ความคิดเห็นที่ 1 เริ่มแรกมาทำความรู้จักกับโปรเจค “ฮีโร่” กันก่อนครับ โปรเจค “ฮีโร่” เป็นโปรเจคที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่คนธรรมดาๆ หรือองค์กร Non-profit ต่างๆ ให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโลกเราให้ดีขึ้น โดยการบอกเล่า “เรื่องราว” ของกลุ่มคนธรรมดาๆ ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการเปลี่ยนแปลงโลกเรา เทคโนโลยีนี้แหละครับที่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขยาย “ขอบเขตของความเป็นไปได้” และ “ศักยภาพ” ของคนธรรมดาๆ ให้ทำอะไรได้มากกว่าเดิม อีกทั้งยังเป็นการใช้แพลตฟอร์มของเทคโนโลยีในการ “บอกเรื่องราว(Story-telling)” ให้กับคนทั้งโลกเพื่อให้คนที่มีจุดมุ่งหมายแบบเดียวกันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้เข้ามาร่วมมือกันผ่านทางแพลตฟอร์มแห่งการประสานงานในระดับโลก ซึ่งเป็นแก่งแห่งเทคโนโลยีในยุค Web 2.0 ที่กำลังวิวัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้งและมอบพลังแห่งความเป็นไปได้แก่คนธรรมดาๆ อย่างมากมายมหาศาล จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 14:54:17

ความคิดเห็นที่ 2 เราคงรู้จักโปรเจคฮีโร่กันแล้ว งั้นเรามารู้จักฮีโร่ของเราเลยครับ ฮีโร่ของเราก็คือ หัวหน้าเผ่าอัลเมียร์(Chief Almir) ซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าสุรุย(Surui) แห่งป่าอเมซอน หัวหน้าเผ่าอัลเมียร์นั้นเป็นผู้นำชนเผ่าสุรุยคนแรกที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา และเป็นคนแรกที่มีความคิดล้ำหน้าและเห็นความเป็นไปของโลกกว้างขวาง จากการศึกษานี่แหละครับ ปัญหาที่ชนเผ่าสุรุยประสบ ณ ตอนนั้นก็เรียกได้ว่าถึงขั้นวิกฤตเพราะตั้งแต่ที่มีการติดต่อกับคนผิวขาวตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ก็มีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าแบบผิดกฏหมาย และวี่แววของหายนะตั้งแต่การถูกฆ่าตายของผู้นำเผ่ากว่า 11 คน ไม่นับความตายที่มาเยือนลูกเผ่าของเขาที่พยายามปกป้องป่า ชุมชน และวิถีชีวิตของเขา นั่นทำให้จำนวนประชากรของชาวสุรุยรวมทั้งพื้นที่ป่าที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนของเขานั้นหดหายไปอย่างมาก!! จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 14:54:49

ความคิดเห็นที่ 3 พอมาถึงรุ่นของหัวหน้าเผ่าอัลเมียร์ ท่านก็ได้รู้เลยว่าไม่มีทางที่ลูกดอก คันธนู ลูกศรนั้นจะไปสู้พลังอำนาจแห่งการทำลายล้างจากเทคโนโลยีที่คนผิวขาวเอามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นปืน เลื่อยไฟฟ้า อุปกรณ์ที่สามารถทำลายป่าไม้ หรือแม้แต่ชีวิตคนได้อย่างง่ายดาย และไม่มีทางที่คนพื้นเมืองอย่างพวกเขาจะทำอะไรได้!! ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มาภายใต้โฉมหน้า “แห่งการพัฒนาและอารยธรรมที่เหนือกว่า” ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลานุภาพแห่งการทำลายล้างอย่างใหญ่หลวง เมื่อมันกลายเป็นทาสรับใช้ของความโลภและเห็นแก่ตัวของมนุษย์ สถานการณ์ ณ ตอนนั้นของชนเผ่าสุรุยและท่านหัวหน้าเผ่าอัลเมียร์เรียกได้ว่าวิกฤตอย่างมาก มีกระทั่งการตั้งค่าหัวของท่านหัวหน้าเผ่าอัลเมียร์เลยด้วยซ้ำ จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 14:55:09

ความคิดเห็นที่ 4 ท่ามกลางสถานการณ์ที่แทบจะสิ้นหวัง ระหว่างที่เดินทางออกจากป่าเข้าไปในหมู่บ้าน ท่านหัวหน้าเผ่าอัลเมียร์ก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนความหวังอันเล็กน้อยเมื่อเด็กๆ ในหมู่บ้านได้พาท่านไปยังอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ในวินาทีที่ท่านได้เห็นความมหัศจรรย์ของอินเตอร์เน็ตและกูเกิ้ลเอิร์ธท่านก็สามารถเข้าใจได้อย่างไม่ยากว่า นี่คือ แพลตฟอร์มแห่งการสื่อสารที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ อินเตอร์เน็ตและกูเกิ้ลเอิร์ธจะเป็นช่องทางที่ทำให้ท่านสามารถบอกเล่าเรื่องราวแก่ชาวโลกได้เห็นความพยายามที่จะปกป้องป่าไม้และรักษาวิถีชีวิตและธรรมชาติของป่าอเมซอนบนเทคโนโลยีของกูเกิ้ลเอิร์ธ ที่ทำให้คุณ ‘บิน’ ไปยังที่ต่างๆ บนโลกได้ในแบบ 3 มิติ จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณและทำให้คนกว่า 500 ล้านคนทั่วโลกสามารถรับรู้เรื่องราวของชาวสุรุยได้ จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 14:55:29

ความคิดเห็นที่ 5 หลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้วท่านก็ได้ส่งจดหมายแนะนำตัวและบอกเล่าประสบการณ์ของท่านมายังทีมงานกูเกิ้ลเอิร์ธเอาต์รีช(Google Earth Outreach) ทีมงานกูเกิ้ลเอิร์ธเอาต์รีชก็ได้ส่งทีมงานไปยังอเมซอนเพื่อทำงานกับชนเผ่าสุรุยและสร้างเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของพื้นที่ป่าที่ลดลงอย่างมากจากการลักลอบตัดไม้แบบผิดกฏหมาย และวัฒนธรรมรวมทั้งวิถีการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับป่าและปกป้องป่าของชาวสุรุย นอกจากนี้ ก็ได้นำเอาเทคโนโลยีมือถือแอนดรอยด์ของกูเกิ้ลมาใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มของกูเกิ้ลเอิร์ธ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ที่ทำให้ชนพื้นเมืองเผ่าสุรุยสามารถใช้โทรศัพท์มือถือของกูเกิ้ลที่มีซอฟต์แวร์พิเศษ ที่ทำให้เวลาถ่ายรูปสามารถ ‘กำหนด’ ขอบเขตพื้นที่ป่า, ตำแหน่ง ‘ขอบเขต’ เป็นละติจูดและลองติจูด(Geo-tagging) ของรูปที่ถ่าย รวมทั้งภาพที่ถ่ายก็จะไปปรากฏบนกูเกิ้ลเอิร์ธอย่างแม่นยำ ทำให้รัฐบาลทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นต้องลงมาดูและช่วยจับตามอง เพราะมีผู้ใช้กูเกิ้ลเอิร์ธทั่วโลกช่วยจับตามองอยู่นั่นเอง และนั่นก็ทำให้การลักลอบตัดไม้ทำลายป่าลดลงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เวลาที่ชนเผ่าสุรุยทำการปลูกป่าเพื่อฟื้นพื้นที่ป่าอเมซอนขึ้นมา เขาก็สามารถที่จะถ่ายรูปต้นไม้ที่เขาปลูกไว้ ซึ่งก็จะไปปรากฏบนกูเกิ้ลเอิร์ธอย่างแม่นยำ ตรวจสอบได้ และนั่นทำให้ชนเผ่าสุรุยสามารถที่จะเข้าไปในตลาดแลกเปลี่ยนโควต้า การปล่อยคาร์บอน (Carbon-trading Market) และสามารถนำเงินออกมาใช้ในการปลูกป่าต่อไปได้นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 53 14:59:43 จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 14:55:59

ความคิดเห็นที่ 6 ตลาดการแลกเปลี่ยนซื้อ-ขายโควต้าการปล่อยคาร์บอนนั้นเป็นตลาดกลางที่ตั้งชึ้นมาเพื่อให้บริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเกินกว่าโค้วต้าที่กำหนด สามารถชดเชยก๊าซส่วนเกินที่ปล่อยออกมา โดยการเข้าไปซื้อ “สัญญา” ของโครงการที่จะไปลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในอัตราเดียวกัน การปลูกต้นไม้ของชนเผ่าสุรุยก็จัดว่าเข้าข่ายข้อกำหนดเหล่านี้และนั่นทำให้ชนเผ่าสุรุยซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของป่าอเมซอนสามารถเข้าไปขาย ‘สัญญา’ ปลูกป่าในตลาดซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนโควต้าคาร์บอนนี้ได้นั่นเอง และผู้ซื้อสัญญายังสามารถตรวจสอบต้นไม้ที่ชนเผ่าสุรุยปลูกได้ ราวกับว่าบินไปที่อเมซอนด้วยตนเองในกูเกิ้ลเอิร์ธนั่นเอง นี่ก็เป็นตัวอย่างนึงในการนำเอาเทคโนโลยีมือถือมาใช้ ซึ่งมันก็มีวิธีการนำเอามาประยุกต์ใช้ได้อีกหลายวิธีตามแต่ที่จะนึกออก และก็แถมด้วยคลิปที่เป็นคลิปอธิบายเกี่ยวกับโปรเจคนี้และได้เห็นตัวอย่างการใช้งานด้วย ส่วนนี้เป็นไฟล์ kmz ซึ่งเอาไปเปิดในกูเกิลเอิร์ธ เป็น placemark ที่ทำให้รู้จักชนเผ่าสุรุยมากขึ้น http://earth.google.com/gallery/kmz/surui_tour.kmz ส่วนลิงค์นี้เป็นการอธิบายถึงขั้นนตอนที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลภาพที่ชนเผ่าสุรุยส่งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบสภาพป่า http://www.rhizalabs.com/solutions/act/ ขอบคุณภาพจาก http://bbs.keyhole.com/ubb/ubbthreads.php?ubb=showflat&Number=883303 และ http://www.oknation.net/blog/chaiyospun/2010/03/03/entry-2 จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 14:58:41

ความคิดเห็นที่ 7 ขออธิบาย(แปลหยาบๆ )ที่เขียนไว้ในเวป http://www.rhizalabs.com/solutions/act/ คร่าวๆ ละกัน Surui Carbon Project เป็นโครงการที่จะคำนวณปริมาณคาร์บอนที่เก็บได้ในป่าของขาวสุรุย ขั้นตอนในการทำงานก็คือ นักวิทยาศาสตร์และชาวสุรุยใช้อุปกรณ์มือถือในการถ่ายรูปต้นไม้, พื้นที่ที่ถูกถากถาง, ความหนาแน่นของต้นไม้ ฯลฯ อุปกรณ์ก็จะช่วยแนะนำผู้ใช้ในการคีย์ข้อมูลอื่นๆ แล้วก็ส่งข้อมูลไปยัง Amazon Conservation Team(ACT) ของ Rhiza Insight นักวิทยาศาสตร์ก็จะดูข้อมูลภาพและประเมินปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บไว้ได้ ชาวสุรุยยังใช้ข้อมูลเดียวกันนี้เล่าเรื่องราวของชนเผ่าตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้นและแชร์ข้อมูลให้ผู้อื่นผ่านทาง Google Earth tours(http://www.rhizalabs.com/products/insight/tours/)  ซึ่งจะสามารถบอกเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับการตัดไม้อย่างผิดกฎหมายได้ จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:14:40

ความคิดเห็นที่ 8 น่าสนใจ โหวตแล้วค่ะ จากคุณ : immeeLy เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:20:35

ความคิดเห็นที่ 9 นึกถึงตอนเด็ก เคยได้ดูหนังเรื่องครูบนดอย ที่ไม่ใช่เพียงแค่สอน แต่ยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาชนบท นำเทคโนโลยีง่ายๆ โดยใช้ไม้ใผ่ผ่าครึ่ง เอาาต่อๆกัน นำน้ำจากภูเขาลงมาให้หมู่บ้านใช้ แทนการเดินเท้าขึ้นไปหาบลงมา  ส่วนตอนจบของเรื่องนั้นก็สวยงามครับ คือครูคนนั้นโดนจับ เพราะไม่มีใบประกอบอาชีพครู ที่ต้องเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกัน ก็เพราะว่า ถ้าคนของรัฐมีความคิดซักหน่อย ออกใบให้ซะหมดเรื่อง และจุดที่ผมไม่เข้าใจเลย ก็คือกะอีแค่ใบประกอบอาชีพครูนี่มันออกยากนักหรืองัย ผลงานที่ทำมา ที่สอนเด็กมามันไม่มีผลเลยหรือ ตกลงบ้านเราจะเอาอะไรเป็นหลัก ผลงาน หรือ กระดาษ ไม่เข้ใจ กรณีนี้ก็เช่นกัน ถ้าชาวบ้านทำคุณคิดว่า มันจะไปได้ไกลแค่ใหนเชียว ปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากสมัยหนังเรื่องนั้นหรอก เพราะสโลแกนว่า  ฆ่าคนเพราะผลของงาน นั้นยังมีอยู่จริง ก็ลองซิครับ ป่าสงวนทั้งหลาย ลองไปชี้จุดซิ ท่านอาจจะหายปวดหัวด้วยพารา(เบลั่ม) หรือเบาะๆ ก็จะเป็น จังเกิ้ลไซรัป หรือคอมแบ๊ตมัยซิน เพราะดันไปโดนรีสอด สนามก๊อฟ อะไรพวกนี้ เห้ออออ อยู่ประเทศไทยท่องๆไว้ว่า "เป็นผู้น้อยต้องคอยก้มประนมกร ลำบากก่อนจึงสบายเมื่อ(ตาย5)ปลายมือ" แก้ไขเมื่อ 21 ต.ค. 53 15:28:56 จากคุณ : หน้าไม้ใจเย็นยิ่ง เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:26:56

ความคิดเห็นที่ 10 ตอนที่เขียนเรื่องนี้ไปก็คิดไปว่า การที่เค้าส่งข้อมูลแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐ ก็แสดงว่าเจ้าหน้าที่รัฐก็น่าจะพอพึ่งพาได้บ้าง จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:36:52

ความคิดเห็นที่ 11 ชืี่นชมครับ จากคุณ : Timshel เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:42:46

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าชนเผ่าสุรุยสามารถหารายได้โดยการ trade carbon credit ด้วยวิธีนี้ แล้วโมเดลนี้จะสามารถเอามาใช้ในบ้านเราได้หรือเปล่าเนี่ย ในชนบทที่ยังอุดมไปด้วยต้นไม้ก็สามารถหารายได้เข้าหมู่บ้านเำพิ่มด้วยการขาย carbon credit จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 16:10:06

ความคิดเห็นที่ 13 12# มีครับ เห็นมีหลายๆโปรเจคแล้วครับ ว่ากันจริงๆ พวกนักการเมืองหรือชนชั้นปกครองน่ะ ไม่ว่าสีใหนกลุ่มใหน เค้าไม่ได้ต้องการที่จะไม่ให้เราไม่ได้ใช้3Gหรอกครับ แต่ต้องการไม่ให้เราได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอื่นๆที่ไม่ใช่มาจากเค้าไงครับ ถ้าเรารู้ทันเค้า เค้าก็จะจูงจมูกเราได้ยากขึ้น จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 16:47:05

ความคิดเห็นที่ 14 ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจดีครับ เทคโนโลยีนั้นก็เหมือนอุปกรณ์ แม้มนุษย์จะเป็นผู้ที่จะทำให้มันเกิดประโยชน์หรือโทษ แต่อย่างไรเสียมีก็ดีกว่าไม่มี เพราะเมื่อถึงเวลาจำเป็นก็สามารถใช้ได้อย่างเรื่องนี้ จากคุณ : หมาข้างถนนคนบ้าการ์ตูน เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 16:50:44

ความคิดเห็นที่ 15 ปกป้องผืนป่าก็ส่วนหนึ่ง หาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็อีกส่วนหนึ่ง จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 19:01:30

ความคิดเห็นที่ 16 เอามาใช้กับป่าบ้านเราไม่ได้หรอกครับ ที่ก็ของนายทุน เจ้าหน้าที่(บางส่วน)ก็ของนายทุน คนรักป่ามากมาย ตายตั้งแต่หนุ่ม (เพื่อนผมไปแล้ว 2 ก่อนอายุ 30) พูดแล้วของขึ้น แต่ไม่เกี่ยวกับประเด็นกระทู้ บ่นแค่นี้แล้วกัน เรื่อง 3G นี่ คนอยากใช้ นายทุนอยากให้ใช้ รัฐก็อยากให้ใช้ แค่รอแบ่งผลประโยชน์ที่จะสูบจากชาวบ้าน ลงตัวเมื่อไร ก็ได้ใช้เมื่อนั้น จากคุณ : 0vvaynar0 เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 19:59:16

ความคิดเห็นที่ 17 ให้กิ๊ฟไม่ได้ ขอโหวตเถอะครับ... จากคุณ : เด็กวัดสะพานใหม่ เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 20:43:56

ความคิดเห็นที่ 18 สุดยอด เป็นทั้งคนป่าเกษตรกร และผู้ใช้แรงงาน แต่มีวิชั่นดีกว่า รมต ICT และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บ้านเราอีก จากคุณ : devil amature2 เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 21:32:12

ความคิดเห็นที่ 19 โหวตครับ...... นี่เป็นตัวอย่างของการมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และทำให้เกิดประโยชน์ จากคุณ : Paultinus เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 22:32:46

ความคิดเห็นที่ 20 การซื้อขายคาร์บอนเครดิตของไทยในปัจจุบันของไทยยังต้องทำผ่านหน่วยงานของรัฐอยู่ครับ ผมเคยทำรายงานวิชา CSR ของ MBA TU มีส่วนหนึ่งเขียนโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแกลบขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อขายไฟฟ้าให้กับกฟผ. หรือ กฟภ.และได้ carbon credit คิดว่าน่าจะทำได้ carbon credit จะขายไปยังประเทศในสหภาพยุโรปส่วนใหญ่ที่ปล่อยคาร์บอนเกินโควต้า Kyoto Protocol เพื่อให้ไม่โดนปรับเงินจากข้อตกลงนั้น แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 53 13:00:05 จากคุณ : Hephaestuz เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 00:27:58

ความคิดเห็นที่ 21 อยากจะให้กิ๊ฟเจ้าของกระทุ้มากๆเลยค่ะ เข้ากับสถานการณ์บ้านเราตอนนี้เลยค่ะ เราก็ได้แต่หวังว่ารัฐบาลจะรับฟังความคิดเห็นของประชาชน     เพราะถ้ามี 3G   ลูกหลานของเราที่บ้านนอกมันคงจะได้ติดตามข่าวสาร และหาหนังสือและบทความออนไลน์อ่านได้ง่ายขึ้น  ชาวบ้านชนบทจะได้รู้ทันข่าวสารและความรู้ใหม่ๆได้ง่ายขึ้น  และยกตัวอย่างเราที่ทำงานทางออนไลน์  กลับบ้านที่ชนบทแต่ละทีทำใจเลยที่จะได้เช็คงาน เพราะต่อเน็ตจากมือถือซึ่งโหลตช้ามากๆ    กระทู้ดีๆแบบนี้ โหวตให้แล้วนะคะ     จากคุณ : jigabelle เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 03:42:24

ความคิดเห็นที่ 22 เห็นชื่อกระทู้ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจมีอะไรน่าสนใจ ตื่นมาตอนเช้าเห็นโดนโหวตอีก ไรว้า เปิดเข้ามาดู เฮ้ย เจ๋งหวะ ขอขอบคุณที่น้ำเนื้อหาดีๆมาแบ่งปันครับผม เพราะฉะนั้น อนึ่ง เทคโนโลยี เหมือนถนนสายใหม่ ใครเดินบนถนนสายนี้เป็นก็สะดวกกว่า ใครใช้ถนนสายนี้เป็นก็นำมาซึ่งผลประโยชน์ แต่ตุณจะมองว่า "ชาวบ้าน" ตาดำๆเดินบนทางเกวียน ก็พอแล้ว คิดได้แค่นั้น มันก็นะ - -" จากคุณ : หอยทากตัวน้อย เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 08:12:41

ความคิดเห็นที่ 23 ชอบมากเลย อยากให้กิฟแต่ให้ไม่ได้ โหวตแทนนะคะ ^^ จากคุณ : udotingtong เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 08:23:52

ความคิดเห็นที่ 24 ไม่เข้าใจครับ carbon credit  มันคืออะไร ?? มันเกี่ยวข้องกับข่าว ที่จับชาวบ้านรุกล้ำป่าชายเลน แล้วโดนปรับเงินล้านกว่าบาท ค่าทำให้โลกร้อนหรือเปล่า ? จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 10:22:35

ความคิดเห็นที่ 25 อยากให้กิ้ฟ........ จากคุณ : A.TheRipper94 เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 10:36:08

ความคิดเห็นที่ 26 ......... พม่าก็สั่งปิดมหาลัยเป็นว่าเล่นเลย (บ่อย .... บางทีทั้งประเทศ 3 ปี) ขนาดมหาลัยที่เก่าแก่/มีนักเรียนมากสุด ก็โดนปิดล่มสลายไปแล้ว (Rangoon U) ไม่รู้จะเกี่ยวกันรึเปล่ากับวิสัยทัศน์เจ้ากระทรวงฯ จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 11:03:29

ความคิดเห็นที่ 27 ชอบโครงการ Carbon-trading Market จัง จากคุณ : earthchie เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 11:32:39

ความคิดเห็นที่ 28 ชอบนะครับ แต่เมืองไทยทำไม่ได้ อะไรที่ขัดต่อผลประโยชน์ของเค้า เค้าไม่ให้ทำหรอกครับ จากคุณ : คุณชายจับกัง เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 13:15:02

ความคิดเห็นที่ 29 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 14:49:59

ความคิดเห็นที่ 30 วิสัียทัศน์บ่งบอกคุณภาพคน ICT จริงๆครับ จากคุณ : บุรี เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 15:07:16

ความคิดเห็นที่ 31 สุดยอดมากเลยค่ะ จากคุณ : nowan เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 16:13:06

ความคิดเห็นที่ 32 จำได้ว่าเคยดู สุดยอดจริง ๆ จากคุณ : Thedew เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 17:21:20

ความคิดเห็นที่ 33 อยากให้หัวหน้าเผ่านี้ มาเป็นรัฐมนตรี ICT ของไทย ^^ อย่างน้อยเค้าก็สามารถมองเห็นอนาคตจาก ร้านอินเตอรเนตคาเฟ่ ได้ แต่ของไทยเอาอนาคตมาให้มอง ก็ยังมองไม่เห็นเพราะเงินบังตา แต่จะมีนักการเมืองไทยซักกี่คนนะที่ให้ กูเกิ้ลเอิธ เป็น!! แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 53 19:35:02 จากคุณ : ถุนคุง เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 19:34:09

ความคิดเห็นที่ 34 ถ้าผมมีสวนยาง หรือสวนป่าเป็นที่ดินของตัวเอง ไม่รุกป่าสงวนมีฉโนด ปลูกเอาทั้งนั้น ผมสามารถใช้วิธีเดียวกันหาเงินจากคาร์บอนเครดิตได้ไหมครับ จากคุณ : อิอิ เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 22:04:42 A:125.24.93.188 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 35 มี official website ของโปรเจ็คฮีโร่ไหมครับ อยากลองศึกษาดูฮีโร่ประเภทอื่นๆมั่ง จากคุณ : อิอิ เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 22:05:55 A:125.24.93.188 X: TicketID:228785

ความคิดเห็นที่ 36 ให้กิ๊ฟไม่ได้ ก็โหวตให้ซะ จัดไป 1 โหวต จากคุณ : หัวล้านใจน้อย เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 23:44:50

ความคิดเห็นที่ 37 cool ยกนึ้วให้ความรู้ดีมากๆ จากคุณ : pukkhom เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 02:32:47

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณสำหรับทุกแรงโหวตที่ทำให้เป็นกระทู้แนะนำได้นะครับ n_n คคห. 24 carbon credit ก็คือสิ่งทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกเช่นการปลูกต้นไม้หรือใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทน จำนวนก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้เรียกว่า carbon credit ซึ่งสามารถเอาไปขายต่อได้ คคห. 35 นี่เป็นเวปของโปรเจคฮีโร่ครับ http://www.google.com/earth/changetheworld และอันนี้ของ Google Earth Outreach http://earth.google.com/outreach นอกจากโครงการนี้ก็ยังมีโครงการอื่นเช่น เก็บขยะพลาสติกในมหาสมุทร คำพูดในคลิปของโครงการนี้ที่ประทับใจก็คือ "ถ้ามหาสมุทรสุขภาพดี พวกเราก็สุขภาพดี" เพราะว่าถ้ามีขยะในทะเล ปลาก็มากินขยะ แล้วเราก็มากินปลาอีกที แต่โปรเจคฮีโร่ส่วนมากจะเน้นการใช้งานกับ google earth นะครับ แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 53 02:47:35 แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 53 02:42:21 จากคุณ : บุคคลทั่วไป 1 คน เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 02:34:00

ความคิดเห็นที่ 39 ^__^ จากคุณ : เซ็งอูฐ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 09:43:55

ความคิดเห็นที่ 40 สำหรับเรื่อง carbon credit พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) นั้น ได้กำหนดให้ประเทศภาคีสมาชิกต้องร่วมมือกันในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พิธีสารเกียวโตได้กำหนดกลไกยืดหยุ่น (Flexibility Mechanisms) ขึ้น 3 กลไก ดังนี้ 1. กลไกการทำโครงการร่วม (Joint Implementation, JI) ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 6 ซึ่งกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้ว สามารถดำเนินโครงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกันเองระหว่างประเทศในกลุ่ม ภาคผนวกที่ 1 ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ เรียกว่า ERUs (Emission Reduction Units) 2. กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism, CDM) ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 12 ซึ่งกำหนดให้ประเทศในภาคผนวกที่ 1 สามารถดำเนินโครงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกับประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศในกลุ่ม Non-Annex I ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ จะต้องผ่านการรับรอง จึงเรียกว่า CERs (Certified Emission Reduction) 3. กลไกการซื้อขายสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading, ET) ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 17 ซึ่งกำหนดให้ประเทศในภาคผนวกที่ 1 ที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศตามที่กำหนดไว้ได้ สามารถซื้อสิทธิ์การปล่อยจากประเทศในภาคผนวกที่ 1 ด้วยกันเอง ที่มีสิทธิ์การปล่อยเหลือ (อาจเป็นเครดิตที่เหลือจากการทำโครงการ JI และ CDM หรือ สิทธิ์การปล่อยที่เหลือเนื่องจากระบบเศรษฐกิจทำให้ปริมาณการปล่อยในปัจจุบันน้อยกว่าปริมาณการปล่อยเมื่อปี ค.ศ. 1990 จึงมีสิทธิ์การปล่อยเหลือพร้อมที่จะขายได้) เรียกสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะซื้อขายกันนี้ว่า AAUs (Assigned Amount Units) ปล. ประเทศกลุ่มภาคผนวกที่ 1 หรือ Annex-I คือประเทศที่พัฒนาแล้ว ปล่อยคาร์บอนเยอะ ต้องทำเป็นแบบอย่างก่อน อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.jgsee.kmutt.ac.th/greenhouse/unfccc/kp_2.php http://www.vcharkarn.com/varticle/38182 แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 53 13:12:37 จากคุณ : Hephaestuz เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 13:10:10

ความคิดเห็นที่ 41 แหม่ เพิ่งส่งรายงานกฎหมายสิ่งแวดล้อมไปเองนะนั่น พิธีสารเกียวโตกำลังจะสิ้นสุดเงื่อนไขการบังคับในปี 2012 นี่แหละค่ะ ช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ยุค Post Kyoto ซึ่งจะบอกว่ามันไม่คืบหน้าไปถึงไหนเลยออกมาแค่ Copenhagen Accord ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย ส่วน Flexible Mechanisms ตามคห.40 ขอเพิ่มเติมว่า JI  ใช้กับประเทศใน Annex I วันด้วยกันซึ่งส่วนมากเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว (กับประเทศในกลุ่มยุโรป) มีลักษณะเป็น project based เป็นการทำโครงการ เช่น สองประเทศจับมือกันทำโครงการสร้างโรงไฟฟ้าแบบ green technology ซึ่งเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่วน CDM ก็เป็น project based เหมือนกันค่ะ แต่เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศใน Annex I และ Annex II ก็คือประเทศพัฒนาแล้ว และ ประเทศที่กำลังพัฒนา กรณีนี้อาจะเป็นการร่วมลงทุน หรือ การช่วยถ่ายทอดเทคนโลยีก็ได้ สำหรับ ET นั้น ว่าง่าย ๆ เป็นการซื้อขาย credit การปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั่นเองค่ะ ใช้เฉพาะกับประเทศที่อยู่ใน Annex I ด้วยกัน เพราะ ประเทศเหล่านี้มีเงื่อนไขว่าจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นปริมาณตามที่กำหนด(เทียบกับปี 90) โดยระบบ ET ที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้คือ EU ETS ของสหภาพยุโรปเค้าล่ะค่ะ กลไลการทำงานก็คือทางองค์กรของรัฐจะกำหนด cap หรือ ปริมาณของก๊าซเรือนกระจำที่สามารถปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้ แล้วก็กำหนดออกมาในรูปของ credit ซึ่งส่วนนี้โรงงานต่าง ๆ จะต้องเข้ามาซื้อ(แต่ที่ EU ตอนนี้ยังแจกฟรีอยู่) โรงงานต่าง ๆ จะสามารถปล่อยก๊าซได้ตาม credit ที่ได้มาเท่านั้น ถ้าต้องการ credit เพิ่ม คุณต้องไปซื้อจากโรงงานอื่นที่ปล่อยก๊าซต่ำกว่า credit ที่ได้มา(ระบบนี้จึงเรียกได้อีกอย่างว่า cap and trade) แต่อย่างไรก็ตาม credit ของ Flexible Mechanisms แต่ละตัวสามารถทำมาหักกลบกันได้ค่ะ ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับระบบนี้ของพิธีสารโตเกียวก็มีอยู่ โดบเฉพาะเรื่องของประเทศกำลังพัฒนา และ ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศที่พัฒนาแล้วรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ คือ จะบอกว่าประเทศเขาปล่อยก๊าซเยอะกว่า มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว ประเทศที่ชื่อว่ากำลังพัฒนาอย่าง จีน บราซิล ก็ปล่อยก๊าซมาได้ปริมาณพอ ๆ กัน แต่ไม่มี commitment ตามพิธีสารที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ จะบอกว่าเรื่องเทคโนโลยีไม่เท่าเทียมก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะ ศักยภาพของประเทศกำลังพัฒนาหลาย ๆ ประเทศก็สามารถมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยในการลดก๊าซเรือนกระจกได้ ยิ่งมี CDM เข้ามาช่วยยิ่งแล้วใหญ่ ประเทศในยุโรปเข้ามาลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีกันเยอะแยะ ดังนั้นเค้าก็เลยเห็นกันว่าประเทศกำลังพัฒนาควรจะเข้าผูกพันในเงื่อนไขมากกว่าที่เป็นอยู่ (นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ การประชุม Copenhagen ประสบความล้มเหลวค่ะ ) แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 01:20:14 จากคุณ : วรินทร์รตา เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 19:56:10

ความคิดเห็นที่ 42 ผมเองก็มีความคิดว่ารัฐน่าจะรับผู้ตกงานทั่วประเทศมาปลูกป่า  โดยให้เงินค่าปลูกต้นละ 2 บาท  ซึ่งผู้ปลูกต้องมาเบิกต้นไม้  และเจ้าหน้าที่ใช้ GPS ตรวจสอบการปลูก วันนึงคนปลูกได้ 100 ต้น เอาเงินไป 200 บาท  โครงการนี้น่าจะใช้เงินน้อยกว่ารถเมล์ 4000 คันซะอีก  ยิ่งมีเรื่องของคาร์บอนเครดิตด้วยแล้ว  ยิ่งทำให้รัฐไม่ต้องใช้เงินมากนัก อีกโครงการที่น่าทำคือ ผมจำได้ว่าในต่างจังหวัดมักมีการขโมยขุดหน้าดิน ที่ดินไหนไม่ได้ไปดูเลยมันเป็นบ่อเพราะโดนขโมยขุด   แสดงว่าดินมีราคามากกว่าแรงงานและน้ำมันที่ขุด   ดังนั้นเราจะให้เอกชนมาขุดคลองครับ  โดยรัฐสำรวจที่  ชาวบ้านน่าจะชอบให้คลองผ่านที่ตัวเอง  เพราะจะได้มีน้ำไว้ใช้ในการเกษตร  ขุดแล้วเอาดินไปเลย  หน้ากว้างซัก 6 เมตร  ลึก 2 เมตร  เป็นโครงการคลองหมู่บ้าน   ยิ่งถ้าหมู่บ้านไหนอยากได้ถนนดินก็เอาดินที่ขุดขึ้นมาได้ทำถนนซะเลย ถ้ามีป่า  มีคลอง  รับรองน้ำไม่ท่วมแบบนี้หรอกครับ รอวันประเทศไทยจะพัฒนากะเค้าซะที แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 07:59:59 จากคุณ : PTKNC เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 07:59:07

ความคิดเห็นที่ 43 ที่สำคัญของการปลูกคือการดูแลให้ต้นไม้เจริญเติบโต มากกว่าครับ(ปลูกทิ้งไว้โอกาสรอดเป็นไม้ใหญ่มันต่ำ) ซึ่งตรงนี้ถ้ามีการถ่ายรูปเป็นระยะเป็นหลักฐานจะช่วยได้มาก เทคโนโลยีมีส่วนตรงนี้ ถ่ายเฉพาะตอนปลูกจะไปขอใบ Cer เพื่อซื้อขาย carbon credit นี่คงไม่ได้ ที่แน่ๆ ถ้ามี 3G เราคงได้เห็นข่าวจากมือถือมากขึ้น มีมุมมองให้เห็นความจริงมากขึ้น จากคุณ : Hephaestuz เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 12:38:53