว มันจะทำ contact เพื่อต่อกับ electrode ได้ยังไงอ่ะ แล้วถ้ามันขาด ="= จากคุณ : alan the lamb เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 13:38:20

ความคิดเห็นที่ 60 สุดเทพเลยจขกท จากคุณ : elvish346 เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 13:46:30

ความคิดเห็นที่ 61 ชอมมากเลยครับ แต่ผมมีข้อสงสัยอยู่หลายอย่างง เนื่องจากผมเรียนไม่ถึงที 1. band structure กับ Fermi level หมายถึงอ่ะไรเหรอครับ 2. เลนส์ในอุดมคติ หมายถึงเลนส์แบบไหนเหรอครับ เลนส์ที่รวมแสงเป็นจุดๆเดียวเหอรครับ 3.ดัชดีการหักเหของแสง (index of reflection) เป็นค่าลบ มันทำให้เกิดหารหักเหที่แตกต่างจากปกติยังไงเหรอครับ จากคุณ : Pirr (tagZa24) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 13:48:52

ความคิดเห็นที่ 62 #59 มันคงมี interface สำหรับเชื่อมกับวัสดุภายนอกในกรณีต่อกับ elctrode ครับ ส่วนเวลานำไปใช้มันน่าจะถูกบรรจุอยู่ใน container ที่แข็งแรงครับ (เดาเอา) จากคุณ : =Por= เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 13:53:10

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณครับ ที่สละเวลา มาให้ความรู้ครับ เอาไปทั้งกี๊ฟ และ โหวตครับ ^^ จากคุณ : เอ..ชีวิตมันขาดไรไปน๊า เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 14:29:54

ความคิดเห็นที่ 64 เข้ามาให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ครับ จากคุณ : parasite13 เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 14:39:41

ความคิดเห็นที่ 65 Femi Level น่าจะเป็นตัวละดับอ้างอิงของการอ้างอิงว่าสารนั้นเป็นคุณสมบัติเซมิคอนดักเตอร์หรือโลหะหรือฉนวนครับ (ไม่แม่นเท่าไรแต่เรียนมาตอนนี้ลืมไปแล้วครับ เอาคืนอาจารย์ไปแล้ว ==") อ่านกระทู้นี้แล้วนึกถึงเรียนสามสี่วิชาควบไปด้วย ทั้ง Electromagnetic Semiconductor Physic DIGITAL IC  55+ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 14:40:53 จากคุณ : เดอะหลอน เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 14:40:12

ความคิดเห็นที่ 66 ผมลองเอาแท่งกราไฟท์ดูดกับแม่เหล็กมันดูดครับ แต่พอวัดความต้านทานดู สูงมาก ใช้เมกกะโอมห์วัดได้ ๑๐๐๐ เมกกะโอมห์ ยังสงสัยว่าโลหะตัวนี้ มันเป็นฉนวนเหรอ ไม่ทราบว่าจะเกี่ยวกันรึเปล่าครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ จากคุณ : หูเติ่ง เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 14:44:54

ความคิดเห็นที่ 67 #48 ขอบคุณครับ จากคุณ : นักวิจัยฝุ่น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 14:48:44 A:202.176.108.70 X: TicketID:284592

ความคิดเห็นที่ 68 ปล ฝันถึง Single Chip อ่ะ จากคุณ : นักวิจัยฝุ่น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 14:51:23 A:202.176.108.70 X: TicketID:284592

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณและชื่นชม จขกท อย่าแรงที่สละเวลาเอาเรื่องประเทืองปัญญามาให้อ่าน ขอบคุณมากจริงๆ เห็นด้วยกับ คคห บนๆอย่างแรงที่อยากให้กระทู้ส่วนใหญ่ในหว้ากอเป์นแบบนี้ เมื่อกี้เลื่อนดูรายชื่อกระทู้ไปครึ่งทางยังไม่เจออะไรน่าอ่าน ไม่นับรวมเกรียนและพวกพาออกทะเลจนเกินงาม(นิดหน่อยก็น่ารักดี)ทั้งหลาย จากคุณ : Doctor-K (Devamorana) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 14:52:41

ความคิดเห็นที่ 70 วัสดุเมพ จริง ๆ >.< จากคุณ : MaJinSKi เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 14:55:07

ความคิดเห็นที่ 71 ถ้ามันเกิดได้จริง นวตกรรมมากมายจะเกิดขึ้น อาจจะมี Super Computer ที่สามารถวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่ Cern อาจจะมี Super Computer ที่สามารถหาค่า ทศนิยมตัวสุดท้ายของค่าพายได้... จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 15:01:44

ความคิดเห็นที่ 72 อ่านแล้วเข้าใจง่าย ยอดเยี่ยมเลยครับ อยากให้ไทยเราผลิตเองใช้เองบ้างจัง ไม่ต้องง้อเทคโนโลยีฝรั่ง ^^ จากคุณ : Yippie เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 15:18:56

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณ จขกท.ค่ะ จากคุณ : phim_ka เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 16:13:04

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบคุณค่ะ เรียบเรียงได้อ่านง่ายดีมากค่ะ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 16:31:56

ความคิดเห็นที่ 75 อ่านเกือบไม่รู้เรื่องยังพอนึกออกบ้างตรง Band Theory กับ Semiconducter อีกนิดหน่อย นี่เราลืมขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย เวลาแค่ 5-6 ปี ที่เรียนผ่านมาแล้ว ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ จากคุณ : ค้างคาวเฒ่า เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 16:37:18

ความคิดเห็นที่ 76 ธาตุหลักของสิ่งมีชีวิต กำลังจะกลายเป็นธาตุหลักของคอมพิวเตอร์ How Ironic!! จากคุณ : ceteris เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 17:06:30

ความคิดเห็นที่ 77 อ้างอิงรูปใน#7ครับ รูปจาก M. Wilson, Phys. Today, 2006 59, pp 21-23 ที่คุณ ped cad นำมาลงไว้ M.Wilson เขาให้ตำแหน่งของอิเล็กตรอนกับโฮลใน band structure สลับกันครับ ที่ถูกต้องคือ อิเล็กตรอนอยู่ด้านบน โฮลอยู่ด้านล่างครับ จากคุณ : ลูกน้องหัวหน้าทีมวิจัย เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 17:18:02 A:117.47.70.202 X: TicketID:278281

ความคิดเห็นที่ 78 คห 66 แท่งนั้น คงไม่ใช่ กราไฟท์แล้วละ น่าจะเป็นแท่งเฟอร์ไรท์   ( เป็นก้อนเซรามิคของผงเหล็กออกไซด์) มันจึงดูดกับแม่เหล็กได้   แต่ไม่นำไฟฟ้า   เนื้อแข็ง ถ้าเป็นกราไฟท์ จะกลับกัน คือนำไฟฟ้าได้ดี   และไม่ดูดกับแม่เหล็ก  เนื้ออ่อน จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 17:21:55

ความคิดเห็นที่ 79 --- โหวตกระทู้ครับ จากคุณ : myth เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 17:25:41

ความคิดเห็นที่ 80 ซ้ำ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 17:29:29 จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 17:27:30

ความคิดเห็นที่ 81 พูดตรงๆ - อ่านไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ (สมองไม่รับเลย --") แต่พอจับใจความได้ว่า ธาตุพื้นๆอย่าง carbon นี่แหละ กำลังกลายเป็นวัสดุเทพ มีคุณสมบัติที่เราไม่เคยพบไม่เคยเห็นในวัสดุอื่นๆมาก่อนเลย สรุปว่า vote ละกัน... จากคุณ : ลูกจ้างดีเด่น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 17:35:25

ความคิดเห็นที่ 82 สุดยอดไปเลยกระทู้นี้ หายสงสัยเลยครับสมแล้วที่ได้โนเบล (ถึงบางคำผมจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ต้องไปคุ้ยข้อมูลต่อเอง) อนาคตของคอมพิวเตอร์เห็นแล้วตื่นเต้นไม่เบาเลยแฮะ จากคุณ : Steyr Commando เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 17:44:34

ความคิดเห็นที่ 83 อ่านแล้วได้ควาามรู้ดีครับ แต่อ่านนานไม่ได้ รุ้สึกปวดหัวแปลกๆ เหมือนคิดถึงที่นอนเลยแฮะ จากคุณ : ผ้านวมผืนเก่า เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 18:11:57

ความคิดเห็นที่ 84 สุดยอดครับ ความรู้ล้วน ๆ ไม่ต้อง copy ก็ develop ได้แล้วสิเนี่ย จากคุณ : tuinui98 เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 18:20:56

ความคิดเห็นที่ 85 ขอบคุณที่นำความรู้ดีๆมาแบ่งปันครับ จากคุณ : zmen เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 18:54:00

ความคิดเห็นที่ 86 กระทู้หว้ากอ +10 จากคุณ : okaunkung เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 19:10:10

ความคิดเห็นที่ 87 เขียนเรื่องยาก ๆ ให้อ่านได้เข้าใจง่ายนี่ ... คนเขียนต้องมีความรู้ในเรื่องที่เขียนมากทีเดียว จากคุณ : internetsmile เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 19:32:05

ความคิดเห็นที่ 88 สุดยอดครับ เจ้าของกระทู้ สามารถนำเรื่องวิจัยขั้นสูง มาอธิบายให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้นมากมาย สามารถชี้ให้เห็นว่ามีประโยชน์อะไร เอาไปทำอุปกรณ์อะไรได้บ้าง อยากให้มีกระทู้แบบนี้เยอะๆ ครับ อีกไม่นานที่ห้อง tech Hardware อาจจะมีกระทู้จัดสเป็คคอม Intel hexacore 80 Ghz HDD 120 TB จอ 22 นิ้ว 3D Dynamic VGA 8000 streem processer 12 Ghz จากที่อาจต้องรออีก 80 ปี ถึงจะได้ใช้ ตอนนี้เหลือแค่อีก 10 ปีเท่านั้น จากคุณ : ICBM เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 19:33:01

ความคิดเห็นที่ 89 ขออนุญาต ลงชื่อ แล้วจะตามอ่านครับ จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 19:49:18

ความคิดเห็นที่ 90 Carbon nanotube ถ้าทำได้ ก็จะมีประโยชน์มากเลยนะครับ อย่างแรกเลย เราสามารถเก็บ H2 ไว้ใน carbon nanotube แทนที่จะเก็บในถังความดันสูง มันเป็นสิ่งที่รอคอยของรถพลังงาน Fuel Cell เลย เพราะว่าตอนนี้แก๊ซ H2 มันเก็บในถังได้น้อยมาก วิ่งได้ไม่นาน H2 ก็หมด แต่ถ้าเป็น carbon nanotube เก็บแบบที่เรียกว่าอะตอมต่ออะตอมเลย อาจเติมแก๊สครั้งเดียววิ่งได้เป็นสิบปีเลย จากคุณ : ดอกบัวขาว 10 ดอก เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 19:54:00

ความคิดเห็นที่ 91 อยากรู้ว่า device ที่ใช้กราฟีนใกล้ความจริงขนาดไหนแล้วอ่ะคะ มีแนวโน้มที่จะผลิตเป็นสินค้าขายแบบ commercial ได้จริงในอนาคตอันใกล้นี้รึเปล่าคะ ถ้าเกิดว่ายัง อะไรที่เป็นอุปสรรค หรือปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกสำหรับ graphene device ณ ตอนนี้คะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : TSURUGI เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 20:05:38

ความคิดเห็นที่ 92 พรุ่งนี้สอบวันนี้มาอ่าน เก็บไว้ค่อยมาอ่านคราวหลังละกัน จากคุณ : โอปอrnm เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 20:09:44

ความคิดเห็นที่ 93 สุโค่ย จากคุณ : Autster เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 20:22:58

ความคิดเห็นที่ 94 อีกหน่อยคงไปได้ระดับ TeraHerz เอามาประยุกต์กับ Harddisk, แผ่น Optical ก็ได้จะความจุระดับ Exabyte จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 20:46:07

ความคิดเห็นที่ 95 เคยได้ยินคาร์บอนนาโนทูป มาตั้งแต่สมัยเรียนเพิ่งรู้ว่าทำจากกราฟิน เหมือนกระทู้นี้จะเน้นไอเดียเรื่องเอามาใช้ในอุปกร์ณอิเล็กทรอนิกส์ เคยอ่านไอเดียลิฟท์อวกาศ ว่าใช้คาร์บอนนาโนทูป นะ หรือ ไอเดียหว้ากาม ถุงยางกราฟิน โว้ววๆๆ จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 21:34:30

ความคิดเห็นที่ 96 ขอบคุณ จารย์เป็ดท่ีมาโพสต์ส่ิงดีๆให้อ่าน   ส่วนหน่ึงในทีสิสป่ะเน่ีย พุฒิ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 22:25:12 จากคุณ : Eric de putre (Eric de Putre) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 22:21:34

ความคิดเห็นที่ 97 เจ๋งเลยครับ อนาคตวงการคอมพิวเตอร์คงไปอีกไกลแน่ๆ(แต่เมืองไทยเมื่อไรจะมี 3G -*-(ไม่ได้โยงเรื่องการเมืองนะ)) ปล.จขกท.เขียนบทความวิจัยระดับสูงให้เด็ก ม.3 อย่างผมอ่านเข้าใจได้ สุดยอดมากครับ จากคุณ : THANODOM (THANODOM) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 22:25:30

ความคิดเห็นที่ 98 มึนตึ๊บ จากคุณ : Tamจัง เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 23:15:34

ความคิดเห็นที่ 99 สงสัยถ้าลองเอาดินสอมาเขียนเป็นรูปสายอากาศยากิ น่าจะได้หลายร้อยอิลิเม้น...   น่าลองนะ ใครลองแล้วช่วยโฆษณาด้วยนะครับ จากคุณ : Go2Better เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 23:21:42

ความคิดเห็นที่ 100 สมเป็นกระทู้ห้องหว้ากอจริงๆ แต่อ่านแล้วเข้าใจไม่ถึง 10% ฮ่าฮ่า แต่หายสงสัยเลยว่าทำไม นักวิทยาศาสตร์เขาถึงได้โนเบลกัน อนาคตนำไปประยุกต์ใช้ได้เยอะจริงๆ จากคุณ : SamuDi Knight เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 23:23:58

ความคิดเห็นที่ 101 เริ่ดมากๆๆ ทำให้ต่อมอยากรู้ทำงานแล้วเนี่ย จากคุณ : n-OO//bit-a เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 01:32:24

ความคิดเห็นที่ 102 สุดยอดครับ เจ้าของกระทู้เรียนหรือทำงานครับนี่ เก่งมากเลย เหมาะที่จะไปเขียนหนังสือแนว popular sciences มากเลย จากคุณ : misterdoice เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 01:54:59

ความคิดเห็นที่ 103 สุดยอดครับกระทู้ความรู้แห่งปี จากคุณ : ความจำสั้นสันหลังยาว เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 02:41:57

ความคิดเห็นที่ 104 Professor Andre Geim เป็น professor ทางด้าน Innovative Materials and Nanoscience ที่ Radboud University of Nijmegen ผมเคยฝึกงานอยุ่ที่นั่นครึ่งปีครับผมไม่เคยเห็นท่านครับ เพราะผมทำงานด้าน Human genetics น่าภาคภูมิใจแทนภาควิชา มหาวิทยาลัย และชาวดัชต์ด้วยที่มีนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลเกือบยี่สิบคนแล้ว หวังว่าสักวันจะมีคนไทยคนแรกได้รับรางวัลอันทรงเกรียตินี้ครับ http://www.rnw.nl/english/article/nobel-prize-dutch-physicist http://en.wikipedia.org/wiki/Andre_Geim แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 53 04:43:30 จากคุณ : Kendutch เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 04:37:21

ความคิดเห็นที่ 105 ตอบคำถามนะครับ #59 - การนำไปใช้ อาจจะใช้กราฟีนชั้นเดียว หรือหลายชั้น ก็ขึ้นอยู่กับงานครับ - การทำ contact ต้องทำด้วยความปราณีตมากครับ ปกติจะไม่มีการเอาชิ้นโลหะไปกดทับกันอยู่แล้ว ปกติจะทำ contact โดยทำ deposition ซึ่งอาจจะเป็นปฏิกิริยาเคมี หรือการพ่นไอโลหะลงไปให้โลหะไปเกาะอยู่กับพื้นผิวก็ได้ครับ - กราฟีนที่วางอยู่บนพื้นผิวไม่ขาดง่ายๆ หรอกครับ มีการทดลอง พยายามทำให้มันขาด โดยการขึงขอบทั้งสองข้าง ให้ส่วนกลางลอยอยู่บนอากาศ แล้วเอาปลายเข็ม (ปลาย AFM) ไปทิ่มมันเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งด้วยครับ #61 - Band structure คือรูปแบบระดับพลังงานของวัสดุครับ วัสดุแต่ละแบบจะมี band structure ไม่เหมือนกัน - Fermi level เป็นระดับพลังงานสูงสุด ที่อิเล็กตรอนจะอยู่ได้ เมื่อวัสดุนั้นมีอุณหภูมิ 0 องศาสัมบูรณ์  ระดับพลังงานที่น้อยกว่า Fermi level จะเต็มไปด้วยอิเล็กตรอน และระดับพลังงานที่สูงกว่า Fermi level จะเต็มไปด้วยโฮล ครับ - เลนส์ในอุดมคติ ผมหมายถึงง่ายๆ ว่า เลนส์ที่ไม่มีอยู่จริงครับ - ดัชนีการหักเหของแสงเป็นค่าลบ ทำให้แสงหักเหแบบในรูปข้างล่างนี้ครับ รูปซ้าย วัสดุทั้งด้านบนและด้านล่างมีดัชนีหักเหแสงเป็นบวกทั้งคู่ครับ อันนี้คือแบบปกติ รูปขวา วัสดุด้านบนมีดัชนีหักเหแสงเป็นบวก แต่วัสดุด้านล่างมีดัชนีหักเหแสงเป็นลบครับ ดูทิศทางจะเห็นว่ามันต่างจากปกติยังไง แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 53 08:53:22 จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 08:50:49

ความคิดเห็นที่ 106 #91 ผมคิดว่า (เป็นความคิดส่วนตัว อาจจะผิดได้) อุปกรณ์ ทางอิเล็กทรอนิกส์(consumer electronic devices) ที่ใช้กราฟีน จะยังไม่น่ามีออกมาขายในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าครับ เพราะยังมีปัญหาในการผลิต (fabrication) อีกมาก ที่จะควบคุมคุณสมบัติต่างๆ ของกราฟีน ปัญหาหลักๆ ก็อย่างเช่น การควบคุณ edge ของ GNR และการสังเคราะห์กราฟีนในเวเฟอร์ (wafer) ซึ่งไม่สามารถใช้วิธี scoth tape ได้ครับ นอกจากการใช้วิธี scoth tape แล้วเรายังสามารถปลูก (growth) กราฟีนบนพื้นผิวของวัสดุบางอย่างได้ครับ แต่กราฟีนที่ทำจากวิธีนี้มีคุณสมบัติที่แย่มากๆ เหมือนกับการที่เรายังไม่สามารถสร้างเพชรจากห้องแลปให้แวววาว สวยงามเหมือนกับเพชรที่เราขุดได้จากธรรมชาติ นะแหละครับ เรายังต้องพัฒนาเทคนิคเหล่านี้อีกเยอะครับ #102 เรียนหรือทำงานก็ไม่ต่างกันหรอกครับ ต่างกันแค่ตอนเรียนถูกกดเงินเดือน แต่ตอนจบแล้วถูกกีดกันไม่ให้ทำงาน เท่านั่นแหละครับ จากคุณ : ped cad เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 09:08:48

ความคิดเห็นที่ 107 ชิดขวามาเก็บเข้าคลัง จากคุณ : เฒ่าเจ้าอุบาย เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 09:19:45

ความคิดเห็นที่ 108 ชื่นชมค่ะ อ่านแล้วได้ความรู้มากๆ ท่าน จขกท. คะ ขออย่าให้กระทู้นี้ จบแล้วจบเลยนะคะ ถ้ามีความคืบหน้า/ความก้าวหน้าใดๆ ขอรบกวนท่าน มาให้ความรู้ ณ ที่แห่งนี้อีก ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ จากคุณ : บ้านหนูจิ้งจกชื่อจอนนี่ เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 13:25:17

ความคิดเห็นที่ 109 แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 53 13:44:14 จากคุณ : บ้านหนูจิ้งจกชื่อจอนนี่ เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 13:43:44

ความคิดเห็นที่ 110 โหวต ความรู้ดีๆเลย จากคุณ : ไก่แก้ว สาริกา เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 16:07:52