ความคิดเห็นที่ 1 ทำโจทย์ถูกแต่ไม่มีเหตุผล   แสดงว่า มั่ว หนิหว่าาา ฮ๋าๆๆ จากคุณ : radiergummi เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:39:41

ความคิดเห็นที่ 2 เค้าบอกว่า ทำโจทย์ถูกเพราะรู้วิธีหาคำตอบ.. อาจจะหมายถึง อธิบายเป็นคำพูดไม่ออกล่ะมั้ง จากคุณ : pisity เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:42:50

ความคิดเห็นที่ 3 1. รู้วิธีหาคำตอบ ไม่ได้มั่ว     แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย   มันจะเป็นไปได้ไง อย่างน้อยต้องเข้าใจนิดๆ ไม่งั้นไม่เรียกว่ารู้หรอก   ต้องมาตีความอีกว่า รู้แค่ไหนถึงเรียกว่าเข้าใจ 2. เข้าใจผิด ถึงมีเหตุผล ก็เป็นเหตุผลที่ผิด ไม่มีอะไรดีเลย   หรือเหตุผลถูก เพียงแต่คิดเลขผิด เพราะพลั้งเผลอ อย่างนี้พอจะปรับปรุงได้ไม่ยาก จากคุณ : ผลึกความคิด เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:45:49

ความคิดเห็นที่ 4 ผมเคยเป็นนะ ทำโจทย์ถูกแต่ไม่เข้าใจวิธีีแก้โจทย์ (คณิต) เลยใช้วิธีไถสูตรไปเรื่อย จนเจอสูตรที่ใช่กับข้อนี้แล้วเอาไปเปรียบเทียบวิธีกับข้ออื่นที่ใกล้เคียงกัน ว่าใช่จริงหรือไม่ จากคุณ : บ้านของฉันคือประเทศไทย เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:47:42

ความคิดเห็นที่ 5 อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับวิชาที่สอบด้วยล่ะครับ   ถ้าเป็นวิชา กฎหมาย ตัวเลือกที่ 2 จะได้คะแนนดีกว่า  ตัวเลือกที่ 1 บ่อยครั้งที่ทำธงคำตอบถูก  แต่เหตุผลผิด   ผลคือ   ตก บ่อยครั้ง ที่ไม่เห็นด้วยกับธง  เลยตอบไปตามเหตุผลที่เห็นว่าถูกต้อง    ผลคือ  ผ่าน (เผลอๆ อาจได้คะแนนเฉียดเต็มไปเลยก็ได้....) แต่ถ้าเป็นวิชาคณิตศาสตร์  อย่างแรกน่าจะได้คะแนนดีกว่าอย่างหลัง..... จากคุณ : สหายกุนเชียง เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:51:59

ความคิดเห็นที่ 6 แต่ส่วนใหญ่ตอนสอบ อาจารย์จะดูวิธีทำนะ ถ้าวิธีทำถูกแต่คิดเลขผิดก็จะได้คะแนนค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเขียนแต่ำตอบมาแสดงว่าอาจลอกมาได้ แต่ก็ up to อาจารย์ ส่วนใหญ่ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ จะทำโจทย์พลิกแพลงไม่ได้อก็จะไปตายในห้องสอบ จากคุณ : cereal bar เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:56:01

ความคิดเห็นที่ 7 อาจารย์สอนให้ เอาสูตร มาแทนค่าทีละสูตร ใช้เครื่องคิดเลขกด หาค่าตัวแปรที ละเสต็ป แทนสูตร ไปเรื่อยๆจนได้คำตอบ ออกข้อสอบ 10 ข้อ แบบให้แสดงวิธีทำอย่างละเอียด เลือกทำแค่ 3 ข้อ เวลา 1 ชม. วันสอบ เครื่องคิดเลขดันหาย อย่ากระนั้นเลย เอาสูตรทั้งหมด มาเขียนเป็นสมการเสต็ปเดียว แก้สมการ เสร็จใน 3 บรรทัด กลายเป็นสูตรเฉพาะข้อนั้นๆเลย แทนค่า ด้วยการคำนวนมือ ในกระดาษทด ทำเสร็จทั้ง 10 ข้อ ใน 15 นาที (3 ข้อ 5 นาทีแรกยังออกจากห้องไม่ได้) ผลที่ได้ อาจารย์เรียกไปคุย ถามว่าทำอะไรมาเนี่ย คำตอบถูกหมด แต่ วิธีทำอ่านไม่รู้เรื่องเลย สรุป อ. ให้มา 60% ของคะแนนเต็ม ประสบการณ์บ้าๆบวมๆของคน ตจว. จากคุณ : Humandroy เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 15:57:58

ความคิดเห็นที่ 8 คิดว่าต้องดูที่โจทย์ด้วยครับ ยิ่งพวกโจทย์คณิตศาสตร์มีสูตรหลายแบบ ถ้ามันมีสูตร A , B แล้วโจทย์บอกให้หาคำตอบโดยใช้สูตร A แล้วดันใช้สูตร B หามา แม้คำตอบจะเหมือนกันแต่ก็ถือว่าผิดครับ เพราะไม่ได้ทำตามจุดประสงค์ของโจทย์ จากคุณ : zeros เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 16:05:33

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นผมคงดูคำตอบที่ถูกก่อน ถ้าผิดก้เลิกดู ถ้าถูกก็ดูวิธีทำถ้าทำถูกก็ให้คะแนน ถ้าผิดก็ 0 ไป จากคุณ : ravasear เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 16:12:00

ความคิดเห็นที่ 10 1. คือคนโง่ขี้เกียจ 2. คือคนโง่ขยัน ลองไปหาดูว่าในสามก๊กเค้าจัดการยังไงกับคนประเภทนี้ แล้วคนไหนควรเก็บไว้ จากคุณ : นนร่างเทพ เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 16:22:46

ความคิดเห็นที่ 11 #10 1.เอาไปเฉือนทิ้ง เพราะพวกนี้สอนไม่ได้ อะไรตูไม่รับ 2.เก็บไว้ เพราะยังสอนให้ฉลาดได้ แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันนะ --" ผมมองว่า... 1.คือรู้วิธีคิด แต่จำสูตรไม่ได้(เป็นบ่อยเลย) 2.คิดเลยโจทย์ โจทย์มาแค่นี้ พวกไปอย่างลึกซึ้ง(เป็นบ่อยอีก) จากคุณ : haman_zaa เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 16:32:25

ความคิดเห็นที่ 12 #11 ผิดครับ 1. เอาไปเป็นแรงงาน 2. เอาไปฆ่าทิ้ง เพราะกลัวจะขยันทำแต่เรื่องโง่ๆ ถ้าเทียบว่าเป็นข้อสอบมันจะมีดีกว่า แต่ถ้าเป็นงานจริง ก็ผลลัพท์เหมือนกันคือผิดทั้งคู่ ไม่มีอันไหนดีเลย จากคุณ : นนร่างเทพ เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 16:46:54

ความคิดเห็นที่ 13 จะบอกว่ามันไม่ดีทั้งคู่ก็ไม่ได้นะครับ........เพราะ ถ้าเปรียบเทียบเป็นงานวิจัยล่ะครับ ข้อ 1 เก็บข้อมูลทางสถิติแล้วได้คำตอบ แต่ไม่รู้ว่ามันสัมพันธ์ยังไง ไม่มีทฤษฎีมารองรับ ผมว่าอันนี้มีประโยชน์ในการสร้างทฤษฏีใหม่ อาจค้นพบสิ่งใหม่ๆ ข้อ 2 นำ ทฤษฎีอื่นๆ มาวิเคราะห์แล้วโยงเหตุผล แต่คำตอบ ไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น อันนี้ก็เหมือนกัน ทฤษฏีที่ใช้ในปัจจุบันอาจจะไม่ครอบคลุม อาจต้องหาเหตุผลที่เรามองข้ามไป มนุษย์ พยายามหาคำตอบด้วยวิธีการต่างๆ ที่แตกต่างกัน นั่นทำให้เราพัฒนาได้โดยไม่ผิดพลาดๆ ไป จากคุณ : Hephaestuz เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 16:56:07

ความคิดเห็นที่ 14 #10 กับ #11 ครับ แบบนี้ต้องจำแนกเป็น 1. โง่แต่ขยันครับ (ไม่รู้เรื่องแต่มั่วทำ) 2. ฉลาดแต่ขี้เกียจ(ไม่ละเอียดรอบคอบ) คุณตัดสินให้เป็น โง่ขี้เกียจ กับ โง่ขยันไม่ได้ครับ จากคุณ : WindMaster เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 17:24:35

ความคิดเห็นที่ 15 ถูกแบบไม่มีเหตุผล = มั่ว ให้คะแนนถ้าสอบแบบให้คะแนน แต่ถ้าเรื่องอื่นๆ ให้ตก ผิดแบบมีเหตุผล = มั่วอีก เพราะเหตุผลมันผิด = เกรียน ให้ตกทั้งขึ้นทั้งล่อง จากคุณ : มีดแรกไม่พลาดเป้า เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 17:55:03

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบว่า รัก จะได้คะแนนมั้ยอะ จากคุณ : aLITTLEspaceAround7day เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 19:25:17

ความคิดเห็นที่ 17 1 + 1 = 2 1(ฉัน) + 1(เธอ) = 1(เรา) จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 19:47:05

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนหนูไปสอบจิตเวช ณ ศูนย์เวชศาสตร์การบิน กองทัพอากาศ เขาก็จะถามคำถามทำนองนี้ เพื่อทดสอบสภาพจิตใจว่า เป็นคนหมกมุ่นรึป่าว เป็นคนดังทุรังรึป่าว เป็นคนชอบฝืนกฏรึป่าว ฯลฯ นักบิน ต้องการคนปกติธรรมดาๆ ถ้าเก่งเกินไปก็ไม่รับ เพราะคนเก่งมักจะดื้อ หรือเชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป อีกทั้งคนเก่งๆเอาไปทำประโยชน์ด้านอื่นๆจะดีกว่า ถ้าด้อยเกินไปก็ไม่ได้เรียน เพราะจะพาตัวเองไปตายเสียเปล่าๆ ที่ยกมานี่ คือจะบอกแค่ว่า ของบางอย่างก็ต้องปล่อยข้ามๆไปบ้าง ถ้ามัวแต่หมกมุ่นอยู่เรื่องเดียว เรื่องอื่นๆจะเสียค่ะ หรือบางทีถ้าเรามัวแต่มานั่งคิดหาเหตุผลซะทุกอย่าง ก็เสียเวลาอันมีค่าที่ควรจะทำอย่างอื่นไป เช่น เราบินผ่านจุดนี้ไปแล้ว เครื่องมือวัดก็ถูกต้องทุกอย่าง แต่บางทีเรามัวแต่นั่งคิด เอ๊..มันใช่เหรอ จุดนั้นมันใช่จริงๆเหรอ มันก็ดูคล้ายๆกับจุดนั้นนะ เอ..ยังไงกันแน่ ฯลฯ การคิดย้อนกลับไปกลับมาแบบนี้ ทำให้สมาธิกับการควบคุมเครื่องบินตรงหน้าเสียไป เราต้องชั่งน้ำหนักว่า อันไหนสำคัญกว่า อันไหนลืมๆไปซะก็ได้บ้าง อย่าไปมัวคิดหาเหตุผลซะทุกอย่าง จากคุณ : แ ต ง ก ว า * เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 19:56:33

ความคิดเห็นที่ 19 1. เหมือนนักวิทยาศาสตร์พบปรากฏการณ์ธรรมชาติ แล้วเขียนสมการออกมาบรรยาย สามารถคำนวณทำนายผลของการทดลองในเรื่องนั้นได้อย่างแม่นยำ แต่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมธรรมชาติถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมวัตถุที่มีมวลถึงดูดกัน  ทำไมอนุภาคเล็กๆ ถึงมีพฤติกรรมแปลกๆ ต่างจาก วัตถุที่เราเห็นทั่วไป 2. เหมือน อริสโตเติลบอกว่า วัตถุที่หนักมากตกเร็วกว่าวัตถุที่หนักน้อย ซึ่งก็ฟังดูมีเหตุผลดี แต่ได้คำตอบที่ผิด GT200 มีเหตุผลอธิบายการทำงานได้ด้วยไฟฟ้า แม่เหล็ก อะไรก็ว่าไปยืดยาว ทำเหมือนจะเข้าใจ แต่พอเอามาทดสอบจริงๆ จังๆ กลับได้คำตอบที่ผิด จากคุณ : ผลึกความคิด เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 20:28:46

ความคิดเห็นที่ 20 การตรวจ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นแรก ตรวจคำตอบก่อนถ้าผิด ให้ศูนย์                                 ถ้าถูก ไปชั้นสอง ชั้นสองถ้าเจอวิธีทำผิดจึงหักคะแนนตามส่วน วิชาคำนวณถ้าเกี่ยวกับชีวิตคน ถึงวิธีทำถูกแต่คำตอบผิด เอาไปใช้คนก็ตายอยู่ีดี จากคุณ : คนมาบแค เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 21:10:43

ความคิดเห็นที่ 21 เคยเรียน math สมัยปี 1 ใครใช้สูตรลัดโดนหักคะแนนระนาว ถึงแม้คำตอบถูก เต็ม 10 อาจารย์ให้ 3 คะแนน กับอีกคนไม่ใช้สูตรลัด ค่อย ๆ แสดง ค่อย ๆ คิด แต่คำตอบผิด อาจารย์หัก 3 คะแนน จากคุณ : X-Sy เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 53 22:34:07

ความคิดเห็นที่ 22 ทำโจทย์ถูก แต่ไม่มีเหตุผล ทั้งนี้ ต้องดูระดับความแม่นยำโดยรวมด้วยครับ ถ้าเทียบในชีวิตจริง ก็เช่น บิล เกตส์ ตั้ง Microsoft มีเหตุผลอันใด ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้น เหตุผลทุกอย่างคิดเองเออเอง แถมโอกาสสำเร็จโคตรน้อย Steve Jobs, Mark Zuckerburg ล้วน แต่ ทำอะไร ที่ไม่มีเหตุผลรองรับ หรือ เหตุผล ก็คิดเองทั้งนั้น จากคุณ : คุณชินโซ เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 00:08:28

ความคิดเห็นที่ 23 #10 กับ #11 1.  ยี่เอ๋ง 2.  ม้าเจ๊ก จากคุณ : สหายกุนเชียง เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 04:36:03

ความคิดเห็นที่ 24 ทำโจทย์ได้คำตอบที่ถูกต้อง แต่ไม่รู้ว่ามันมายังไง มีจริงครับ เพื่อนผมบอกง่ายๆ แกจำแบบไปสิ มันออกมาแบบนี้แกก็แทนค่าที่แกมีไป สรุป เรียนแบบจำๆไปเหมือนเดิม ไม่มีวิธีคิดต่อไปเลย จากคุณ : kanester เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 09:17:54

ความคิดเห็นที่ 25 เห็นด้วยกับ คห.13 ที่เหลืออยู่ที่เจตนาและมาตรฐานคนตรวจ จากคุณ : gumgum_ozz (busajula) เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 11:47:03

ความคิดเห็นที่ 26 โหวต 1. เน้นที่ผลลัพธ์ โหวต 2. เน้นที่วิธีการ ที่จริงมันต้องดูโจทย์ก่อน ว่าถามอะไร PS ใครจะว่าไงผมไม่รู้ แต่ถ้าต้องเลือกอย่างใดอย่างนึง ผมโหวต1ครับ จากคุณ : RennasS เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 02:30:19

ความคิดเห็นที่ 27 #7 เราว่าอาจารย์อ่ะ ตาไม่ถึง ไม่ก็ยึดติดเกินไป ถ้ามันมีเหตุผลของเราที่ไม่ใช่เหตุผลอย่างที่อาจารย์คิด บางทีมันก็ใช่ว่าจะผิดเสมอไปนิ เบื่อพวกยึดติดว่าตามแบบแผน ดีแต่แทนสูตร!! จากคุณ : จำแบบไม่เข้าใจ เจริญ (Jiew@PSU) เขียนเมื่อ : 29 ต.ค. 53 11:40:30